“เรียนรู้ทุกข์ เพื่ออยู่กับสุข”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย JitAsura, 21 พฤศจิกายน 2012.

  1. JitAsura

    JitAsura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +178
    [​IMG]

    “เรียนรู้ทุกข์ เพื่ออยู่กับสุข”

    --- ในครั้งที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องของวิธีสร้างความสุขและขอสิ่งที่เราต้องการในชีวิตด้วยการ “อธิษฐาน” หลังทำบุญ กันไปแล้ว ครั้งนี้เหมือนเป็นตอนที่ 2 ของวิธีสร้างความสุขและวิธีดึงดูดสิ่งที่เราต้องการในชีวิต ด้วย “พลังแห่งสุข”

    ---- แต่ทั้งนี้เราต้องเข้าใจเรื่องของความทุกข์เสียก่อน เพราะเมื่อคุณรู้จักความทุกข์แล้ว คุณจะเข้าใจความสุขที่แท้จริง เพราะในพุทธศาสนานั้น ว่าด้วยเรื่อง “อริยสัจ 4” คือ “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ตัวแรกก็ทุกข์แล้วครับ ม
    นุษย์เป็นภูมิที่เหมาะที่สุดในการเข้าถึงซึ่งมรรคผลหรือความสุขที่แท้จริง เพราะภูมิมนุษย์นั้น ไม่ทุกข์จนเกินไป และไม่สุขจนเกินไป ดังนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงต้องอุบัติและสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณในภพภูมิของมนุษย์เท่านั้น หากไปอธิบายเรื่องทุกข์ให้เทวดาฟัง เทวดาส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ ว่าทุกข์เป็นเช่นไร จะสังเกตในตอนที่ พระพุทธองค์ทรงไปจำพรรษาที่ สวรรค์ชั้น “ดาวดึงส์” 1 พรรษา เทวดาที่มาฟังธรรม มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่บรรลุเป็น “เทวดาโสดาบัน” เพราะถ้าไม่เข้าใจ “ทุกข์” แล้ว สมุทัย นิโรธ มรรค ก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้ายิ่งเป็นภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์อย่างเช่น ในอบายภูมิทั้ง 4 เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, สัตว์นรก แล้ว อันนี้ไม่ต้องพูดถึงธรรมกันเลย เพราะทุกข์เกินไป ไม่มีเวลาหรือสติมาพิจารณาธรรม

    --- ทุกข์ หรือ ทุกขัง แปลว่า สภาวะที่ทนอยู่ได้ยาก ความทุกข์มีด้วยกัน 2 แบบ คือ 1. “ทุกข์ประจำ” ได้แก่ ทุกข์จากความแก่ ทุกข์จากความตาย และ 2 .“ทุกข์จร” ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อรำพัน ความไม่สบายใจ ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ความพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวังไม่ได้ตามที่ต้องการ

    --- ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่กรรมที่แต่ละคนทำมา โดยส่วนใหญ่คนในปัจจุบันจะคิดไปเองว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเงิน เพราะงาน เพราะการเรียน เพราะ ลูก สามี ภรรยา รถ บ้าน สุขภาพ ฯลฯ นั่นทำให้เราแก้ปัญหาผิดจุด บางคนแก้ปัญหาผิดวิธีไปเลย อันนี้ยิ่งทำให้เกิดทุกข์หนักขึ้นไปอีก อย่างเช่นเครียดเพราะงาน ก็ไปกินเหล้า พอเมาก็เอารถไปชน เสียเงินเสียทองอีก นี่ยังไม่พูดถึงชีวิตตัวเองและผู้อื่น หรือ ทุกข์เพราะปัญหาเศรษฐกิจ ก็ไปกู้เงินเค้ามา ทำให้ทุกข์ไปกันใหญ่ หากใครเป็นหนี้หรือเคยเป็นหนี้ จะเข้าใจความทุกข์นี้ได้ดี ในความเป็นจริงแล้ว เราคิดไปกันว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกข์ของเราไม่ได้เกิดที่สิ่งเหล่านี้ แต่ทุกข์เกิดขึ้นที่ “ใจ” ต่างหาก ฉะนั้นแล้ว เราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

    --- วิธีดับทุกที่ใจมี 2 วิธีหลักๆ คือ 1. “ปฏิบัติสมถะกรรมฐาน” เป็นการหนีทุกข์ชั่วคราว เมื่ออารมณ์ตั้งมั่น 2. “ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน” เป็นการหนีทุกข์โดยถาวร หากปฏิบัติจนเข้าใจเหตุแห่งทุกข์อย่างเช่นพระโสดาบัน ความทุกข์ของพระโสดาบันเมื่อเปรียบเทียบกับปุถุชนธรรมดาแล้ว เพราะพุทธเจ้าเปรียบว่า “ทุกข์ของปุถุชนธรรมดาเทียบเท่าภูเขา แต่ทุกข์ของพระโสดาบันเปรียบกับเศษดินที่ติดเล็บเท่านั้น”

    --- “ความทุกข์ ความสุข และความไม่ทุกข์ไม่สุข” เป็นขันธ์ๆหนึ่งของเวไนยสัตว์ในวัฏสงสาร เรียกว่า “เวทนา” วิธีแก้ไขทุกข์หรือเวทนานั้น เรียกว่า “เวทนานุปัสสนา กรรมฐาน” ซึ่งเป็น “วิปัสสนากรรมฐาน” ฐานหนึ่ง วิธีการปฏิบัติมีดังนี้ ให้ท่าน ปฏิบัติสมถะกรรมฐาน ด้วยกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ให้ถึง “อุปจารสมาธิ” คือสมาธิระกับกลาง อุปจารสมาธิ นี้ ยังไม่เข้าถึง ณาน หรือ “อัปปนาสมาธิ” เพราะ อุปจารสมาธิ นั้นจิตยังคิดได้ พิจารณาได้ พูดง่ายๆนั่นคือ จิตมีปัญญานั่นเอง ส่วน ณาน หรือ อัปปนาสมาธิ นั้น จิตจะไม่มีปัญญาและจะสุขเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจสิ่งอื่น สมาธิระดับนี้จึงไม่เหมาะในการเจริญวิปัสสนา เมื่อท่านเข้าถึงกำลังสมาธิระดับ อุปจารสมาธิ แล้ว ให้ท่านเริ่มพิจารณาความทุกข์ที่ผ่านๆมาของท่าน ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ใจหรือทุกกาย และพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของมัน เดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ดับ ให้พิจารณาเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเกิดความเบื่อหน่าย และเห็นว่า เวทนานี้ เกิดดับ บังคับไม่ได้ เมื่อบังคับไม่ได้ ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่อาการหนึ่งของจิตที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเท่านั้น ดั่งพระพุทธะตรัสไว้ว่า “เวทนาคือ ทุกข์ เวทนาคือสุข เวทนาคือความไม่ทุกข์ไม่สุข เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงย่อมเป็นทุกข์ เมื่อเห็นว่าเป็นทุกข์ จิตจะเบื่อหน่าย และปล่อยวางในที่สุด เมื่อปล่อยวาง จิตย่อมหลุดพ้นจากเวทนานั้น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา” ให้ท่านปฏิบัติอย่างนี้ให้บ่อย สม่ำเสมอ ระดับจิตของท่านจะยกขึ้นจนอยู่เหนือ ทุกข์ เหนือสุข เมื่อนั้นกิเลสในใจที่เกาะกินมานับภพชาติไม่ถ้วนก็จะค่อยๆลอกออกทีละน้อย จนจิตเข้าสู่อริยมรรค เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึง อรหันต์ หลุดพ้นเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด ซึ่งการเป็นโสดาบันหรืออริยะขั้นอื่นๆนั้น อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องของพระสงฆ์เพียงอย่างเดียว เพราะในปัจจุบัน ฆราวาสหลายๆท่านไม่น้อยเลยทีเดียว ที่เป็น โสดาบัน (โสดาบันคือผู้ไม่ต้องเกิดในอบายภูมิอีกแล้ว และจะเกิดอีกอย่างมาก 7 ชาติ จึงจะเข้าพระนิพพาน) ให้ท่านทำเช่นนี้บ่อยๆ สม่ำเสอม ทำที่บ้านก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดก็ได้ ถ้าท่านไม่สะดวก จากนั้นท่านจะเข้าถึงความสุขอย่างไม่มีผู้ใดเปรียบปาน แต่หากปฏิบัติแล้ว ท่านก็ไม่ได้เข้าถึงอริยมรรค ท่านจะมีสุขได้หรือไม่ ผมขอบอกท่านว่า ถึงแม้ท่านไม่เข้าถึงอริยมรรค แต่ท่านก็จะมีความสุขมากกว่าปุถุชนทั่วไปอย่างแน่นอน

    --- อ้าว!!! แล้ว ถ้าแก้ที่ใจแล้ว แล้วสิ่งรอบข้างที่มันมีปัญหาอยู่จะแก้เช่นไร???? หัวข้อนี้แหละครับ ที่เป็นหัวใจหลักของ Post วันนี้ ซึ่งผมจะอธิบายว่า เราจะดึงดูดสิ่งดีงามเข้ามาในชีวิตเราได้อย่างไร??? ในพุทธศาสนา มีหัวใจสำคัญอยู่ว่า “ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้เบิกบาน” สิ่งสำคัญคือ “การทำจิตใจให้เบิกบาน” อยู่เสอมๆ หากเราคิดถึงสิ่งดีๆอยู่ตลอด สิ่งดีๆก็จะเข้ามาสู่ตัวเรื่อยๆ แต่หากคิดว่า ชิวิตเรามีความทุกข์เหลือเกิน นั่นแหละครับ สิ่งที่ไม่ดีก็จะมาประดังชีวิตเราอย่างไม่สิ้นสุด เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ ถ้าท่านลองคิดว่า “วันนี้ซวยจริงๆเลย” นั่นแหละครับ วันนั้นทั้งวันคุณก็จะเจอแต่เรื่องซวยๆ สังเกตนะครับ สังเกตในสังคมของเรา ท่านจะเห็นได้ว่า คนที่คิดอะไรบวกๆอยู่เสอม ชีวิตก็จะดี ครอบครัวก็ดีและร่ำรวย ส่วนคนที่อยู่กับแต่ความทุกข์ คิดว่าทำไมชีวิตเรามันทุกข์อย่างนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นคนยากจน คนป่วย คนทุกข์ยากทั้งสิ้น จริงๆแล้ว เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมา มันมาจากความคิดเรานี่เอง เพราะเมื่อจิตใจเราอ่อนแอ เจ้ากรรมนายเวร จะได้ช่อง และผลของกรรมชั่วที่ท่านเคยทำไว้จะส่งผลมาก่อน แต่หากใจเรามีความเบิกบาน กรรมเก่าทั้งหลายก็เข้ามาได้ยาก พระพุทธองค์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะจิตของเราในตอนนั้นๆ สามารถกำหนดภพภูมิ ที่เราจะไปอยู่ได้เลย หากเราสิ้นชีวิตในตอนนั้น อย่างเช่น ปกติแล้วคุณเป็นคนดี ทำแต่ความดี แต่บังเอิญจิตก่อนตาย ท่านกำลังโกรธใครซักคน นั่นจะทำให้ท่านลงนรกไปทันที หลังจากตาย ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “นิมิตสุดท้าย” นั่นเอง ดังนั้น หากท่านอยากมีชีวิตที่ดีและเป็นสุข พบเจอแต่สิ่งดีๆในชีวิต ขอให้ท่านทั้งหลาย ทำใจให้เบิกบาน แจ่มใส อยู่ตลอดเวลา

    --- เรื่องพลังของความคิดนี้ ผมเคยอ่านหนังสือ ที่ฝรั่งเค้าเขียนกันเรื่อง “The Secret” ที่วางขายตามร้านหนังสือ รู้สึกจะขายดิบขายดีเอามากๆ ซึ่งเราจะพบว่า ฝรั่งเองพึ่งค้นพบเรื่องนี้มาไม่กี่ปีนี้เอง แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาแล้ว เกือบ 2600 ปี ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก เพียงแต่ชาวพุทธส่วนมากแล้ว มิได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทำให้เราพลาดโอกาสงามๆในชีวิตไป และนี่เอง เรียกว่า “พลังแห่งสุข” เมื่อท่านอ่านเรื่องนี้จบ ผมขอให้ท่านจงนำไปใช้และขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในชีวิตในทุกๆด้าน ทุกๆประการ ด้วยเทอญ อนุโมทนา สาธุ...

    --- จิตอสุรา ---

    ติดตามหัวข้อธรรมะบรรยายของ "จิตอสุรา" ได้ดังนี้
    การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  2. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ "อริยสัจ 4" เพื่อใช้ในการดับทุกข์ และที่สำคัญ พระพุทธองค์ ก็ทรงไม่ให้ยึดติดกับ ความสุข เพราะนั่นคือ กับดักแห่งความทุกข์
     
  3. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ภาวนาว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิด และทุกข์เท่านั้นที่ดับ----->อรหันต์ อยู่ในปางโสดานะเนี่ย ยังโปรดตัวเองไปด้วย...นะ
     
  4. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เคยได้ยินมาว่าการพูดจาก็บอกความเป็นพระอริยะได้ด้วยเหมือนกัน การเรียบเรียงคำพูด ท่านที่ท่านบรรลุภาษาที่สื่อสารท่านปกติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...