“วัฒนธรรม..ศาสนา..ความเชื่อไทยรุ่งเรืองหรือเรียวลง”

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 21 มกราคม 2010.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,123
    กระทู้เรื่องเด่น:
    348
    ค่าพลัง:
    +64,476
    การสัมมนาทางวิชาการเรื่อง
    “กะเทาะเปลือกวัฒนธรรม : การปรับเปลี่ยนท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์”
    ภายใต้หัวข้อ “วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อไทยรุ่งเรืองหรือเรียวลง”


    ข่าวประยุรวง"พระธรรมโกศาจารย์"ชี้คำ"ไม่เป็นไร"คนไทยหายไป มีแต่การแบ่งสี

    [​IMG]

    เมื่อวันที่ ๑๖ ม.ค. พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวในการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “กะเทาะเปลือกวัฒนธรรม : การปรับเปลี่ยนท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์” ภายใต้หัวข้อ “วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อไทยรุ่งเรืองหรือเรียวลง” จัดโดยสภาวิจัยแห่งชาติ ว่า วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิตที่นำมาซึ่งความสุข หลายประเทศหันมานำความเจริญด้านวัฒนธรรมหรือมวลรวมของความสุขเป็นตัววัดความเจริญของประเทศ แทนผลิตภัณฑ์มวลรวมด้านเศรษฐกิจ ส่วนไทยเองยังเป็นคำถามในสังคมว่า เราจะนำความเจริญด้านใดมาวัดกันดี เพราะเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมสามารถก่อให้เกิดเอกภาพและความสามัคคีได้ เนื่องจากความรู้สึกร่วมภูมิใจของคนในสังคม แต่น่าเสียดายว่าทุกวันนี้กลับมีการนำวัฒนธรรม ศาสนา มาเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้งทางสังคม ทั้งการเมืองในประเทศ ปัญหาภาคใต้ เป็นต้น แม้จะมีหลายฝ่ายเข้าไปแก้ปัญหาความแตกแยกแต่ก็ยังไม่สามารถต่อให้ติดเหมือนเดิมได้

    พระธรรมโกศาจารย์ กล่าวต่อว่าหากจะให้วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อของไทยรุ่งเรือง คนในสังคมต้องมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว สมัยก่อนมีคำติดปากคนไทยว่า “ไม่เป็นไร” “ขอกันกินมากกว่านี้” ซึ่งหมายถึงการเอื้อเฟื้อมีเมตตาต่อกัน หรือการเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ต้องการให้หันมองว่าแล้วปัจจุบันวัฒนธรรมเหล่านี้เลือนหายไปไหน มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย นำข้อมูลข่าวสารมาต่อสู้กันจนเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป หากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้สังคมไทยเรียวลง

    ด้าน ศ.กิตติคุณ ปรีชา ช้างขวัญยืน ประธานคณะกรรมการสาขาปรัชญา สภาวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก มีผลให้วัฒนธรรมไทยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางด้านภาษา เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามา ภาษาที่มาควบคู่ส่วนใหญ่เป็นภาษาต่างประเทศ โดยคนรุ่นใหม่จะเป็นผู้รับภาษาเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวันจนเป็นเรื่องภาษาที่ปกติ ขณะที่คนรุ่นเก่าเริ่มวิตกว่าภาษาไทยจะวิบัติ เพราะคำไทยแท้เริ่มหายไป ดังนั้นจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักจัดบรรทัดฐานภาษาขึ้นมา แม้จะรับภาษาสมัยใหม่แต่จะต้องให้ความสำคัญกับภาษาไทยดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่แค่ภาษาไทยกลาง แต่หมายถึงภาษาท้องถิ่น หรือภาษาเผ่าต่างๆ ที่อาศัยในประเทศ

    “เห็นว่าการเรียนสมัยนี้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรเน้นเรียนการออกเสียง ที่มีการผันวรรณยุกต์ การแยกอักษรสูง ต่ำ กลาง เมื่อผสมกันเป็นคำจะได้คำที่มีโทนเสียงสูงต่ำ คนโบราณจะบอกว่าไพเราะ แต่ตอนนี้เราไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนี้แล้ว อย่างไรก็ดี อยากให้เกิดดการผสมผสานทั้งการรับภาษาสมัยใหม่ ในขณะที่ภาษาไทยเดิมของเราก็ต้องสอนให้เด็กนำมาใช้ไม่ให้ลืมด้วย” ศ.กิตติคุณ ปรีชา กล่าว

    วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ มติชนออนไลน์

    ข่าวประยุรวง



    ลงวันที่: Wednesday January 20, 20

    --------------------------------------
    ที่มา :
    Phra Dharmakosajarn
     
  2. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,940
    อย่างไรก็คงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือนะครับ...จะได้รุ่งเรืองเคียงคู่ประเทศไทยต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...