1. กามภูมิ 2. รูปภูมิ 3. อรูปภูมิ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย disproject, 13 มกราคม 2008.

  1. disproject

    disproject เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +244
    1. กามภูมิ (Sensuous Planes)

    กามภูมิ คือภูมิระดับล่าง มีทั้งสิ้น 11 ภูมิ แบ่งออกเป็น อบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 และ สุคติภูมิ 7



    อบายภูมิ คือภูมิชั้นต่ำ มี 4 ชั้น เป็นภูมิของความชั่วช้าต่าง ๆ นรกภูมิ คือภูมิชั้นต่ำที่สุดในอบายภูมิ ที่ยังมีลึกซ้อนกันลงไปอีกถึง 8 ชั้น มหาอเวจีนรก คือชั้นนรกที่ต่ำที่สุด ผู้ที่กระทำบาปอันเป็น อนันตริยกรรม 5 คือ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อขึ้นไป ทำลายหรือยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน จะไปเกิดในขุมนรกชั้นนี้ ถัดขึ้นมาคือ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสุรกายภูมิ ตามลำดับ

    สุคติภูมิิ คือภูมิชั้นสูงขึ้นมา ได้แก่ภูมิของมนุษย์และภูมิของเทวดาอีก 6 ชั้น (ภูมิเทวดาทั้ง 6 รวมเรียกว่า ฉกามาพจร) ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในกามภูมิ คือยังหลงมัวเมาอยู่ในกามกิเลส



    นรกภูมิ (Woeful State)

    สัตว์ที่มาเกิดในภูมินี้ประกอบด้วยอกุศลจิต เหตุมาจาก โลภ โกรธ หลง ทำบาปด้วยกาย ปาก และใจ

    ทางกาย 3 คือ ฆ่าคนฆ่าสัตว์ด้วยตั้งใจ ลักทรัพย์ เป็นชู้

    ทางปาก 4 คือ พูดโกหก พูดยุแหย่ ติเตียนนินทาพูดคำหยาบ พูดตลกเล่นอันมิควรพูด

    ทางใจ 3 คือ ไม่ชอบว่าชอบและชอบว่าไม่ชอบ อาฆาตพยาบาท คิดปองร้ายเพื่อเอาทรัพย์สินผู้อื่น

    ย่อมไปเกิดในนรกใหญ่ทั้ง 8 อยู่ใต้แผ่นดินลงไป ล่างสุดคือ มหาอเวจีนรก บนสุดคือ สัญชีพนรก นรกใหญ่ 8 อันนี้ เป็น 4 มุม มี 4 ประตู อยู่ 4 ทิศ เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ไม่มีที่ว่างเลย เต็มไปด้วยฝูงสัตว์นรกเบียดเสียดกันอยู่ มีไฟลุกอยู่ชั่วกัลป์ ไฟที่ลุกเกิดจากบาปกรรมของผู้นั้นเอง นรกใหญ่แต่ละอันมีนรกบ่าว 16 อัน ด้านละ 4 นรกบ่าวยังมีนรกเล็กหรือยมโลก อยู่โดยรอบ 40 เหล่ายมบาลจะอยู่ในนรกบ่าว

    ยมบาลนั้นเมื่อเป็นคนทำทั้งบาปและบุญ ตายไปเกิดในนรก 15 วัน เป็นยมบาล 16 วัน ดังเช่นเปรตบางตน กลางวันเป็นเปรต กลางคืนเป็นเทวดา กลางวันเป็นเทวดา กลางคืนเป็นเปรต บุญมากกว่าบาปก็ไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อน แล้วมารับโทษในนรกภายหลัง บาปมากกว่าก็มารับโทษก่อนแล้วเสวยสุขภายหลัง บุญและบาปเท่ากัน ก็ไปเป็นยมบาล ผู้ที่มีแต่บาปจะไปเกิดในนรกใหญ่ 8 อันนี้



    เดรัจฉานภูมิ (Animal Kingdom)

    สัตว์ที่เกิดในภูมินี้ เป็นสัตว์ที่มีตีนและไม่มีตีน เวลาเดินเอาอกคว่ำลง ได้แก่ ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็ด ไก่ นก แมลง ดำรงชีวิตด้วย กามสัญญา อาหารสัญญา มรณสัญญา มักไม่รู้จักบุญ รู้จักธรรม ไม่รู้จักค้าขาย ทำไร่ไถนา ล่ากินกันเอง



    เปรตภูมิ (Ghost-Sphere)

    ผู้ที่ทำบาปหยาบช้าจะมาเกิดในภูมินี้ แล้วแต่บาปที่กระทำ เช่น ตัวงามดั่งทองแต่ปากเหม็นเต็มไปด้วยหนอน เนื่องเพราะเคยบวชรักษาศีล แต่ชอบยุยงให้หมู่สงฆ์ผิดใจกัน บางตัวงามดั่งท้าวมหาพรหม แต่ปากเป็นหมู อดหยากนักหนา เมื่อก่อนได้บวชรักษาศีลบริสุทธิ์ แต่ด่าว่าครูบาอาจารย์และพระสงฆ์ผู้มีศีล บางตัวผอมโซกินลูกตัวเองที่คลอดออกมา เพราะเคยรับทำแท้งให้ชาวบ้าน บางตัวสูงเท่าต้นตาล ผมหยาบตัวเหม็น อดหยากไม่มีข้าวน้ำกิน เพราะไม่เคยทำบุญให้ทาน แม้เห็นใครทำก็ห้าม บางตัวเพียรเอาสองมือกอบข้าวที่ลุกเป็นไฟมาใส่หัวอยู่อย่างนั้น เพราะเคยเอาข้าวไม่ดีปนกับข้าวดีหลอกขายชาวบ้าน เปรตบางตัวมีอายุ 100 ปี บางตัวอายุ 1,000 ปี บางตัวชั่วกัลป์ ไม่ได้กินข้าว กินน้ำ แม้แต่หยดเดียว 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์



    อสุรกาย (Host of Demons)

    อสุรกายมี 2 จำพวก คือ กาลกัญชกาอสูรกาย ร่างกายผอมสูง 2,000 วา ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ ดั่งไม้แห้ง ตาเล็กเท่าตะปู ปากเท่ารูเข็ม ตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม เวลากินต้องหัวลง ตีนชี้ฟ้า ลำบากยากนักหนา ส่วนทิพยอสูรกาย ตัวสูง หน้าตาน่าเกลียด ท้องยาน ฝีปากใหญ่ หลังหัก จมูกเบี้ยว แต่ยังมีช้างม้า ข้าไท มีรี้พลดั่งพระอินทร์ อยู่ในอสูรพิภพ ใต้แผ่นดินลึกลงไปถึง 84,000 โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ 4 เมือง 4 ทิศ มีพระยาอสูรอยู่เมืองละ 2 เมืองทางทิศเหนือมีพระยาอสูรชื่อ ราหู มีอำนาจและกำลังกว่าพระยาอสูรทั้งหลาย มีร่างกายใหญ่โต 48,000 โยชน์ หัวโดยรอบ 900 โยชน์ สามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าไว้ในปาก ที่คนทั้งหลายเรียกว่า สุริยคราส หรือ จันทรคราส




    มนุษยภูมิ (Human Realm)

    ภูมิของมนุษย์เป็นภูมิระดับสูงกว่าอบายภูมิ เป็นชั้นแรกของสุคติภูมิ แต่ยังรวมอยู่ภูมิใหญ่คือ กามภูมิิ สัตว์อันเกิดในมนุษยภูมินี้ แรกก่อกำเนิดในครรภ์เรียก กลละ (รูปเมื่อเริ่มในครรภ์) มีรูป 8 คือ ปฐวีรูป-ดิน อาโปรูป-น้ำ เตโชรูป-ความร้อน วาโยรูป-ลม กายรูป-ตัวตน ภาวรูป-เพศ หทัยรูป-ใจ ชีวิตรูป-ชีวิต ก่อกำเนิดจาก 3 สิ่งก่อน คือ กายรูป ภาวรูป หทัยรูป ผสมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วรวมกับ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโน คนโธ รโส โอชา ประกอบกันเป็นองค์ 9 แล้วจักษุ-ตา โสต-หู ฆาน-จมูก ชิวหา-ลิ้น จึงตามมา เมื่อเริ่มเป็นกลละได้ 7 วัน ดั่งน้ำล้างเนื้อ ต่อไปอีก 7 วัน ข้นเป็นดั่งตะกั่วหลอม อีก 7 วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ อีก 7 วันเป็นตุ่มออก 5 แห่ง ตุ่มนั้นเป็นมือ 2 ตีน 2 และหัว 1 แล้วต่อไปทุก ๆ 7 วัน เป็นฝ่ามือ นิ้วมือ ผม ขน เล็บ และอวัยวะอื่น ๆ อันประกอบเป็นมนุษย์ กุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่และเอาหลังมาชนหนังท้องแม่ ฝูงกุมารมนุษย์อันเกิดมาดีกว่า เก่งกว่าพ่อแม่ เรียก อภิชาตบุตร ดีเสมอพ่อแม่ เรียก อนุชาตบุตร ด้อยกว่าพ่อแม่ หรือบุตรที่ทราม เรียก อวชาตบุตร



    จาตุมหาราชิกา-ดาวดึงสภูมิ (Realm of the Four Great Kings-Realm of the Thirty-three Gods)

    เหนือมนุษยภูมิขึ้นมาจะเป็นภูมิของเหล่าเทพยดา มี่ทั้งสิ้น 6 ชั้น รวมเรียกว่า ฉกามาพจรภูมิ แต่ยังอยู่ในภูมิระดับล่างคือกามภูมิ

    จาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป 46,000 โยชน์ มีพระยาผู้เป็นเจ้าทั้ง 4 รวมเรียกว่า พระยาจตุโลกบาล มีหน้าที่คอยสอดส่องดูมนุษย์ที่ประกอบผลบุญ แล้วรายงานต่อพระอินทร์ เพื่อให้ได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์

    ดาวดึงภูมิ อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก 46,000 โยชน์ มีพระอินทร์เป็นเจ้าแก่พระยาเทพยดาทั้งหลาย ที่รายล้อมออกไปทั้งสี่ทิศ รวม 72 องค์ เหล่าเทพยดามี 3 จำพวกคือ

    สมมุติเทวดา คือฝูงท้าวและพระยาในแผ่นดินผู้รู้หลักแห่งบุญธรรมและกระทำโดยทศพิธราชธรรมทั้ง 10 ประการ

    อุปปัติเทวดา คือ เหล่าเทพยดาในพรหมโลก

    วิสุทธิเทวดา คือ พระพุทธปัจเจกโพธิเจ้า และพระอรหันต์สาวกเจ้า ผู้เสด็จเข้าสู่นิพพาน

    ยามาภูมิ (Realm of the Yama Gods)

    อยู่สูงกว่าชั้นดาวดึงส์ขึ้นไปอีก 84,000 โยชน์ อยู่เหนือพระอาทิตย์และพระจันทร์ แสงสว่างในภูมินี้ เกิดจากรัศมีของเหล่าเทวดาในชั้นนี้เอง

    ดุสิตาภูมิ (Realm of Satisfied Gods)

    สูงกว่ายามาสวรรค์อีก 168,000 โยชน์ เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์และพระศรีอาริย์

    นิมมานรดีภูมิ (Realm of Gods who rejoice in their own creations)

    สูงขึ้นไปอีก 336,000 โยชน์ เหล่าเทพยดาในชั้นนี้ต้องการสิ่งใดเนรมิตเอาเองได้ดั่งใจตน

    ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (Realm of Gods who lord over the creation of others)

    สวรรค์ชั้นที่สุดของฉกามาพจรภูมิ สูงสุดในระดับกามภูมิ อยู่ถัดขึ้นไปอีก 672,000 โยชน์ เหล่าเทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้ อยากได้สิ่งใดก้เนรมิตเอาเองได้ตามประสงค์ มีพระยาผู้เป็นเจ้าแห่งเทพยดาทั้งหลาย 2 องค์ มีอายุตั้งแต่ 500-16,000 ปีทิพย์ (500 ปีทิพย์ = 9 ล้านปีมนุษย์)




    2. รูปภูมิ (Form Planes)

    ภูมิระดับกลาง เป็นรูปพรหม มี 16 ชั้น แบ่งออกเป็น ปฐมฌานภูมิ 3 ทุติยฌานภูมิ 3 ตติยฌานภูมิ 3 และจตุตฌานภูมิ 7 อยู่เหนือสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีภูมิขึ้นไปนับประมาณไม่ได้ ผู้ที่จะมาเกิดในพรหมโลกนี้ ต้องจำเริญสมาธิภาวนา จำเริญกรรมฐาน เพื่อบำบัด ปัญจนิวรณ์ คือ

    กามฉันทะ ความพอใจในกาม
    พยาบาท ความคิดร้ายเคืองแค้นใจ
    ถีนมิทธะ ความหดหู่เซื่องซึม
    อุทธัจจกุกกุจจะ ความกระวนกระวายใจ
    วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย



    จะได้เกิดเป็นพรหมใน ปฐมฌานภูมิ (First-Jhana planes) ถ้าจำเริญภาวนาฌานให้สูงขึ้นไป เมื่อสิ้นอายุจะไปเกิดใน ทุติยฌานภมิิ (Second-Jhana planes) ตติยฌานภูมิ (Third-Jhana planes) และ จตุตฌานภูมิ (Fourth-Jhana planes) ตามลำดับ พรหมในรูปภูมินี้มีแต่ผู้ชายไม่มีผู้หญิง มีตา หู จมูก มีตัวตน แต่ไม่รู้กลิ่นหอมหรือเหม็น ไม่รู้รส ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ยินดีในกาม ไม่รู้หิว ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ เนื้อตัวเกลี้ยงเกลา ส่องสว่างกว่าพระอาทิตย์พระจันทร์พันเท่า ผู้ที่ได้จตุตฌานเต็มที่ เมื่อสิ้นอายุจะได้เกิดแต่ใน ปัญจสุทธาวาส (ภูมิ 5 ชั้นสุดท้ายของรูปภูมิ) จะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อีก จนได้เข้าสู่นิพพาน ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้จตุตฌานเต็มที่ เมื่อสิ้นอายุ ใจนั้นก็คืนสู่ปกติดั่งคนทั้งหลาย แล้วไปเกิดตามบุญและบาปต่อไป




    3. อรูปภูมิ (Formless Planes)

    ภูมิระดับสูง มี 4 ชั้น อยู่สูงสุดขอบกำแพงจักรวาล เหล่าพรหมในชั้นนี้ไม่มีตัวตน มีเพียงแต่จิต ผู้ที่จะมาเกิดในภูมินี้ต้องจำเริญภาวนาฌาน พิจารณาขันธ์ห้าจนเข้าถึงอรูปฌาน คือไม่ยินดีในร่างกายตน ปรารถนาที่จะไม่มีตัวตน จะได้มาเกิดใน อากาสานัญจายตนภูมิ (Realm of infinite space) คือภพของผู้เข้าถึงฌานอันกำหนดอากาศเป็นช่องว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ มีอายุยืน 20,000 มหากัลป์ แล้วกำหนดจิตให้สูงขึ้น ปรารถนาให้อยู่เหนืออากาศ จนได้เกิดใน วิญญาณัญจายตนภูมิ (Realm of infinite consciousness) คือภพของผู้กำหนดวิญญาน อันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ มีอายุยืน 40,000 มหากัลป์ เมื่อพิจารณาภาวนาฌานให้สูงขึ้น จนได้ฌานกำหนดอันกำหนดภาวะที่ ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ จึงได้เกิดใน อากิญจัญญายตนภูมิ (Realm of nothingness) มีอายุยืน 60,000 มหากัลป์ แต่ยังไม่พอใจใคร่จะได้ไปเกิดในพรหมชั้นสูงขึ้นไป จนจิตเข้าถึงสภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ถึงภูมิชั้นสูงสุดในไตรภูมิ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ (Real of neither perception nor non-perception) พรหมโลกชั้นนี้มีสมาบัติยิ่งกว่าพรหมทุกแห่ง สามารถเห็นชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นอินทร์ และชั้นพรหม ดุจเห็นมะขามป้อมกลางฝ่ามือ มีจิตอันเป็น โสภณเจตจิต คือสภาวะธรรมที่ดีงามเกิดดับพร้อมกับจิต มีอายุยืนถึง 84,000 มหากัลป์




    อนิจจลักษณะ (Impermanence)

    เหล่าฝูงสัตว์ในภูมิ นรก เปรต ดิรัจฉาน และ อสุรกาย เมื่อสิ้นแก่อายุ จะไปเกิดในภูมิเดิม ถ้าได้เคยทำบุญกุศลมาก่อนก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดในภูมิเทพยดา แต่ไม่สามารถไปเกิดในภูมิของพรหมทั้ง 20 ชั้นได้ ฝูงสัตว์ที่เป็นมนุษย์ มี 2 จำพวกคือ อันธปุถุชน คือผู้ที่ทำแต่ความชั่วช้าต่าง ๆ เมื่อตายจากมนุษย์ย่อมไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะอัปลักษณ์บัดสี กัลยานปุถุชน คือผู้ที่ฝักใฝ่ประกอบแต่กรรมดี เมื่อตายได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป ยกเว้นปัญจสุทธวาส หรือได้ไปสู่นิพพานก็มี เหล่า เทพยดาในฉกามาพจรภูมิ เมื่อสิ้นอายุ ถ้าไม่ได้มรรคผล อาจเกิดในภูมิเดิม ภูมิมนุษย์ หรืออบายภูมิ ถ้าได้มรรคผล จะไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ พรหมในรูปภูมิ เมื่อสิ้นอายุ อาจมาเกิดในสุคติภูมิ หรือถ้าได้มรรคผลก็จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นไป แต่จะไม่เกิดในอบายภูมิ เหล่าฝูง พรหมในอรูปภูมิ เมื่อสิ้นอายุ อาจลงมาเกิดในสุคติภูมิ แต่จะไม่เกิดในอรูปภูมิชั้นที่ต่ำกว่า หรือในรูปภูมิ และจะไม่ได้เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าฌานที่สูงขึ้น ก็ได้ไปเกิดในอรูปภูมิชั้นที่สูงกว่า ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันเกิดในไตรภูมินี้ ย่อมไม่มั่นคง ย่อมรู้ฉิบหาย รู้ตายจาก รู้พลัดพราก ไม่ว่าพระอินทร์หรือพระพรหม ยังคงมีเกิดและดับ ย่อมเวียนว่ายอยู่ในไตรภูมินี้ เนื่องมาแต่เหตุแห่งสภาวะจิต ยังรับแรงกระทบจากกิเลส ประดุจดังหยดน้ำตกกระทบผิวน้ำ ผิวน้ำย่อมเกิดระลอกสั่นไหว ถ้าจิตเราไม่รับสนองต่อสิ่งที่มากระทบ จิตนั้นย่อมนิ่งย่อมสงบ





    นิพพาน (Nibbana)

    ความสุขใด ๆ ในเทวโลกหรือพรหมโลกจะเทียบเท่านิพพานสุขนั้นหาไม่ เปรียบได้ดั่งแสงหิ่งห้อยหรือจะสู้แสงดวงตะวัน หยดน้ำอันติดอยู่ปลายผมหรือจะเทียบกับน้ำในมหาสมุทร เพราะหยุดเหตุแห่งการเกิดและดับ นิพพานมี 2 จำพวก คือ

    กิเลสปรินิพพาน (Nibbana with the substratum of life remaining) นิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังเสวยอารมณ์ที่น่าชอบใจและไม่ชอบใจทางอินทรีย์ 5 รับรู้สุขทุกข์ คือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ

    ขันธปรินิพพาน (Nibbana without any substratum of life remaining) ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือนิพพานของพระอรหันต์ผู้ระงับการเสวยอารมณ์ทั้งปวงแล้ว



    ไตรภูมิกถานี้ได้แสดงให้เห็นว่า แม้จะได้มรรคผลสูงจนถึงที่สุดแห่งภูมิ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ในอรูปภูมิ แต่จิตนั้นยังมีสัญญาอยู่ในสภาวะที่ยังไม่แน่นอน จึงมีดับและเกิด แต่ถ้าได้พิจารณาอริยสัจ 4 สามารถดับเบญจขันธ์คือ ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เท่ากับได้ดับกิเลสและกองทุกข์ เข้าสู่สภาวะที่เป็นสุขสูงสุด คือ นิพพาน เพราะไร้กิเลสไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพอันสมบูรณ์
     
  2. disproject

    disproject เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +244
    ภูเขาสิเนรุ

    เป็นศูนย์กลางของมงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้
    เป็นเขาที่ละเอียดมองไม่เห็นด้วยตา

    จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์
    ส่วนที่เป็นพื้นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
    โดยมีพื้นน้ำรองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์
    น้ำนี้ตั้งอยู่บนลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์

    เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล
    ยอดเขาสิเนรุ เป็นผืนแผ่นดินแห่งแรก
    ที่โผล่ขึ้นหลังจากโลกธาตุได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำ
    ซึ่งทำลายขึ้นไปจนถึงเทวโลก และพรหมโลก
    คือ ถึง ชั้นสุภกิณหา (ตติยฌานภูมิ ๓)

    แผ่นดินที่โผล่เป็นครั้งแรกนี้ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น ดาวดึงสาภูมิ
    ภูมิที่อยู่สูงขึ้นไป คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี
    ต่อจากนั้นก็เป็นภูมิของ รูปพรหม ๑๖ ชั้น และ อรูป พรหม ๔ ตามลำดับ
    ภูมิเหล่านี้สถิตอยู่สูงขึ้นไป ต่อจากยอดเขาสิเนรุทั้งสิ้น


    ขุนเขาสิเนรุ สูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์
    จมอยู่ในมหาสมุทรสีทันดรครึ่งหนึ่ง
    คือหยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
    และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
    วัดรอบเขาได้ ๒๕๒,๐๐๐ โยชน์ พื้นดินยอดเขาประกอบด้วย
    รัตนะ ๗ ตามไหล่เขา ๔ ด้าน...ด้านตะวันออกเป็น เงิน
    ด้านตะวันตก เป็น แก้วผลึก...ด้านใต้ เป็นแก้ว มรกต
    ด้านเหนือเป็น ทอง...น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ ใบไม้
    ที่อยู่ในด้านนั้น ๆ จะเป็น สีน้ำเงิน สีผลึก สีเขียว สีทอง
    ตามสีของไหล่เขานั้นด้วย

    กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ
    รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
    ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้
    ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
    ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล
    เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย

    ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร
    มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
    ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
    ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
    ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
    ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
    ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

    รอบเขาสิเนรุ มีภูเขาล้อมรอบอยู่ ๗ รอบ
    เป็นภูเขาทิพย์ เรียกว่า สัตตบรรพ์
    รอบที่ ๑ ชื่อว่า ยุคันธร
    รอบที่ ๒ ชื่อว่า อีสินธร
    รอบที่ ๓ ชื่อว่า กรวิก
    รอบที่ ๔ ชื่อว่า สุทัสสนะ
    รอบที่ ๕ ชื่อว่า เนมินธร
    รอบที่ ๖ ชื่อว่า วินัตตถะ
    รอบที่ ๗ ชื่อว่า อัสสกรรณ

    นอกจากนี้ ยังมีภูเขาจักรวาล ซึ่งเป็นภูเขาที่กั้นระหว่างจุฬโลกธาตุด้วย

    ในสารัตถทีปนีฎีกา กล่าวไว้ว่า
    มหานรก ทั้ง ๘ ขุม และ อุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกบริวารของมหานรก
    ตั้งอยู่ที่ใต้พื้นดินธรรมดา ลึกลงไปตรงกันกับชมพูทวีป
    รวมเนื้อที่กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ สูง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม
     
  3. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    disproject
    ขอบคุณมากครับ
    เข้ามาอ่านได้ความรู้ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...