๒.ทำอย่างไรจึงจะพบความสุข ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 17 เมษายน 2018.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ๒.ทำอย่างไรจึงจะพบความสุข ?

    พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุที่จะให้เกิดความสุขไว้มากมายหลายแห่ง และหลายระดับตั้งแต่ระด้บความสุขของผู้ครองเรือนจนถึงระดับความสุขของผู้ไม่ครองเรือนคือนักบวชทั้งหลาย

    ในบรรดาคำสอนอันมากมาย ที่จะเป็นบันไดไปสู่ความสุขนั้น มีอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ารัดกุม และสามารถครอบคลุมความหมายของปัญหาข้างต้นได้ครบถ้วน ได้แก่พุทธวจนะที่มาในพระธรรมบท (๒๕/๕๐) ที่ว่า

    เว้นเหตุแห่งทุกข์ย่อมมีสุขในที่ทั้งปวง

    เมื่อท่านได้อ่านพุทธภาษิตนี้แล้ว บางท่านอาจจะร้อง "ว้า...มันกว้างเกินไป จนจับหลักไม่ได้" ก็ถูกละ...ความทุกข์นั้นมีมากมาย เราก็ควรที่จะต้องหาทางเว้น "ต้นเหตุ" ที่จะให้เกิดความทุกข์ต่าง ๆ เหล่านั้นให้มากที่สุด"

    ถ้าเราสามารถเว้นเหตุแห่งความทุกข์ ได้มากเท่าไหร่ ? เราก็ย่อมจะได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้น

    นี่จัดวว่าเป็นหลักการเหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ปัญหามีต่อไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ? ว่าต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นมีอย่างไรบ้าง ?

    การที่คนเราจะรู้ว่า อะไรจะเป็น "ต้นเหตุ" ของความทุกข์ และอะไรจะเป็น "ต้นเหตุ" ของความสุขนั้น ไม่มีเครื่องมืออะไร ที่จะไปวินิจฉัยได้เลย นอกจาก "ปัญญา" เพียงตัวเดียวเท่านั้น

    ในพระธรรมบท (๒๕/๕๐) ที่เดียวกัน พระพุทธองค์ จึงได้ตรัสไว้อีกว่า

    มีปัญญาพาให้บรรลุความสุข

    ก็เป็นอันว่า ทางพระพุทธศาสนา ท่านเน้นที่ตัวปัญญาว่า สามารถใช้ได้ทั้งดับทุกข์ และใช้สร้างความสุขได้ด้วย หรือจะว่าให้ตรงก็ว่า เมื่อเว้นเหตุแห่งทุกข์แล้ว ก็ย่อมจะพบความสุขเอง ก็ไม่ผิดหรอก

    เอาละ, ที่นี้เราก็มีความจำเป็น ที่จะต้องมา "ปลูกปัญญา" กันละว่า ปัญญานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

    ในสังคีติสูตร (๑๑/๑๙๙) ท่านพระสารีบุตร ได้แสดงถึงเหตุที่จะให้เกิดปัญญาได้ ๓ ทางด้วยกัน คือ

    ๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากความคิด การคิดหรือพิจารณาทบทวนเหตุผล เรียกว่าต้องใช้สมอง ปัญญาจึงจะเกิด

    ๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง การอ่าน การเล่าเรียนศึกษา การค้นคว้าหาความรู้ การสอบถามท่านผู้รู้

    ๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฝึกฝนอบรม การลงมือกระทำหรือปฏิบัติ การทดลองปฏิบัติด้วยตนเองเนือง ๆ

    มีข้อที่ควรสังเกต ระหว่างคนที่มีความคิด กับคนที่มีปัญญานั้น อย่าได้เอาไปปะปนกัน มันจะแก้ปัญหาในการดับทุกข์ไม่ได้ หรือแม้จะใช้แก้ปัญหาเล็กน้อยในชีวิตประจำวันก็ยังยาก

    จริงอยู่ แม้ว่าความคิดจะเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญญาก็จริง แต่ถ้าคิดเพียงตื้น ๆ หรือผิวเผิน ก็ไม่เกิดปัญญา ก็เรียกได้เพียงว่า มีแต่ความคิด แต่ไม่มีปัญญา คือไม่อาจที่จะแก้ปัญหาในชีวิตได้ หรือใช้ดับทุกข์ไม่ได้

    คนมีความคิด คิดอะไรเก่ง ทำอะไรเก่ง แต่ขาดปัญญานั้น ยิ่งคิดอะไรมาก ทำอะไรมากขึ้นเท่าไร ? ก็ยิ่งก็จะเพิ่มปัญหา ก่อความทุกข์ให้เพิ่มมากขึ้นเพียงนั้น !

    ดังนั้น ความคิดกับปัญญาจึงไม่เหมือนกัน แต่ว่าความคิดนั้นอาจเป็นบ่อเกิดของปัญญาได้ ถ้าจะเกณฑ์ให้ความคิดเป็นปัญญาด้วย ก็ย่อมจะได้ โดยจะต้องแยกว่าเป็นปัญญาฝ่ายโลกไม่ใช่ปัญญาฝ่ายธรรม เพราะปัญญาฝ่ายธรรมนั้นใช้ดับทุกข์ได้

    เมื่อเรามีปัญญาแล้วก็เสมือนว่ามีดวงตา หรือมีแสงสว่างที่จะใช้ส่องนำทางให้ชีวิตเกิดความปลอดภัย และบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือความดับทุกข์ตามลำดับขั้นจนถึงพระนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทางของทุกชีวิต.

    http://www.dhammajak.net/book/sukha/sukha02.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...