เรื่องเด่น “จิตสุดท้ายก่อนตาย” ว่าสำคัญแล้ว “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” ก็สำคัญไม่แพ้กัน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 20 มีนาคม 2018.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    “จิตสุดท้ายก่อนตาย” ว่าสำคัญแล้ว “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” ก็สำคัญไม่แพ้กัน

    19031530-850x491.jpg


    “จิตสุดท้ายก่อนตาย”
    หลังตายไปภายใน20นาที
    นพ.สรศักดิ์. ศุภผล รพ.รามาผู้ส่งบทความดีๆนี้มาให้ครับ
    สำคัญก็จริง แต่ …….
    “จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
    ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย
    “การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
    พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง”
    บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”
    ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด
    ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”
    แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
    สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
    แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว
    ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
    ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

    สรุป

    บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลัง
    ความตาย 20 นาที
    จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก
    การทะเลาะเบาะแว้ง
    หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ
    เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น
    แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย
    จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา
    จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง
    คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม
    เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า

    ผู้ใด เผยแผ่ ผู้นั้น ได้สะสมบุญ บารมี

    สาธุ สาธุ สาธุ


    --------------------------------
    ขอบคุณที่มา
    https://www.jitsook.com/ธรรมนำทาง/19031530/
     
  2. เเสงเทียน

    เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +154
    ไม่ต้องไปสนใจ เวลาก่อนตายหลังตายอะไรหรอกครับ ทุกวันนี้ถือศิลให้ได้มากที่สุด ทำดีให้มากที่สุด เราไม่ได้วัดกันที่ชาตินี้ยังอีกหลายชาติครับ เเละชาตินี้สุขกายสบายใจ ชาติหน้าอาจจะเป็น หมา เเมวก็ได้ เพราะผลกรรมยังเเตก/ม่หมด
     
  3. Joe Django

    Joe Django สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +16
    ผมว่าใส่ใจในทุกๆวันที่มีชีวิตอยู่ดีกว่าครับ เพราะถ้ากรรมก่อนตายมันไม่มีกำลังมากพอ ยังไงอาจิณกรรมก็ให้ผลก่อนอาสันนกรรม(ที่มีกำลังอ่อน) อุปมาเช่น ทำชั่วมาทั้งชีวิต พอเวลาจะตายมาท่องพุทโธๆ หรือสัมมาอะระหัง แล้วหวังว่าจะไปดี ก้คงจะยากจริงไหมครับ หากทำดีไว้มากพอ และมั่นใจว่าไม่ได้ทำชั่วช้า สำคัญอย่างเดียวคือต้องวางใจไม่ห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน เท่านี้ก็เชื่อว่าจะไปสู่สุคติได้
     
  4. Buddhist 1711

    Buddhist 1711 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    605
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +943
    ทำความดี สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีล เจริญกรรมฐาน ละความชั่ว ให้เป็นปกติในทุกวัน ดีกว่าคับ เพราะเมื่อถึงคราวจะต้องทิ้งร่างกายคืนให้โลก สิ่งเหล่านี้ซึ่งเรากระทำมาเป็นปกติเป็นอาจิณกรรม จะเข้ามารวมตัวเอง อีกนิด รักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นปกติ ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย คิดว่าโลกนี้ร่างกายนี้ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิดอีกแล้ว จิตรักในพระนิพานหวังในพระนิพานเพียงจุดเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...