☼ การพึ่งพาตนเองยามเกิดภัยพิบัติ ◄► เอนไซม์ เพื่อชีวิต ☼

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Forever In LoVE, 3 มีนาคม 2009.

  1. 1535

    1535 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +2,105
    รับทราบค่ะ

    ขอบคุณ คุณรัตติธรรม คุณ Forever In LoVE คุณ มารีน และอาจารย์คณานันท์
    ที่ให้ความรู้ในเรื่องนี้ค่ะ หวังว่าจะไดนำความรู้ไปต่อยอดเพื่อใช้ในช่วงหลังภัยพิบัติได้ต่อไป

    ขอบคุณค่ะ​
     
  2. 1535

    1535 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +2,105
    ได้คุยกับฝ่ายปฏิบัติการที่จังหวัดลพบุรี ท่านว่า EM แบบก้อนนั้น
    ใช้วางในกระแสน้ำเชี่ยว ในจำนวน 160 ก้อน ต่อ 1 ไร่
    ส่วนแบบน้ำในใช้สำหรับน้ำเน่าขัง โดยใช้ฉีดพ่นลงไปในน้ำค่ะ

    คุณรัตติธรรม เมตตาบริจาคจำนวน 1 ถังใหญ่ เพราะทำไว้ปปีหนึ่งแล้ว

    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  3. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เอารูปที่หมักแอปเปิ้ลกับกล้วยมาให้ดูค่ะ กล้วยเกิดแก๊สมาก ดันซะขวดปริ ตอนไประบายแก๊สออก ดันฝาระเบิดพุ่งขึ้นมาเลยค่ะ ฮา ก็เลยเหลือน้ำแค่ที่เห็นในรูป

    วิธีหมักดูได้จากเว็บของ ดร รสสุคนธ์ค่ะ ตามลิงค์นี้

    http://friutenzyme.blogspot.com/2009/10/blog-post_08.html

    ส่วนน้ำหมักชีวภาพอื่นๆอาทิ กระท้อน สัปปะรด มะกรูด ไว้จะถ่ายรูปมาลงให้ดู แล้วก็ถึงเวลาต้องขยายหัวเชื้อแล้วด้วยค่ะ จะค่อยๆเอาข้อมูลที่มีมาลงให้นะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB080001.jpg
      PB080001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      743
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2010
  4. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เอารูปน้ำหมักชีวภาพที่ทดลองหมักไว้มาให้ดูกันค่ะ ไม่ได้ทำถังใหญ่ เพราะว่าเพิ่งจะศึกษาได้ไม่นานก็ลองหมักแค่น้อยๆก่อน ส่วนใหญ่ก็จะหมักพืช ผลไม้ แยกเป็นชนิดๆไป ยังไม่ได้หมักจากเศษอาหารหรือเศษขยะ เพราะเริ่มแรกต้องการนำน้ำหมักมาทำผลิตภัณฑ์ใช้เอง เช่น สบู่ แชมพู เป็นต้น แต่ตอนนี้ก็คิดที่จะหมักเศษพืชไว้ใช้ทำน้ำยาดับกลิ่นหรืออื่นๆด้วย ไปคุยกับแม่ค้าร้านขายอาหารตามสั่งไว้แล้ว เพราะเขาจะตัดเศษผักทิ้งทุกวัน แม่ค้าก็บอกว่าให้ไปเอามาได้ ก็คงได้เริ่มหมักเร็วๆนี้ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • T2.jpg
      T2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      420.4 KB
      เปิดดู:
      196
  5. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การทำน้ำหมักจากน้ำซาวข้าวค่ะ

    เมื่อซาวข้าวแล้วเก็บน้ำไว้ จากนั้นให้เติมน้ำตาลทรายแดงหรือกากน้ำตาลหนึ่งช้อน เติมหัวเชื้อ EM หนึ่งช้อน คนให้เข้ากัน จากนั้นกรอกใส่ขวดเก็บไว้ โดยเหลือพื้นที่ด้านบนไว้สำหรับแก๊สด้วยค่ะ เปิดฝาขวดทุกวัน ครบเจ็ดวันนำไปใช้ได้และต้องใช้ให้หมดภายในเจ็ดวัน เพราะสารอาหารของจุลินทรีย์จะหมด หากครบเจ็ดวันแล้วไม่ได้ใช้ให้เททิ้งลงท่อระบายน้ำไปเลยค่ะ

    ปกติจะนำไปไว้ล้างห้องน้ำ เราจะปลอดภัยจากสารเคมี โถปัสสาวะที่เหม็นให้เทราดเลย และเทใส่ในคอห่านทุกวันเช้า-เย็น ครั้งละประมาณ 2 ฝา ส้วมจะไม่ค่อยเต็ม เทใส่ท่อระบายน้ำ ช่วยขจัดเชื้อโรค ผสมน้ำรดต้นไม้ ใช้ 3-4 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง ใช้เทราดขยะที่เหม็น ใช้ล้างถังขยะ เทราดทำความสะอาดบริเวณที่สัตว์เลี้ยงทำสกปรกไว้ นอกนั้นแล้วแต่พอใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1.jpg
      P1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      314.9 KB
      เปิดดู:
      143
  6. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อันนี้หมักมะกรูดไว้กรองเอาน้ำมาทำยาแก้ไอ แล้วกากก็ยังเอามาอมแก้เจ็บคอได้ หรือเอาไปบดทำเป็นชาชงดื่มได้ค่ะ

    วิธีหมักมะกรูดชีวภาพ
    มะกรูดที่ใช้หมักควรเลือกที่ไม่อ่อนและแก่จนเหลือง ล้างให้สะอาดก่อนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือใส่ทั้งลูกก็ได้ เติมน้ำตาลทรายแดงในอัตราส่วน 3 ต่อ 1(มะกรูด 3 ก.ก.น้ำตาลทราย 1 ก.ก.) หมักทิ้งไว้ 3 เดือน ในภาชนะสะอาด มีฝาปิด ตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม เมื่อครบกำหนดแล้ว ให้กรองเอาน้ำเชื่อมมะกรูดชีวภาพใส่ขวดไว้จิบแก้อาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ

    ส่วนมะกรูดในถังหมักที่เหลือก็ให้ใส่น้ำตาลทรายอีก 1 ก.ก. หมักต่อไปอีก 1 เดือน กรองเอาน้ำเชื่อมมะกรูดไว้ใช้แก้ไอ เจ็บคอ ขับเสมหะเช่นเดิม(หมักครั้งที่2)

    ครั้งสุดท้ายก็ใส่น้ำตาลทรายอีก 1 ก.ก หมักต่ออีก 1 เดือน แล้วกรองทำเช่นเดิมก็จะได้น้ำเชื่อมแก้ไอ ขับเสมหะ ชีวภาพมะกรูดไว้ใช้โดยไม่ต้องพึ่งพายาแผนปัจจุบันซึ่งเป็นสารเคมี(การหมักครั้งที่ 3) ได้มะกรูดหมัก 5 เดือน

    หลังจากการกรองครั้งที่สามแล้ว ใส่น้ำตาลทรายไปในมะกรูดที่สิ้นน้ำยาแล้ว และหมักต่อ เอาไว้อมเวลาไอเจ็บคอ เนื่องจากมีรสหวานปนขื่นนิดๆ ชุ่มคอดี ทำให้อาการไอ เจ็บคอลดลงถึงหาย

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ



    WisdomForMyLife
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB090006.jpg
      PB090006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      150
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่ครูบาก้อง ท่านเมตตาอธิบายให้ฟัง เรื่อง ยาของพระพุทธเจ้า

    คือยาดองน้ำมูตรเน่าครับ ที่ทำกันก็เป็นเรื่องเดียวกัน

    แต่ที่พระพุทธเจ้าท่านมีตรัสไว้ คือ

    -สมอ
    -มะขามป้อม
    -น้ำผึ้ง

    ประมาณนี้ครับ ลองหาข้อมูลเพิ่มดูครับ

    การหมักโดยไร้อากาศจะดึงสารอาหารในผัก ผลไม้นั้นออกมา

    หากเรารู้จักสรรพคุณของผลไม้และสมุนไพรแต่ละชนิด เราก็สามารถ ทำน้ำเอมไซมม์ สูตรที่ส่งผลจำเพาะได้

    เช่นทับทิม มี โปรตีน อาร์จีนีน ที่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ดังนั้น หากทำน้ำเอมไซมม์ จากทับทิม ก็มีผลช่วยลดความดัน บำรุงหัวใจและหลอดเลือดได้

    ประมาณนี้ครับ
     
  8. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จริงๆอยากหมักหลายๆอย่างเลยนะคะ อจ แต่ว่าเจอค่าน้ำผึ้งไปทีก็อานเหมือนกัน อิอิ ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
     
  9. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,348
    ค่าพลัง:
    +3,864
    ครูบาท่านเมตตาเล่าว่า ท่านเองก็ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้มีการทำน้ำหมักเอมไซน์ ทั้งในบรรดาลูกศิษย์ของท่านเองและรวมถึงที่เป็นวิทยากรให้ความรู้และอบรมเกี่ยวกับการทำน้ำหมักฯ มาตั้งแต่ปี 1999 จนถึงวันนี้ ร่วม ๆ สิบปีกว่าแล้ว ...เสียดายที่รู้ช้าไปจริงๆ

    เราอาจจะรู้สึกได้ว่ารอบๆตัวเรา เริ่มมีคนสนใจทำน้ำหมักฯ ไว้ใช้เองในครัวเรือน ด้วยเพราะเห็นคุณประโยชน์ครอบคลุมหลายประการทั้งที่มีต่อชีวิตประจำวันของเราเอง มีต่อครอบครัวของเรา และรวมถึง มีคุณประโยชน์สูงยิ่งต่อทุกๆชีวิต เรียกได้ว่าในระดับโลกเลยทีเดียว

    เชื่อว่ามีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบความจริงในส่วนนี้เลย !!

    น้ำหมักที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่นั้น ต้องอาศัย อายุการหมักที่เหมาะสม (สำหรับนำไปใช้งานในแต่ละประเภท) เช่น 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ขึ้นไป และเป็นของที่หมดไปได้ เราจึงควรผลิตไว้ใช้เอง ทุกครัวเรือน ...เริ่มต้นจากตัวเราเองก่อน เพื่อให้ทุกๆบ้านมีสำรองไว้ใช้เองได้ค่ะ

    หากมีเหลือ จึงค่อยผลิตเพื่อแบ่งขาย ...ไม่ควรเป็นแต่ฝ่ายรอซื้อเพียงฝ่ายเดียวนะคะ
    เพราะอาจผลิตไม่ทันใ้ช้ก็เป็นได้

    แผนสำรองประการหนึ่งกรณีที่ อาจจะเกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลัน ที่ใดที่หนึ่งอีกนั้น
    หากท่วมแล้วไม่ลดในทันที น้ำท่วมขังไว้นาน เช่นกรณีที่ชาวพื้นที่ หนองเมือง เขตจังหวัดลพบุรีประสบนั้น
    หากแต่ละบ้านมีน้ำหมักที่ทำไว้ แต่ละบ้านสามารถเทราดลงในน้ำ เพื่อทำให้น้ำที่ท่วมขังไม่กลายเป็นน้ำเน่าเหม็นได้เองทุกๆบ้านเลยนะคะ

    จากที่ได้ไปพบมา บ้านของเราทั้งหลัง ที่ถูกน้ำเน่าแช่ขังไว้ร่วม 20 วัน เมื่อน้ำลดแล้ว ผนังและพื้นบ้านชุ่มไปด้วยน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั้งบ้าน แน่นอนว่าการฟื้นฟูสภาพบ้านในระยะหลังน้ำลด ไม่ง่ายอย่างที่คิดจริงๆค่ะ ทั้งกลิ่นเหม็นที่คละคลุ้ง รวมถึงเชื้อโรคที่แช่ฝังอยู่ทั่วทุกตารางนิ้ว แค่กลิ่นก็แทบสลบแล้ว ไหนจะโรคจากทางเดินลมหายใจต่อเนื่องอีก
    สงสารชาวบ้านจับใจเลยค่ะ

    พูดมาเสียยาวก็ด้วยปรารถนาให้ตระหนักถึงคุณค่าของการทำน้ำหมักเอนไซน์ ไว้ใช้เองทุกๆบ้านค่ะ
    ถึงแม้ว่าวันนี้คุณยังไม่เคยทำน้ำหมักฯ ไว้ ก็ ขอให้เริ่มลงมือศึกษา สักนิดหนึ่ง

    แล้วลงมือทำ มันง่ายมากจริงๆค่ะ
     
  10. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,348
    ค่าพลัง:
    +3,864
    ขอขอบคุณทุกๆท่านที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการทำน้ำหมักฯกันนะคะ

    ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรง อาศัยว่าชอบหาข้อมูล


    ประกอบกับได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์ ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษา


    ดังนั้นความรู้ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาแ่บ่งปันกัน ณ ที่แห่งนี้ ก็เพื่อเป็นการที่ซันและทุกๆท่านจะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน ไปพร้อมๆกันนะคะ


    ข้อมูลทั้งหมดที่มีลงในกระทู้นี้ ซันจะอัพเดทไว้ที่โพสต์แรก เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิง และง่ายสำหรับการค้นหาด้วยค่ะ


    ท่านใดมีคำถาม หรือต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการทำน้ำหมักเอมไซน์ และรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกัน ขอเชิญเลยนะคะ


    -------

    มีคำถามหลังไมค์มาว่า

    คำถาม : ต้องการเริ่มทำน้ำหมักบ้างแต่ติดที่ว่า ขั้นตอนการทำระยะแรก หลังจากที่หมักแล้ว จะต้องคอยเปิดฝากจุกขวด หรือฝาถัง เพื่อให้คลายก๊าซออกมา เป็นระยะๆ ไม่มีเวลา คอยเฝ้าขนาดนัน จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร


    คำตอบ : จากที่พอทราบมาว่าการทำน้ำหมักเอนไซม์หรือน้ำหมักชีวภาพ ในระดับครัวเรือน จะมีวิธีการระบายอากาศจากถังหมัก


    1. คลายฝาถังเป็นประจำทุกวัน ในระยะ 15 วันแรก


    2. หากไม่มีเวลาคอยเปิดฝาภาชนะหมัก ก็จะใช้ สิ่งทีเรียกว่า "ระบบ Air Lock" ค่ะ ซึ่งเป็นระบบที่ป้องกันการปนเืปื้อนของจุลินทรีย์จากอากาศภายนอก ที่อาจจะปนเปื้อนเ้ข้ามาเจริญเติบโตภายในถังหมักจากการใช้วิธีคลายฝาถัง


    ตัวจุก แอร์ล๊อค คล้ายจุกไม้ก๊อก แต่ทำจากยางหรือเปล่าไม่แน่ใจนะคะ มีรูตรงกลาง หาซื้อได้ตามร้านศึกษาภัณฑ์ ค่ะ วัดปากขวดให้พอดี นะคะ

    ที่จุก จะมีรู สำหรับสอดสายยาง ต่อตรงออกมาจากปากขวด ปลายสายยาง อีกข้างหนึ่ง ให้นำมาแช่ไว้ในภาชนะที่มีน้ำผสมด่างทับทิม ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในน้ำภายในแก้วและยังป้องกันการเจริญเติบโตของไข่แมลงวันหรือจุิลินทรีย์ที่ไม่มีประโยชน์อื่นๆไม่ให้เข้าสู่ระบบการหมักของเราค่ะ

    (หารูปประกอบยังมิได้เลยจ้า)
     
  11. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,348
    ค่าพลัง:
    +3,864
    หารูปประกอบไมไ่ด้ก็วาดเองเลยแล้วกัน ลายมือพอรับไหวเนาะ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. dididada

    dididada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +120
    น้ำหมักมะกรูดจะมีสรรพคุณในเรื่องของระบบภายในผู้หญิงด้วยนะคะ จะบอกให้นะเอ่ย
     
  13. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อะโห..จริงเหรอคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
     
  14. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627

    นานมากแล้วช่วงที่ผมเริ่มสนใจน้ำ EM และได้ศึกษาไปเรื่อยจนรู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องนี้ไว้แล้ว ประโยชน์มีมากมาย จนคิดจะทำไว้กินที่บ้าน เลยปรึกษา
    ภรรยาที่บ้าน แต่เรื่องตกไปเพราะไม่ผ่านการอนุมัติ จะพยายามนำข้อมูลมาลงให้นะครับ
     
  15. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    สันตุฏฐิสูตร


    [๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัย ๔ อย่างนี้ ทั้งน้อย หาได้ง่าย และ
    หาโทษมิได้ ปัจจัย ๔ อย่างเป็นไฉน คือ บรรดาจีวร บังสุกุลจีวร ทั้งน้อย
    หาได้ง่าย และหาโทษมิได้ ๑ บรรดาโภชนะ คำข้าวที่หาได้ด้วยปลีแข็ง ทั้งน้อย
    หาได้ง่าย และหาโทษมิได้ ๑ บรรดาเสนาสนะ รุกขมูล ทั้งน้อย หาได้ง่าย
    และหาโทษมิได้ ๑ บรรดาเภสัช มูตรเน่า ทั้งน้อย หาได้ง่าย และหาโทษ
    มิได้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัย ๔ อย่างนี้แล ทั้งน้อย หาได้ง่าย หาโทษ
    มิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัย อันน้อยและหา
    ได้ง่าย เราจึงกล่าวข้อนี้ว่า เป็นองค์แห่งความเป็นสมณะอย่างหนึ่งของเธอ ฯ
    เมื่อภิกษุสันโดษด้วยปัจจัยอันหาโทษมิได้ ทั้งน้อยและหา
    ได้ง่าย ปรารภเสนาสนะ จีวร ปานะ และโภชนะ จิตของเธอ
    ก็ไม่คับแค้นไม่กระทบกระเทือนทุกทิศ และธรรมเหล่าใด
    อันภิกษุนั้นกล่าวแล้ว อนุโลมแก่สมณธรรม ธรรมเหล่านั้น
    อันภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความสันโดษถือเอาโดยยิ่ง ฯ


    อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


    อรรถกถา ........

    บทว่า ปูติมุตฺตํ ได้แก่ น้ำมูตรอย่างใดอย่างหนึ่ง.
    กายแม้มีผิวดังทอง เขาก็เรียกว่ากายเน่าฉันใด
    แม้น้ำมูตรที่ใหม่เอี่ยม เขาก็เรียกว่าน้ำมูตรเน่าฉันนั้น.



    ***********************************************


    [๑๒๐] สมัยหนึ่ง .........ฯลฯ

    ดูกร อนุรุทธะ ในกาลใดแล เธอจักตรึกมหาปุริสวิตก ๘ ประการนี้ และจักเป็นผู้ได้
    ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ นี้อันมีในจิตยิ่ง
    เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ในกาลนั้น ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า จักปรากฏ
    แก่เธอผู้สันโดษ ... ด้วยการก้าวลงสู่นิพพาน เปรียบเหมือนเภสัชต่างๆ คือ
    เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ของคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี
    ฉะนั้น ฯ


    อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
    อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
    อนุรุทธสูตร



    อรรถกถา ........

    บทว่า ปูติมุตฺตํ ความว่า มูตรอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ที่ถือเอาในขณะนั้น
    ท่านก็เรียกว่า มูตรเน่าเหมือนกัน เพราะมีกลิ่นเหม็น.


    ***********************************************
     
  16. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    การดื่มน้ำมูตรเน่า

    น้ำมูตรเน่า ก็คือน้ำมูตรหรือน้ำปัสสาวะ แม้ออกมาจากร่างกายใหม่ ๆ ก็เรียกว่า น้ำมูตรเน่า ทั้งนี้เพราะออกมาจากร่างกายที่มีการเน่าเปื่อยผุพังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แม้ปัสสาวะที่ยังอุ่น ๆ อยู่ก็ชื่อว่าเน่าแล้ว ประโยชน์สำคัญของการดื่มปัสสาวะมีอยู่ 2 ประการ คือ

    1.ใช้ลดไข้
    ขณะที่คนไข้กำลังมีไข้ขึ้นสูง จะรู้สึกไม่สบายตัว และอาจเกิดอันตรายต่อคนไข้ได้ มีความจำเป็นจะต้องรีบลดไข้ลง โดยทั่วไปใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาเช็ดตัวสักครู่ ไข้ก็จะลดลง เพราะถ้าใช้น้ำอุ่นการดึงความร้อนออกจากภายในร่างกายไม่ดี และถ้าใช้น้ำเย็นจะทำให้เส้นเลือดบริเวณผิวหนังหดตัว การระบายความร้อนออกก็ไม่ดี วิธีนี้เป็นการลดไข้จากภายนอก
    พระธุดงค์นิยมลดไข้จากภายใน คือ ดื่มน้ำปัสสาวะตนเอง เนื่องจากปัสสาวะเป็นสิ่งที่ร่างกายขับออกไปแล้ว เมื่อดื่มกลับเข้าไปอีก ร่างกายก็จะรีบไล่ตะเพิดให้ขับปัสสาวะออกโดยเร็ว ยิ่งตะเพิดออกได้เร็วเท่าไร ความร้อนภายในก็ถูกดึงออกมาเร็วเท่านั้น ทำให้สามารถลดไข้ ลดความร้อนภายในลงได้ฮวบฮาบทีเดียว ในกรณีอยู่ลำพังคนเดียวไม่มีใครมาเช็ดตัวให้ การดื่มปัสสาวะตนเองจึงเป็นวิธีลดไข้ที่ดีที่สุด
    ปัสสาวะที่จะใช้ดื่มนั้น โดยทั่วไปปล่อยทิ้งไว้สักครู่ให้เย็นแล้วจึงดื่ม ปริมาณที่จะดื่ม ใครดื่มเต็มที่ได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนจะดื่มกี่ครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับว่า ไข้ลดลงได้มากน้อยเท่าไรแล้ว ถ้ายังลดไม่พอใจก็ดื่มเข้าไปอีก 1-2 เที่ยวติดต่อกันก็ได้ ไม่มีอันตรายใด ๆ

    2. ใช้รักษาโรค
    เมื่อพระภิกษุอาพาธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ใช้น้ำมูตรเน่าหรือปัสสาวะตนเองบำบัดรักษา เป็นวิธีการรักษาความเจ็บไข้ด้วยตัวเองนานกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ทุกวันนี้ก็ยัง ทันสมัยอยู่
    ทำไมถึงให้ใช้ปัสสาวะของตัวเอง ตามธรรมดาเมื่อมีอะไรแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จะสร้างเม็ดเลือดขาว เสมือนทหารที่ฝึกดีแล้ว เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมด้วยการสร้าง สารชนิดหนึ่งออกมาเสมือนอาวุธชีวภาพ เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก ๆ สารเหล่านี้จึงผ่านกระบวนการกรองออกมาปนกับปัสสาวะได้ ดังนั้นเมื่อดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่งก็มีผลทำนองเดียวกับการให้เซรุ่ม เป็นการเพิ่มอาวุธชีวภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะเจาะจงให้กับทหาร ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ จนกระทั่งมันลดจำนวนเหลือน้อย ร่างกายก็ฟื้นจากโรคได้โดยเร็ว
    อีกทั้งเป็นเสมือนการฉีดวัคซีนหรือการปลูกฝี คือการนำเชื้อโรคปริมาณน้อยและ เพียงพอต่อการสร้างภูมิต้านทานมาฉีดเข้าไปในร่างกาย ทหารในร่างกายก็จะออกมาทำงานสร้างอาวุธชีวภาพที่เฉพาะกับเชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อเชื้อโรคปริมาณน้อยนี้หมดไป แต่อาวุธชีวภาพ ภายในร่างกายไม่ได้หมดตาม ยังคงเตรียมพร้อมที่จะใช้ต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดนี้หากเข้ามาในร่างกายอีก ดังนั้นเมื่อเราดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง สิ่งแปลกปลอมที่ปนมากับปัสสาวะ ก็จะเป็นตัวไปกระตุ้นให้ทหารผลิตอาวุธชีวภาพ ที่เฉพาะเจาะจงกับสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ และพร้อมที่จะใช้ต่อสู้ เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ กลับเข้ามาในร่างกายอีก
    การดื่มน้ำมูตรเน่า จึงสมดังพุทธพจน์ที่ว่า
    "อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน

    การรักษาสุขภาพตามพุทธวิธี
     
  17. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือกจัดเสวนา เรื่อง “น้ำปัสสาวะรักษาโรค” พระดุษฎี เมอังกุโร สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร กล่าวว่า การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคมีตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย เป็นแนวทางยังชีพของพระสงฆ์เรียกว่า นิสัย 4 ได้แก่

    1.ต้องนุ่งห่มด้วยผ้า 3 ชิ้น นำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีราคานำมาทำความสะอาด ตัดเย็บอย่างง่าย ๆ ไม่มีราคา ตัดปัญหาเรื่องถูกลักขโมย

    2.อาศัยอยู่โคนต้นไม้ ได้รับอากาศบริสุทธิ์

    3.ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรเท่านั้น การเดินเท้าเปล่าในยามเช้าได้รับแสงแดดและเป็นการนวดเท้าไปในตัว

    4.ฉันน้ำมูต(น้ำปัสสาวะ)เมื่ออาพาท เจ็บป่วย โดยนิสัย 4 กำหนดไว้ชัดเจนในพระไตรปิฏก

    “ใน สมัยพุทธกาลเขียนไว้ว่า พระสงฆ์ที่ผอมเหลืองให้ฉันน้ำมูตโค คืออินเดียเขานับถือวัว นำน้ำปัสสาวะวัวมาดองสมอไทย สมอภิเษก ฉันรักษาอาการอาพาท แต่พระสายวัดป่าเวลาธุดงค์ จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค อย่างไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ฉันสมุนไพรแล้วก็นั่งสมาธิ ทำจิตแน่วแน่ ไม่หายก็ตาย พระธุดงค์ผ่านโรคนี้ได้ ถือว่าเป็นพระที่ผ่านภาวะวิกฤต มีความเข้มแข็ง มีสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง ด้านเภสัชบริขาลไม่ได้เขียนไว้มากนัก”พระดุษฎี กล่าว

    พระดุษฎี กล่าวด้วยว่า ที่สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ มีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งที่ดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาอาการเจ็บป่วย เช่นอาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก อีกทั้งการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นการ “วัดใจ” เพราะกลิ่นของปัสสาวะแต่ละคนมีรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน หากกินเนื้อ ชา กาแฟ เบียร์ ดื่มน้ำสะอาดน้อยจะส่งผลต่อรสชาติ ถ้ากินอาหารโปรตีนน้อย ดื่มน้ำมาก กลิ่นของปัสสาวะจะไม่แรง ส่วนตัวเห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะไม่น่าเสียหาย เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ การที่หมอแผนปัจจุบันไม่สนับสนุนอาจเป็นเพราะหมอยังไม่ได้มีความรู้เกี่ยว กับประโยชน์ของปัสสาวะ หมอเลือกพูดแต่สิ่งที่ตัวเองรู้ ขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ จึงขาดโอกาสที่จะบำบัดด้วยธรรมะโอสถ

    “ส่งเสริมให้ดื่มน้ำปัสสาวะมาก ขึ้น หมอก็ไม่ได้เงินเพิ่ม คือ เราไม่ได้ใช้เงินซื้อ อย่างสาหร่าย ยาราคาแพง อาหารเสริมต้องใช้เงินซื้อ บางอย่างก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่น้ำปัสสาวะ บางคนลองแล้วได้ผล บางรายได้ผลน้อย บางรายยังไม่เห็นผล แต่เราก็ไม่เสียเงินซื้อ ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ วันละ 1-2 ครั้ง ไม่ใช่ดื่มวันละ 7-8 แก้ว ร่างกายยังต้องการน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นอาตมาเห็นว่า ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นข้อพิสูจน์ให้คนยุคปัจจุบันเห็น แต่สมัยพุทธกาลได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้แล้ว”พระดุษฎี กล่าว

    นาย ไพฑูรย์ เจียรณาสาธิต เจ้าของสวนปาล์มในจังหวัดชุมพร หนึ่งในผู้มีประสบการดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาโรค กล่าวว่า คนที่ยังไม่เคยลองดื่มก็ยังไม่รู้ว่า น้ำปัสสาวะมีสรรพคุณอย่างไร เหมือนการนั่งสมาธิ ทุกคนรู้ว่าสมาธิดี ให้ความสงบ แต่หากไม่ลงมือปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่า จิตเกิดความสงบอย่างไร ครั้งแรกที่ตนฟังพระสิงห์ทน บรรยายเรื่องน้ำปัสสาวะรักษาโรค เกิดความอยากรู้ จึงทดลองดื่ม ครั้งแรกก็รู้ว่ารสชาติแย่มาก แต่ถือเป็นการเอาชนะใจตัวเอง ต่อมาเรียนรู้ว่าการจะให้น้ำปัสสาวะมีรสชาติดื่มง่าย ต้องงดอาหารเย็น ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ ดื่มนมหรือน้ำเต้าหู้ รสชาติปัสสาวะจะมีกลิ่นหอมเหมือนปัสสาวะเด็กทารก

    “รสชาติปัสสาวะบอก ภาวะสุขภาพเราได้ ถ้าเค็ม แสดงว่า วันนั้นดื่มน้ำน้อย รสขม แสดงว่าเรากินอาหารที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย รสเปรี้ยว แสดงว่าอาหารที่กินมีสารกันบูด คือสุขภาพดีไม่ดี น้ำปัสสาวะตอนเช้าบอกเราได้ ยิ่งทางใต้มีอาหารสะตอ ลูกเนียง ถ้ามื้อเย็นกิน เปิดหน้าต่าง 3 บานกลิ่นก็ยังไม่หมด ทำให้เราระมัดระวังในการกินอาหาร เมื่องดมื้อเย็นน้ำหนักก็ลดลงผมเป็นโรคภูมิแพ้ เป็นหวัดตลอดปีเพราะภาคใต้ฝนตกบ่อย แต่พอดื่มน้ำปัสสาวะเช้า 1 แก้ว ไม่เป็นหวัดมา 2 ปีแล้ว ถ้ามีอาการปวดหัว เจ็บคอจะดื่มเช้า 1 แก้ว เย็น 1 แก้ว อาการดีขึ้นชัดเจน ถ้าภาวะปกติดื่มเฉพาะเช้า 1 แก้ว”นายไพฑูรย์ กล่าวและว่า ขณะนี้ภรรยาซึ่งเป็นพยาบาล รวมทั้งลูกสาวอายุ 7 ขวบก็หันมาดื่มน้ำปัสสาวะ นอกจากผลด้านโรคภูมิแพ้แล้ว อาการปวดเมื่อยจากการขนปาล์มน้ำมันก็บรรเทาลง อีกทั้งศีรษะที่เคยล้านเถิกก็มีผมขึ้นดกดำ

    นายไพฑูรย์ ย้ำว่า การดูแลสุขภาพต้องทำแบบองค์รวม คือดูเรื่องอาหารการกิน การฝึกสมาธิ ทำใจให้สงบ ผู้ที่กำลังตัดสินใจว่า จะดื่มน้ำปัสสาวะหรือไม่นั้น ตนเห็นว่า ทดลองดูก็ไม่เสียหาย

    ด้าน น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งหนึ่ง กล่าวว่า จากการค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต พบว่า มีการประชุมระดับโลกเกี่ยวกับน้ำปัสสาวะรักษาโรคแล้ว 3 ครั้ง ที่อินเดีย เยอรมนีและบราซิล มีการรายงานน้ำปัสสาวะรักษาอาการปวดข้อ ไมเกรน ภูมิแพ้ โรคเอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ แผลไฟไหม้ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทารักษาเชื้อราตามผิวหนัง สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว

    “หมออยากให้ มองน้ำปัสสาวะรักษาโรคเป็นแบบองค์รวมทั้งทางกายและทางจิต คนที่เจ็บป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็ต้องไปหาหมอ พิจารณาการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นทางเลือกเสริม”น.พ.บรรจบ กล่าว

    น.พ.บรรจบ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศมีการวิเคราะห์น้ำปัสสาวะ พบว่า ประกอบด้วยน้ำร้อยอละ 95 ยูเรียร้อยละ 2 ที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ ข้อมูลทางวิชาการที่หาได้จากอินเตอร์เน็ตระบุว่า ยูเรียในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง แต่หากมีมากจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์ ส่วนที่เป็นสารอื่น ๆ มีทั้งฮอร์โมนและสารเคมีกระตุ้นการเจริญเติบโต น้ำปัสสาวะมีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจเรียกว่า ยูโรไคเนส บริษัทยาในสหรัฐได้ตั้งจุดเก็บกักน้ำปัสสาวะกว่า 10,000 แห่ง นำน้ำปัสสาวะ 40 ล้านแกลลอนมาสกัดเอาสารยูโรไคเนส ได้ 40 แกลลอน สกัดส่งขายทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 สารตัวนี้มีมูลค่าการตลาดประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังพบสารอิเล็กโตรพล็อยติน กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้นอนหลับดี

    “ช่วง ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขออกมาห้าม เตือนอันตรายจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ก่อนที่จะเตือนประชาชนหรือห้ามนั้น หน่วยงานของรัฐควรมีข้อมูลที่ชัดเจนก่อน หากไม่มีข้อมูลแต่ห้ามเลย เป็นการปิดทางเลือกของประชาชนหรือไม่”น.พ.บรรจบ กล่าว


    น้ำปัสสาวะบรรเทาโรค ธรรมะโอสถสูตรโบราณกาล
     
  18. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    การรักษาโดยใช้สมุนไพร หรือที่เรียกว่า การรักษาแผนโบราณ ถ้าจะถามว่ามีมาแต่สมัยใดหรือเมื่อไร คงจะตอบยาก หรือตอบไม่ได้เลย หรือถ้าจะมีผู้ตอบได้ ก็กรุณาตอบผ่านทาง “หมอชาวบ้าน” ให้ผู้เขียนและคนอื่น ๆ ได้รับทราบด้วย

    ผู้อ่านเห็นหัวข้อเรื่องยาว ๆ นี้ คงจะงง ไม่ต้องงงหรอก พระพุทธองค์ไม่ได้มีแต่ธรรมมะอย่างเดียวที่ตรัสสอนแนะนำพุทธบริษัทหากพระองค์ทรงเป็นแพทย์ด้วย รักษาพุทธบริษัททั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ใครประสบทุกข์ด้วยเรื่องใด ไม่ว่าทางด้านร่างกายและจิตใจ พระองค์ทรงรักษาหายหมด ซึ่งมีปรากฏในคัมภีร์ชาดกหลายต่อหลายแห่งด้วยกัน

    แต่สำหรับในเรื่องนี้ ผู้เขียนจะเขียนเรื่องยาดองสมุนไพรที่พระองค์ทรงประทานไว้แก่ภิกษุ เมื่อเกิดอาพาธ และภิกษุ-สามเณร ที่บวชในพุทธศาสนานี้ จะต้องศึกษาในเบื้องต้น นั่นก็คือ อนุศาสน์ 8 อย่าง มีนิสัย 4, อกรณียกิจ 4, นิสัย 4 ก็มี 1. เที่ยวบิณฑบาต 2. อยู่โคนต้นไม้ 3. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล และ 4. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า สามข้อแรกข้างต้น ผู้เขียนจะไม่เขียนถึง จะเขียนเฉพาะข้อที่ 4 คือ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า เอ๊!...ยาดองชนิดนี้มันอะไรกัน ไม่ต้องสงสัยหรอก ผู้เขียนจะพยายามเขียนสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ พระพุทธองค์ตรัสว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธออาพาตไม่สบาย จงทำยาดองด้วยลูกมะขามป้อมและลูกสมอ ซึ่งพวกเธอนำลูกมะขามป้อมและลูกสมอมาทุบให้แตกแล้วใส่ลงในภาชนะและถ่ายปัสสาวะลงไปในภาชนะนั้น แช่ไว้ประมาณ 7 วัน แล้วก็เอามาฉัน อาพาธของเธอก็จะหาย”

    นี่แหละ ยาดองสมุนไพรที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสแนะนำภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์
    ก่อนที่จะเขียนต่อไปถึงเรื่องวิธีทำ ผู้เขียนใคร่จะเขียนถึงสรรพคุณของลูกมะขามป้อมและลูกสมอสักเล็กน้อย เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงสรรพคุณยาดองสมุนไพรขนานนี้ ว่าใช้แก้โรคอะไรได้บ้าง
    ลูกมะขามป้อม รสฝาดเปรี้ยว แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอดี แก้ไข้
    ลูกสมอไทยอ่อน รสเปรี้ยว แก้โลหิตในท้อง แก้น้ำดี แก้เสมหะ ระบายอุจจาระ
    ลูกสมอไทยแก่ รสเปรี้ยวฝาด ขม แก้ไข้เพื่อลม แก้เสมหะ แก้ไข้เพื่อเสมหะ
    ท่านผู้อ่านก็พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าใช้แก้โรคอะไร และยาขนานนี้ถ้าสรรพคุณไม่ดีจริง ๆ พระพุทธองค์ก็คงจะไม่ตรัสสอนแนะนำให้ภิกษุทำใช้ทำฉัน


    วิธีทำ ก็ไม่ยากเพียงแต่ท่านนำลูกมะขามป้อมแก่ ๆ มาสัก 9 ลูก หรือมากกว่านี้ก็ได้ แล้วทุบให้แตก ใส่ลงไปในขวดหรือในโหล แล้วก็นำลูกสมอไทยแก่มาเท่ากัน ทุบให้แตกอีกเช่นกัน ใส่ลงไปในขวดหรือในโหลอันเดียวกัน แล้วท่านก่ายปัสสาวะลงไปในขวดหรือโหลนั้น ประมาณสัก 2 หรือ 3 ครั้ง เอาจนท่วมลูกมะขามและลูกสมอ แล้วทิ้งไว้สัก 7 หรือ 9 วันก็ได้ ยิ่งเขย่าขวดได้ทุกวันยิ่งดี

    เรื่องกลิ่น ธรรมดาว่า ปัสสาวะของคนเราจะเหม็นสาบ แต่ท่านไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องกลิ่นว่าจะเหม็นสาบอยู่เช่นเดิม ตรงกันข้าม คือไม่มีกลิ่นปัสสาวะเลย แถมจะมีกลิ่นหอมของมะขามป้อมและสมอเสียด้วย

    เรื่องสี ธรรมดาว่า ปัสสาวะของคนเราจะมีสีต่าง ๆ กัน บางคนก็มีปัสสาวะสีใส บางคนก็สีชา อันนี้ท่านก็ไม่ต้องวิตกกังวลอีก ลูกมะขามป้อมและลูกสมอมันจะกันสีเหล่านั้นให้หายไปหมด จะกลายเป็นสีใสแจ๋วไปเลย สีใสยิ่งเสียกว่าน้ำฝนอีก ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองทำดู ว่าจะเป็นอย่างที่ผู้เขียนเขียนมาหรือไม่ ประหยัดไม่ต้องลงทุนให้เสียเงินเลย
    ผู้เขียนเองก็เคยทำฉันมาแล้วหลายครั้ง และก็ไม่ได้ฉันผู้เดียวด้วย พระ-เณร หลายองค์ก็พลอยได้ฉันน้ำปัสสาวะของผู้เขียนสบายไปหลายองค์ เรื่องสรรพคุณเห็นทีจะไม่ต้องบอกก็ได้ใช่ไหม ว่าแก้โรคอะไร สงสัยอ่านทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอ่านเรื่องสรรพคุณของลูกมะขามป้อมและลูกสมอไทย ท่านก็จะเข้าใจเอง

    ขนาดที่กิน กินก่อนอาหารครั้งละประมาณถ้วยชาจีน (ประมาณ 8 ถึง 10 ช้อนชา) ฆราวาสก็ทำกินรักษาโรคได้ ไม่เฉพาะแต่ภิกษุ-สามเณร ที่ผู้เขียนเขียนมานี้ ขอท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งหลงเชื่อง่าย ๆ ขอให้ทดลองทำดูเสียก่อน ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขียนแล้ว ถึงค่อยเชื่อ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ไม่ให้เชื่อใครหรืออะไรง่าย ๆ ขอให้พิจารณาให้เห็นจริงแล้วถึงค่อยเชื่อ

    ยาดองสมุนไพร มูลนิธิหมอชาวบ้าน
     
  19. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    ได้มาจาก web ลานธรรมเห็นว่าน่ารักดีครับ

    น้ำมูตรเน่าคือยาสูตรพระพุทธเจ้านะ
    วิธีดองก็ตำลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้
    หรือสองอย่างเลยก็ได้
    ตำไม่ต้องเละอะ เหมือนทุบกระเทียมไปเจียว
    ใส่เท่าไหร่ก็ตามใจ ยิ่งใส่เยอะก็ยิ่งลดกลิ่น
    หมักไว้จนใสแจ๋วก็หม่ำได้เลย
    ไม่ต้องนับวันอะ
    ฉี่ตัวเองเท่านั้นนะ
    ไม่รู้ว่าซื้อที่ไหนแต่สวนจตุจักรน่าจะมี
    สมอลูกคล้ายๆมะกอก มะขามป้อมคล้ายๆมะยม
    ใส่ขวดอะไรก็ตามใจ ขวดโค้กก็ได้
    ระวังคนอื่นเอาไปกินละกัน
    แปะป้ายไว้ว่าฉี่ข้าพเจ้า


    การดื่มน้ำมูตรเน่า
     
  20. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนาด้วยนะคะ สำหรับข้อมูล แต่ว่า ยังทำใจไม่ได้อ่ะ ที่จะดื่มปัสสาวะตัวเอง แฮะ แฮะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...