♣:เบิกบานกลางคลื่นลม:♣

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 21 ธันวาคม 2008.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    เบิกบานกลางคลื่นลม

    คอลัมน์ มองอย่างพุทธ

    โดย พระไพศาล วิสาโล เครือข่ายพุทธิกา http://budnet.info



    [​IMG]





    เมื่อต้องเดินกลางแจ้ง แดดกล้า พายุฝน หรือคลื่นลมแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนส่วนใหญ่จึงร้อนเมื่อถูกแดดกล้า เปียกปอนเมื่อเจอห่าฝน หรือกังวลเมื่อโดนลมแรงพัดกระหน่ำ แต่สำหรับคนที่มีร่มอยู่กับตัว แดดกล้า พายุฝน หรือคลื่นลมย่อมทำอะไรได้ยาก

    ใช่หรือไม่ว่าการดำเนินชีวิตก็ไม่ต่างจากการเดินทางไกลในที่โล่ง ย่อมต้องประสบกับความผันผวนแปรปรวนของโลกรอบตัว ต้องเผชิญกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และต้องพานพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความพลัดพรากสูญเสีย และอุปสรรคนานาประการ นอกจากดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจแล้ว ผู้คนรอบข้าง อาชีพการงาน ตลอดจนความเป็นไปของบ้านเมือง ก็ยังพลิกผันเป็นนิจ นี้คือความจริงของชีวิตที่หลีกไม่พ้น และอยู่เหนือการควบคุมของเรา ผู้ที่เอาชีวิตผูกติดกับโลกรอบตัวย่อมระส่ำระสายเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่สำหรับผู้ที่มีธรรมรักษาใจ ความผันผวนแปรปรวนของโลกและชีวิตย่อมทำให้เป็นทุกข์ได้ยาก แม้ลมแรง แดดร้อน ฝนกระหน่ำ แต่ใจก็ยังเบิกบานอยู่เสมอ

    ความสุขของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลกภายนอกเสมอไป สำหรับผู้ที่ปรารถนาความสุขที่แท้จะพบกับสิ่งนั้นได้ก็จากใจของตนเท่านั้น การเอาความสุขของตนไปผูกติดกับโลกภายนอกย่อมพบกับความทุกข์อยู่ร่ำไป แม้จะประสบสุขก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต่อเมื่อเข้าถึงธรรม มีสติดูแลใจ มีปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต แม้ทุกข์มากระทบ ใจก็ไม่กระเทือน หรือแม้ใจจะทุกข์ แต่ในที่สุดก็ยังหาสุขพบ

    เมื่อทบทวนเหตุการณ์บ้านเมืองในรอบปี ปฏิเสธไม่ได้ว่า สำหรับคนไทยทั้งประเทศ 2551 เป็นปีที่ไม่ราบรื่นสดใสเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ขึ้นปีใหม่ได้แค่ 2 วัน ประเทศไทยก็สูญเสียพระผู้เป็นมิ่งขวัญของปวงชน คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนความขัดแย้งทางการเมืองก็ปะทุขึ้นมาใหม่ นำไปสู่การชุมนุม เดินขบวน และเผชิญหน้ากันระหว่างคนในชาติ ไม่เฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่ลามไปตามหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศ จนในที่สุดก็เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต ยังไม่นับความเสียหายเหลือคณานับอันเนื่องจากการยึดสนามบินสำคัญ 2 แห่ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังกระจายไปทั่วทั้งโลก และซัดกระหน่ำประเทศไทยหนักขึ้นเรื่อยๆ

    อย่างไรก็ตาม มองในแง่ดีก็คือ แม้ว่าความขัดแย้งจะรุนแรงเพียงใด เหตุการณ์นองเลือดหรือสงครามกลางเมืองก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่หลายคนวิตก การเมืองบนท้องถนนลดความตึงเครียดลงไปก่อนที่ปีเก่าจะผ่านพ้นไป ทำให้ผู้คนสามารถยิ้มออกได้บ้างในเทศกาลปีใหม่ และช่วยให้มีเวลาครุ่นคิดเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าเข้ามาในอีกไม่นานนี้

    ไม่ว่าอนาคตจะน่าวิตกเพียงใด พึงระลึกไว้เสมอว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ อุปสรรคทั้งปวงนั้นสามารถพลัดพรากทรัพย์สิน บั่นทอนสุขภาพ และขัดขวางการงานของเราได้เสมอ แต่มันไม่สามารถยัดเยียดความทุกข์ หรือช่วงชิงความสุขไปจากเราได้เลยหากเราไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของมัน สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ สูญเสียเพียงใดก็ยังสามารถสุขได้หากวางใจให้เป็น เช่น นึกถึงคนที่ทุกข์กว่าเรา หรือนึกถึงวันคืนที่เราเคยทุกข์กว่านี้แต่ก็ยังยิ้มหัวได้ ยิ่งเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่นหรือห่วงหาอาลัยในสิ่งที่เคยมี ไม่ตีตนไปก่อนไข้หรือวิตกกังวลล่วงหน้า หากยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปฏิเสธผลักไสหรือก่นด่าชะตากรรม เมื่อนั้นก็ไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใดๆ ทำอะไรเราได้เลย

    การยอมรับความจริงไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน แต่หมายถึงการยอมรับว่าความพลัดพรากสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีอกชกหัวหรือเสียดายอาลัยสิ่งต่างๆ แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือโทษใครต่อใคร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนตัวเองให้ทดท้อและเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาตั้งสติเพื่อคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงหรือบรรเทาเบาบาง

    จริงอยู่ปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญร่วมกันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไข แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่เราจะมามัวกลัดกลุ้ม หรือวิตกกังวลกับอนาคต อย่าลืมว่าอนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งแปลว่าอาจไม่เกิดขึ้นเลยหรือไม่ร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็ได้ มีคนเป็นอันมากที่ไม่เคยคิดฝันว่าธุรกิจอันรุ่งโรจน์ของตนจะพังพินาศเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทันทีที่รู้ว่าตนเป็นหนี้นับร้อยๆ ล้าน ในเวลาชั่วข้ามคืน หลายคนรู้สึกว่าหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต อนาคตดับวูบ วันข้างหน้ามีแต่ความมืดมนจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี หลายคนกลับพบว่าความเป็นจริงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตนวาดภาพเอาไว้ ในที่สุดตนเองก็สามารถตั้งตัวขึ้นได้ใหม่ ความสุขกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเหล่านั้นไม่มัวจมปลักอยู่กับความทดท้อสิ้นหวังหรือวิตกกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่พยายามทุ่มเทให้กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด

    ยิ่งอนาคตดูหม่นหมอง ก็ยิ่งต้องใช้เวลาและพลังงานที่มีอยู่เพื่อการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะนั่นคือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนาได้ หากเราเอาเวลาและพลังงานที่เคยเสียไปกับการบ่น ก่นด่า โวยวาย หรือกลัดกลุ้ม วิตกกังวล มาใช้ในการลงมือแก้ไขปัญหา โดยจดจ่ออยู่กับการทำวันนี้ ชั่วโมงนี้ให้ดีที่สุด แน่ใจได้เลยว่าเราจะเป็นทุกข์น้อยลง และสามารถขจัดปัดเป่าปัญหาได้เร็วขึ้น อย่าลืมว่า ปัจจุบันคือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เราพอจะทำอะไรได้ ในขณะที่เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ส่วนอนาคตก็ยังอยู่ในจินตนาการ

    มีภาษิตทิเบตกล่าวว่า "หากปัญหานั้นแก้ไขได้ จะมัววิตกกังวลทำไม แต่ถ้าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ มีประโยชน์อะไรที่จะวิตกกังวล" พูดง่ายๆ ก็คือ ความวิตกกังวลนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย การให้ความสำคัญกับการทำแต่ละขณะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต่างหากคือสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนาได้ แม้ผลที่เกิดขึ้นแต่ละขณะจะดูน้อยนิด แต่หากทำไม่หยุดและให้เวลานานพอ ก็สามารถก่อตัวชัดเจน เป็นผลอันยิ่งใหญ่ได้ ทะเลเกิดขึ้นจากอะไรหากไม่ใช่จากหยดน้ำทีละหยดที่มารวมกัน

    เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปฏิเสธ ผลักไส หรือต่อต้านขัดขืน จากนั้นก็รับมือกับปัญหาด้วยความเพียรเต็มที่ ไม่เสียเวลาไปกับการฟูมฟายถึงอดีต หรือวิตกกังวลถึงอนาคต การรับมือกับปัญหานั้น ไม่ได้หมายถึงการจัดการปัจจัยภายนอกเท่านั้น สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือ การปรับตัวปรับใจด้วย เช่น ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในกรณีที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ลดความต้องการสิ่งเสพให้น้อยลง และควรฝึกตนให้เข้าถึงความสุขที่ประณีตขึ้น

    สุขที่ประณีตนั้นเป็นสุขที่ไม่อิงสิ่งเสพ จึงไม่ต้องใช้เงิน เช่น สุขจากการได้อยู่กับครอบครัว พบปะมิตรสหาย ทำงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ ได้ชื่นชมธรรมชาติ รวมถึงสุขจากการได้ทำความดี และเจริญสมาธิภาวนา เป็นต้น ทุกวันนี้ผู้คนเหินห่างจากสุขที่ประณีต จึงหลงใหลกามสุขหรือสุขจากการเสพ แต่เมื่อใดก็ตามที่เข้าถึงสุขอันประณีตได้ วัตถุสิ่งเสพก็มีเสน่ห์น้อยลง ความต้องการมีเงินมากๆ ไว้แสวงหาสิ่งเสพก็ลดลงไปด้วย

    การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดยังหมายถึงการรู้จักชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าปัญหาจะรุมเร้าหรือสูญเสียพลัดพรากเพียงใด ก็พึงระลึกว่าเรายังมีสิ่งดีๆ อยู่กับตัวอีกมากมาย ซึ่งบ่อยครั้งเรามักมองข้ามไป อาทิ ครอบครัว คนรัก สุขภาพ วิชาความรู้ และสติปัญญา แม้แต่การมีร่างกายปกติ อาการครบ 32 ก็ถือว่า เป็น "โชค" อย่างยิ่งแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ถามคนพิการดู ถึงที่สุดแล้วการมีชีวิตและลมหายใจก็เป็นสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งที่เราไม่ค่อยตระหนักจนกว่าความตายจะมาประชิดตัว สิ่งดีๆ เหล่านี้ผู้คนมักเห็นค่าเมื่อสูญเสียมันไป แต่ทำไมเราต้องรอให้ถึงวันนั้นก่อนจึงจะเห็นคุณค่า ทำไมเราไม่ชื่นชมสิ่งเหล่านี้เสียแต่บัดนี้

    หากเราสามารถชื่นชมสิ่งดีๆ ที่เคยมองข้ามไปได้ ก็ไม่ยากที่เราจะสามารถมองเห็นข้อดีของปัญหาที่มารุมเร้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ล้วนมีข้อดีทั้งนั้น ความเจ็บป่วยอย่างน้อยก็ช่วยให้เรามีโอกาสพักผ่อน ได้อยู่ใกล้ครอบครัวและคนรักมากขึ้น สำหรับหลายคนนี้เป็นสัญญาณเตือนให้หันมาสนใจธรรมะและได้เข้าถึงความสุขที่ประณีต เมื่อพบว่าตกงานหลายคนเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้กลับไปอยู่บ้านและมีเวลาให้กับพ่อแม่มากขึ้น ถึงที่สุดแล้วแม้ยังมองไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย สิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราก็มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ดีที่ยังไม่แย่ไปกว่านี้ ตกงานก็ยังดีที่ยังมีเงินเก็บอยู่ เงินหายก็ดีกว่าสูญรถ เป็นเบาหวานก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง

    มองในแง่ดีสถานการณ์รอบตัวเวลานี้เป็นสิ่งท้าทายสติปัญญาของเรา ในขณะที่หลายคนกำลังเป็นทุกข์ เต็มไปด้วยความกังวลว่าเมื่อไรการเมืองจะสงบ ทำไมผู้คนแตกแยกกัน ทำอย่างไรเศรษฐกิจจึงจะดีขึ้น อีกกี่ปีเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้ถามเท่าไรก็คือ ทำไมเราต้องเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับสถานการณ์ภายนอกด้วย ใช่หรือไม่ว่าผู้คนเป็นทุกข์กันมากทุกวันนี้ก็เพราะเอาความสุขของตนไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอกตลอดเวลา

    คำถามก็คือ เราสามารถที่จะเป็นสุขท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนได้ไหม คำตอบคือได้ เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่เอาความสุขของเราไปฝากไว้กับสถานการณ์รอบตัว คำตอบคือได้ และเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย ความสุขที่แท้มีอยู่แล้วในใจเรา ขอเพียงเรามีสติกำกับใจ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

    การทำใจได้เช่นนี้มิใช่อะไรอื่นหากคือ สิ่งประเสริฐหรือ "พร" ที่สำคัญสำหรับปีใหม่นี้ ที่แล้วมาเรามักขอพรจากคนโน้นคนนี้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาสร้างพรด้วยตัวเอง นั่นคือเอาธรรมมากำกับใจเพื่อสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ โดยไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนปรวนแปรของโลก

    โลกจะวุ่นวายร้อนรุ่มเพียงใด ใจก็ยังสามารถสงบเย็นได้ ใจที่สงบเย็นนี้แหละที่จะช่วยให้สติกลับมาและปัญญาเพิ่มพูนจนนำพาชีวิตให้พ้นวิกฤต ใจจึงเบิกบานได้เสมอแม้วันนี้คลื่นลมจะแรงก็ตาม

    -------
    [​IMG]
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01211251&sectionid=0121&day=2008-12-21
     

แชร์หน้านี้

Loading...