“บางกอก-กรุงเทพฯ” ล้วนต่างมีชื่อมาจากน้ำ

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 30 ตุลาคม 2011.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “บางกอก-กรุงเทพฯ” ล้วนต่างมีชื่อมาจากน้ำ/ปิ่น บุตรี

    โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)


    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"><tbody><tr><td align="center" valign="Top" width="450">[​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">กรุงเทพฯเมืองหลวงที่ในอดีตผูกพันกับวิถีแห่งสายน้ำต่างจากปัจจุบัน</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    ในที่สุดทั้งน้ำเหนือ น้ำฝน น้ำทุ่ง และน้ำทะเลหนุน ก็ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯส่วนใหญ่จมบาดาล(โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกนั้นหนักหนา สาหัสนัก) อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าน้ำท่วมกทม.ครั้งนี้จะขยายวงกว้าง(จากปัจจุบัน)เพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆและน้ำก็จะยังคงอยู่กับเราไปอีกยาว ชนิดที่ปีนี้ผู้คนในหลายพื้นที่สามารถลอยกระทงกันกลางท้องถนนได้

    ส่วนที่มีเสียงแหลบๆ(แหลๆ+ แหบๆ)บอกผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้งว่า“เอาอยู่ค้า”นั้น มันก็คือสัญญาณตรงกันข้ามว่า หายนะกำลังมาเยือน ให้เตรียมขนข้าวของไว้ในที่สูงหรือยกขึ้นชั้นสอง(บางบ้านแม้ชั้นสองก็เอาไม่ อยู่) หรือใครที่มีบ้านชั้นเดียว มีผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็ก ผู้ป่วย ก็ควรอพยพย้ายออกไปอยู่บ้านญาติ ศูนย์อพยพ หรือสถานที่ที่เหมาะสมเป็นดีที่สุด

    สำหรับไข่แดงอย่างกรุงเทพฯเมืองหลวงนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าเมืองนี้ถูกน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง เพราะกรุงเทพฯเป็นทางผ่านสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะไหลออกไปสู่ทะเล ซึ่งบรรพบุรุษของเรานั้นได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับน้ำอย่างเป็นมิตร แม้กระทั่งที่มาของชื่อเมืองหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังมีบันทึกทาง ประวัติศาสตร์ที่น่าคิดในอีกแง่มุมหนึ่งว่า ชื่อของเมืองนี้ตั้งแต่ยุคบางกอกมาจนถึงกรุงเทพมหานครนั้น มีความเกี่ยวข้อง มีความผูกพัน และมีที่มาจากน้ำที่น่าสนใจยิ่ง

    บางกอก เมืองแห่งน้ำ

    “บางกอก” หรือ ที่ฝรั่งยังคงเรียกติดปากว่า “แบงคอก” มาจนถึงทุกวันนี้ เป็นตำบลเก่าแก่ที่มีชุมชนใหญ่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

    สำหรับที่มาของชื่อเมืองบางกอกนั้น มีข้อสันนิษฐานน่าสนใจอยู่ 4 ประเด็นด้วยกัน

    ข้อสันนิษฐานแรกมาจากความเชื่อที่ว่าแต่เดิมบริเวณนี้เป็นป่ามะกอก จึงเรียกว่าบางกอก โดยบาง หมายถึงหมู่บ้าน ส่วนกอกก็คือ มะกอก

    ข้อสันนิษฐานที่สองมีบันทึกไว้ในหนังสือ “จดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ชวาสี” แปลและเรียบเรียงโดย หลวงสันธานวิยาสิทธิ์(กำจาย พลางกูร) ได้ระบุว่า “บางกอกคือจังหวัดธนบุรี บาง แปลว่า บึง กอก แปลว่า น้ำ(กลายเป็นแข็ง) หรือน้ำกลับเป็นดินหรือที่ลุ่มเป็นที่ดอน” ซึ่งจากข้อสันนิษฐานนี้อาจเป็นไปได้ว่า บางกอกจากเดิมที่เป็นที่ลุ่มได้มีการสะสมตะกอนมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นที่ดอนขึ้นมาก็เป็นได้

    ข้อสันนิษฐานต่อมาในหนังสือ“เล่าเรื่องบางกอก” โดย ส.พลายน้อย(เล่ม 1) ให้ข้อมูลว่า ผู้รู้บางคนกล่าวว่าบางกอกน่าจะมาจากคำว่า Benkok เป็นภาษามลายู แปลตามตัวว่า คดโค้ง หรือ งอ โดยอ้างว่าแม่น้ำในบางกอกสมัยก่อนคดโค้งอ้อมมาก

    ข้อสันนิษฐานลำดับสุดท้าย ผมยังคงอ้างอิงจากหนังสือเล่าเรื่องบางกอกเช่นเดิม ซึ่งท่าน อาจารย์ ส.พลายน้อย ให้ข้อมูลว่า มีนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่ง(ส.พลายน้อย ไม่ได้ระบุชื่อไว้) ให้ข้อคิดว่า...คำ Bangkok นั้น ฝรั่งแต่โบราณเขียนเป็น Bangkoh ซึ่งมีทางว่าน่าจะอ่านว่า “บางเกาะ”...และคำๆนี้ก็มีการออกชื่อปรากฏอยู่ในจดหมายของท้าวเทพสตรีที่มี ไปถึงกัปตันไลน์หรือพระยาราชกัปตันด้วย แต่เสียดายที่มีชื่อปรากฏเป็นหลักฐานอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

    ชื่อนี้สอดคล้องกับชื่อบางเกาะที่เชื่อว่าตั้งชื่อเมืองตามสภาพ ภูมิประเทศของลำน้ำเจ้าพระยาสายเดิมที่ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง จนสภาพพื้นที่บางแห่งมีลักษณะเป็นเกาะ ซึ่งสันนิษฐานว่าชื่อบางเกาะคงจะเพี้ยนเป็น“บางกอก” ในภายหลัง

    และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อเมืองบางกอกที่ต่อมากลายเป็นกรุงเทพมหานคร ซึ่งแม้ข้อสันนิษฐานแรกจะได้รับการยอมรับมากสุด แต่ 3 ข้อสันนิษฐานหลังก็มีเหตุผลน่ารับฟัง มีหลักฐานอ้างอิง สอดคล้องกับการเป็นเมืองแห่งน้ำของบางกอกอยู่ไม่น้อย

    อย่างไรก็ดีเมืองบางกอกเดิมมีลักษณะเป็นแผ่นดินผืนแผ่นเดียวติดกัน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา(สายเดิม)ที่ไหลลดคดเคี้ยวเลาะ คู่เมืองนี้ไป เริ่มตั้งแต่ปากคลองบางกอกน้อย อ้อมไปตลิ่งชัน บางระมาด แล้วเลี้ยวมาคลองบางกอกใหญ่(คลองบางหลวง) ก่อนวกมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองบางกอกใหญ่แล้วไหลไปออกทะเลดังใน เส้นทางน้ำปัจจุบัน

    แต่ในปี พ.ศ.2065 สมเด็จพระไชยราชาธิราช โปรดฯให้ขุดคลองลัดบางกอกขึ้นเป็นครั้งแรก เชื่อมลำน้ำเจ้าพระยาระหว่างปากคลองบางกอกน้อยกับปากคลองบางกอกใหญ่ กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาดังในปัจจุบัน

    และมีการขุดคลองลัดเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยาอีก 2 ครั้ง ในช่วงเวลาต่อมา ได้แก่ การขุดคลองลัดบางกรวย เชื่อมคลองบางกอกน้อย-คลองบางกรวย ในปี พ.ศ. 2081 สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และการขุดคลองลัดนนทบุรี เชื่อมคลองบางกรวย-คลองอ้อมนนท์ ในปี พ.ศ. 2139 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายหลักเหมือนกับการขุดคลองลัดในครั้ง แรก

    สำหรับการขุดคลองลัดบางกอกนั้น สายน้ำได้แบ่งเมืองบางกอกออกเป็น 2 ฝั่ง คือ บางกอกฝั่งขวา(อ้างอิงตามทิศเหนือ)ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้า พระยา(สายใหม่)ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครเป็นที่ราบลุ่มริมเจ้าพระยาเหมาะ สำหรับการทำนา และบางกอกฝั่งซ้ายที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่สวนอัน อุดมสมบูรณ์เคียงคู่กับสวนบางช้าง ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน”

    ทั้งนี้หลังการขุดคลองลัดได้ปรากฏว่ามีการตั้งอยู่เมืองบางกอกอย่าง เป็นทางการว่า “เมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร” ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเมืองนี้กับทะเลได้เป็นอย่างดี

    กรุงเทพฯ นครแห่งน้ำ

    ในปี พ.ศ.2310 พระเจ้าตากสินมหาราช สถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี และทรงโปรดฯให้ตั้งเมืองบางกอกฝั่งซ้ายเป็นเมืองหลวง โดยมีการสร้างกำแพงเมืองขึ้นเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู ขณะเดียวกันความเจริญของเมืองหลวงก็ทำให้มีการขยายเมืองไปเติบโตหนาแน่นที่ เมืองบางกอกฝั่งขวา

    ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ ทรงมีพระราชดำริว่า “เมืองธนบุรีนี้ ฝั่งฟากตะวันออกเป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก โดยเป็นที่แหลม มีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง ถ้าตั้งพระนครข้างฝั่งตะวันออก แม้นข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนครก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่ง ตะวันตกซึ่งเป็นที่ดอน แต่ก็เป็นคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราชมมณเฑียรสถานเล่าก็ตั้งอยู่ในอุปจาร ระหว่างวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่สองข้าง ควรเป็นที่รังเกียจ”

    หลังจากนั้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯก็สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็น ราชธานี พร้อมกับตั้งเมืองหลวงใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 2325 โดยพระราชทานนามเมืองหลวงใหม่ว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ก่อนที่จะมีการแปลงสร้อยบวรรัตนโกสินทร์ เป็น“อมรรัตนโกสินทร์” ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า รัชกาลที่ 4

    กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการ ได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คว่าเป็นเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก โดยที่มาของชื่อเมือง ในวิกิพีเดีย ระบุว่า หมายถึง "พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร"

    อย่างไรก็ดีชื่อเมืองกรุงเทพมหานครนี้ ในหนังสือ “น้ำบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมไทย” โดย : (ดร.)สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ได้ให้ข้อมูลถึงความหมายของชื่อกรุงเทพมหานครที่น่าสนใจเอาไว้ว่า

    ...ใน พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาเมืองฝั่งซ้ายเป็นราชธานี ซึ่งเหมือนกับพระเจ้าอู่ทองย้ายข้ามฟากเข้าไปอยู่ในโค้งแม่น้ำเพื่อตั้งกรุง ศรีอยุธยา เพราะเป็นจุดยยุทธศาสตร์ที่ดีกว่า...

    ...ในลักษณะการสร้างพระนครในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความ พยายามที่จะจำลองความรุ่งเรืองของกรุงเก่ามาไว้ ณ ที่ใหม่ ในประเด็นนี้ชื่อเมืองก็ระบุให้เห็นถึงความพยายามที่จะ “ย้าย” กรุงศรีอยุธยามาไว้ในโค้งแม่น้ำใหม่นี้ ชื่อ “กรุงเทพมหานคร” มีความหมายว่า “มหานครแห่งเทพเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำ(กรุง)”...

    อนึ่งในหนังสือน้ำฯเล่มดังกล่าว ได้มีข้อมูลที่ปรากฏก่อนหน้านี้ซึ่งช่วยขยายความเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า

    ...คำว่า “กรุง” นั้นมาจากคำว่า “เกริง”(เสียงสั้น) เป็นคำภาษามอญซึ่งหมายถึงแม่น้ำลำคลอง สมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระราชวินิจฉัยดังนี้ “ผู้ใดว่ามีอำนาจเหนือพื้นน้ำหรือเป็นเจ้าแห่งน้ำตั้งแต่ปากน้ำไปจนถึงที่ สุดของแม่น้ำสายนั้น ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นเจ้ากรุง และเมืองที่เจ้ากรุงพระองค์นั้นประทับอยู่ก็เลยเรียกว่า กรุง”...

    ขณะที่คำว่า “เกริง”(เสียงยาว) ในหนังสือน้ำฯได้ให้ข้อมูลว่า เป็นภาษามอญ หมายความว่าใหญ่ ส่วนอีกคำหนึ่งที่สำคัญก็คือคำว่า “นคร”นั้นมีความหมายว่าชาวเมือง และมีรากศัพท์มาจาก “นาคา” ที่หมายถึงนาค ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วตามความเชื่อนี้ได้มีเหตุผลสนับสนุนชื่อ เมือง“กรุงเทพมหานคร” ที่มีความหมายถึง “มหานครแห่งเทพเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำ” ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

    และนั่นก็เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่ตามความเชื่อทั้งหลายที่กล่าวมา ข้างต้น ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของชื่อเมืองหลวงในยุคปัจจุบันของเรา ตั้งแต่บางกอกมาจนถึงกรุงเทพมหานครว่า ล้วนต่างมีที่มาจากน้ำ

    ขณะเดียวกันความเป็นเมืองแห่งน้ำของบางกอกหรือกรุงเทพมหานครที่อุดม ไปด้วยวิถีชาวน้ำและแม่น้ำลำคลองมากมาย ก็ถูกตอกย้ำด้วยชื่อ“เวนิสตะวันออก” ที่ฝรั่งต่างชาติขนานนามจนโด่งดังไปทั่วโลก

    แต่ทว่า...ในวันนี้ความเป็น(ชื่อ)เมืองแห่งน้ำทั้งบางกอก กรุงเทพมหานคร และเวนิสตะวันออก ล้วนต่างถูกทำลายด้วยวิถีสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการทำลายวิถีแห่งสายน้ำมากกว่าเลือกที่จะอยู่กับสายน้ำอย่างเป็น มิตร กลมกลืน และนอบน้อมคารวะต่อธรรมชาติ เหมือนเช่นในอดีต ซึ่งสุดท้ายแล้วธรรมชาติได้พิสูจน์สัจธรรมให้เราได้เห็นแล้วว่า

    ...มนุษย์ไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนก็มิอาจเอาชนะธรรมชาติได้...


    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000138178-



    .
     
  2. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    ขอขอบคุณข้อมูลดีมีประโยชน์ เป็นความรู้อย่างมากเลยครับ
     
  3. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    ขอบคุณข้อมูลที่ดีมีความรู้ ๆ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...