3วัน มหัศจรรย์ในจีน แกะรอยตระกูลโค้ว

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 15 ตุลาคม 2006.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มาหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน

    http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01tra01151049&day=2006/10/15

    วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10445​
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>
    3วัน มหัศจรรย์ในจีน แกะรอยตระกูลโค้ว


    คอลัมน์ บันทึกเดินทาง

    โดย จิรศักดิ์ จาตุพรพิพัฒน์

    </TD><TD vAlign=top align=right>
    [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]เป็นความใฝ่ฝันมานานแล้วว่า สักวันหนึ่งหากมีโอกาสจะเดินทางไปเที่ยวประเทศจีน

    แล้วก็สบโอกาสเมื่อได้ร่วมไปในโครงการ "เชื่อมวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวไทย-จีน ระหว่างตระกูลแซ่โค้ว"

    นอกจากเป็นการตามรอยบรรพบุรุษตระกูลแซ่ "โค้ว" ที่หมู่บ้านปั๊กซัว อ.โพยวเล้ง มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นบรรพบุรุษต้นสายตระกูลแซ่โค้วในจังหวัดตรัง ยังถือเป็นโอกาสของการเชื่อมต่อเส้นทางการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน ระหว่างจังหวัดตรัง กับจังหวัดซัวเถา เขตเศรษฐกิจพิเศษ มณฑลกวางตุ้ง ต่อไปในอนาคต

    แถมด้วยการดูงานด้านการท่องเที่ยวในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ใหญ่แค่ไหน ต้องเอาประเทศไทย 18 เท่ามาต่อกันจึงจะมีพื้นที่เท่ากับประเทศจีน

    จีนมีประชากรประมาณ 1,300 คน ยังไม่รวมชาวจีนที่ออกพื้นที่ไปอาศัยอยู่ทั่วมุมโลก ซึ่งว่ากันว่า หากนำชาวจีนทั่วมุมโลกมาอุจจาระพร้อมๆ กัน จะทำให้แกนโลกเอียงถึง 5 องศา

    ด้วยจำนวนประชากรที่มากมาย ทำให้เมื่อมีคนตายจะต้องส่งไปโรงงานและเข้าคิวรอเผา ยกเว้นคนที่มีฐานะสามารถซื้อดินบริเวณภูเขาสำหรับฝังศพได้

    เป้าหมายแรกของการเดินทางคือ กรุงปักกิ่ง มีไก๊ด์ท้องถิ่นพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนให้การต้อนรับพร้อมที่จะนำคณะเที่ยว ให้ความรู้และศึกษาดูงานตลอดทริปแห่งความมหัศจรรย์

    ช่วงที่เดินทางเป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี ใบไม้บริเวณเกาะกลางและสองข้างทางทั้งต้นหยาง สน หลิว ขวาย และต้นแปะก๊วย เริ่มร่วงโรยลงบนพื้น อากาศเย็นสบายอยู่ในะหว่าง 16-30 องศา

    ชีวิตผู้คนชาวปักกิ่งดูพลุกพล่านสับสนวุ่นวาย สภาพบ้านเมืองทั้งโรงแรม คอนโดฯ อาคารสำนักงาน แฟลต สูงกว่า 10 ชั้นขึ้นไปผุดเป็นตารางหมากรุก

    สภาพการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนมีสภาพเหมือนกรุงเทพคับคั่ง ติดขัด บีบแตรส่งเสียงดังลั่นสนั่น ทั้งๆ ที่การพัฒนาเส้นทางคมนาคมด้วยการก่อสร้างถนนวงแหวน 6สายด้วยกัน

    สาเหตุประการหนึ่งมาจากปริมาณรถที่มากขึ้นทุกวัน ร้านขายรถขายได้วันละ 1,000 คัน อีกทั้งกำลังมีการพัฒนาเมืองเพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิค ในปี 2008 โดยมีการสร้างรถไฟใต้ดินกลางเมือง และสร้างรถไฟลอยฟ้าออกไปตามบริเวณชานเมือง

    ยานพาหนะที่ชาวกรุงปักกิ่งใช้อยู่นอกจากจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถเมล์ ส่วนใหญ่จะถีบรถจักรยาน เนื่องจากที่นี่ไม่อนุญาตให้ใช้รถจักรยนต์ยนต์ เพราะไม่ต้องการให้เกิดสภาพมลภาวะเป็นพิษ

    ในช่วงเช้าๆ หรือเย็นๆ จึงเห็นผู้คน เด็กนักเรียน คนเฒ่าคนแก่ให้ลูกหลานซ้อนท้ายถีบรถจักรยานบนท้องถนนไปพร้อมๆ กับรถชนิดต่างๆ อย่างไม่ต้องกลวว่าจะถูกชน เนื่องจากถ้าหากรถคันไหนชนคนถีบรถจักรยานเสียชีวิตจะถูกปรับถึง 300,000 หยวน (1 หยวนประมาณ 5 บาท)

    สำหรับชาวบ้านที่ใช้รถเมล์ในการเดินทาง จ่ายค่าเดินทางกำหนดไว้เบื้องต้น 10 กม.ต่อ 1 หน่วย ตลอดสายไม่เกิน 3-4 หยวน รถเมล์ 2 ชั้นจะมีทีวีสีไว้บริการ

    แม้การจราจรกลางกรุงปักกิ่ง พลุกพล่าน คับคั่ง แต่ไม่มีตำรวจจราจร เพราะใช้วิธีตั้งกล้องวิดีโอตรวจจับ

    อ้อ! บริเวณเขตเมืองเก่าจะไม่มีห้องน้ำ แต่ทางทางการจัดห้องน้ำสาธารณะไว้คอยบริการชาวบ้านโดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการแต่อย่างใด

    ภายในกรุงปักกิ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายแห่ง ซึ่งเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก

    อาทิ "พระราชวังฤดูร้อน" หรือที่เรียกกันว่า "สวนสาธารณะอี้เหอหยวน" ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่กว่า 1,800 ไร่ สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1888 โดยพระนางซูสีไทเฮาใช้งบประมาณกองทัพเรือของชาติ ซึ่งเป็นเงินแท่ง 5 ล้านตำลึงมาก่อสร้างใช้เป็นที่ตากอากาศ

    จริงๆ แล้วพระนางซูสีไทเฮา เดิมเป็นเพียงหญิงสามัญ แต่งงานมีสามีมีฐานะร่ำรวย ต่อมาเมื่อตกพุ่มหม้าย ความที่เป็นหญิงใฝ่สูง ทะเยอทะยาน นางจึงอาศัยหยกจำนวนหนึ่งที่สามีมอบไว้ให้ก่อนตาย ติดสินบนขันทีผู้ติดตามพระจักรพรรดิ โดยนางทำทีแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม เล่นพิณขณะพระจักรพรรดิเสด็จผ่าน จึงได้เข้าวังเป็นสนมในที่สุดหลังจากพระจักรพรรดิสิ้นพระชนม์จึงเข้ากุมอำนาจว่าราชการหลังม่านไม้ไผ่เป็นเวลานานถึง 48 ปี

    พระนางซูสีไทเฮาได้ชื่อว่าเป็นคนที่เก่ง แต่โหดร้ายมาก จะสังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างหน้าสำนักที่ว่าราชการจะมีรูปปั้นหงษ์เหนือมังกร หมายถึงสตรียิ่งใหญ่กว่าบุรุษอกสามศอก

    ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ เขา "ว่านโซ่วซาน" (ภูเขาอายุยืน) และทะเลสาบ "คุนหมิงหู" มีวิหาร ตำหนัก พลับพลา และเก๋งจีนหลายรูปหลากแบบตั้งลดหลั่นกันไป

    จากนั้นคณะได้เข้าชม "พระราชวังต้องห้าม" (กู้กง) ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 500 ปี สร้างขึ้นในสมัยพระจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นทั้งบ้านและชีวิตของพระจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้น 24 พระองค์

    ว่ากันว่าที่ต้องสร้างพระราชวังแห่งนี้ เนื่องจากชาวจีนถือว่าจักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรหลานแห่งสวรรค์ ดังนั้น วังแห่งบุตรหลานแห่งสวรรค์จึงเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับคนสามัญธรมดา

    ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ได้รับการบรรจุอยู่ในโปรแกรมทัวร์ทุกทริป

    ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ รวมถึง 9,999 ห้อง ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ด้านหน้าเป็นที่ว่าราชการ ด้านหลังเป็นที่ตั้งของพระตำหนัก 3 หลังคือ ตำหนักไท่เหอ จงเหอ และตำหนักเป่าเหอ

    ในส่วนของภูเขาซึ่งสำหรับจักรพรรดิชมวิวนั้น เป็นภูเขาทำขึ้นโดยใช้กำลังคนขนหิน มีนาฬิกาแดดไว้ดูเวลา ห้องฉลองวันเกิดของพระมเหสี ห้องปฏิบัติราชการของพระจักรพรรดิ บันไดหินอ่อนสลักรูปมังกร 9 ตัว ทอดยาวระหว่างพระตำหนัก

    ถ้าเดินทะลุออกประตูพระราชวังทางด้านเหนือก็จะพบ "จัตุรัสเทียนอันเหมิน" ลานกว้างมีเนื้อที่ประมาณ 440,000 ตารางเมตร ใจกลางเมืองปักกิ่ง

    สำหรับนักท่องเที่ยว ให้ระวังนิดนึงเรื่องธนบัตรปลอม โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ภายในกรุงปักกิ่ง ซึ่งแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก หากซื้อสินค้าได้รับเงินทอนโอกาสที่จะได้ธนบัตรปลอมมีสูงมาก

    รุ่งเช้าเป็นคิวของ "กำแพงเมืองจีน" หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ก่อสร้างมานานกว่า 2,000 ปี โดยพระจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้

    เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้างทางทหารเพื่อป้องกันประเทศที่ยิ่งใหญ่ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานที่สุดมีความยาว 6,350 กม. ประกอบด้วย 4 ส่วนคือส่วนกำแพงสูงราว 3-8 เมตร ยอดกำแพงกว้าง 4-6 เมตร หอสังเกตการณ์ ตัวด่านหรือป้อมปราการและหอส่งสัญญาณ

    การเดินทางท่องเที่ยวชมความงามและความมหัศจรรย์ภายในกำแพงเมืองจีน จะต้องมีความพร้อมด้านพละกำลังโดยเฉพาะกำลังขา

    ปัจจุบัน กำแพงเมืองจีนเป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจของชาวจีนทั้งชาติ แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นเลขหลักหมื่นต่อวัน

    "หอฟ้าเทียนถาน" เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เป็นสถานที่บวงสรวงเทพยดา บูชาฟ้า บรรพบุรุษ และเทวดาของจักรพรรดิ ภายในประกอบด้วย ตำหนักฉีเหนียนเตี้ยน ตำหนักหวงฉงอี่ และตำหนักลานหยวนชิว มีเนื้อที่ประมาณ 1,700ไร่

    สถานที่บูชาฟ้าจะเป็นลานกว้างมีลักษณะเป็นหินซ้อนกันเป็นวงกลมอยู่กึ่งกลางของโลก ซึ่งพระจักรพรรดิใช้ติดต่อกับเทวดา

    ส่วนภายในห้องบูชาบรรพบุรุษ จะมีอุปกรณ์เตรียมเครื่องเซ่นไหว้ ป้ายเทวดา 5 องค์ จากนั้นจะมีทางสวรรค์ความยาว 350 เมตร กว้างประมาณ 1 เมตรครึ่งขนาบด้วยทางเดินของจักรพรรดิ เป็นเขตอันศักดิสิทธิ์ของจักรพรรดิ ซึ่งจะเดินทางมาทำพิธีบวงสรวงเพียงปีละครั้ง

    ด้านหลังหอฟ้าเทียนถาน มีระเบียงทอดยาว ปัจจุบันเป็นสถานที่ให้ผู้สูงอายุที่เกษียณราชการมาพักผ่อน ด้วยการเล่นไพ่ ร้องเพลง เต้ารำ เล่นดนตรี รำไท้เก๊ก งิ้ว หมากรุก และออกกำลัง

    เป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่ราชการให้กับชาวจีนที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว นอกเหนือจากการได้รับทั้งเงินเดือน ส่งผลให้วิถีชีวิตของคนแก่ในเมืองจีนมีความสุขไม่ต้องกลัวว่าลูกหลานจะทอดทิ้ง

    เที่ยวชมเมืองหลวงของจีนแล้ว ก็ถึงเวลาไปตามรอยบรรพบุรุษตระกูลแซ่โค้ว ที่บ้านปั๊กซัว อ.โพยวเล้ง มณฑลกวางตุ้ง

    มณฑลกวางตุ้ง เป็นเขตการปกครองหนึ่งในจํานวน 28 มณฑล จํานวนประชากรมีประมาณ 82 ล้านคน ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจอีกแห่งที่มีการพัฒนาอย่างรุดหน้าของจีน

    ภายในมณฑลกวางตุ้งแบ่งการปกครองออกเป็นอําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน ด้วยปัจจัยของจํานวนมหึมาของประชาชน ทําให้พื้นที่ทุกตารางเมตรริมถนนเส้นทางที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างอําเภอ ถูกปลูกสร้างด้วยอาคารบ้านเรือน แฟลต คอนโดฯอย่างเบียดชิดไม่เหลือที่ว่างมองให้เห็นอย่างเย็นตากันเลย

    กระนั้นก็ยังมีบ้านคนจีนยากจนที่ก่อสร้างด้วยอิฐแดงเป็นกระต๊อบเล็กๆ ขนาด 8X10 เมตร เรียงรายเป็นทิวแถว ประมาณ 500 หลัง ชาวบ้านเรียกว่า "บ้านขาสิงห์-ขาเสือ" เนื่องจากด้านหน้าฝาบ้านทั้งซ้ายและขวายื่นออกมาประมาณ 1 เมตร จากนั้นจะเป็นส่วนของประตูบ้าน

    ภายในบ้านจะแบ่งส่วนกลางเป็นห้องรับแขก ด้านซ้าย-ขวาแบ่งเป็นห้องนอน ห้องครัว และห้องนํ้า

    แม้จะดูเป็นระเบียบ แต่ก็ยังสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่ายังคงต้องต่อสู้ชีวิตกับความยากจนอยู่ต่อไป

    สิ่งที่แตกต่างกับบ้านเราเห็นจะเป็นเส้นทางเดินทางระหว่างอําเภอในมณฑลกวางตุ้งจะเป็นถนน 6 เลนมาตฐานตลอดสายเพียงแต่เกิดความชํารุดบ้างบางจุด เพราะรถราที่วิ่งกันอย่างคับคั่ง

    บ้านปั๊กซัวแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 2,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุกว่า 40 ปี

    วิถีชีวิตทั่วไปค่อนข้างอัตคัดขัดสน ชาวบ้านยังดํารงชีพด้วยการอาศัยทําการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งทางการจะมอบที่ดินให้คนละประมาณครึ่งไร่ สําหรับทํานา ปลูกผัก เมื่อเหลือกินเหลือใช้แล้ว ก็นําไปขายซึ่งถือว่าส่วนนี้จะเป็นรายได้ของแต่ละครอบครัวไป

    ขณะที่แม่บ้านส่วนใหญ่จะรับจ้างเย็บเสื้อผ้าโหลหารายได้พิเศษ

    หลังหมู่บ้านจะมีภูเขาเป็นป่าต้นนํ้าซึ่งทางการสร้างเป็นอ่างเก็บนํ้าไว้ให้ชาวบ้านทําการเกษตร ทั้งยังเป็นที่ตั้งของสุสานบรรพบุรุษตระกูล "แซ่โค้ว"

    เล่ากันว่า ชาวบ้านปั๊กซัวเมื่ออดีตต้องอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อหนีสงครามและความยากจนถึง 2 ครั้ง 2 หน

    รุ่นแรกอพยพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ 1,000 คน โดยการเดินเท้าไปขึ้นเรือบริเวณเกาะหม่าจู่ เมืองซัวเถา หลังจากนั้นนั่งเรือข้ามนํ้าข้ามทะเลรอนแรมเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จึงจะถึงประเทศไทย

    ปัจจุบันเกาะหม่าจู่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาเป็นเกาะในเศรษฐกิจพิเศษของเมืองซัวเถาที่เจริญอย่างมาก และเป็นที่ประดิษฐาน ของหม่าจู่ (เจ้าแม่ทับทิม) ที่ชาวจีนให้ความเคารพสักการะ

    อีกครั้งหนึ่งคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง บ้านทุ่งยาว อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ถือเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ชาวบ้านปั๊กซัวดั้นด้นมาปักหลักสร้างถิ่นฐาน กระทั่งแตกหน่อเชื้อสายจีนมากมายในขณะนี้

    ทว่า แม้จะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน สายสัมพันธ์แห่งความเป็นจีนนั้นยังคงไม่จาง เป็นที่มาของการเดินทางในครั้งนี้
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=15 cellPadding=2><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=5>ภาพประกอบข่าว 3วัน มหัศจรรย์ในจีน แกะรอยตระกูลโค้ว

    </TD></TR><TR><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129430.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129431.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129432.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129433.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD></TR><TR><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129434.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129435.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD><TD><!--img src="thumbnail.php?file=../newsphoto/newsrelate/200610141129436.jpg" border="0" align="bottom"-->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...