๓พิธีบวชแบบพุทธแท้.

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 27 พฤศจิกายน 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ๓พิธีบวชแบบพุทธแท้.
    [​IMG]


    ...ว่าด้วยการบวชแบบพุทธะนั้น ไล่เรียงลำดับแล้ว มีพัฒนาการมาดังนี้

    ๑.แบบดั้งเดิม คือพระองค์แสดงธรรมจบ ตรวจดูวาระจิตแล้ว ทรงเห็นว่าบุคคลนั้น มีดวงตาเห็นธรรม พระพุทธเจ้าประทานให้ด้วยพระองค์เอง ด้วยการตรัสว่า "เอหิภิกขุ.. อุปสัมปทา" ซึ่งแปลว่า "จงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่ดีที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด" ผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นภิกษุแบบ "เอหิภิกขุ" เรียกวิธีการบวชแบบดั้งเดิมนี้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"ต่อมา มีผู้มีดวงตาเห็นธรรมมากขึ้น มาบวชมากขึ้น จึงทรงเปลี่ยนไปใช้วิธีการบวชแบบที่๒

    ๒.วิธีติสรณคมนูปสัมปทา ( ติสะระณะคะมะนูปะสัมปะทา ) เป็นการอุปสมบทด้วยการเข้าถึงไตรสรณะ หมายถึงการบวชเป็นภิกษุโดยการรับไตรสรณคมน์ โดยอนุญาตให้บุคคล คือพระสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็สามารถบวชกุลบุตรได้ ไตรสรณคมน์ แปลว่า การถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกเข้าถึง ด้วยการเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพิงที่ระลึกว่า

    พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
    ธมฺมัง สรณัง คัจฺฉามิ
    สงฺฆัง สรณัง คัจฺฉามิ

    ทุติยมฺปิ พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมัง สรณัง คัจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆัง สรณัง คัจฺฉามิ

    ตติยมฺปิ พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมัง สรณัง คัจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆัง สรณัง คัจฺฉามิ

    ..เป็นการยืนยันแสดงว่าตน ได้น้อมนำพระรัตนตรัยเข้าไปไว้ในตนทั้งกาย วาจา ใจ มีพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกถึงและเป็นที่พึ่งตลอดไป ใครก็ได้ที่มั่นใจเช่นนี้ ไปกราบครูบาอาจารย์องค์ใดก็ได้ เปล่งกล่าวเสร็จ ก็มีสถานะเป็นภิกษุทันที (วิธีนี้ใช้เป็นพิธีบวชสามเณร ในปัจจุบัน )

    ๓.วิธีสุดท้ายของการบวช เรียกว่า วิธีญัตติจตุตถกรรมวาจา(แปลว่า กรรมมีญัตติเป็นที่๔) ใช้หมู่สงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรม โดยมีการสวดญัตติขึ้นก่อน แล้วตามด้วยอนุสาวนาอีก ๓ ครั้ง ซึ่งใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

    .....สรุปแบบย่นย่อ การบวชทั้ง๓แบบคือ แบบแรก พระพุทธเจ้าทรงเปล่งรับรองการบวชเอง แบบสอง ภิกษุองค์อื่นรับรองให้ แบบสาม ให้หมู่สงฆ์(๔องค์ขึ้นไป) ประกอบพิธีให้ และทั้ง ๓ แบบมีจุดสำคัญร่วมกันคือ ผู้จะเข้ามาเป็นภิกษุ จะต้องมีสภาวะธรรมรองรับ มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ว่าจะมาใช้วิถีชีวิตเยี่ยงพุทธะ ไม่ใช่พวกกะเร่กะร่อนอกหัก,หลักลอย,คอยงาน,สังขารเสื่อม,อยากเลื่อนวิทยฐานะ(ทั้งด้านการศึกษา,เศรษฐกิจ) อาศัยผ้าเหลืองหากิน เหมือนในปัจจุบัน

    ..และในสมัยพุทธกาล คำว่าบวชเอาบุญ บวชตามประเพณีไม่มี มีแต่บวชเพราะรู้แจ้งแดงชัดในจิต ว่าวิถีชีวิตแบบพุทธะนี่แหละ สุดยอด เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเองจริงๆ พอหันกลับมามองการบวชของคนไทยในสมัยปัจจุบัน พ่อเจ้าพระคุณทูนหัว มันเหลือร่องรอยแบบการบวชพระพุทธแท้ๆ ทั้ง๓แบบตรงไหน? ปะ+เพ+หนี้ ที่เราชาวพุทธไทยร่วมกระทำย่ำยีทำลายสารัตถะสำคัญของการบวช ไล่มาตั้งแต่อุปัชฌาย์ หมู่สงฆ์ ผู้บวช และบิดามารดา อยากได้เพียงบุญบวช เลยลืมเลือนเป้าหมายของการบวชที่แท้จริง ประดิษฐ์ประดอยพิธีกรรม กันอย่างวิลิศมาหราไม่ได้อายพระพุทธองค์กันเอาเสียเลย

    ...เจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าศาสดาแท้ๆ ตอนออกบวชก็มีสหาย๑ ม้า๑ เท่านั้น ถอดชุดกษัตริย์ออก หาเศษผ้ามาห่อร่าง ก็กลายเป็นนักบวชแล้ว ลูกหลานชาวพุทธไทย ออกบวชแต่ละที ดูกองบวชพ่อเจ้าพระคุณทูนหัวนาคซิ ข้าวของสัมภาระมากขนาด ยกกองร้อยทหารมาขนก็ไม่หมด ทั้งงานเลี้ยงฉลอง สารพัดรูปแบบ ลงทุนตำพริกละลายแม่น้ำ แดงเถือกไปทั้งสาย เก็บข้าวของงานบวชยังไม่เสร็จ พ่อนาคเปลี่ยนชุด ใส่ผ้าเหลืองไปนอนในวัด ได้ไม่กี่วัน ก็ลาสิกขาลาเพศกลับมา ใช้ชีวิตอิเละเขะขละเหมือนเดิม คิดมุมไหน? เอาอวัยวะส่วนใดตรอง มันก็ไม่คุ้ม..
    ...
    Taimk
    www.taimk.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...