๔. จงคบบัณฑิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 26 เมษายน 2018.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,286
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    บันไดขั้นที่สอง ที่ต่อจากขั้นแรก ที่จะเว้นเสียมิได้คือ "การคบหากับบัณฑิต" ซึ่งจะต้องทำให้ต่อเนื่องกันไปจึงจะบรรลุถึงความสุขตามที่เราต้องการได้ สองขั้นนี้จึงถือว่า เป็นขั้นที่ต้องบังคับตายตัว

    บัณฑิต คือ คนดี คนมีปัญญา หรือคนที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา คนที่คิดดี พูดดีและทำดี ดูได้จากการกระทำที่ออกมาทางกาย และวาจา ที่เป็นไปด้วยความสุจริต ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น โดยนัยนี้ก็ย่อมจะไม่เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน หรือว่าจะมีปริญญาหรือไม่ ?

    การคบหากับบัณฑิต คบกับคนดีหรือเพื่อนที่ดีนั้น จัดว่าเป็นมงคลข้อที่สอง ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่อาจที่จะอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ ทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน มากบ้างน้อยบ้างตามฐานะหรือหน้าที่ ที่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกัน

    อานิสงส์ที่ได้รับจากการคบกับคนดีทันตาเห็นก็คือ เราย่อมจะได้ยินและได้เห็นแต่ในสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมงคลเป็นความก้าวหน้าในชีวิต จะช่วยให้ชีวิตพัฒนาไปสู่ความสุขตามลำดับ จนถึงขั้นสูงสุดคือพระนิพพาน ตามนัยอุปัฑฒสูตร (๑๙/๒) ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกะพระอานนท์ว่า

    "อานนท์ ! ความเป็นผู้มีเพื่อนดี (หรือบัณฑิต) นั้นนับว่าเป็นพรหมจรรย์หมดทั้งสิ้นเลยทีเดียว"

    พูดกันตามภาษาชาวบ้านก็ว่า การมีเพื่อนที่ดีนั้นเท่ากับเป็นหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเราเลยทีเดียว หมายความว่า มีแต่ส่วนดีโดยตลอด อย่าได้สงสัยเลย จงเชื่อพระพุทธเจ้าเถิดรับรองว่าจะไม่ไปเกิดในอบายแน่

    แต่ว่าคนเรานั้นมันดูยากกว่าสัตว์ คือมันไม่มีลายให้ดูเหมือนอย่างเสือ เป็นต้น จะดูผิวก็ไม่ได้ว่า ผิวขาวจะดีกว่าผิวดำ ? มันแยกไม่ได้ ยิ่งความคิดของคนก็ยิ่งจะดูกันไม่ได้เลย แต่เราก็จะดูได้ที่คำพูด และการกระทำของเขา ถ้าใครพูดดีและทำดีด้วย เราก็ให้เชื่อไว้ครึ่งหนึ่งก่อนว่าจะเป็นคนดี

    ที่ไม่แนะนำให้เชื่อหมดหัวใจ ก็เพราะว่าคนเรามันมีมายามาก คนที่พูดดีอาจคิดและทำไม่ดีก็ได้ ทำดีอาจคิดไม่ดีก็ได้ เช่น ปากบอกว่ารัก เคารพ และนับถือ แต่ภายในใจจริง ๆ อาจจะเกลียดจนเข้ากระดูกดำ ไม่มีความเคารพและไม่นับถือเลยก็ได้ เป็นต้น

    แต่ชาวพุทธเราก็ยังนับว่ามีโชคดี ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเพื่อนแท้และเพื่อนเทียม (สิงคาลกสูตร ๑๑/๑๖๘) ไว้ให้ดู ดังนี้

    เพื่อนเทียม ๔ (หรือศัตรูผู้มาในร่างของมิตร)

    ๑. เพื่อนปอกลอก ๔

    - คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
    - ยอมเสียน้อย โดยหวังจะเอาให้มาก
    - ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน
    - คบเพื่อน เพราะเห็นแก่ประโยชน์ตน

    ๒. เพื่อนดีแต่พูด ๔

    - ยกเอาของที่หมดแล้วมาพูด
    - อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาพูด
    - สงเคราะห์ในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
    - เมื่อเพื่อนมีกิจ ก็อ้างแต่เหตุขัดข้อง

    ๓. เพื่อนหัวประจบ ๔

    - จะทำชั่วก็คล้อยตาม
    - จะทำดีก็คล้อยตาม
    - ต่อหน้าสรรเสริฐ
    - อยู่ลับหลังนินทา

    ๔. เพื่อนชวนให้ฉิบหาย ๔

    - คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา
    - คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน
    - คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น
    - คอยเป็นเพื่อไปเล่นการพนัน

    พระพุทธองค์ทรงแนะให้ดูลายของคน ที่แสดงออกมาในรูป และแบบต่าง ๆ กัน แม้ว่าจะแสดงออกมาในข้อใดข้อหนึ่ง ก็จัดว่าเป็นเพื่อนเทียมได้ คำพังเพยจึงมีอยู่ว่า

    ยามทุกข์จะเห็นใจมิตร
    ยามข้าศึกประชิด จะเห็นใจทหาร

    นั่นก็หมายความว่า ในยามปกติไม่มีกิจธุระ เพื่อนก็ไม่มีความจำเป็น แต่เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น จึงจะตัดสินได้ว่า ใครจะเป็นมิตรเทียมหรือมิตรแท้ของเรา ? ทหารก็เช่นเดียวกัน เมื่อปลอดจากข้าศึกศัตรู ทหารก็เกือบจะไร้ค่า แต่พอมีข้าศึกมา ทหารก็เป็นขวัญใจของประชาชน ต่อไปก็เป็นการดูลายของเพื่อนแท้

    เพื่อนแท้ ๔ (เพื่อนที่จริงใจต่อกัน)

    ๑. เพื่อนอุปการะ ๔

    - เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน
    - เพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน
    - เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้
    - เมื่อมีกิจจำเป็น ออกทรัพย์ให้มากกว่าที่ออกปาก

    ๒. เพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ ๔

    - บอกความลับแก่เพื่อน
    - รักษาความลับของเพื่อน
    - มีภัยอันตรายก็ไม่ละทิ้ง
    - แม้ชีวิตก็สละให้ได้

    ๓. เพื่อนแนะนำประโยชน์ ๔

    - จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปรามไว้
    - แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี
    - ให้ได้ฟังได้รู้ ในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง
    - บอกทางสุข ทางสวรรค์ให้

    ๔. เพื่อนมีใจรัก ๔

    - เพื่อนมีทุกข์ ก็พลอยไม่สบายใจด้วย
    - เพื่อนมีสุข ก็พลอยแช่มชื่นยินดีด้วย
    - เขาติเตียนเพื่อน ช่วยยับยั้งแก้ให้
    - เขาสรรเสริญเพื่อน ช่วยพูดเสริมสนับสนุน

    เมื่อเรามีเพื่อนแท้ และมีเพื่อนที่ดีอย่างนี้แล้ว เราก็จำเป็นที่จะต้องผูกน้ำใจของเพื่อนไว้ให้ดี ด้วยการแสดงตนเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนด้วยการสนองกลับต่อเพื่อน ดังที่เพื่อนแสดงมาแล้ว ก็ควรที่จะผูกน้ำใจของเพื่อนด้วยธรรม อีก ๒ หมวด ดังนี้

    หมวดที่ ๑ มี ๕ ข้อ

    - เผื่อแผ่แบ่งปัน
    - พูดจามีน้ำใจ
    - ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    - มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย
    - ซื่อสัตย์และจริงใจ

    หมวดที่ ๒ มี ๕ ข้อ

    - เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
    - เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน
    - ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งพิงได้
    - ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
    - นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของเพื่อน

    http://www.dhammajak.net/book/sukha/sukha04.php
     

แชร์หน้านี้

Loading...