“เทวดาพูดภาษาอะไร?” มาทำความรู้จัก ภาษา “กูโบ๊ส – กูต๊าบ” เทพยดาท่านใช้สื่อสารกัน
“เทวดาพูดภาษาอะไร?” มาทำความรู้จัก ภาษา “กูโบ๊ส – กูต๊าบ” เทพยาดาเขาใช้สื่อสารกัน
ภาษาเทพเป็นภาษาสวรรค์ไม่มีใครสามารถแปลภาษาเทพ หรือเข้าใจภาษาเทพได้ ถึงแม้มีก็จะมีเพียงผู้ที่ปฏิบัติในระดับสูง ภาษาเทพมีอยู่ด้วยกันหลายระดับ บางอย่างก็เป็นภาษาของภพภูมินั้นๆ เช่นภาษาของผีก็มีเหมือนกันมนุษย์เรามีเทวดาปกปักษ์รักษา แต่ "เรามิใช่เทวดา" ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้ภาษาเทพ รู้แล้วได้อะไร?
เมื่อศึกษาเรื่องเสียงพูดแปลกๆ ขณะทำสมาธิ และสอบถามไปยังพระกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสมาธิ และผู้รอบรู้เรื่องสมาธิหลายท่านจึงได้ทราบข้อสังเกตที่เหมือนๆ กันในหลายๆ ส่วน เช่น ภาษาที่พูดออกมานั้น ผู้พูดมักจะพูดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะมีความรู้สึกนึกคิด หรือรู้สึกตัวตลอดเวลา หรือ ภาษาที่พูดออกมานั้นมักจะรัว และเร็วกว่าภาษาพูดธรรมดาที่คนทั่วไปพูดกัน และที่น่าสนใจที่สุดคือ ภาษานี้มักจะผลมาจากการทำสมาธิถึงขั้นหนึ่งจนจิตมีความละเอียดพอที่จะสัมผัสกับพลังงานต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นสัมภเวสี เทพ เทวดา ฯลฯ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “การลงทรง” หรือ “ประทับทรง”นั่นเอง “การลงทรง” หรือ “ประทับทรง” นั้นเป็นการติดต่อสื่อสารกับโลกวิญญาณวิธีหนึ่งโดยการทำสมาธิเป็นพื้นฐานของการประทับทรง นอกจากนี้การประทับทรงยังเป็นการทำให้เราได้รู้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง เพราะการลงมาประทับทรงของจิตวิญญาณนั้นมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ สัมภเวสี เจ้าพ่อเจ้าแม่ จนถึงเทพยดา เพราะเมื่อศึกษาไปก็ได้พบว่าโลกของเรานี้ไม่ได้มีเพียงแต่โลกที่มองเห็นด้วยตา แต่ยังมี “มิติทางโลกวิญญาณ” อยู่อีกหลายมิติเหลื่อมซ้อมกันอยู่ตามความหยาบละเอียดของจิตในสมาธิ หรือเรียกว่าอยู่กันคนละ “ความถี่” อย่างมนุษย์เราก็เป็น “ความถี่” หนึ่งในโลกวัตถุจึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นมิติของโลกวิญญาณได้ ขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่เป็นพวกสัมภเวสี ก็จะไม่สามารถรับรู้หรือเห็นดวงวิญญาณของเทพได้ เพราะอยู่กันคนละ “ความถี่” นั่นเอง
ใน “การประทับทรง” นั้นถ้าเป็นการทรงวิญญาณของมนุษย์ หรือดวงจิตที่เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก ผู้เป็นร่างทรงมักจะมีปฏิกิริยาดุจผู้ตายไปแล้วคือมีอากัปกิริยา และพูดจากภาษาเดียวกันกับคนผู้นั้น แต่ในกรณีที่เป็น “ดวงจิตของเทพ” เมื่อดวงจิตลงประทับร่างทรงแล้วมักมีอากัปกิริยาที่แปลกออกไป เช่น ร่ายรำ บ้างก็พูดออกมาเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ภาษาดังกล่าวมักเรียกกันในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หรือบรรดาร่างทรงว่า “ภาษาเทพ” เป็นภาษาเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับ “ภาษาพราหมณ์โบราณ” เคยสอบถามไปยังผู้รู้หลายท่านได้ความเกี่ยวกับเรื่อง “ภาษาเทพ” นี้ว่า จริงๆ แล้วเมื่อมนุษย์สามารถทำสมาธิไปได้ถึงระดับหนึ่ง เข้าสู่ภาวะ “องค์ฌาน” ในขั้น “ภาวะปีติ” โดยเฉพาะ “อุเพงคาปีติ” นั้นเป็นการง่ายที่บรรดาดวงจิตหรือวิญญาณ ทั้งหลายจะเข้ามาใช้ร่างของผู้ทำสมาธิคนนั้น แต่ดวงจิตหรือวิญญาณที่เข้ามาใช้ร่างนั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้วเสียทั้งหมด อาจจะเป็นสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อดวงจิต หรือวิญญาณมาใช้ร่างกาย สมมุติเดิมของดวงจิตนั้นๆ ยังคงอยู่และก็แสดงผ่านออกมาทางร่างกาย
ภาษา “กูโบ๊ส – กูต๊าบ”
ภาษาของพรหมใช้ คือ กูโบ๊ส ส่วนภาษาของวิญญาณในภพสัมภเวสี และวิญญาณชั้นต่ำใช้ คือ กูต๊าบ ในการติดต่อและกระทำพิธีกรรม
พวกพรหมชั้นสูงจะใช้ภาษา “กูโบ๊สขั้นสูง” เรียกว่า “ปุริสคาเบ๊ส” พรพรหมชั้นกลางใช้กูโบ๊สแบบ “รอเฟน” พวกพรหมชั้นต่ำและเทพชั้นสูงให้กูโบ๊สแบบ “มินกะเอน” ในการติดต่อสื่อสารและกระทำพิธี
พวกวิญญาณเทพชั้นกลางและเทพเจ้าโดยทั่วไป ใช้ภาษา “เช็คราวาตี” ในการติดต่อและกระทำพิธี
คัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ยุคดึกดำบรรพ์ใช้อักขระกูโบ๊สจารึกและปราชญ์ทางนิรุกติศาสตร์ลงความเห็นว่า “ภาษากูโบ๊ส คือ ต้นกำเนิดของอักขระเทวนาครีย์”
ในประเทศไทย ยังมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในภาษากูโบ๊ส – กูต๊าบ นั่นคือ ดร.พระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ) หลวงพ่อทองอยู่ไปศึกษาสันสกฤตระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมัทราส เมืองมัสราส รัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดียในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “ASHVAGHOSA’S WORK” (งานของท่านอัศวโฆษ) ท่านอัศวโฆษ นี่แหละคือเสาเอกของบวรพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยลูกศิษย์ท่านนามว่า นาคารชุน นำมาปฏิบัติและเผยแพร่ จนกลายเป็นนิกายที่สำคัญไป ซึ่งยึดเอา อวตังสกสูตร เป็นแม่บทของนิกาย คามแตกฉานอย่างกว้างไกลและลุ่มลึกในภาษาสันสกฤตของหลวงพ่อเจ้าคุณ เวทย์มนต์ทั้งหลายแหล่ที่ล่ำลึกและสูงส่ง ล้วนแต่กึกก้องในจิตวิญญาณ เนื่องจากท่านเรียนภาษาสันสกฤตอย่างแตกฉานได้ก็เพราะเรียนและศึกษาไปถึงต้นกำเนิดอักขระนาครีย์และอักขระกูโบ๊สตามลำดับ
ซึ่งเหล่าวิญญาณทั้งปวงล้วนแต่เกรงกลัวอักขระกูโบ๊สและกูต๊าบ นั่นทำให้พระพุทธมนต์ของหลวงพ่อทองอยู่จึงศักดิ์สิทธิ์และอาคมขลัง ก็เพราะท่านบรรจุมนต์ ทั้งอักขระกูต๊าบ ทั้งอักขระกูโบ๊สลงไปในน้ำดังกล่าวอย่างเต็มเปี่ยมและสมบูรณ์แบบ
จินต์จุฑา เรียบเรียง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เพจเฟซบุ๊ก : เทวะตำหนักวิษณุพรหม"ศรีสุริยันต์ จันทรา"เสด็จพ่อพระศิวะมหาเทพ และ หลวงพ่อเจ้าคุณพระศรีธีรพงศ์ ผู้มากด้วยบุญฤทธิ์จากอินเดีย ถึงสยามประเทศ ,นิตยาสารดวงเศรษฐี
-------------
ที่มา
http://www.tnews.co.th/contents/300123
“เทวดาพูดภาษาอะไร?” มาทำความรู้จัก ภาษา “กูโบ๊ส – กูต๊าบ” เทพยดาท่านใช้สื่อสารกัน
ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 5 กุมภาพันธ์ 2017.
-
-
เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์
กูโบ๊ส_กูต๊าบ. ฟังไม่สุภาพอะ.
เอาเป็นฉันโบ๊ส_ฉันต๊าบละกันนะ -
joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
ที่จริงกูโบ๊ตก็คืออักษรพราหมณ์มี ของอินเดียโบราณ นี่เองครับ ว่ากันว่ามีกำเนิดจากปากพระแม่สรัสวตี
-
ผมว่าน่าสื่อสารทางจิต พระอริยสงฆ์ที่ติดต่อเทวดาได้ ผมว่าท่านไม่รู้จักภาษที่กล่าวนะครับ
-
เห็นเจอทีไร ก็โดนด่าเป็นภาษาไทยทุกที ฮ่าๆ
-
กูโบ๊ส – กูต๊าบ เป็นยังไง ขออักษร คัมภีร์ที่เป็น กูโบ๊ส – กูต๊าบ มาโชว์หน่อย
และมีเสียงสวด กูโบ๊ส – กูต๊าบ มาให้ฟังหน่อย ยิ่งอ่านยิ่ง งง ???
-
ภาษากูโบ๊ส อยู่ในคริสตธรรมคัมภีร์มั้ย ของพระเยซูหรือเปล่า เหมือนเห็นนะ
-
ใช้ "ภาษาใจ" ไม่มีภาษาพูดหรอก ใจถึงใจ, ใจอ่านใจ รู้ความหมายกันเอง มันก็คล้ายกับเราอ่านหนังสือในใจนั่นแหละ ถึงไม่อ่านออกเสียงเราก็รู้และเข้าใจความหมายตามระดับภูมิชั้นและคลังความรู้ของเรา... ลองเทียบเคียงกับหลัก "เจโตปริยญาณ" ดูนะครับ ทำไมคนที่เขาได้ "เจโตปริยญาณ" จึงสามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้โดยที่ไม่ต้องพูดคุยกันหรือไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม...
-
เคยแต่คุยทางจิตนะ สื่อสารภาษาไทยนี่ล่ะ
-
น่าจะมีทั้ง 2 แบบนะครับ การใช้ภาษาเป็นคำพูดและแบบสื่อสารทางจิต เพราะบ่อยครั้งที่เทวดาทำการติดต่อกับมนุษย์บางทีมากระซิบข้างหู บางทีทำให้เรารู้สึกเข้าใจได้เองทางจิต
แต่เทวดาที่มักมากระซิบข้างหูใช้คำพูดกับเรา พวกนี้มักเป็นเทวดาที่อยู่ใกล้ชิดเราอาจเป็นเทวดาประจำตัวของเรา เทวดาที่อยู่ประจำบ้านเรือนของเรา ญาติของเราที่ล่วงลับไปแล้ว ครูอาจารย์ต่างๆ ส่วนเทวดาที่สื่อทางจิตมักเป็นเทวดาที่มาข้องเกี่ยวกับเราแบบเฉพาะกิจ ประมาณว่าเป็นขาจร ไม่ใช่ขาประจำ
ส่วนเรื่องภาษาคำพูดของเทวดาด้วยกันเองผมคิดว่าต้องมีใช้แน่นอน เพราะจากข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และองค์เทพเทวดาต่างๆ เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ , ที่มาของคาถาอุณหิสวิชัย , พระอินทร์จำแลงกายมาใส่บาตรหลังการเข้านิโรธสมาบัติของพระมหากัสสปะ จะพบว่าเทวดามีการพูดคุยสนทนาทั่วไป มีการปรึกษาปรับทุกข์ ขอความช่วยเหลือ การไปฟังธรรม สวรรค์แต่ละชั้นจะมีเทวดาผู้ปกครอง มีการเรียกประชุมหรือเรียกชุมนุมเหล่าเทวดา ยังไงก็ต้องมีการพูดคุยกันแน่นอนครับ
ถ้าเทวดาเขาจะพูดกับเรา เขาก็ใช้ภาษาของมนุษย์ ถ้าระหว่างเทวดาด้วยกันเองก็อีกภาษานึงก็แค่นั้นแหละครับ เรื่องภาษาเทวดาไม่ต้องเรียน ได้เป็นเทวดาเมื่อไหร่ก็พูดได้เอง เข้าใจโดยอัตโนมัติ มีด้วยหรือเทวดาต้องไปนั่งเข้าชั้นเรียนเพื่อเรียนภาษาอะครับ ตลกแล้วละ -
.....(แค่นึกขำ ๆ เท่านั้นครับ)....เวลาเทวดาต่างชาติมาเจอกันแต่ละครั้ง สงสัยคงต้องวิ่งหา "เทวดาล่าม" กันวุ่นวาย เพื่อมาช่วยแปลภาษาให้ ยิ่งถ้าเป็นเทวดาคนละ galaxy มาเจอกัน โอ๋ย บ่ออยากสิเว้า มันคงจะวุ่นวายขนาดไหนหนอ ?... โฮ๊ะ ๆ ๆ เรื่องของเทวดา หมานุษย์ไม่เกี่ยว...
-
joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
กูโบ๊ตหรือกูต๊าบเป็นชื่อเรียกที่ร่างทรงใช้ แต่เอาเข้าจริงรูปแบบการเขียนเป็นอะกษรพราหมี เทวนาครีอ่ะคนับ อย่างพระของครูบากฤษณะท่านจะจารเป็นอักษรเทวนาครี คนอ่านไม่ออกก็ว่าครูท่านเขียนภาษาเทพ ที่จริงท่านลง ฤฤา ฦฦาในตัวเทวนาครี เมื่อบ้านเราไม่มีอักษรเทวนาครีรู้ไม่กี่คนด็เลยทึกทถกเอาว่าเป็นภาษาเทพ หลวงพ่อทองอยู่ท่านคงลงเป็นเทวนาครีเลยเรียกว่าลงกูโบ๊ต
-
joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
ทีนี้ที่หลวงพ่อทองอยู่ท่านทำวิจัยอัศวโฆษ ต้องบอกก่อนว่าอัศวโฆษไม่ใช่อาจารย์นาคารชุน นาคารชุนเป็นนักคิดและวางระบบมหายานเรื่องสุญญตา คล้ายท่านพุทธทาส ส่วนอัศวโฆษ นิพนธ์พุทธจริตที่เป็นต้นฉบับปฐมสมโพธิของเถรวาท กับเสานันทโศก เรื่องราวของพระเจ้าอโศก(ตอนนี้เป็นซีรี่ย์) น่าจะคล้ายกรมพระปรมานุชิตชิโนรสของเถรวาท ทีนี้ตามบทความบอกว่าหลวงพ่อทองอยู่ท่านอ่านงานเขียนอัศวโฆษ ก็ต้องใช้ตัวอักษรสิทธัม เป็นอักษรของแคว้นกันยากุพชะที่อัศวโฆษเกิด เป็นอักษรที่มหายานใช้เขียนพระสูตรพระธรรมบทดังที่ผมจะขยายแบบนี้ พวกร่างทรงแปลไม่ออกก็คงว่าเป็นภาษาเทพนั่นเอง
-
joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
นอกจากนี้มีอักษรที่เรียกว่าลัญชนาเป็นแบบอักษรสัญลักษณ์ตัวเดียวอาจแทนองค์เทพพระโพธิสัตว์ได้หมดเลยดังภาพ ตัวสีเขียวที่คล้ายเลขสามมีหางมีจุดมีอุณาโลม ในมหายานเรียกตัวหฤธี แทนองค์พระอมิตาภพุทธเจ้า ส่วนสีแดง เป็นตัว วัม แทน สมเด็จพระอาทิพุทธเจ้า(สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม) สีเขียวที่คล้ายล.ลิงคือลิกะ แทนพระแม่ลักษมีเทวีแห่งโชคลาภในมหายานเป็นน้องสาวกุเวรประทานทรัพย์เพื่อพุทธศาสนิกชน ส่วนตัวสีแดงข้างบนสามตัว อ่านว่า งัน ยา ฮง แทนหัวใจพระไตรปิฎก ถ้าคนไม่ทราบก็ว่าภาษาเทพจริงๆๆเป็นอักษรโบราณที่เราไม่คุ้นกันแต่ฝ่ายมหายานยังใช้อยู่ครับ
-
joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
ส่วนแบบนี้ตัวอักษรรอบนอกวงกลมสีเขียวถ้าใครเห็นอาจเรียกภาษาธิเบต แต่เราเรียกชื่ออีกอย่างวาาอักษรอุชเชนซึ่งว่ากันว่าเกี่ยวข่องกับอักษรอุชเชนีของแคว้นอุชเชนี ในภาพผมเขียนเป็นวงกลมซ้อนสองวน หฤธีอยู่ใน วงกลมใหญ่จารด้วยสิทธัมเป็นมนตราแสงสว่าง(แห่งปัญญา)รอบนอกจารด้วยตัวอุชเชนเป็นหัวใจพระศากยมุนีพุทธเจ้า คือ โอม มุนี มุนี มหามุนี ศากยะมุนี เย สวาหะ และ โอม มณี ปทเม ฮุม
-
เทพนั่นๆนี่ๆที่เคยอยู่อินเดียมาก่อน ปัจจุบันข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เมืองไทยกันหมดแล้ว ลองสังเกตดู :)
สภาพแวดล้อมคล้ายๆก่อนที่พระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นจากอินเดีย