3------ รักและใส่ใจตนดีแล้ว จึงสามารถ รักและใส่ใจชีวิตอื่น...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 กรกฎาคม 2011.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ...เกี่ยวกับโรคภัยในช่วงปีกอ่นมาถึงปีนี้ 2555


    โรคที่เกี่ยวกับระบบของเหลวในร่างกาย


    เนื่องจากธาตุน้ำในอากาศมีมากเกินปกติ อันเป็นผลจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ
    ระหว่างโลก พระอาทิตย์ และดวงจันทร์

    ถ้าดูดีๆ จะเห็นเหมือนเม็ดน้ำคล้ายๆวุ้นเจล อยุ่ในอากาศเต็มไปหมด เป็นสาเหตุหนึ่งของการมีฝนนอกฤดู และมากผิดปกติ

    และเนื่องจาก สนามพลังแม่เหล็กโลกผิดปกติ เส้นแรงแม่เหล็กโลกไม่สามารถพุ่งจากขั้วโลกหนึ่ง สู่ขั่วโลกหนึ่งได้ตามปกติ จึงพุ่งเข้าตัวคนและพุ่งลงดินระหว่างทางมาก

    เมื่อเส้นแรงแม่เหล็กพุ่งเข้าตัวคนแต่ออกไม่ได้ และนำอณูน้ำจากอากาศข้างนอกเข้าไปในตัวคนอีก ทำให้มีอาการปวดร้าวกล้ามเนื้อทั่วตัว ความดันเลือดผิดปกติ
    อวัยวะที่เกี่ยวกับน้ำปกติ เช่นไต เป็นตัน
    ผู้มีปอดอ่อนแอ และอยู่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ให้ระวังเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจด้วย

    ...และระวังเกี่ยวกับเรื่อง หลอดเลือดที่จะเข้าออกจากหัวใจด้วย...


    วิธีแก้ด้วยสมาธิอย่างง่ายๆไม่ต้องใช้กำลังมาก

    1. อาศัยปิระมิด ที่พระอาจารย์รัตน์ทำไว้ ด้วยแร่พิเศษบางอย่าง

    ช่วยขับเส้นแรงแม่เหล็กที่ฝังในตัวคนป่วย และขับอณูน้ำส่วนเกินที่ฝังในระดับเซลล์ออก อีกทั้งป้องกัน ไม่ให้มีการนำอณูน้ำส่วนเกินเข้าร่างกายโดยไม่หยุด

    2. ใช้สมาธิแค่ระดับขนิกกะ หรืออุปจาระ นึกเส้นแสงสีขาวใส หรือสีใสๆเช่นเหลืองใส อย่าเอาสีทึบแบบสีม่วงทึบ สีเทาดำ

    นึกง่ายๆ เหมือนนึกห่าฝน แล้วเรายืนท่ามกลางห่าฝนนั้น

    ถ้าทำได้ จะรู้สึกร้อนๆในตอนแรก แล้วจะเย็นเป็นปกติเรื่อยๆ



    *****ให้สอนคนป่วยด้วยวิธีง่ายๆแบบที่สองก็ได้ กรณีไม่มีปิระมิด แค่อาศัยจินตนาการง่ายๆ
    เส้นแสง เป็นสิ่งมีจริงตามธรรมชาติ มีทั่วไปทุกที่ *****


    ถ้าคนป่วยไม่รู้สึกตัว แต่บุตร หรือผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจะทำให้ ให้นึกเอาเส้นแสงมาถู มาแทงทะลุตัวท่าน โดยเฉพาะตรงจุดที่ป่วย
    (แม้จะฝืนกฎแห่งกรรม ถ้าจะทำ ให้สมาทานศีลดีๆ ทำด้วยศรัทธา )


    ถ้าทำสำเร็จ ขอให้บอกต่อกันไป เพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์เพื่อนร่วมวัฏฏะสงสาร อนุโมทนา สาธุ


    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ที่ว่านำมาถู

    ก็คือ ให้เส้นแสงสีขาวใสนั้น เหมือนแทงทะลุตัว และถูขึ้นลงทะลุตัวเรา

    คล้ายกับการชักขึ้น ชักลง ผ่านตัวเรา นั่นเอง

    ถ้านั่งอยู่ บางทีจะเหมือนเราผงกหัวขึ้นลงเลย<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ความรู้เรื่อง สุขภาพ เบื้องต้น http://www.safety-stou.com/UserFiles/File/54112_unit1.pdf
    http://www.sc.mahidol.ac.th/scpn/QL_SCKM/nationalhealth/nationalhealth_Download4.pdf
    [​IMG]
    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
    ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสุขภาพ การนอนหลับ
    สาระน่ารู้ของการนอนหลับ แพทย์ศิริราช แนะท่านอนที่ทำให้หลับสบาย ตื่นขึ้นมาสดชื่น “นอนตะแคงขวา” ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ แนะกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ
    การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย
    นพ.ชนินทร์ กล่าวว่า สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่น ๆ คือ ท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน
    อย่างไรก็ตาม ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร ส่วนท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ. สุขภาพดี … คุณเอง เป็นผู้กำหนด
    ความจริงที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการได้ลาภเป็นเงินเป็นทองด้วยซ้ำไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาได้ สุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่มีใคร … นอกจากตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่เราได้เลือกแล้วหรือยัง มองย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมา เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องหรือเปล่า เราสนใจเรื่องอาหารการกินมากน้อยแค่ไหน เรากินเพื่ออยู่ไปวัน ๆ หรือเรามีความสุขกับการกินจนมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องรีบปรับตัว และไม่ปล่อยปละละเลยกับการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหากเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว อาจสายเกินแก้ เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกินดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น
    ดังนั้น การจัดปรับ พฤติกรรมการกินให้ถูกต้อง ถูกหลักโภชนาการที่ดี กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินเป็นเวลา ที่สำคัญ คือ กินให้พอดีและ กินให้หลากหลาย ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ในการทำความเข้าใจเรื่องการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการกินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน
    จากโภชนบัญญัติ 9 ข้อต่อไปนี้
    1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก เพื่อความเพียงพอของสารอาหารและไม่สะสมสารพิษ ในร่างกาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
    2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ และเพื่อคุณค่าที่มากกว่าขอแนะ
    3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ได้วิตามิน ใยอาหารและสารป้องกันอนุมูลอิสระ
    4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ คนทั่วไปที่สุขภาพดีไม่มีปัญหาคอเลสเตอรอลสูงกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ผู้สูงอายุกินไข่ได้วันเว้นวัน ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นอาหารเพื่อสุขภาพควรกินเป็นประจำ
    5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย นมที่ไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง จะให้ประโยชน์มากทำให้ไม่มีไขมันสะสม
    6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ลดการกินอาหารผัดและทอด ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม นึ่ง อบ แทน
    7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
    8 . กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารปรุงสุกใหม่ ๆ ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง 9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะบั่นทอนสุขภาพและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โภชนบัญญัติ
    9 ข้อ นี้ บอกถึงการกินดี กินอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการนำไปปฏิบัติจริงๆ เราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ ปริมาณของอาหารที่จะกินให้เหมาะสมด้วย ใครควรจะกินมากกินน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และกิจกรรมที่ต้อง มีการใช้พลังงาน มากน้อยต่างกันของแต่ละคน ซึ่งจะติดตามได้ต่อไป
    ที่มา : บทความมติชน ตอนที่ 3 ประจำวันอาทิตย์ที่ 5 ต.ค .46 โดย รศ . ดร . ประไพศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

    ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
    ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้ นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน

    เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
    ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
    เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
    ที่มา : Canadian Medical Association Journal, O ctober 2001



    ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง
    คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
    แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
    แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
    เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก( bone mass) ของคุณ...
    ที่มา : Rethinking Drinking" Reader's Digest, December 2001



    นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
    นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
    รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
    เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
    และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
    จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
    ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
    ( ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th )



    ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
    ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน ( Goibrogen)
    ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
    ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน ( Thyroscine) ได้
    ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
    แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
    จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ



    ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
    ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
    มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
    ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
    ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
    สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
    จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ



    วิธีป้องกันตะคริว
    ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
    การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
    ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001



    อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน
    ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
    คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
    ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001



    ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง
    ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
    แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
    หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
    ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001



    เนยแท้ vs เนยเทียม
    เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
    หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
    แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...



    วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
    เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
    แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"
    ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"

    เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
    สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    ๑.ต้องไม่อยากแก่...
    ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
    และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

    ๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..
    คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
    หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี

    ๓.ลดความเครียด..
    เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
    ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ

    ๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
    ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี

    ๕.กินอาหารต้านชรา..
    พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

    ๖.นอนหลับเพียงพอ..
    เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด

    ๗.ความรัก..
    ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
    ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน




    ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
    อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ ของราชพฤกษ์โพล
    คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
    จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
    ในพื้นที่ 17 เขตของกรุงเทพมหานคร

    พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
    ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
    โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
    ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้

    10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
    1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
    2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
    3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
    4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
    5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โค สเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
    6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
    7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
    8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
    9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
    10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ



    โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
    น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
    น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
    จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
    และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ

    ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
    ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
    จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
    และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
    จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ



    อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
    1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
    เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
    เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลายกระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ

    2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
    เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

    3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
    เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ

    4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
    เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร

    5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
    เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่

    6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
    ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
    ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
    เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน

    อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
    6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
    1. มะเขือต่างๆ..
    2. หอมหัวใหญ่..
    3. กระเทียม
    4. ถั่วเหลือง..
    5. แอปเปิล..
    6. โยเกิร์ต
    วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
    ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.



    อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
    คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
    อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
    ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
    อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

    กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
    ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
    ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
    การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

    กระเทียม .. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
    โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

    ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
    จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ
    นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
    เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง
    จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

    นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
    แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
    มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

    เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
    ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
    น้ำตาลหรืออาหารหวาน. .. ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
    หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
    จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
    และลดสมรรถภาพกา รทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

    ชา. .. ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
    ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
    ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
    มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

    ลูกพลับ .. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
    เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
    และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
    คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
    ภาวะไตเสื่อม

    1. อ่อนเพลีย ขาดความกระตือรือร้น
    2. นอนไม่ค่อยหลับ หลับไม่สนิท
    3. ปัสสาวะบ่อย
    4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
    5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
    6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม วิตกกังวล
    7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
    8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย

    สาเหตุ
    1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล - ทำงานหนักไป เที่ยวหนัก
    2. เพศสัมพันธ์ - มีมากเกิน ไตจะอ่อนแอลง
    3. ทานยาบางอย่างนาน ปริมาณมาก - สะสมในไต

    การปรับแก้
    1. ปรับพฤติกรรม - พักผ่อนให้เพียงพอ
    2. ออกกำลังกาย
    3. ปรับอาหาร - ลดเนื้อสัตว์ ของมึนเมา
    4. อยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น

    ไตหยาง - ไตหดตัวแน่น
    1. นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ
    2. นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
    3. อสุจิเคลื่อนตอนนอน
    4. เหน็บชาบ่อย

    สาเหตุ
    1. ทานอาหารรสเค็มจัด เนื้อย่าง เนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย
    2. ใช้ชีวิตขาดระเบียบ
    3. นั่งทำงาน นั่งรถนาน

    ไตหยิน - ไตคลาย
    1. เฉื่อยชา เกียจคร้าน
    2. ความต้องการทางเพศต่ำลง
    3. ปวดเมื่อยหลังเอว
    4. ปัสสาวะบ่อย ในเวลากลางคืน
    5. นอนตื่นสาย
    6. อารมณ์อ่อนไหวง่าย
    7. ขี้หูมาก
    8. เหงื่อออกมากผิดปกติ

    การปรับแก้
    1. งดน้ำเย็น น้ำแข็ง IceCream
    2. งดของมึนเมา
    3. งดผ้าใยสังเคราะห์ มีไฟฟ้าสถิตย์
    4. อยู่กับธรรมชาติ
    5. ออกกำลังกายกลางแจ้ง
    6. พักผ่อนให้เพียงพอ
    7. ลดการใส่ส้นสูง
    8. นั่ง นอน ให้ถูกสุขลักษณะ


    อาหารควรเลือก
    1. ข้าวกล้อง
    2. สาหร่ายทะเล
    3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้รสไม่หวาน น้ำน้อย
    4. เต้าเจี้ยว


    ........................................................................................................

    กรดไหลย้อน

    ที่มีชื่อเช่นนั้นก็เป็นเพราะโรคนี้เกิดจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปบนหลอดอาหาร
    จึงทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ หรือกลางหน้าอกหลังจากกินอาหารเสร็จ
    เปรี้ยวหรือขมปากและคอ ท้องอืด จุก เสียด แน่นท้อง เจ็บคอหรือแสบปาก แสบลิ้น
    ตอนเช้า ระคายคอ มีเสมหะ เรอ คลื่นไส้บ่อย กระแอมบ่อยๆ

    อาการที่ว่านั้นถือว่ายังเบสิกนัก เพราะโรคนี้อาจมีอาการที่ไปพ้องกับโรคอื่นได้อย่างนึกไม่ถึง
    อาทิ เจ็บหน้าอกเหมือนกับโรคหัวใจ เสียงแหบเรื้อรังหรือเสียงเปลี่ยนตอนเช้า ไอเรื้อรังสำลักน้ำลาย
    หายใจไม่ออกตอนกลางคืน กลืนน้ำหรืออาหารติดขัดเหมือนมีก้อนจุกที่คอ ฟันผุ มีกลิ่นปาก
    เป็นหืดแต่ไม่สามารถรักษาด้วยยาตามปกติได้ ปอดอักเสบเป็นๆ หายๆ

    การที่กรดไหลย้อนขึ้นมาได้นั้นเกิดจาก หูรูด ของกระเพาะหรือหลอดอาหารไม่แข็งแรงหรือเกิดการคลายตัว

    โดยปกติเมื่อกระเพาะบีบตัว ส่งน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยอาหาร หูรูดจะปิดรัดกันไม่ให้น้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นไป
    แต่เมื่อหูรูดไม่แข็งแรง เมื่อกระเพาะบีบตัวน้ำย่อยจึงไหลย้อนกลับขึ้นไป
    แต่หลอดอาหารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทนทานต่อน้ำย่อยได้เช่นเดียวกับกระเพาะ จึงเกิดอาการดังกล่าว

    ถามว่าอันตรายไหม คำตอบก็คือ ถ้าเป็นแล้วรีบรักษา หรือทำให้อาการหายไปก็จะไม่มีอาการอย่างไร
    แต่หากปล่อยไว้เนิ่นนาน อาจทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ เป็นแผลรุนแรงจนตีบ หรือเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารได้
    แต่...ความรุนแรงนี้จะมีได้เพียง 1% เท่านั้น

    พ.ญ.อารยา เอี่ยมอุดมกาล อายุรแพทย์สาขาระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า
    สาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นโรคนี้นั้นมีหลากหลาย อาทิ อ้วนหรือน้ำหนักเกินจะทำให้เกิดความดันในช่องท้องมากขึ้น,
    เครียด ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น, สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่จะทำใหหลั่งกรดมากขึ้น,
    ใส่เสื้อผ้าคับหรือรัดแน่นที่รอบเอวมากไป นอกจากนั้นแล้วการตั้งครรภ์ก็มีผลเพราะฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้หูรูดอ่อนแอลง
    ขณะที่มดลูกที่ขยายตัวก็จะไปเบียดกระเพาะอาหาร

    ส่วนวิธีการแก้หรือรักษานั้นมีตั้งแต่การกินยา ผ่าตัด

    แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุดนั้นคือ การเปลี่ยนพฤติกรรม โดย หลีกเลี่ยง และ งด หลีกเลี่ยง-ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด,
    อาหารทอด, อาหารมัน อาหารที่มี ไขมันสูง, อาหารรสจัด, ผัก-ผลไม้เปรี้ยวหรือมีกลิ่นฉุนรุนแรงอย่าง
    ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มินต์ และช็อกโกแลต

    งด-บุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะนิโคตินจะเพิ่มกรดในกระเพาะและทำให้หูรูดอ่อนแอ ส่วนแอลกอฮอล์จะทำให้หูรูดเปิด

    ดังนั้นผู้ที่ถูกอาการกรดไหลย้อนรุกรานควรปฏิบัติดังนี้
    อย่ากินอิ่มเกินไป เพราะจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายขึ้น จึงควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ

    ไม่ควรนอนหรือเอนกายหลังกินอาหารทันที ควรเว้นสัก 3 ชั่วโมง รอเวลาให้อาหารเคลื่อนจากกระเพาะไปก่อน
    ลดแรงกดที่กระเพาะ เช่น ใส่เสื้อผ้ารัดติ้ว ใช้เข็มขัดรัดแน่น ก้มตัวไปข้างหน้า และอ้วน
    ลดความเครียดด้วยการจัดสมดุลชีวิต

    เลี่ยงการนอนตะแคงขวา เพราะท่านี้จะทำให้กระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารอาจทำให้อาการกำเริบได้
    ส่วนใหญ่อาการจะเกิดตอนนอนราบ หรือตอนหลับ

    วิธีแก้ คือเสริมหัวเตียงให้สูงขึ้นที่ไม่ใช่เป็นการนอนหมอนสูง
    แต่เป็นการเสริมทั้งเตียงให้ยกขึ้น อาจจะใช้ก้อนอิฐหนุนด้านหัวเตียงให้สูงขึ้นราว 6 นิ้ว ช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนได้

    การรักษานั้นโดยส่วนใหญ่แพทย์ก็จะให้ยาลดกรดหรือยาที่กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารมากขึ้น
    หากเกิดอาการมากๆ อาจจะต้องใช้การผ่าตัด

    แม้จะมีวิธีรักษาหรือรู้วิธีช่วยบรรเทาแล้วก็ตาม
    หากยังคงปฏิบัติหรือใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง กรดไหลย้อนก็จะยังคงย้อนวนเวียนกลับมาเหมือนเดิมนั่นเอง !!

    ข้อมูลจาก http://matichon.co.th/prachachat/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2012
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    สถาบันนานาชาติไลฟ์ซายส์ (ILSI) และสถาบันวิจัยโภชนาการมหิดลจัดการประชุมวิชาการร่วมกัน..
    . งานนี้ท่านอาจารย์ดอกเตอร์ห่าวยิง จาง ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดีจาก จีนกล่าวว่า

    การดื่มน้ำน้อยเพิ่มความเสี่ยง (โอกาสเป็นโรค) มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต

    คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ในเรื่องมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คือ ของเสียในร่างกายส่วนใหญ่จะถูกแปรสภาพที่ตับ
    ให้ละลายน้ำได้ดีขึ้น และขับออกทางไต

    ...

    ของเสียที่ขับออกทางไตจะค้างอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะนานมาก รอแล้วรอเล่าจนเจ้าของออกไปปัสสาวะจึงจะได้ปล่อยออกมา

    ถ้าดื่มน้ำน้อย... ของเสียในกระเพาะปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูง ถ้าดื่มน้ำมากพอ...
    ของเสียในกระเพาะปัสสาวะจะมีความเข้มข้นต่ำ แน่นอนว่า
    สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงมักจะก่อพิษภัยได้มากกว่าสารเคมีที่มีความเข้ม ข้นต่ำ

    ...

    ทีนี้ถ้าดื่มน้ำน้อย... กว่าจะปวดปัสสาวะจะเนิ่นนานออกไป ทำให้ของเสียค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนาน
    ตรงกันข้ามถ้าดื่มน้ำมากพอ... ไม่นานก็จะปวดปัสสาวะ และขับถ่ายออกไป

    ท่านอาจารย์ รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู แห่งสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า
    กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำส่วนใหญ่คือ เด็กและคนสูงอายุ

    ...

    เด็กนั้นเล่นมากซนมาก เหงื่อออกมาก ส่วนคนสูงอายุนั้นดื่มน้ำน้อย ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ

    หลายปีก่อนเกิดคลื่นความร้อนแผ่ไปในยุโรป ทำให้คนสูงอายุตายกันเป็นหมื่นคน สาเหตุหลักมาจากการขาดน้ำ
     
  5. ศานติชีวัน

    ศานติชีวัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +51
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FFPxbnDiwjo&feature=player_detailpage]คนอวดผี 18 มกราคม 2555 www.Dekclip.com 3/8 - YouTube[/ame]
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    จากคลิปข้างบน

    ที่ริวสรุปตอนท้าย

    ขอนำมาเขียนให้อ่านอีกครั้งครับว่า.........


    "คน ที่มีรักแท้
    คนที่เจอคนที่รักเราแล้วทุ่มเทส<WBR>&shy;ุดชีวิตเนี่ย
    คุณมีบุญกับเขามามาก

    ........เพราะฉะนั้น วันที่มีเขาอยู่ถนอมไว้เถอะ
    หลายคนเลือกที่จะทะเลาะมากกว่าถ<WBR>&shy;นอม

    เมื่อวันหนึ่งที่ผ่านไปแล้วมันจ<WBR>&shy;ะเรียกร้องคงยาก

    เขาก็เป็นได้เพียงสายลมที่อยู่ข<WBR>&shy;้างตัวคุณเท่านั้นเอง"
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959

    แต่ก็อย่างว่า...


    บางคนเจอแล้ว กลับไม่รู้ค่า

    กว่าจะรู้ก็เกือบสายไป หรือสายไป ที่จะได้ดื่มด่ำกับคุณค่า
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครคือ รักแท้?ล่ะครับ..ในเมื่อ รักแท้ ก็แค่นิยาม..หรือว่า มีจริง?
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959


    เราก็ต้องเป็นผู้ให้รักแท้ก่อน

    ส่วนคนอื่นที่เข้ามา สติปัญญาของเราที่จะเลือกคบ และ เวลาระยะหนึ่ง
    จะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง


    อย่างน้อย มีรักแท้จากคนแค่ฝ่ายเดียว
    ถึงแม้อีกฝ่ายไม่ผ่านการพิสูจน์ของเวลา และอุปสรรค

    รักครั้งนั้น .ก็ยังคงเป็นรักแท้ จากหัวใจเราเอง

     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    โมทนากับคำตอบ..จะยึดไว้เป็นแนวทางครับพ๊มม..
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959


    ...ช่วงนี้ เส้นแรงแม่เหล็ก และ พลังจากพายุสุริยะ เข้าตัวคนมากอีกระลอก

    จะมีอาการร้อนวูบวาบภายใน แม้อยู่ในห้องแอร์

    มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้รุ้สึกปวดร้าว ตามตัว

    ถ้าเข้าตรงก้อนเนื้อหัวใจมาก จะเจ็บอก แน่นอก

    ปวดท้ายทอย ขึ้นมาถึงสมอง ขมับ

    ................


    ให้นึกเส้นแสงขาวใส เป็นห่าฝน แทงทะลุตัวจากบนลงล่าง
    ทะลุลงดินไปเลย จะคลายได้เร็วมาก


    หรือ ใครไม่ถนัด ให้ใช้ปิระมิดแบบห้าก้อน เก้าก้อน หรือ เหรียญธรรมจักรที่มีแร่มโนธาตุ แร่ปราณสีเหลือง ช่วยขับออก
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1961472/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    ช่วงนี้


    หลอดแกนปิระมิดชนิด 5 ก้อน ที่ใช้พกติดตัว



    ให้หงายหัวขึ้นนะครับ



    .ปิระมิด แบบ 2 รู กำลังพอดี
    ถ้าใช้แบบ 4 รู จะร้อนเกินไป


    ------------------------



    เส้นแรงแม่เหล็กที่ผิดปกติ และ คลื่นพลังงานที่เป็นโทษจากพายุสุริยะ ไหลเข้าตรงกลางกระหม่อม ไปตามเส้นทางปราณ ในร่างกายมาก

    ถ้าใช้เส้นแสงหรือวิธีการสมาธิต่างๆที่เคยเรียนมา ขับออกไม่ได้

    ให้ใช้แบบห้าก้อน หงายหัวขึ้น และ เหรียญธรรมจักร ตัวใหม่ล่าสุดจะขับออกเร็วดี


    [​IMG]
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พิษณุ สุริยา [​IMG]
    แล้วด้วยความกังขา...กางแขน...อุ๊ก ! กังขาเท่านั้น...หุหุ
    เราก็เลยไปลองดึงเส้นแสงต่อ....ทีละนิดๆ มาเยอะๆเหมือนเดิมนั้นละ ไม่สามารถทำให้พลังงานเส้นเล็กลงได้
    แต่สามารถหยุดการพุ่งเข้ามาได้ ก็เลยลองค่อยๆกระเถิบให้ใกล้เข้ามาทีละนิดๆ เอา...

    แล้วก็เห็นบางอย่างที่ค่อยๆกระเถิบตามพลังจิต ที่เหนี่ยวนำพลังจักรวาลเข้ามายังโลก !!!

    แลเห็นกลุ่มดาวทั้งหลาย กาแลคซี่อื่นๆ ห้วงจักรวาล กำลังค่อยๆกระเถิบทีละนิดๆ เขามาตามแรงพลังจิตที่ดึงพลังงานจักรวาลเข้ามา
    แรงเคลื่อนที่นั้น มีผลต่อโลก ...........................

    เห็นเส้นแสงที่พุ่งเข้าสู่โลกจากแรงเหนี่ยวนำจากโลกเอง มากมายหลายเส้น หลายจุด แพร่กระจายเกือบทั่วโลก
    แสดงว่า ทั่วโลกอาจจะมีผู้ดึงพลังงานจักวาลมาใช้มากมาย !

    พลังจิตของคน เมื่อรวมกัน จนมากเข้า มีพลังมากจริงๆนั้นละ ขับเคลื่อนระบบดวงดาว กาแลคซี่ ใกล้ๆได้เลย
    แต่เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ที่เห็นวันนี้อะ ไม่ช้าเท่าไรนักหรอก บางทีพลังจิตของมนุษย์ชาตินี่ละ ที่เป็นแรงเปลี่ยนโลก

    ข้าเจ้าหยุดลำแสงนั้นก่อนที่จะมาถึงเพดานโลกทุกครั้ง
    พอเข้ามาใกล้มากๆ ก็รู้สึกอึดอัด กลัว ? เหมือนว่ามีพลังมหาศาลสามารถปกคลุมโลกได้
    และแรงดึงคนละนิดละหน่อยโดยต่างคนก็ต่างไม่รุ้คนอื่นนั้น ส่งผลต่อโลก ทั้งทางดีทางผกผัน

    ความรู้สึกยับยั้งและไม่กล้าทำให้เต็มที่ อาจเป็นเพราะข้าน้อยดันไปเห็นซะแล้วว่า ผลกระทบต่อโลกมีอยู่
    ซึ้งไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน ( ส่วนตัวเชื่อว่า มีผลต่อการสลับแกนของโลก และมีผลกับเรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง )
    ก็เลยรู้สึกว่า พลังจิตจากคนมากมายนั้นมากมายอยู่แล้วที่จะเหนี่ยวนำ สิ่งภายนอกโลกเข้ามายังโลก

    เราก็เลยไม่กลัเพิ่มพลังจิตนั้น....... ( ใจฝ่อ ว่างั้นเหอะ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ลวงตาให้ไม่กล้า จนทำไม่ได้หรือเปล่า ? )

    ตอนนั้นรับรู้ไปถึงพลังความคิดของคน ที่กลายเป็นคลื่นพลังงานที่มองไม่เห็น คือเห็น " ความโลภ ความอยาก " ชัดมาก
    ในเรื่องของการดึงพลังงานจักวาลมาใช้ โดยเฉพาะในซีกโลกอื่น
    ตอนนั้นเกิดความคิดว่า น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ดึงพลังจักวาลมาใช้ในทางที่ผิด เพื่อบำนุงตนเองอยุ่ ?

    -----------------------------------------------------------

    ขอออกตัวไว้ก่อน ว่า.... ไม่ใด้ว่า วิชานี้ไม่ดี คิดว่าเป็นวิชาที่ดีมาก และเห็นผลเร็ว กระตุ้นพลังงานด้านต่างๆได้ยอดเยี่ยม
    แต่ที่พูดไปนั้น คือสิ่งที่เห็น แล้วในขณะที่เห็น ก็เกิดความขลาดไม่กล้าทำต่อขึ้นมาเอง
    เพราะรู้สึกว่าเป็นพลังที่มาก ควบคุมได้ยาก และมีคนอื่นๆอีกมากมาย เรียกร้องหาพลังงานอนันต์นี้อยู่

    แค่อยากบอกว่า...... สิ่งที่ดี ต้องใช้แต่พอดี จึงจะส่งผลสูงสุด
    ถ้าใช่ด้วยความโลภ ไม่ระมัดระวัง วันหนึ่งเราอาจควบคุมไม่ได้ จนเกิดภัยมหาศาลขึ้นมา

    สำหรับสายพี่ดาบ นี่ไม่ห่วงเลย เพราะต้นขั้วท่านดี แต่ของต่างชาติไม่ถือศาสนาพุทธนั้นมีมากกว่า
    และเขามีความอยากไม่รู้อิ่มอยู่จนน่ากลัว....แค่นี้ละ...

    *** ถ้ารู้สึกไม่ดีต่อโพสนี้ ขอให้บอก จะลบออกให้ทันที และขอขมาคณาอาจารย์ทั้งหลายในสายวิชานี้
    เราไม่คิดลบหลู่ดูหมิ่นท่านๆแต่อย่างใดเลย หากมีคำใดในข้อความไม่เหมาะสม ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรครับ อย่าวิตก


    พระอาจารย์ไม่ได้สอนให้ดึงพลังจากธรรมชาติมาเพื่อตนเอง โดยทำให้คนอื่นเดือดร้อนครับ

    การใช้เส้นแสงกรณีที่แนะไปนี้

    เป็นการอาศัยหลักการแปรรูป และพลังงานจากหยาบเป็นละเอียด และละเอียดเป็นหยาบ แล้วเคลื่อนย้ายไปที่ต่างๆได้ทั่วจักรวาล

    ตามกำลังของจิต ( UFO ก็ใช้หลักการนี้ )

    และ เส้นแสงนี้ เป็นพลังงานที่ถูกส่งมาจากศูนย์กลางจักรวาลตั้งแต่เริ่มต้นการระเบิดของบิกแบง กระจายไปทั่วจักรวาล เป็นเสมือนสะพาน และทางที่จะใช้สัญจรไปได้ทุกที่ ไม่มีผลต่อการคงอยุ่ของดาวดวงอื่น


    ********


    ตามที่ท่านพิษณุเห็น

    คงหมายถึง การดึงดูดเอามโนธาตุและปราณ จากจักรวาลหรือดาวอื่น

    ซึ่งเป็นองค์ระกอบของแกนกลางระบบนั้น เมื่อถูกดูดมากๆเข้าดาวนั้นจะเสียสมดุลย์


    -------------


    สำหรับที่ท่านให้น้อมมาคือ พลังงานเบาจากแกนกลางกาแลคซี่ไตรแองกูลั่มนั้น ไม่มีผลเสีย

    เพราะ มีขนาดใหญ่กว่าโลกจนวัดเทียบกันไม่ได้

    และ ตามกฏวัฒนาการ และวิวัฒนาการ โลกกำลังจะเคลื่อนออกจากทางช้างเผือก และจะเข้าสู่กาแลคซี่ไตรแองกูลั่ม ในอนาคตอยู่แล้ว
    ท่านพิษณุจึงอาจจะเห็นว่ากาแลคซี่นี้มาใกล้ทางช้างเผือกเรามากขึ้นๆก็เป็นได้



    ****



    สำหรับ การเข้าไปเห็นว่า

    การดึงพลังงานจากดาวอื่น มาใช้มากไป จะเป็นการเร่งวัฒนาการหรือ
    ทำให้ดาวอื่นเสียสมดุลย์พลังงานที่ดีไป

    ต้องรับฟังและเป็นข้อมูลที่ดี มีเหตุผล

    ไม่ต้องวิตกว่าใครจะไม่พอใจ


    เพราะ ทุกสิ่งในจักรวาล ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
     
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    รักตัวเองเป็น จะรักผู้อื่นได้ ท่าจะจริง..(ยิ้ม)
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    สำหรับ "ธรรมะบำบัด" ในพระพุทธศาสนา นั้นมีหลักอยู่ 3 ประการคือ ทำความดี ละความชั่ว ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งและสงบ


    หลักธรรมทั้ง 3 ประการเป็นวิธีคิดง่ายๆ ที่เป็นเหตุเป็นผลกันเมื่อเราทำความดีคุณค่าในตัวเราก็สูงขึ้น เราจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ ความยอมรับนับถือในตัวเองก็จะเพิ่มมากขึ้น การละความชั่วจะทำให้คนอื่นรักและนับถือเรามากขึ้นด้วย คนที่มีคุณค่าในตัวเองนับถือตัวเองจะเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี เมื่อเรารักตัวเองเป็นแล้วก็ต้องรู้จักรักคนอื่นด้วยซึ่งหลักธรรม







    สำหรับการนำหลักศาสนามาประยุกต์ใช้กับปัญหาสุขภาพจิตนั้นสามารถทำได้ 2 ทาง ทางแรกนำมาเป็นแนวทางฝึกคิดฝึกปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ให้เรายึดติด เช่น อาการซึมเศร้า ที่เกิดจากเราสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตแสดงว่าเรายึดติดถ้าเราฝึกคิดอย่าง เป็นระบบมีเหตุผลเราก็จะสามารถปล่อยวางและเป็นสุขขึ้นได้ แต่ถ้าเราทุกข์ใจมากๆ ทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือการไปพบทีมสุขภาพจิต จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยเป็นกระจกสะท้อนปัญหาให้เราได้
    ธรรมะบำบัดยังสามารถใช้ได้ดีกับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน มะเร็ง หรือแม้กระทั่งเอดส์ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความทุกข์ใจเกี่ยวกับปัญหาของการเจ็บป่วยของตัวเองอยู่แล้ว กรณีเช่นนี้ ธรรมะบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ความจริงของชีวิต เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์จากการเจ็บป่วยได้อย่างมีความสุข เรียนรู้ที่จะทำสมาธิหรือสติบำบัด ผู้ป่วยโรคทางกายต้องทำให้ใจไม่ป่วยไปตามกาย เมื่อมีจิตใจที่เข้มแข็งร่างกายก็จะไม่ทรุด ซึ่งในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้มีโครงการที่จะทำเรื่องสมาธิหรือจิตบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคทางกายด้วย
    อย่าปล่อยให้กายป่วยไปพร้อมๆ กับใจป่วยลองบำบัดด้วย "ธรรมะ" หลักใจใกล้ตัวที่ใครๆ ก็ทำได้
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    ทำความดี ละความชั่ว ทำจิตผ่องใส.. ลุงพยายามอยู่อย่างสุดฤทธิ์เลยจ๊ะ เพราะบางครั้งการพบเจอผู้คน เรื่องราว ทำใจยากเหมือนกัน (มีหลุดบ้างเป็นระยะๆ)..โมทนา
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    [​IMG]

    หอมหัวใหญ่ เป็นผักที่มีสรรพคุณในการลดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
    ซึ่งเป็นผลมาจาก ฟลาโวนอยด์ ในหอมหัวใหญ่ ซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวางไขมันไม่ให้มาเกาะ
    หรืออุดตันตามผนังหลอดเลือด อันเป็นหนึ่งในชนวนก่อโรคหัวใจขาดเลือดนั่นเอง
    โดยการกินหอมหัวใหญ่หัวดิบวันละครึ่งหัว ทุกวันอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 เดือน
    ก็จะช่วยลดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้
    คนที่ชอบกินหอมหัวใหญ่จะรู้ดีว่าพืชหัวชนิดนี้แปรเปลี่ยนรสชาติไปได้ตามสภาวะการปรุง
    จากที่กรอบเผ็ดร้อนเล็กน้อยในยามกินสดจะเปลี่ยนเป็นหวานเมื่อทำให้สุกด้วยความร้อน
    เป็นเพราะสารตัวหนึ่งคือ อัลลิลโปรบิลไดซัลไฟต์
    จะระเหยไปในระหว่างปรุงและเกิดสารชินิใหม่ที่มีรสหวานขึ้นมาแทน
    อย่างไรก็ดี ความร้อนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกลิ่นของหอมหัวใหญ่ไปได้
    ด้วยเหตุนี้จึงมีการสกัดกลิ่นหอมหัวใหญ่ไปใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มและขนมหลายชนิด
    เช่น เยลลี่และขนมผิง เป็นต้น

     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    <TABLE id=table1 border=0 width=760 align=center><TBODY><TR><TD><!--mstheme-->
    <!--webbot bot="ImageMap" text=" (0,4) (664, 60) {ล้างพิษตับ} {Cordia New} 18 B #000000 CT 0 " border="0" src="images/produc8.gif" width="664" height="60" u-originalsrc="images/produc8.gif" u-overlaysrc="_overlay/new_page_65.htm_txt_produc8.gif" startspan -->[​IMG]<!--webbot bot="ImageMap" endspan i-checksum="31966" --><!--mstheme-->​
    </TD></TR><TR><TD><!--mstheme--> <!--mstheme--></TD></TR><TR><TD><!--mstheme-->
    ตับเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย เนื่องจากมีหน้าที่สำคัญในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยมีตำแหน่งอยู่บริเวณช่องท้องด้านขวา หนักประมาณ 4 ปอนด์ ลักษณะของตับจะเป็นเหมือนฟองน้ำซึ่งมีรูพรุนภายในจำนวนมากและภายในช่องว่างเหล่านั้นจะมีเลือดบรรจุอยู่ สำหรับเส้นเลือดที่มาเลี้ยงตับ จะมาจาก 2 แหล่งด้วยกัน แหล่งแรกเป็นเส้นเลือดแดงที่มาจากหัวใจ แหล่งที่สองเป็นเส้นเลือดดำที่มาจากบริเวณลำไส้ ซึ่งจะนำสารอาหาร ตลอดจนสารพิษต่างๆมายังตับ ก่อนที่จะไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ตับจึงเป็นด่านแรกที่จะรับมือกับสารพิษเหล่านั้นโดยตรง
    หน้าที่ของตับ
    1. เกี่ยวกับขบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต (การเผาผลาญอาหารจำพวกแป้ง)
    เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต เป็น กลูโคส (ในขบวนการย่อยอาหารพวกแป้ง จะได้เป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ที่เรียกว่า กลูโคส เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้เป็นพลังงานได้ )
    นำกลูโคสส่วนเกินออกจากระแสเลือด
    สร้าง & เก็บไกลโคเจน ( กลูโคสส่วนเกิน ที่เหลือจาการใช้งานของร่างกาย จะถูกเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองที่ตับ ในรูปของไกลโค เจน ซึ่งเมื่อร่างกายต้องการใช้งาน ก็จะมีการสลายไกลโคเจน เป็นกลูโคสอีกครั้ง )
    2. เกี่ยวกับขบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน ( การเผาผลาญอาหารพวกเนื้อสัตว์ ถั่ว)
    เปลี่ยนโปรตีน เป็น ยูเรีย (ในขบวนการย่อยโปรตีน จะได้เป็นกรดอะมิโนซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ นอก จากกรดอะมิโนแล้ว ในขบวนการดังกล่าวยังผลิต แอมโมเนีย ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นร่างกายจึงพยายามกำจัดแอมโมเนียออก จากร่างกาย โดยเปลี่ยนแอมโมเนีย เป็นยูเรีย แล้วขับออกทางปัสสาวะ )
    สร้างกรดอะมิโน
    กำจัดแอมโมเนียออกจากกระแสเลือด โดยเปลี่ยนแอมโมเนีย เป็น ยูเรีย แล้วขับออกทางไต
    3. เกี่ยวกับขบวนการเมตาบอลิซึมของไขมัน
    สร้างน้ำดี ซึ่งช่วยในการแตกตัวของไขมัน (เนื่องจากไขมันไม่สามารถรวมตัวกับน้ำได้ ดังจะเห็นได้จากน้ำมันจะแยกชั้นและลอยอยู่ เหนือน้ำ ในขบวนการย่อยก็เช่นเดียวกัน น้ำดีจะทำให้ไขมันแตกตัวและสามารถรวมตัวกับน้ำได้ หลังจากนั้นน้ำย่อยจึงสามารถย่อยไขมันได้ทั่วถึง)
    4. เก็บสารที่ใช้ในการสร้างฮีโมโกลบิน (ฮีโมโกลบินเป็นสารในเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีหน้าที่นำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย)
    5. เก็บวิตามิน A , D , E , K, แร่ธาตุ และไขมัน
    6. สร้างน้ำเหลือง ซึ่งเป็นตัวกลางในการนำพาเม็ดเลือดขาวให้เคลื่อนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
    7. ควบคุมสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
    น้ำดี หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าน้ำดีเป็นเอนไซม์หรือน้ำย่อยอย่างหนึ่ง ซึ่งที่จริงแล้วน้ำดีไม่ใช่เอนไซม์ เป็นเพียงแค่ตัวทำละลายที่ช่วยให้ไขมันแตกตัว ทำให้เอนไซม์ที่มีหน้าที่ย่อยไขมันทำงานง่ายขึ้น ซึ่งน้ำดีจะถูกสร้างขึ้นที่ตับ แล้วไปเก็บที่ถุงน้ำดีซึ่งมีลักษณะเป็นรูปลูกแพร์ อยู่ข้างใต้ตับ โดยน้ำดีนั้น ประกอบด้วยของเหลว ,รงควัตถุ , เกลือ และคลอเรสเตอรอล
    นิ่วในถุงน้ำดี ปัญหาที่พบได้บ่อยที่ถุงน้ำดี คือ การเกิดนิ่ว นิ่วจะมีลักษณะเป็นก้อนซึ่งไม่จำเป็นต้องมีลักษณะแข็งก็ได้ เนื่องจากในก้อนนิ่วประกอบด้วยคลอเลสเตอรอลเป็นส่วนใหญ่ แล้วหลังจากนั้นจึงมีรงควัตถุและเกลือแคลเซียมมาพอกที่ก้อนดังกล่าว ทำให้ก้อนดังกล่าวมีลักษณะแข็งขึ้น (จากความเชื่อนี้ เชื่อว่า นิ่วนั้นเกิดขึ้นที่ถุงน้ำดี ) แต่แพทย์บางท่านเชื่อว่าก้อนนิ่วนั้นมีต้นกำเนิดภายในตับ แล้วมีการเคลื่อนที่มาที่ถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสถานที่เก็บน้ำดี แล้วหลังจากนั้นจึงเริ่มขยายขนาดและแข็งขึ้น การตรวจนิ่วด้วยx-ray อาจตรวจไม่พบในกรณีที่ก้อนนิ่วนั้นไม่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ สีของนิ่วพบว่ามีได้หลากหลายตั้งแต่ ดำ น้ำตาลเทา ขาว แดง หรือ เขียว และภายในแกนกลางของก้อนนิ่วจะประกอบด้วยแบคทีเรียหรือสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ
    นิ่วสามารถตรวจพบได้ทั้งในถุงน้ำดี และท่อน้ำดีของตับ ซึ่งก้อนนิ่วอาจไม่แสดงอาการใดๆเลยก็ได้ ถ้าก้อนนิ่วนั้นมีขนาดเล็กพอที่จะผ่านท่อน้ำดีและขับออกจากร่างกายได้ แต่ถ้าก้อนนิ่วนั้นมีขนาดใหญ่ จนไม่สามารถผ่านท่อน้ำดีออกไปได้ ก้อนนิ่วก็จะติดอยู่ในถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดี และเป็นสาเหตุของการอักเสบหรือการติดเชื้อในที่สุด ทำให้มีอาการปวดท้องส่วนบนอย่างมาก เป็นไข้ อาเจียร เหนื่อย นอกจากนี้อาจมีอาการในส่วนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับตับและถุงน้ำดี ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ความไม่สมดุลของฮอร์โมน ปวดศีรษะ อาการทางผิวหนัง และอื่นๆ
    ก้อนนิ่วขนาดใหญ่ที่บริเวณท่อน้ำดีใหญ่ เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและเฉียบพลันหลังรับประทานอาหารที่มีไขมันจำนวนมาก เนื่องจากไขมันจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี แต่ก้อนนิ่วในท่อน้ำดี จะกีดขวางการไหลของน้ำดีที่จะไปยังลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดดีซ่านและการอักเสบของถุงน้ำดีชนิดรุนแรง และบุคคลที่มีภาวะดังกล่าวจะพบว่าอุจจาระจะมีสีขาวเทาเนื่องจากสีน้ำตาลเขียวในอุจจาระนั้นมาจากสีรงควัตถุของน้ำดีนั่นเอง น้ำดีซึ่งไม่สามารถไหลออกไปได้จะคั่งอยู่ในถุงน้ำดีและตับ ซึ่งจะเกิดการดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ผิวหนังมีสีเหลือง หรือที่เรียกว่าภาวะดีซ่าน ซึ่งอาจพบร่วมกับอาการปวด
    ตับ หน้าต่างสะท้อนสุขภาพ
    สารพิษต่างๆที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน ทั้งจากการรับประทาน (สารกันบูด สารปรุงรส ยาฆ่าแมลง เชื้อรา) การสูดดม การซึมผ่านผิวหนัง หรือแม้แต่สารพิษที่ร่างกายผลิตเอง ทั้งหมดนี้ต้องผ่านด่านป้อมปราการสำคัญ คือ ตับ เพื่อทำการขจัดสารพิษ ถ้าตับทำงานไม่ทัน สารพิษเหล่านี้จะถูกปล่อยสู่กระแสเลือด และไปยังสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
    ปัญหาของตับที่พบได้บ่อย คือ การเกิดนิ่ว เนื่องจากนิ่วสามารถทำให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงต่างๆตามมา อาทิเช่น ภาวะตับอักเสบ (หมายถึง ภาวะที่เซลล์ตับเกิดการอักเสบ การเสื่อม และมีการตายของเซลล์) ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะดีซ่าน ภาวะตับโต การเบื่ออาหารและอาการไม่สบายท้อง บางครั้งจะอาเจียร หรือท้องเสียร่วมด้วย มีไข้เล็กน้อย ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีเทาขาว ซึ่งนั่นหมายถึงภาวะที่ไม่มีน้ำดีในทางเดินอาหาร
    ภาวะตับอักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ แอลกอฮอล์ ยา สารพิษต่างๆ การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส หรือพาราสิต ตับอักเสบ-เอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งปนเปื้อนในอาหาร มีความรุนแรงหลายระดับ ตั้งแต่น้อย จนอาจถึงแก่ชีวิต ตับอักเสบไวรัส-บี จะติดต่อทางเลือด และมีความรุนแรงมากกว่าตับอักเสบไวรัส-เอ อาการทางคลินิกของตับอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัสนั้นไม่สามารถแยกได้อาการตับอักเสบที่เกิดจากสารพิษ เช่น คลอโรฟอร์ม ฟอสฟอรัส เห็ด ยาบางชนิด อย่างไรก็ตามตับอักเสบนั้นก็มีผลต่อการทำงานของตับ และในทางการแพทย์ยังไม่มีการรักษาให้หายขาด ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่แล้วนั้นเกิดจากขบวนการสร้างและซ่อมแซมของร่างกายเอง ตลอดจนระมัดระวังและใส่ใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน
    ตับแข็ง เป็นภาวะที่เซลล์ตับมีการแข็งตัวและค่อยๆตาย ทำให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากสุรา (แอลกอฮอล์) การขาดสารอาหาร หรือการติดเชื้อ อาการของตับแข็งได้แก่ วิงเวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร อาเจียน อุจจาระสีขาวเทา อ่อนเพลีย ปวด สำหรับผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะแรก ถ้าสามารถกำจัดสาเหตุได้ทัน ตับจะค่อยๆซ่อมแซมตัวเองและอาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้น ในทางตรงข้ามภาวะตับแข็งในระยะรุนแรงนั้น ตับจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเอง และอาจถึงแก่ชีวิต
    เนื่องจากยาหลายชนิด จะถูกขับออกทางตับ และยาเหล่านี้เมื่อผ่านมาที่ตับ ตับจะถือว่ายาเป็นสิ่งแปลกปลอมและพยายามที่จะกำจัดออก นั่นหมายถึงว่ายิ่งมีปริมาณยามากขึ้นเท่าไหร่ ตับก็ยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้นด้วย นอกจากยาแล้ว สารเคมีในอาหาร สารกันบูด สี สารปรุงแต่งรส& กลิ่น ก็ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมเช่นเดียวกัน
    ตับเป็นอวัยวะที่สามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่าอวัยวะอื่นๆ เมื่อเราสามารถจำกัดสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตับออกไปได้ และขบวนการขจัดสารพิษที่ตับ ( liver detoxification) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ตับฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น

    Liver Detoxification

    เนื่องจากในขบวนการล้างพิษจากตับ ( liver detoxification) ตับจะขับสารพิษจำนวนมากออกมาผ่านลำไส้และถูกขับออกจากร่างกาย แต่จะมีบางส่วนที่ถูกดูดซึมกลับสู่กระแสเลือดและถูกขับออกทางไต ดังนั้นในระหว่างที่ตับขจัดสารพิษนั้น ไตก็จะทำงานหนักมากขึ้น เนื่องจากจะมีสารพิษจำนวนมากที่ออกจากตับ เข้าสู่ไต ดังนั้นก่อนทำการล้างพิษจากตับ คุณควรจะมีไตที่มีสภาพสมบูรณ์และสะอาดเสียก่อน ( ควรทำ kidney detoxification ก่อนทำ liver detoxification )
    นิ่วในถุงน้ำดีและในตับ จะเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรียและพาราสิต นอกจากนี้นิ่วจะขัดขวางการไหลของน้ำดี ซึ่งส่งผลให้การย่อยไขมันทำได้ยากขึ้นแล้ว ส่งผลให้ระดับคลอเลสเตอรอลในกระแสเลือดสูงขึ้นด้วย
    การล้างพิษจากตับ จะทำให้ตับและร่างกายส่วนอื่นๆสามารถทำงานได้ดีขึ้น อาทิเช่น ระบบย่อยอาหาร ภาวะภูมิแพ้ สิวที่ผิวหนัง อาการปวดหลัง ปวดแขน ปวดไหล่
    วิธีการล้างพิษจากตับที่จะแนะนำข้างล่างนี้ สามารถขับก้อนนิ่วที่ตับและถุงน้ำดีออกได้อย่างรวดเร็ว (ไม่เหมือนกับการขับก้อนนิ่วที่ไต ซึ่งจะเป็นการค่อยๆละลายก้อนนิ่วทีละน้อย) โดยที่ไม่อาการเจ็บปวดแต่อย่างใด และก้อนนิ่วที่ถูกขับออกมา คุณสามารถมองเห็นได้ในอ่างชักโครก เนื่องจากก้อนนิ่วจะลอยน้ำ เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่ของนิ่ว คือคลอเลสเตอรอล และจะมีสีเขียวเนื่องจากสีรงควัตถุของน้ำดี ซึ่งสารที่ใช้ในขบวนการขจัดสารพิษที่ตับ ได้แก่
    น้ำมันมะกอก
    เกรปฟรุต (อาจใช้ส้มโอ หรือมะนาวแทนได้)
    เกลือ Epsom
    แอล- ออนิทิน ( L-ornithine : แคปซูล )
    มิลทิสเทล (Milk thistle : แคปซูล)

    น้ำมันมะกอก จะกระตุ้นการหลั่งน้ำดีจากตับและถุงน้ำดี และแรงดันดังกล่าวจะช่วยผลักก้อนนิ่วออกจากท่อน้ำดี ส่วนน้ำเกรปฟรุต (เราอาจใช้น้ำส้มโอ หรือน้ำมะนาว ทดแทนได้ ) จะช่วยให้รสชาติของน้ำมันมะกอกดีขึ้น และยังช่วยทำความสะอาดตับอีกด้วย
    เกลือ Epsom มีชื่อทางเคมีว่า แมกนีเซียมซัลเฟต เฮปตะไฮเดรต ซึ่งก็คือเกลือแมกนีเซียมที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ 7 โมเลกุล (แหล่งของเกลือแมกนีเซียมในธรรมชาติ คือ น้ำแร่ ซึ่งพบได้ถึง 95 % และ เกลือสมุทร ซึ่งพบประมาณ 2 % ) มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และทำให้เกิดอาการถ่ายท้อง คล้ายท้องเสียได้ในตอนเช้า หลังจากที่รับประทาน นอกจากนี้ยังช่วยขยายท่อน้ำดี ทำให้ก้อนนิ่วเคลื่อนออกมา ซึ่งเกลือ Epsom มีขายตามร้านขายยาทั่วไป
    L-ornithine (แคปซูล) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยในขบวนการย่อยอาหารและขบวนการเมตาบอลิซึม ซึ่งจะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น ถ้าหากคุณไม่รับประทานสารนี้ก่อนนอน การเข้านอนของคุณในคืนนั้นจะดึกกว่าปกติ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา
    Milk thistle (แคปซูล) จะช่วยทำความสะอาดและฟื้นฟูตับ เนื่องจากใน Milk thistle นั้นประกอบด้วย สารซิริมาริน (Silymarin) ซึ่งบางบริษัท จะสกัดสารซิริมารินออกมาขายในรูปแบบเม็ด [ในความคิดของผู้เขียน เราสามารถใช้สมุนไพรตัวอื่นที่ช่วยบำรุงตับและมีฤทธิ์ต้านการเกิดไวรัสตับตับอักเสบ ซึ่งได้แก่ ลูกใต้ใบ : Phyllathus niruri ปริมาณ 900-2700 มิลลิกรัมต่อวัน , เห็ดหลินจือ : Reishi ปริมาณ 1-1.5 กรัมต่อวัน(ผง) หรือ 1 มิลลิลิตรต่อวัน (น้ำ) , โรสแมรี่ ปริมาณ 1.5-15 กรัมต่อวัน]
    สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งซึ่งช่วยทำความสะอาดตับได้เป็นอย่างดี คือ Picrorhiza kurroa ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลายา และใช้กันอย่างกว้างในวงการแพทย์ของอินเดีย
    ในระหว่างขบวนการล้างพิษจากตับ คุณจะถ่ายอุจจาระหลายครั้ง ดังนั้นควรเลือกทำในวันสบายๆ ซึ่งขั้นตอนการทำ มีดังนี้
    1. ห้ามรับประทานอาหารตั้งแต่ 14.00 น. ( ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีวันหยุดในวันเสาร์ ให้เริ่มหยุดรับประทานอาหาร ยา อาหารเสริม วิตามินและเครื่องดื่ม ตั้งแต่ 14.00 น. ของวันศุกร์ ให้ดื่มได้เฉพาะน้ำเท่านั้น สำหรับอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันของวันศุกร์ ต้องเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน :-ไม่ใช้เนย,น้ำมัน, เนื้อสัตว์,น้ำสลัดที่มีไขมัน) ซึ่งเหตุผลของการหลีกเลี่ยงอาหารไขมันในช่วงเวลาดังกล่าว ก็เพื่อที่จะเก็บสะสมน้ำดีให้ได้ปริมาณมากพอ เพื่อเพิ่มแรงดันให้แก่น้ำดีในขณะที่ปล่อยออกมาระหว่างช่วงที่ทำการขจัดสารพิษ ( กลางคืนวันศุกร์)
    2. เวลา 18.00 น. ดื่มน้ำ ¾ แก้วซึ่งมีเกลือ Epsom 1 ช้อนโต๊ะละลายอยู่
    3. เวลา 20.00 น. ดื่มน้ำ ¾ แก้วที่มีเกลือ Epsom 1 ช้อนโต๊ะละลายอยู่
    4. เวลา 22.00 น. ดื่มน้ำเกรปฟรุต (ใช้เกรปฟรุต 1 ผล)ที่ผสมกับน้ำมันมะกอก ½ แก้ว โดยรับประทานพร้อมกับ L-ornithine จำนวน 4 เม็ด
    5. หลังเวลา 06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ดื่มน้ำ ¾ แก้วที่มีเกลือ Epsom 1 ช้อนโต๊ะละลายอยู่
    6. หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำ ¾ แก้วที่มีเกลือ Epsom 1 ช้อนโต๊ะละลายอยู่ อีกครั้ง
    7. หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง รับประทานอาหารได้ตามปกติ
    ถ้าคุณทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การล้างพิษจากตับครั้งนี้ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ขณะที่ถ่ายอุจจาระในตอนเช้า คุณจะรู้สึกว่าถ่ายเหลว และเมื่อคุณลองมองสิ่งที่ถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระ คุณจะพบก้อนนิ่วที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดี ซึ่งอาจมีขนาดตั้งแต่เล็กเท่าหัวเข็ม ไปจนถึงขนาดใหญ่มากๆ ส่วนใหญ่จะมีสีเขียวเนื่องจากสีรงควัตถุของน้ำดี ซึ่งการถ่ายอุจจาระครั้งแรกนี้ จะมีนิ่วจำนวนมากถูกขับออกมา อาจมีจำนวนตั้งแต่ 100 ถึง 1000 หรือมากกว่านั้น นอกจากก้อนนิ่วแล้ว จะมีสารพิษจำนวนมากถูกขับออกมาพร้อมน้ำดี ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระ หรือไปยังไตเพื่อที่จะกำจัดสารพิษนี้อีกครั้ง (นั่นหมายถึง การขจัดสารพิษจำนวนมากออกจากตับและถุงน้ำดี )
    ขบวนการล้างพิษจากตับ สามารถทำได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ทั้งนี้ต้องตระหนักไว้เสมอว่าควรทำการล้างพิษจากไต (kidney detoxification) ก่อนที่จะทำการล้างพิษจากตับ ( liver detoxification) เพราะหลังขบวนการล้างพิษจากตับ จะมีสารพิษปริมาณมากถูกขจัดออกจากตับ และเดินทางไปที่ไตเพื่อขับออก แต่ถ้าในขณะนั้นไตไม่แข็งแรงพอ ไม่สามารถทำหน้าที่ขจัดสารพิษได้ทัน สารพิษที่หลงเหลืออยู่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดอาการไม่สบายต่างๆขึ้น
    ในกรณีที่มีก้อนนิ่วจำนวนมาก การล้างพาจากที่ตับเพียงครั้งเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะสามารถกำจัดก้อนนิ่วทั้งหมดได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการล้างพิษจากตับซ้ำอีกครั้ง โดยเว้นระยะห่างจากการทำครั้งแรกประมาณ 1-2 สัปดาห์
    ในรายที่มีปัญหาท้องผูกร่วมด้วย หลังการล้างพิษจากตับ ควรจะทำการล้างพิษจากลำไส้ ( เช่น การสวนลำไส้ด้วยน้ำกาแฟ)ด้วย เนื่องจากถ้าลำไส้ใหญ่ไม่สามารถขับสารพิษที่ถูกขับออกจากตับและถุงน้ำดีได้ทันแล้ว สารพิษเหล่านี้จะตกค้างอยู่ที่เยื่อบุของทางเดินอาหาร และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และกลับเข้าสู่ตับหรือเนื้อเยื่ออื่นๆอีกครั้ง สำหรับการสวนกาแฟหลังการล้างพิษจากตับ ในรายที่ไม่มีปัญหาท้องผูก นั้นสามารถทำได้ เพราะจะเป็นการช่วยกำจัดสารพิษออกด้วยอีกทางหนึ่ง
    เนื่องจาก Milk thistle และ Picrorhiza kurroa สามารถขจัดสารพิษออกจากตับ และยังช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟูตับได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีการแนะนำให้รับประทาน Milk thistle (แคปซูล) หลังการล้างพิษจากตับครั้งแรก โดยรับประทานตามฉลากข้างขวด โดยเริ่มจากปริมาณที่น้อยที่สุด แล้วจึงค่อยเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฉลากระบุว่า กิน 1-3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ให้เริ่มจากกินจากครั้งละ 1 แคปซูล (วันละ 3 ครั้ง ) แล้วค่อยเพิ่มจากครั้งละ 1 แคปซูลเป็น 2 แคปซูล และเป็น 3 แคปซูลในที่สุด (หมายความว่ารับประทานวันละ 9 แคปซูล) และในระหว่างที่คุณทำการล้างพิษจากตับเป็นครั้งที่สอง ควรหยุดกิน Milk thistle เป็นเวลา 2 วัน และกลับมากินอีกครั้งเมื่อทำการล้างพิษจากตับครั้งที่สองเสร็จสิ้นแล้ว โดยกิน Milk thistle ครั้งละ 3 แคปซูล (วันละ 9 แคปซูล ) รับประทานต่อเนื่องจนหมดขวด
    วิธีล้างพิษที่ตับ ฉบับกระเป๋า
    นอกจากการล้างพิษที่ตับด้วยวิธีการข้างต้นแล้ว เรายังมีวิธีง่ายๆ ซึ่งสามารถทำเมื่อไรก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนทำ และไม่ใช้สารที่ทำให้มีเกิดการถ่ายท้องอย่างรุนแรง
    สารที่ใช้ในการล้างพิษแบบง่ายๆ นี้ได้แก่
    มะนาวสด 1/2 ผล
    เกรปฟรุต 2 ผล
    น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
    Cascara sagrada 2 แคปซูล (หรือสมุนไพรอื่นที่ช่วยในการขับถ่าย )
    Cascara sagrada เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์คล้ายกับยาระบายอ่อนๆ ซึ่งไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะอยู่ในรูปของแคปซูล หรือของเหลวบรรจุขวด ซึ่งเราสามารถใช้สมุนไพรชนิดอื่นที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายแทนก็ได้ (สำหรับสมุนไพรของไทย ที่สามารถใช้แทนได้ คือ มะขามแขก เนื่องจากในมะขามแขกมีสาร Sennosides ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นเชื้อประจำถิ่นของลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวเร็วขึ้น และเร่งการขับของเหลวออกจากลำไส้อีกด้วย ปริมาณ Sennosides ที่แนะนำให้บริโภค คือ 20- 60 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรกินติดต่อกันนานกว่า 10 วัน เนื่องจากจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและโพแทสเซียมในปริมาณมากเกินไป ) เนื่องจากเราต้องการเพียงให้อุจจาระถูกขับถ่ายได้เร็วและสะดวกขึ้น โดยอุจจาระที่ขับออกมานั้นจะมีสารพิษที่ลำไส้เล็กซึ่งมาจากถุงน้ำดีและท่อน้ำดีออกมาด้วย ถ้าสารพิษเหล่านี้ไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ ยังคงติดอยู่ในลำไส้ เช่น ในคนที่ท้องผูก ก็จะเกิดการดูดซึมสารพิษกลับสู่กระแสเลือด ดังนั้นการใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยในการระบายจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้ยาระบาย
    เริ่มจากผสมสมุนไพรที่ช่วยในการระบายเข้ากับน้ำมะนาว ½ ผล และน้ำเกรปฟรุต 2 ผล (อาจใช้น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มโอ หรือน้ำมะนาว แทนน้ำเกรปฟรุต ) และน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน ( เอากากออก) แล้วดื่มก่อนเข้านอนทันที เนื่องจากตับจะทำงานมากที่สุดในช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
    ถึงแม้ว่าวิธีการล้างพิษฉบับกระเป๋า จะไม่สามารถทดแทนวิธีล้างพิษจากตับฉบับสมบูรณ์แบบในวิธีแรกได้ แต่ก็เป็นวิธีที่สะดวกและสามารถทำเมื่อไหร่ก็ได้ จึงน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งเพื่อสุขภาพของคุณ

    เรียบเรียงโดย พิมพ์ชนก ฐานิตสรณ์ บริษัท กู๊ดเฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด ( 15 / 8 / 49 )

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,069
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +69,959
    [​IMG]

    สุดยอด ๒๐ อาหารล้างพิษ คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่า อาหารเป็นยาที่วิเศษที่สุดเพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ใช่ว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม รังนกหรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้ เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวันก็มีประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย

    ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษรวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกายซึ่งสารพิษต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศสารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น

    คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้าง


    เริ่มจากลำดับที่
    ๒๐ สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่าง ๆ จากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้นและสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วยนอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

    ๑๙. หัวหอม
    ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิดและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจนอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

    ๑๘. มะนาว
    เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับมีวิตามินซีสูงน้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

    ๑๗. เมล็ดแฟลกซ์
    ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา ๓ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำและมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น

    ๑๖. กระเจี๊ยบ
    น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้

    ๑๕. ทับทิม
    ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายและลดอาการอักเสบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิมเพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูงซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

    ๑๔. พืชตระกูลถั่ว
    (เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินและลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

    ๑๓. ขึ้นฉ่าย
    ถือว่า เป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำหรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าเพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็งและสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

    ๑๒. แครอท
    เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha andBeta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอและถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนังที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำและจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

    ๑๑. มะเขือพวง
    คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริกสมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วยใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้ามแกงไก่มักใส่ไก่มากกว่า มะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่ายทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย

    ๑๐. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
    เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตกสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุตสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือดนอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนสารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

    ๙. กระเทียม
    จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือการกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหารและฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิตนอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้นแต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไปซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

    . บลูเบอร์รี่
    เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคเนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคืองสารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

    ๗. กะหล่ำ
    เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไปซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกายทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหารรักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ พืชตระกูลกะหล่ำได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปมผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่นของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียและช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย

    ๖. บีทรูต
    ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล (Phytochemical) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรคทำความสะอาดเลือด ตับและระบบน้ำเหลืองอีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้นจึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

    ๕. อะโวคาโด
    อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักแต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไปในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน (Glutathione) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตันทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า ๓๐ ชนิดและขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์

    ๔. ตำลึง
    ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่ายและราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆแต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นนอกจากนี้ สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

    . แอปเปิ้ล
    ประกอบไปด้วยเพกตินสูงเพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมองนี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกายนอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสจากการศึกษาทดลองยังพบว่า แอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

    ๒. อัลมอนด์
    เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูงมีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย (Hyperglycemia) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม ใจสั่นไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก

    ๑. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสโพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลวหรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้นการกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูกทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย


     

แชร์หน้านี้

Loading...