“ พระให้หวย ” เป็นพฤติกรรมที่สมควรแล้วหรือ?

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย Amatayan, 14 ธันวาคม 2012.

  1. fon-dekwat

    fon-dekwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +1,285
    คืนวันนั้นเป็นวันเพ็ญวิสาขะปุรณมี (ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม) พระจันทร์เต็มดวง เวลาก็ล่วงมัชฌิมยามไปแล้ว พระบรมศาสดาบรรทมเหยียดพระกายในท่าสีหไสยาสน์ทรงระโหยโรยแรงยิ่งนัก แต่ก็ฝืนพระทัย ดำรงสติมั่น สั่งสอนให้โอวาทพระภิกษุสงฆ์สาวกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จปรินิพพานดังนี้

    "อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว พวกเธอทั้งหลายอาจคิดไปว่า บัดนี้ไม่มีพระศาสดาแล้ว อาจรู้สึกว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง พวกเธอจงอย่าคิดอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมวินัยเหล่านั้น จักเป็นองค์ศาสดาของพวกเธอทั้งหลายแทนเราต่อไป"

    "อีกเรื่องหนึ่ง คือพระฉันนะ เธอดื้อดึง มีทิฐิมานะมาก ไม่ยอมเชื่อฟังอ่อนน้อมใคร เพราะถือว่า เป็นอำมาตย์ ราชบริพารเก่าแก่ของเรา เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ขอให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คือเธอจะทำ จะพูด สิ่งใด หรือประสงค์จะอยู่อย่างไร ก็ปล่อยเธอตามสบาย สงฆ์ไม่ควรว่ากล่าวตักเตือน ไม่ควรพร่ำสอนเลย เธอจะรู้สึกตัวเองในทีหลัง"

    "อีกเรื่องหนึ่งคือ สิกขาบทบัญญัติที่เราได้บัญญัติไว้ เพื่อภิกษุทั้งหลาย จะได้อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก ไม่กินแหนงแคลงใจกัน มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สิกขาบทบัญญัติเหล่านั้น มีอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเราล่วงลับ ไปแล้ว สงฆ์พร้อมใจกันจะถอนสิกขาบทเล็กน้อย ซึ่งขัดกับกาลสมัยเสียบ้างก็ได้ จะเป็นความลำบากในการปฏิบัติ สิกขาบทที่ไม่เหมาะสมัยเช่นนั้น เราอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้"

    "ภิกษุรูปใดมีความเคลือบแคลงเห็นแย้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรคในข้อปฏิบัติใดๆ ก็ดี จงถามเสีย อย่าเป็นผู้เดือดร้อนในภายหลังว่า เราอยู่เฉพาะหน้าพระศาสดาแล้ว ไม่กล้าถามในที่เฉพาะหน้า"

    ปรากฏว่าไม่มีภิกษุรูปใดทูลถาม ลอดเวลาที่ทรงเตือนซ้ำจนครบสามครั้ง ทุกองค์นั่งเงียบกริบ ในบริเวณป่าต้นสาละแห่งนี้ สงบเงียบไม่มีเสียงใดๆ เลย แม้จะมีพุทธบริษัทประชุมกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม พระกำลังของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ในที่สุดทรงตรัสปัจฉิมวาจาครั้งสุดท้ายว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราจักเตือนเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่เป็นวาจาครั้งสุดท้ายของตถาคต"
     
  2. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ขอพระสัทธรรมของพระพุทธองค์จะตั้งอยู่นาน ๕,๐๐๐ ปี ขอพระผู้มีจริยวัตรอันงดงาม จงเป็นผู้มีความเต็มเปี่ยม ถึงสุขอันไพบูลย์ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. kitkun

    kitkun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +579


    สาธุ....ก็น่าจะหมายรวมได้ว่า
    ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ
    ถูกใจอาจไม่ถูกกฎหมาย...ประมาณนี้กระมัง ก็คงขึ้นอยู่กับจิตที่สำนึกได้นั่นเองว่า จะมีหิริฯมากหรือน้อย
    อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เห็นโต้แย้งกันมานา ขอยกเรื่องเล่าของพระอริยะสงฆืที่ให้หวยสักหน่อย
    หลวงพ่อเขียนให้หวย
    [​IMG]
    จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม 1

    โดย

    พระราชพรหมญาณ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี



    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 มีโอกาสมาคุยกับท่านผู้ฟังตามปกติ บางวันก็ไม่ได้มาเพราะว่ามีธุระ วันไหนมีธุระมากก็ไม่ได้มา ถ้ามีธุระน้อย พอจะปลีกเวลามาได้ก็มา ประกอบด้วยร่างกายก็ไม่ค่อยดี ก็ช่างมันเถอะ

    วันนี้มาคุยกันถึงเรื่องให้หวยต่อไป เพราะว่าเมื่อวันก่อนได้คุยถึงหลวงพ่อจงให้หวย วันนี้ก็มาคุยถึงหลวงพ่อเขียนให้หวยบ้าง เรื่องของการบอกเลขหวยนี้ ความรู้ทางพระพุทธศาสนามี แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทส่วนใหญ่มักจะพูดและคิดกัน ว่าพระรู้หวยเองแล้วทำไมไม่เล่นเสียเองล่ะ เล่นเสียเองให้มันรวย เอาเงินมาสร้างวัดให้มันสวยไม่ดีรึ ความจริงก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ทว่ากฎของพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า พระที่จะมีฌานพิเศษได้ต้องตัดจากความโลภความโกรธ ความหลง นี่เรียกว่าต้องไมคบกิเลส จึงจะมีญาณพิเศษเป็นเครื่องรู้ได้ ถ้าหากว่าจิตยังมั่วสุมอยู่ในความโลภความโกรธความหลง ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ตานี้ เมื่อรู้แล้วจิตไม่มีความโลภจะไปเล่นได้ยังไงหวย จะไปหวังประโยชน์ในทางความร่ำรวยในการถูกหวยรวยโป มันจะมีประโยชน์อะไรกับพระ

    แล้วทีนี้ท่านทั้งหลายก็สงสัยว่าพระไม่โลภแล้วทำไมจึงให้หวยชาวบ้าน แต่ความจริงพระที่จะให้ หากว่าพระองค์นั้นเป็นพระรู้จริง ก็ต้องรู้บุญญาธิการของบุคคลที่จะรับ หมายความว่ารับเลขนะ ที่จะถูกหวยได้หรือไม่ถูก ถ้าเขามีบุญพอที่จะถูกหวยได้จึงจะให้ ถ้าหากว่าเขาไม่มีบุญพอที่จะถูกหวยได้ เมื่อเขาขอก็บอกได้เหมือนกัน แต่บอกไม่ตรงให้เอาไปคิดเอา ถ้าหากว่าเขามีบุญ มีลาภอยู่บ้างเขาก็จะได้ ไม่มากนัก ถ้าหากว่าเขาไม่มีลาภ ไม่มีบุญ ถ้าลาภสักการ คือบุญเก่าไม่ส่ง เขาก็คิดไม่ถูก นี่เป็นเรื่องของเขา นี่ฟังกันไว้ เพียงแค่นี้นะ รู้ไว้แต่เพียงย่อๆ ว่าพระที่รู้หวยได้จริงๆ น่ะ ท่านเล่นไม่ได้ เพราะว่าการเล่นถือว่าเป็นการปล้นชาวบ้าน ถ้าเล่นแล้วญาณพิเศษจะเสื่อม แต่ว่าจะบอกคนให้ถูกหวยได้ก็ต้องรู้ว่าคนนั้นมีลาภหรือไม่มีลาภ คือบุญญาธิการที่สร้างไว้สมควรจะได้รับหรือยังด้วยหลักญาณพิเศษ เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในไสยศาสตร์ที่เรียกกันว่าทำน้ำมนต์ ดูดอกเทียน อย่างนี้ก็เป็นสัพเพสัตตาเหมือนกัน แต่หลักพิเศษมีอยู่อย่างหนึ่ง การรู้หวยของพระ ถ้าขอตัวเดียวพระที่รู้ญาณพิเศษบอกได้เสมอ เรียกว่าบอกได้ไม่จำกัด ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป ต้องมีกำหนดเวลา และต้องรู้ลาภของบุคคลที่จะพึงได้ ถ้าหากว่าบุคคลนั้นมีลาภบอกไม่ได้ รู้กันไว้เท่านี้นะ

    เอาละเข้าใจว่าบรรดาผู้ฟังคงจะพอเข้าใจบ้าง แล้วก็คงเข้าใจไม่มากนักแต่ก็ไม่อยากจะให้เข้าในมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องของคนที่จะต้องคิด จะพูดเท่าไรก็ตาม ถ้าคนคิดว่าจะไม่เชื่อ ก็แล้วไป พูดเท่าไรก็ไม่เชื่อ คนที่เชื่อมีเหตุมีผล พูดแต่เพียงนิดเดียว ไม่ต้องพูดมากอย่างนี้ก็เข้าใจ เป็นอันว่าเรื่องนี้ขอผ่านไป มาพูดกันต่อไปถึงเลขหวย
    หลวงพ่อเขียนรู้เลขหวย หลวงพ่อเขียนนี่อยู่วัดสำนักอะไร ขุนเณร อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ในปี พ.ศ. 2494 ปีนั้น ดูเหมือนว่าเลขท้าย 3 ตัว เลขท้าย 2 ตัว พึ่งจะระบาดมาในกรุงเทพฯ หรือว่าระบาดมานานเท่าไรแล้วก็ไม่ทราบ แต่ว่าอาตมาผู้พูด พึ่งจะรู้ข่าว คือว่าเอาเรือยนต์ไปจอดที่ประตูน้ำเจ้าเจ็ด เห็นเขาพูดกันถึงเลขท้าย 3 ตัว ของรางวัลที่ 1 ถามพวกภรรยาของพวกทำงานที่ประตูน้ำ เขาบอกว่าเขาไปซื้อเลขท้าย 3 ตัว รางวัลที่ 1 ก็เลยบอกว่ารางวัลที่ 1 มีเลข 6 ตัว แล้วคุณจะซื้อยังไงได้ 3 ตัว เขาก็บอกว่า เขียน มีเจ้ามือ เขารับ แล้วเขาจ่าย บาทละ 600 ไอ้นี่ก็น่าคิด แล้วเขาก็บอกว่าเขาไปขอหวยกับพระที่วัดสะแกในเขตอำเภอป่าโมกจังหวัดอ่างทอง ก็สงสัยว่าพระท่านให้หวยได้ยังไง

    พอกลับมาถึงวัด 2 - 3 วัน ก็รวบรวมคนได้ 3 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนต์ส่วนตัว ความจริงเรือยนต์ส่วนตัวนี้ชาวบ้านเขาสร้างให้ ไม่ได้สร้างเอง เขาสร้างไว้ให้ใช้เพราะเกี่ยวกับงานก่อสร้าง ดูแลงานก่อสร้างถ้าจะจ้างเรือจ้างไป มันไม่ทันเวลา ไปตามวัดต่างๆ คราวนั้นลงทุนประมาณ 3 - 4 เดือนไปขอหวยพระ บอกว่าไม่เล่น แต่ขอให้ท่านบอกเลขตรงๆ ที่หลายวัด ไม่เห็นตรงสักวัด บางวัดเลข 3 ตัว แต่ให้มาถึง 9 ตัว 3 แถว 3 ตัว 3 แถว มันก็ 9 ตัว บางวัดให้มาแถวเดียว 3 ตัว แต่ไม่ตรง ไอ้ 9 ตัวนี่ ตรงแน่ แต่บังเอิญเลข 0 ก็ขาดไปเสียอีก มันเป็นยังงั้น หาพระที่รู้หวยจริงๆ ไม่ได้ ก็เดินทางมาถึงอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ได้ยินเขาลือกันว่า หลวงพ่อเขียน วัดบางขุนเณร อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ท่านรู้ห้วยได้จริง ก็เลยพากันขึ้นรถ คราวนี้ทิ้งเรือแล้ว เอาเรือฝากเขาไว้ เดินทางไปอำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตรา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ทาง ไม่เคยไปสักที

    พอลงที่อำเภอบางมูลนาก ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อรับจ้างไปส่งถึงวัดของหลวงพ่อเขียน การไปคราวนั้นไปด้วยกัน 3 คน มีฆราวาส 2 คน แล้วก็พระ คือ อาตมาองค์หนึ่ง วันนั้นเป็นวันหวยออกพอดี มีวิทยุกระเป๋าหิ้วชนิดแบตเตอรี่ก้อนเบ้อเร่ออยู่ 1 เครื่องถือไปด้วย หวังจะไปลองดีท่าน หมายความว่าอยากจะรู้ตามความเป็นจริงว่าท่านจะจริงหรือไม่จริง

    ในขณะที่ไปถึง ปรากฏว่ามีคนนั่งล้อมหลวงพ่อเขียนอยู่ประมาณสัก 200 คน พวกนี้มาขอหวยทั้งนั้น เป็นเวลาบ่ายประมาณสัก 4 โมงเศษๆ เวลานั้นหวยออกเวลา 5 โมงเย็น พอขึ้นไปพ้นบันได หลวงพ่อเขียนมองมาท่านก็พูดดังๆ ท่านบอกว่า

    วันนี้คนดีๆ เขามาหาเราน่อ เขาจะลองดีเราน่อ แต่ว่าเราก็มีดีอวดเขาน่อ ท่านใช้คำลงท้ายว่าน่อ

    เข้าไปถึงก็กราบท่าน ท่านถามว่า “มาธุระอะไร”

    ก็กราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อทราบแล้วใช่ไหม”

    ท่านบอกว่า “รู้”

    เมื่อบอกว่ารู้ ก็บอกว่า “มาตามนั้นแหละขอรับ หลวงพ่อ กระผมอยากจะรู้นักว่าพระน่ะ รู้หวยได้ยังไง”

    ท่านก็มองหน้าบอกว่า “คุณ อตีตังสญาณที่มาจากทิพยจักขุญาณสามารถให้รู้ได้ ถ้าเรามีจิตไม่โลภเสียอย่างเดียว แล้วมีสัจจะว่าเราจะไม่บอกใครตรงๆ เว้นไว้แต่คนนั้นเขาจะมีลาภ”

    พอท่านพูดขึ้นมาเท่านี้ก็เข้าใจ ความจริงพระองค์อื่นไม่เห็นพูดแบบนี้ มีหลวงพ่อเขียนองค์เดียว สมัยนั้น เรียกว่ามีเป็นองค์แรกที่รู้ว่ามีหวย ให้หวยกันได้ แล้วก็ต้องอาศัยอตีตังสญาณ หรือว่าอนาคตังสญาณ อตีตังสญาณหมายความว่าตรวจลาภของคนที่จะมารับเลขว่าเลขที่เขานำไปจะไปหาเงินนี่น่ะ เขามีบุญญาธิการพอหรือเปล่า แล้วต่อมาถ้าหวยมันยังไม่ออก ก็ใช้อนาคตังสญาณว่าเลขที่มันจะออกข้างหน้า นี่มันเป็นเลขอะไร อย่างนี้ของท่านตรงดี ฟังแล้วก็เลื่อมใส คุยกันไปได้ครู่หนึ่งเวลาก็ใกล้หวยจะออก ท่านถามว่า

    “จะเอาเลขหรือยังล่ะ”

    บอก “เอาขอรับ”

    ท่านถามว่า “จะเอารางวัลที่เท่าไหร่”

    ก็เลยกราบเรียนว่า ไรางวัลที่ 1ไ

    ถามว่า “กี่ตัว”

    กราบเรียนท่านว่าเอา “3 ตัว”

    ท่านบอกว่า “รางวัลที่ 1 มันมี 6 ตัว คุณเอา 3 ตัวมันก็ไม่ครบ”

    ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “ถ้ายังงั้นขอ 6 ตัว เลยขอรับ”

    ท่านก็หันหลังไปแล้วก็เขียน เขียนเลข 6 ตัว แล้วท่านก็ถามว่า

    “เลขท้าย 3 ตัวหมุน 4 ครั้งเอาไหม”

    ก็กราบเรียนท่านว่า “ถ้าให้ได้ก็ดีขอรับ”

    ท่านก็เขียนท้าย 3 ตัวหมุน 4 ครั้ง เขียนมาให้ 4 ชุด ในที่สุดท่านก็บอกว่า

    “แถมเลขท้าย 2 ตัวให้อีกชุดหนึ่ง”

    แล้วท่านก็ถือเลขไว้ ยังไม่กางออกมา ท่านถามชาวบ้านบอกว่า

    “เวลานี้เล่นทันไหม”

    ชาวบ้านบอกว่า “ใกล้แล้วขอรับ เจ้ามือเขาไม่รับซื้อ”

    ท่านก็เลยประกาศว่า

    “คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดนะ ใครจะลุกไปที่อื่นไม่ได้ ถ้าลุกไปตาแตก”

    เพียงเท่านี้ชาวบ้านก็นั่งนิ่งเพราะเกรงวาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

    พอใกล้หวยจะออก ท่านก็ถามว่า

    “มีวิทยุมาไม่ใช่หรือ”

    ก็กราบเรียนท่านว่า “มีมาขอรับ”

    ท่านก็เอาแผ่นกระดาษวางลง กางเลขให้ดูว่า นี่รางวัลที่ 1 นี่เลขท้าย 3 ตัว 4 ครั้ง นี่เลขท้าย 2 ตัว พอล๊อตเตอรี่ออก ปรากฏว่าเลขของท่านตรงเป๋งไม่ต้องกลับตัว ไมมีพลาดเลย เมื่อเห็นจริงแบบนั้นก็กราบขอขมาท่าน เพราะเกรงว่าจะเป็นโทษ ท่านก็บอก

    “ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่มีโทษ คนต้องการความจริงแบบนี้ฉันต้องการ แล้วเธอก็ไม่เล่นหวยใช่ไหม”

    ก็กราบเรียนท่านว่า “ขอหลวงพ่อตรวจดูซีขอรับว่าผมเล่นไหม”

    ท่านบอก “รู้แล้วไม่เล่น เป็นคนไม่โลภ ฉันจะเขียนให้ไปดูเล่นสัก 20 งวดข้างหน้า แล้วก็ถ้าเธออยากรวยละ งวดที่ 21 มาเอาจากฉันนะฉันจะให้”

    แล้วท่านก็เขียนอย่างไม่ต้องคิด หยิบกระดาษมาได้ก็เขียนเลย เขียนๆๆ มาให้ก็พับส่งมาให้ บอกใส่กระเป๋าเสีย ประเดี๋ยวไอ้ 2 คนมันจะขอดู ท่านก็หันไปทาง 2 คนที่ไปด้วย บอก

    “เอ็งอย่าดูของเขานะ เอ็งดูเมื่อไรตาแตกเมื่อนั้น”

    เอาเข้าอีกแล้ว แบบนี้ชาวบ้านสะกิดเจ้าสองคนบอกว่า “ดูไม่ได้ ดูไมได้หรอก ดูได้ก็ตาแตก”ท่านพูดแบบไรเป็นแบบนั้น”

    เป็นอันว่าวันนั้นก็ต้องนอนค้างกับท่าน 1 คืน เชื่อใจความสัจจริงของท่าน

    เวลากลางคืนประมาณตี 2 ท่านก็ออกมาหา ถามว่า

    “ไม่หลับรึ”

    ก็กราบเรียนกับท่านว่า “หลับไปพักหนึ่งขอรับ แต่ว่าเวลาตี 2 เป็นเวลาเจริญพระกรรมฐานเกล้ากระผมทำเป็นปกติ”

    ท่านบอกว่า “แบบนี้ดีน่อ อย่าไปสนใจเลยนะ เรื่องหวยเรื่องโป”

    บอกว่า “กระผมไม่ได้สนใจ ที่มาก็ปรารถนาจะหาความเป็นจริง เพราะพระที่ให้หวยได้ พบมาหลายองค์แล้ว 10 กว่าองค์ ไม่เห็นตรงสักองค์”

    ท่านก็หัวเราะชอบใจว่า “นั่นเขาไม่ได้รู้เลขหรอก เขามีอุปาทานเป็นเครื่องยึด ถือความฝันบ้าง คิดเอาเองบ้าง คิดเลขล๊อคบ้าง มันไม่รู้จริง”

    ก็เลยนั่งคุยกับท่านพักหนึ่ง ท่านถามว่า “อยากจะรู้เรื่องอะไร “

    ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “เรื่องหวยหมดสงสัยขอรับ กระผมก็ไม่สนใจจะเรียน”

    ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องเรียนหรอก ต่อไปข้างหน้าถ้าจิตเข้าถึงก็รู้เอง เรื่องนี้ไม่สำคัญ”

    เลยกราบเรียนท่านว่า “อะไรสำคัญ”

    ท่านก็บอกว่า “เรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ การสร้างสั่งสมบารมี ขอให้พยายามสั่งสมบารมีให้มาก ท่านถามว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม”

    เวลานั้นกำลังปรารภพุทธภูมิ ท่านก็บอกให้ทราบว่า “เธอบำเพ็ญบารมีมามาก แต่ก็สงสัยว่าจะลาจากพุทธภูมิเสียละน่อ”

    ท่านว่ายังงั้น เวลานั้นกำลังใจยังดี ยังหนุ่มอยู่ จึงกราบเรียนถามท่านว่า “ทำไมจึงจะลาขอรับ กระผมมีกำลังใจปรารภด้านพุทธภูมิเป็นพิเศษ”

    ท่านบอกว่า “ถ้าชาตินี้ไม่ลา ก็เดินไปจนถึงที่สุดน่อ แต่เกรงว่าปลายมือชาตินี้จะลา”

    ก็กราบเรียนถามท่านว่า “จะลาเพราะอะไร”

    ท่านก็บอกว่า “จะเจอะพระเน่าเข้าน่อ เมื่อเห็นพระเน่ามากๆ เธอก็เบื่อ ในที่สุดก็ลาพุทธภูมิ ปรารถนาไปเลย”

    ก็ถามท่านว่า “ถ้าปรารถนาไปเลยนี่จะไปได้ไหม”

    ท่านก็ยิ้ม “บอกว่าไม่ยากเลยน่อ เพราะกำลังมันเกินแล้ว ถ้าจะไปเลยละ กำลังมันเกินแล้ว ไปเมื่อไรก็ได้”

    เป็นอันว่าฟังท่านไว้ แล้วท่านก็สอนอรรถธรรมแบบง่ายๆ บอกว่า

    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสียให้รู้ว่า สิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง

    เป็นคำสอนของท่านเป็นใจความแต่รู้สึกว่ามีความหมายดี พอตอนเช้าก่อนจะกลับ เจ้าสองคนที่ไปด้วย ความจริงไม่ใช่ลูกศิษย์ที่เอามาจากวัด แต่ว่าเป็นเพื่อนกันไปสมัยเด็กๆ คนหนึ่งเป็นนายอำเภอ คนหนึ่งเป็นผู้บังคับกองตำรวจแต่ขอสงวนนาม เวลานี้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไปแล้วก็มี แล้วตายไปเสียคนหนึ่งแล้ว นายตำรวจทราบว่าไปเป็นผู้กำกับแล้วก็ตายเสียด้วย ตายเพราะอะไร เพราะว่าแกชอบเหล้ากับผู้หญิงมาก แล้วผู้หญิงกับเหล้าก็ไม่รังเกียจแก แกก็เป็นคนดีเมตตามาก แต่โรคที่เป็นไม่ใช่โรคผู้หญิง ไม่ใช่โรคกินเหล้าเมาตาย เป็นโรคตับแข็งตาย นี่เป็นอานิสงส์ เป็นเรื่องของแก

    ก่อนจะกลับ เจ้าสองคนก็เข้าไปกราบบอกหลวงพ่อขอรับ การเดินทางมาคราวนี้ ผมต้องออกค่ารถค่าเรือทุกอย่างพระไม่ได้ออกเลย หลวงพ่อให้หวยแต่พระ ไม่ให้ผมบ้างก็แย่ ลูกเมียผมก็ยากจน ท่านก็มองๆ ดูไอ้สองคนนี่เป็นข้าราชการ แต่ความจริงไม่ได้แต่งเครื่องแบบ

    “คนนี้เป็นนายตำรวจ คนนี้เป็นนายอำเภอใช่ไหม”

    สองคนก็กราบเรียนท่านว่า “ใช่”

    ท่านบอกว่า “เงินเดือนก็มีมากแล้วน่อ จะเอาไปทำไม”

    เจ้าพวกนั้นก็บอกว่า “เงินเดือนก็แค่ไม่ถึงเดือนขอรับ ผมโกงเขาไม่เป็น ก็เลยไม่ค่อยจะพอใช้”

    ท่านนั่งประเดี๋ยว บอก “เอ้อจริงน่อ จริง โกงไม่เป็นน่อ เมื่อโกงไม่เป็นพ่อก็จะสงเคราะห์ก็ได้ ให้สัญญากับพ่อนะ ให้เลขไปละก็ เล่นกันอย่าให้เกินคนละ 20 บาท ถ้าใครซื้อเกินคนละ 20 บาท คนนั้นเป็นง่อยน่อ”

    ท่านก็เขียนเลขท้ายรางวัลที่ 1 ให้สามตัว บอก “เอาไปเล่นได้ไม่ต้องกลับ”

    พอกลับมาในรถไฟ เจ้าสองคนก็นั่งบ่น ไอ้ความโลภของมันมาก มันก็บอกว่า “เล่นกันคนละ 20 บาท 20 บาทก็ได้หมื่นสองพัน”

    ความจริงเงินมันก็มาก แต่มันบอกว่า ไม่พอ ก็เลยบอกว่า

    “นี่เราเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นะ คนนี้ก็เป็นร้อยตำรวจเอก เจ้านี่ก็เป็นข้าราชการชั้นโท เป็นนายอำเภอ ไอ้เจ้านี่เป็นผู้บังคับกอง ทำไมมันถึงโง่บัดซบแบบนี้วะ ท่านบอกมาแต่เพียงว่าใครเล่นเกินคนละ 20 บาท คนนั้นเป็นง่อย ตานี้เอ็งไปถึงบ้านเอ็งก็เล่น 20 บาท แล้วให้เมียเล่น 20 บาท ลูกทุกคนคนละ 20 บาท ท่านไม่ได้จำกัดมานี่ว่าให้เล่นคนเดียว แล้วก็ไม่เกิน 20 บาท”

    แหมเจ้า 2 คนนั่นก็ดีใจใหญ่ บอกว่า “เอ็งมันโง่แบบนี้ ไม่ได้ฟังเสียงพระ พระพูดน่ะมีคำจำกัด เพราะว่าท่านบอกแต่เพียงว่า ถ้าใครเล่นเกินคนละ 20 บาท คนนั้นเป็นง่อย แต่ว่าหวยอันนี้ เลขอันนี้จะให้คนภายนอกเขาเล่นไม่ได้นะ อย่าให้เขารู้ เพราะว่าไม่ใช่เป็นเลขสาธารณะ”

    เขาก็รับคำ เป็นอันว่ามาถึงบ้านเขาก็ให้เมียเล่น 20 บาท ลูกกี่คนคนละ 20 บาท ตัวเขา 20 บาท หวยงวดนั้นให้ผลจริงๆ ออกตรงเป๋งไม่มีการกลับ เป็นอันว่าได้เงิน ตานี้ ต่อมาเขาก็มาถามเลขที่หลวงพ่อให้มาดู ตอบว่า “ไม่ได้ ท่านให้มาดูอย่างเดียว จะบอกแกก็ไม่ได้ ฉันจะเล่นก็ไม่ได้ ใครเล่นก็ได้ ถ้าใครลักไปก็หมายความว่าคนนั้นตาแตก”

    เจ้าสองคนก็บอกว่า “ท่านแช่งทับแบบนี้ผมก็แย่”

    บอกว่า “ก็ควรจะแย่ เท่านั้นพอแล้ว”

    ต่อมาเมื่อข่าวนี้ปรากฏขึ้น อาตมามาป่วยอยู่ปี พ.ศ. 2500 มานอนป่วยอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือ หลังจากนั้นมาก็หลายปี มีชาวราชบุรี คือ นายแจ่ม เปาเล้ง นายสาลี่ เปาเล้ง นายเฉลิม คงทอง มาเยี่ยม เอาเงินมาถวายคนละพันช่วยค่ารักษาตัว แล้วเขาก็ถามว่า

    “อาจารย์มีหวยไหม ผมขอหวย”

    ตอบว่า “หวยมี แต่หวยฉันเจ้ามือมันชอบกินอย่าเอาเลย ทางที่ดีถ้าอยากได้หวย ให้ไปขอหลวงพ่อเขียนวัดบางขุนเณร อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เวลาไปสังเกตดูนะ ถ้าคนมากๆ อย่าพูดอะไรกับท่าน พูดปกติธรรมดาอย่าขอ ถ้าหากว่าคนไม่มี มีคนว่างละก็ถวายดอกไม้ธูปเทียน แล้วก็กราบเรียนท่านว่า ขอหวยสักครั้ง จะไม่รบกวนเป็นครั้งที่ 2 เท่านี้พวกเธอจะถูกหวย จำไว้ให้ดี”

    เขาก็จำไว้ รุ่งขึ้นเขาก็เดินทางมา แต่ไอ้คนที่ไม่มีวินัยไม่มีระเบียบวินัยมันมีอยู่ คือคนพ่อตา ได้แต่นายแจ่ม เปาเล้ง พ่อตานายเฉลิม คงทอง พี่ชายนายสาลี่เปาเล้ง พอมาถึงแล้วคนมีหลายคน ก็กราบเรียนท่านว่า จะมาขอเลขหวย ท่านก็เขียนให้สาม - สี่ชุด เขียนอย่างไม่ยาก ใครถามก็เขียนเลย ท่านบอกท่านชื่อเขียน ท่านชอบเขียน เขาจึงให้ชื่อเขียน ในที่สุดใครมาขอท่าน ท่านก็เขียน

    ในเมื่อคนหมดแล้ว นายสาลี่กับนายเฉลิมเอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวายท่าน บอก

    “เกล้ากระผมจะมาขอเลขหวยขอรับ แต่จะขอรบกวนหลวงพ่องวดเดียว ไม่รบกวนเป็นวาระที่ 2 ขอเอาไปตั้งตัว”

    ท่านมองดู มองหน้ามองหลังเห็นไม่มีใครก็หยิบเศษกระดาษมา เขียนให้ 4 ชุด ชุดละ 3 ตัว ท่านบอก

    “เก็บไว้นะ ถ้าชาวบ้านแถวนี้ขอดูละก็อย่าให้”

    เป็นอันว่าตอนเช้า 3 คนนั้นก็เดินทางกลับ กลับเขาก็มาแวะที่อาตมาที่กรมแพทย์ทหารเรือ เขาถามว่า

    “คราวนี้จะเล่นอะไร”

    ก็มองๆ ดูเลขแล้วเห็นมันเลข 4 ชุด อันนี้ถูก 2 ชุด ในใจมีความรู้สึกนะ ก็บอกเขาว่า “ไอ้เลขที่มีเลขท้าย 30 นี่น่ะ งวดนี้ออก แต่ถึงเลขอื่นยังไม่ออกก็ควรจะกันไว้ จะเชื่อฉันไม่ได้ ฉันก็ไม่แน่ใจในตัวฉัน แต่ฉันฝันว่าเห็นเลข 0 มันอยู่ท้าย”

    ฉันว่ายังงั้น เป็นอันว่าซื้อกัน นายทหารในนั้นก็ซื้อ แต่ก็มีนายทหารหลายคนไม่ชอบหลวงพ่อเขียน เขามีตัวเก็งของเขา เจ้าเรือโทสนั่นกับเรือโทสอาด สองคนสงสารมันว่ามันพยาบาลดี มันช่วยสงเคราะห์อนุเคราะห์ในการจัดหาอาหารอะไรต่ออะไรก็ตามเถอะ ตอนที่ไปป่วยน่ะ เขาปฏิบัติดี แต่มันไม่เล่นกัน ก็บอกว่า

    “สองคนนี่เล่นตัวนี้สักบาทซิ เอาสักบาทเดียวไม่ต้องมาก”

    เป็นอันว่าเขาก็ยอมเล่นกันคนกี่บาทไม่ทราบ เลขตัวนั้นออก 3 ตัวตรงๆ พอรุ่งขึ้นอีกงวดมันก็เหลือ 3 ชุด ก็เลยบอกเขาว่า

    “คราวนี้ฉันจะไม่บอกละว่าชุดไหนมันจะออก แต่ว่ามันจะถูกแค่ 2 ตัว ให้ตัดตัวหน้าทิ้งไป ฉันรู้แค่นั้นนะ หรือพวกเราจะเผื่อกันไว้บ้างก็ได้ เผื่อมันจะถูกทั้งหมด อย่างนี้ฉันรับรองไม่ได้”

    เป็นอันว่างวดนั้นเขาถูกกันอีกคราว ก็เลยบอกว่า “เลขชุดนี้หมดไป ไม่ต้องเล่นอีก ไม่ออก”

    แล้วแต่มาเด็กสาวๆ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 คน อายุประมาณ 18 - 19 กะๆ ดู ถามดูอายุไม่ถึง 20 รูปร่างหน้าตาดีมาเยี่ยมที่กรมแพทย์ทหารเรือ คุยกันไป คุยกันมา ก็บอกว่า แม่คนเดียว พ่อก็ไม่มี ไอ้ตัวเธอก็คนหนึ่ง มีน้องกำลังเรียน ยากจน อยากจะขอเลขหวย ก็เลยบอกว่า

    “ไม่มีหรอกอีหนูไปหาหลวงพ่อเขียนซี”

    แนะนำให้ไป เธอก็ไปตามนั้น พอไปถึงแล้ว ท่านก็เขียนให้สี่ชุดเหมือนกัน แบบเดียวกันนะ บอกว่าจะขอคราวเดียว แต่อีกคนหนึ่งมี่ลาภ ท่านก็บอกว่า

    “คนที่ตามมานี่น่ะไม่มีลาภ แต่อีหนู ถ้าคนนี้เขาเล่นอะไรละ เอ็งเล่นตัวนั้นนะ เล่นตามเขา ถ้าเอ็งไม่เล่นตามเขาละก็เอ็งจะไม่ได้อะไรเลย จะขาดทุนในการเดินทาง”

    แล้วท่านก็บอกด้วยว่า “คนที่จะถูกน่ะ มีลาภหมื่นเดียว หมื่นกว่าๆ” เรียกว่าเธอมีลาภ 20 บาท ไอ้ตัวที่จะถูกน่ะ 20 บาท แต่ว่าตัวไหนท่านไม่บอก ท่านบอกแต่เพียงว่า

    “ตัวที่เอ็งจะถูกน่ะ แค่ 20 บาทเท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปเล่นเกิน เล่นมันตัวละ 20 บาท ถ้าตัวไหนเล่นเกิน 20 บาท ตัวนั้นไม่ถูก”

    แล้วก็คนนั้นที่ไปด้วยน่ะ เวลาเล่นจริงๆ ปรากฏว่าไม่อยากเล่นไอ้ตัวที่ถูก เพื่อนก็เลยบอกว่า

    “เอ้า หลวงพ่อสั่งมาแล้วว่าฉันเล่นอะไรแกต้องเล่นตัวนั้น”

    ก็เลยตามไอ้ตัวที่ถูกเขาไป 5 บาท ในที่สุด ไอ้ตัวที่อีหนูคนนั้นเล่น 20 บาท ก็ถูก เพื่อนก็เลยพลอยถูกด้วย 5 บาท

    นี่แหละ บรรดาท่านผู้ฟัง เรื่องหวยน่ะ พระรู้ได้จริงๆ มี แต่เมื่อรู้หวยแล้วท่านก็รู้ลาภของคนรู้บุญของคนด้วย ฉะนั้น คนที่จะถูกหวยหรือไม่ถูกหวย พระที่ได้ญาณพิเศษท่านรู้ แล้วโปรดอย่าเหมา อย่าคิดว่าพระเป็นโจรปล้นเจ้ามือเลยนะ พระรู้ได้แต่เล่นไม่ได้ เพราะความโลภถ้ายังมีอยู่เพียงใด เลขหวยก็มองไม่เห็นเพียงนั้น ถ้าเห็นก็เห็นเป็นหวยปลอม บางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด ถ้าหากว่าหวยจริงๆ หวยดีๆ ก็ต้องจิตบริสุทธิ์

    เอาละ เรื่องของหลวงพ่อเขียนก็ระงับกันแค่นี้นะ รู้กันว่าพระรู้หวยได้แล้วรู้ว่าคนจะรวยได้ หรือไม่ได้เหมือนกัน

     
  5. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
     
  6. bumbim07

    bumbim07 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +35
    ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ และไม่เห็นด้วยเรื่องพระให้หวยค่ะ

    ถึงใครจะว่าทั้งประเทศจะมีพระสักกี่รูปที่รักษาศีลครบ ถ้าคำตอบคือ"ไม่มี"

    แต่แล้วทำไมต้องไปทำให้ผิดเพิ่มละคะ อย่าคิดแค่ "ใครๆก็ทำ" หรือ "คนอื่นยังทำได้"

    แต่ควรคิดแค่ "อะไรที่ควรทำ" จะดีกว่าค่ะ ส่วนอื่นๆที่ผิดจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คืออีกเรื่อง

    อย่าลากมาเถียงหัวชนฝา สีข้างถลอกหมดแล้วค่ะ กับเหตุผลที่ดูเกือบจะไม่เป็นเหตุผลอยู่แล้ว

    ขอโทษที่อาจจะตรงและแรงสำหรับใครไปหน่อย แค่อยากให้ใช้ปัญญา พิจารณาค่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  7. ณัฏฐ์กรณ์

    ณัฏฐ์กรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +17
    คำตอบนี้ที่คุณ bumbim07 ตอบมา คมคาย อ่านแล้วเห็นภาพเลยนะครับ คุณ bumbim07



    “นั่นเขาไม่ได้รู้เลขหรอก เขามีอุปาทานเป็นเครื่องยึด ถือความฝันบ้าง คิดเอาเองบ้าง คิดเลขล๊อคบ้าง มันไม่รู้จริง” หลวงพ่อพูดไว้นาน 20 กว่าปีแล้ว




    และคำๆนี้แหละ สงสัยท่าจะจริงอย่างที่หลวงพ่อท่านว่า หลวงพ่อเขียนท่านทาย แม่นจริงๆ นี่ละครับ ญาณพระอริยะ ท่านก็บอกว่า “จะเจอะพระเน่าเข้าน่อ เมื่อเห็นพระเน่ามากๆ เธอก็เบื่อ ในที่สุดก็ลาพุทธภูมิ ปรารถนาไปเลย”

    สรุปคำสอนของหลวงพ่อ ท่านสอนให้พระเป็นคนไม่โลภ ไม่อยากได้ ไม่ยินดีในกิเลส แต่คนเราส่วนมากเอาแต่เรื่องนี้ของหลวงพ่อ สนับสนุนว่าพระให้หวย แต่เท่าที่เห็นส่วนมากยุคนี้ พระให้หวยงวดๆนึงยาวเป็นสิบๆตัว แล้วก็ไม่ค่อยจะถูกกันด้วย อีกทั้งยังไม่ได้สนับสนุนศีล สมาธิหรือสนับสนุนการปฏิบัติธรรม ไปคุยกันเรื่องฝัน เรื่องนิมิต เรื่องเอาของแปลกๆมาตีเป็นหวย
     
  8. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    พระทีี่มีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ยังมีอยู่นะครับ และยังมีอีกมากครับ พระที่มีศีลดี เปรียบเสมือนเรือที่ไม่รั่ว ส่วนพระที่มีศีลบกพร่อง ถือว่าเป็นเรือรั่ว แต่ผู้ที่มีศรัทธา เชื่อในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ทำบุญให้ทาน กับพระที่ดี หรือพระทุศีล ผลก็ยังพาไปถึงฝั่งได้ ส่วนเรือรำไหนรั่ว ท่านก็มีกรรมตามสภาพของท่านไป จงอย่าละเว้นการให้ทาน การสละเเบ่งปัน อย่าละเว้นการกราบการไว้พระสงฆ์ จงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้ยิ่งๆขึ้นไป ใฝ่หาความรู้ แล้วเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีกกับการเดินทางไกลๆในวัฏฏะสงสารครับ
     
  9. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    อนุโมทนากับการนำธรรมะดีๆที่ ท่านอิติปิโส นำมาแสดงด้วยครับ
    คนก็ดี สัตว์ก็ดี หรือบุคคลใดๆก็ดี หากทำกรรม มีเจตนาในอกุศลกรรม จิตที่เกิดต่อๆกันหรือเสพคุ้นกับสิ่งใดมากๆ เป็นอาจิณณกรรม ผลย่อมเป็นไปในฝ่ายบาปและฝ่ายชั่ว มีผลเป็นไปในนิริยภูมิ คนก็ดี สัตว์ก็ดี หรือบุคคลใดที่มีนิสัยเยี่ยงกา ก็มีที่ไปเยี่ยงกานั้น ด้วยอำนาจแห่ง ตัณหา ทิฏฐิ มานะ (อาสวะ โอฆะ โยคะ)ภัยและโทษแห่งวัฏฏะสงสารอันเป็นทุกข์นี้ ย่อมทำให้สัตว์ทั้งหลายติดอยู่ หลงอยู่ และถูกเกี่ยวคล้องไว้ ในภพชาติที่หาสุดประมาณมิได้.......ขอบคุณและอนุโมทนาครับ
     
  10. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    วันที่ 27 - 28 ธันวาคม 2555 มีงานรำลึกถึงพระเจ้าตากสินมหาราช จัดที่ถนนลาดหญ้า

    อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก

    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา

    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
    แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม

    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี

    สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม

    เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม

    ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา

    คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า

    ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา

    พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา

    พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

     
  11. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ความหมายของคำว่า "มนุษย์" นัยที่ 1

    มโน อุสฺสนฺนํ เอเตสนฺติ มนุสฺสา สัตว์ทั้งหลายที่ชื่อว่า "มนุษย์" เพราะมีใจรุ่งเรืองและกล้าแข็ง

    ในคำว่า มนุสสะ มุ่งหมายถึงคนที่เกิดอยู่ในชมพูทวีป โดยตรง ส่วนคนที่อยู่ในทวีปที่เหลือสามทวีปเป็นการนับโดยอ้อม ที่เป็นเช่นนั้น ท่านอธิบายว่า จิตใจของคนที่อยู่ในชมพูทวีปและจิตใจของคนที่อยู่ในทวีปทั้งสามนั้นไม่เหมือนกัน คือ คนในชมพูทวีปเป็นผู้ที่มีจิตใจกล้าแข็ง เป็นไปทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย ฝ่ายที่ดีนั้นสามารถทำให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ ฌานลาพี อภิญญาลาพีได้

    ฝ่ายในทางที่ไม่ดีนั้น มีการฆ่าบิดา มารดา พระอรหันต์ ทำโลหิตุปปาท ทำสังฆเภท

    ส่วนจิตใจของคนที่เหลืออยู่ในทวีปทั้งสามนั้นไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีและไม่ดี

    ฉะนั้นคำว่า "มนุสสะ" นั้นจึงได้แก่คนที่อยู่ในชมพูทวีปโดยตรงส่วนคนที่อยู่ในทวีปอีกสามทวีปนั้นก็ชื่อว่า "มนุสสะ" เพราะมีรูปร่าง สัณฐาน เหมือนกันกับคนที่อยู่ในชมพูทวีปนั้นเอง จึงชื่อว่า "มนุสสะ" โดยอ้อม

    พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติก็เพียงแต่ในชมพูทวีป ทวีปเดียวเท่านั้น มิได้อุบัติในทวีปอื่นๆเลย การทำดีถึงที่สุดคือการเป็นพระพุทธเจ้าก็มีแต่ในจักรวาลนี้ และการทำไม่ดีที่สุด มีการทำปัญจานันตริยกรรมคือการฆ่าบิดา มารดา เป็นต้น ก็มีแต่ในจักรวาลนี้ คือ ชมพูทวีปนี้เท่านั้น

    จบนัยที่ 1
     
  12. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ความหมายของคำว่า "มนุษย์" นัยที่ 2

    การณาการณํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส
    " คนชมพูทวีปชื่อว่า มนุสสะ เพราะมีความเข้าใจในสิ่งเป็นเหตุอันสมควรและไม่สมควร "
    อธิบายว่า ธรรมดาสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมมีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้นคือ สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดจากเหตุโดยเฉพาะๆ
    คนชมพูทวีป เมื่อได้ประสบพบเห็นสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว ย่อมพิจารณา ค้นคว้า หาเหตุที่เกิดสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะๆ เช่น สิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดจากเหตุนี้ไม่ใช่เกิดมาจากเหตุอื่น หรือธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นเหตุของธรรมนี้เท่านั้นและธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเหตุของธรรมเหล่าอื่น คนชมพูทวีปที่เข้าใจในสิ่งอันเป็นเหตุที่สมควรและไม่สมควร

    คำว่า "การณะ" แปลว่า เหตุ เหตุนี้มีสองอย่างคือ เหตุที่เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เหตุที่เป็นรูปธรรมอย่างหนึ่ง
    เหตุที่เป็นนามธรรมได้แก่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้และชาติที่ล่วงมาแล้วทั้งหมด
    เหตุที่เป็นรูปธรรมได้แก่ รูปร่าง สัณฐาน ของสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึกทั้งหมด
    เหตุต่างๆเหล่านี้ คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ ความเข้าใจได้ตามสมควรโดยความเป็นธรรมชาิติ ที่ไม่มีสิ่งใดๆมาบังคับ
    ส่วนคนที่เหลือสามทวีป และเทวดา ตลอดถึงพรหมทั้งหลาย มีความรู้ ความเข้าใจ ในเหตุที่สมควรและไม่สมควร ไม่เท่ากันกับคนที่อยู่ในชมพูทวีป
    จบนัยที่ 2
     
  13. ต้นพุทธ

    ต้นพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    922
    ค่าพลัง:
    +3,612
    ผิดถูกไม่มีใครรู้ดีกว่าใจตัวประโยคเหล้่านี้คงใช้ได้ดีในสมัยก่อนแต่สำหรับยุคสมัยนี้ ท่าจะน่าเป็นห่วงเสียกระมัง เพราะหลายต่อหลายคนเริ่มแยกไม่ออกระหว่างถูกผิด ความหลงเป็นอาการที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะมันคือต้นตอของการล้มครึนของศีลข้อต่อๆไปด้วยความเข้าใจที่ตนคิดว่าใช่และดี นานไปมันยึดติด แน่นซะจนเจ้าตัวแยกมันไม่ออก ก็เลยกลายเป็นความหลงในสงสาร [/COLOR]
    ยุคนี้ คนรู้ดีมาก คนรู้มากมีเยอะ ส่วนคนรู้จริงคนส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็นหรืออีกนัยคนรู้จริงเหล่านี้ก็เบื่อหน่ายกับการพยายามจะช่วยคนที่ไม่ยอมเปิดใจจะฟังใครเพียงเพราะเหตุผลข้อเดียวคือ ไม่เห็นด้วยกะเขา ก็เท่านั้นเอง

    Amtayan อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายกับการทำหน้าที่ของคุณนะค่ะ สู้ๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  14. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ความหมายของคำว่า "มนุษย์" นัยที่ 3

    อตฺถานตฺถํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส "คนชมพูทวีปชื่อว่า "มนุสสะ" เพราะเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์

    อธิบายว่า ธรรมดาสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อผลปรากฎขึ้นแล้วจะเป็นที่น่ายินดีพอใจหรือไม่น่ายินดีพอใจก็ตาม ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดมาจากการกระทำ การพูด การคิดเท่านั้น การกระทำ การพูด การคิดดีก็ได้ผลดีคือมีประโยชน์ ถ้าการกระทำ การพูด การคิดไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดีคือไม่มีประโยชน์
    คนชมพูทวีปนี้มีความรู้ ความเข้าใจว่า การทำ การพูด การคิด อย่างนี้ดีจะมีประโยชน์อย่างนี้ๆ การทำ การพูด การคิด อย่างนี้ไม่ดีไม่มีประโยชน์ คือไร้ประโยชน์

    อตฺถ แปลว่า ผล คือประโยชน์นั่นเอง ผลคือประโยชน์นี้มีสองอย่าง คือ
    ๑. โลกิยประโยชน์
    ๒. โลกุตตรประโยชน์

    โลกิยประโยชน์ ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือมนุษยสมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ
    โลกุตตรประโยชน์ ได้แก่ กุศลและความรู้ในธรรม หรือ เป็นอริยะและสัปบุรุษ ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา

    ผล คือ ประโยชน์ต่างๆ คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ ความเข้าใจ ได้ตามสมควร โดยความเป็นธรรมชาต แล้วแต่ศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคม
    ส่วนคนที่อยู่ในทวีปที่เหลือทั้งสามและเทวดาตลอดถึึงพรหมท้งหลาย มีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ไม่เท่ากับคนที่อยู่ในชมพูทวีป
     
  15. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ความหมายของคำว่า "มนุษย์" นัยที่ 4

    กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส "คนชมพูทวีปชื่อว่า "มนุสสะ" เพราะเข้าใจสิ่งที่เป็นกุศลและอกุึศล
    อธิบายว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีการงานอยู่สามอย่างเท่านั้น คือ การงานที่ทำทางกาย การงานที่กล่าวทางวาจา การงานที่คิดนึกและพิจารณาด้วยใจ จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ก็ตาม เมื่อว่าโดยทางโลกแล้วมีเพียงสามอย่างนี้เท่านั้น
    แต่ถ้าว่าตามสภาวะแล้วก็มี 2 คือ กุศลและอกุศล การทำ การพูด การคิด ที่เกี่ยวเนื่องด้วยทาน ศีล ภาวนาเป็นกุศล การทำ การพูด การคิด ที่เกี่ยวเนื่องด้วยทุจริต 10 เป็นอกุศล
    คนชมพูทวีปมีความรู้ ความเข้าใจว่า การทำ การพูด การคิด อย่างนี้เป็นกุศล การทำ การพูด การคิดอย่างนี้เป็นอกุศล
    คำว่า "กุศล อกุศล" ก็ได้แก่ กุศลและอกุศลนี้เอง
    กุศลมี 2 อย่างคือ โลกิยกุศล และ โลกุตตรกุศล
    โลกิยกุศลได้แก่ การบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
    โลกุตตรกุศลได้แก่ อริยมรรคทั้ง 4 ที่เกิดขึ้นจากการเจริญวิปัสสนาและสามารถประหาณกิเลสได้เด็ดขาด

    ส่วนอกุศลได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ
    โลภะ มีความต้องการในกามคุณทั้ง 5 เช่น อยากดูหนัง อยากฟังเพลง อยากดมกลิ่นหอมๆ อยากกินอาหารรสอร่อยๆ อยากถูกต้องในสิ่งที่ดีๆและคิดถึงอารมณ์คือสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งที่เป็นภายนอกและภายใน
    โทสะ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ กลุ้มใจ และพยาบาท
    โมหะ ความหลง คือ ความไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส เพราะกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ด้วยอำนาจวิจิกิจฉาในพุทธะ ธัมมะ สังฆะ จิตใจไม่สงบ มีความฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ

    คนชมพูทวีปนี้ มีความรู้ มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลโดยความเป็นธรรมชาติ แล้วแต่ลัทธิ แล้วแต่ศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคม ฉะนั้น ความรู้ ความเข้าใจ ในสิ่งที่เป็นกุศล และ อกุศลของคนชมพูทวีปที่ต่างกันโดยลัทธิ เป็นต้นมีดังนี้คือ
    คนชมพูทวีปที่นับถือพระพุทธศาสนาและมีความสนใจในธรรมะ มีศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และการคบหาสมาคมดี ย่อมเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลได้มาก
    ส่วนคนชมพูทวีปที่นับถือลัทธิอื่นๆและไม่มีความสนใจในธรรมะ ไม่มีศรัทธา วิริยะ ปัญญา บารมี และไม่คบหาสัปบุรุษ ย่อมเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศล และอกุศลน้อย ความแตกต่างมีอยู่เพียงเท่านี้

    ส่วนคนที่อยู่ในทวีปที่เหลืออีกสามทวีปและเทวดา ตลอดถึงพรหมทั้งหลาย มีความรู้ มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลไม่เท่ากับคนที่อยู่ในชมพูทวีป
    จบนัยที่4
     
  16. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ความหมายของคำว่า "มนุษย์" นัยที่ 5

    สรุปคำว่า "มนุสสะ" ข้อ 2 3 4 รวมกันแล้วมีดังนี้คือ

    การณาการณํ อตฺถานตฺถํ กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ มนุสฺโส
    คนชมพูทวีปชื่อว่า "มนุสสะ" เพราะเข้าใจในสิ่งที่เป็นเหตุอันสมควรและไม่สมควร เข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ และ เข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล

    อาจารย์ที่เข้าใจไวยากรณ์บาลีเป็นอย่างดี แสดงคำว่า "มนุสสะ" ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า
    มนุโน อปจฺจาติ มนุสฺสา "คนทั้งหลายชื่อว่า "มนุสสะ" เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุ"

    ในต้นกัปประชาชนทั้งหลายได้มีการประชุมเลือกตั้งพระโพธิสัตว์ให้ดำรงตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองประเทศ โดยถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสัมมตะ พระเจ้ามหาสัมมตะพระองค์นี้เดิมชื่อ "มนุ" เมื่อพระเจ้ามหาสัมมตะได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาผู้ปกครองประเทศโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ทรงจัดการวางระเบียบแบบแผนและกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายได้ประพฤติตามกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม ประชาชนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนั้นๆโดยถูกต้อง ไม่ฝ่าฝืนออกไปนอกข้อบังคับที่พระองค์ได้ทรงวางไว้
    ฉะนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงได้พร้อมใจกันปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนั้นๆโดยเคร่งครัดทั่วทั้งประเทศ คือ ข้อใดที่ทรงห้ามไม่ให้กระทำและข้อใดที่ทรงอนุญาต เขาเหล่านั้นต่างพากันกระทำตามข้อที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้เท่านั้น ส่วนข้อที่พระองค์ทรงห้ามไม่ให้ประพฤติหรือกระทำ เขาก็งดเว้นเสียตามกฎข้อห้ามนั้นๆทุกๆประการ ไม่มีผู้ใดที่จะฝ่าฝืน คงทำตามกฎที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้เท่านั้น เช่นเดียวกับบุตรที่ดีทั้งหลายได้ประพฤติตนตามโอวาทของบิดา ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ชื่อว่า "มนุสสะ" นี้ก็เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุที่เรียกว่า พระเจ้ามหาสัมมตะ ในสมัยต้นกัปนั้นเอง กฎข้อบังคับ ระเบียบ แบบแผน ที่พระเจ้ามนุทรงวางไว้นี้เป็นที่นิยมสืบต่่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
     
  17. Apinyawat

    Apinyawat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +55
    ธรรมและสิ่งที่สมควรแก่ธรรม เป็นกระทู้ที่มีคนร่วมแสดงความเห็นด้วยเยอะมาก อ่านแล้วมีสาระ ขอบคุณนะครับ
     
  18. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,135


    อย่าอยู่อย่าง "แค่เป็นมนุษย์" จงอยู่อย่าง "เพื่อเป็นมนุษย์

    มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อเท่ากัน มหาเศรษฐีหรือยาจก
    มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใ่ส่ได้ทีละชุดเท่ากัน


    -------------------------------------------------
    ข้อคิดจาก Warren Buffet มหาเศรษฐีอันดับต้น ๆของโลก

    ขอเปนแรงจัยให้สู้อีกแรงค่ะ ท่าน Amatayan (y)
     
  19. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความเห็นชอบด้วยนะครับ แต่ยืนยันว่า

    ผมไม่ได้ตั้งกระทู้นี้เพื่อมาต่อสู้กับพระ คน บุคคลใดๆทั้งนั้น แต่เพียงเพื่อนำเสนอสิ่งที่เป็นคุณหรือโทษบางอย่างเท่านั้นครับ


    ส่วนตัวไม่เล่นหวยครับ แต่ชอบการลงทุน อยากแนะนำว่า ถ้าจะซื้อหวย ไปซื้อสลากออมสินหรือ สลากของ ธ.ก.ส. ดีกว่า ไม่กินทุน มีโอกาสถูก 36 ครั้ง ได้ดอกเบี้ย และสามารถออมเงินอีกทางหนึ่งสำหรับคนที่เก็บเงินไม่อยู่
     
  20. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ผมชอบครับ ถ้าท่านใบ้หวยแล้วผมแทงถูก ผมจะไม่นิยมถ้าท่านใบ้หวยแล้วผมแทงไม่ถูก ผมอยากถามว่าผมทำเหมาะสมไหมครับ แต่ถ้าท่านทำประโยชน์แก่สังคมผมก็นับถือครับ แต่ถ้าเราไม่ทำประโยชน์อันใดเหมือนท่าน ผมก็ไม่กล้าตำหนิท่านเหมือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...