3------ รักและใส่ใจตนดีแล้ว จึงสามารถ รักและใส่ใจชีวิตอื่น...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 กรกฎาคม 2011.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1972732/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    น้ำผักปั่นเพื่อสุขภาพสูตรนี้เป็นที่แพร่หลายมากๆ และยอมรับกันอย่างมากมาย เพราะทราบดีว่า ดื่มแล้วสุขภาพดีจริงๆ

    ขอเพียงขยันทำเท่านั้น

    ดื่มให้ได้ทุกวัน

    บางคนทำตามสูตรดื่มมากแล้วมีปัญหาเรื่องความหวานจากน้ำผึ้งมากไป ไม่ดีต่อผู้เป็นเบาหวาน จริงๆแล้ว เราไม่ต้องใส่น้ำผึ้งก็ได้ หรือไม่ได้แช่เย็นดื่มไม่อร่อย ซึ่งการดื่มน้ำผักปั่นนี้ ปั่นเสร็จแล้วควรดื่มทันที เพื่อให้ได้ สารอาหารสดๆวิตามินยังไม่หายไปไหน ถ้าชอบเย็น ก็นำน้ำจากตู้เย็นมาปั่นก็ได้อีกเช่นกัน


    ลองทำดื่ม ดื่มได้ทุกวัย เด็กๆ ก็เติมน้ำผึ้งได้ตามสูตร น้ำผึ้งต้องเป็นน้ำผึ้งแท้ถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ คุณหมอรสสุคนธ์ คิดสูตรนี้และทำให้ทุกคนดื่ม มาตั้งแต่สมัยคุณหมอทำงานกับทหารที่เขาค้อ เคยเขียนบันทึกน้ำผักปั่นพลังเอนไซม์ สูตรเดียวกันแต่เปลี่ยนน้ำ เป็นน้ำเอนไซม์เท่านั้น



    [​IMG]ผักผลไม้ที่จะใช้ปั่น





    น้ำผักปั่นบ้านสุขภาพ


    เป็นน้ำผลไม้สดจึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกาย ตลอดจนสารพิษต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือการลดอาการปวดต่างๆ จากอาการ ท้องเสีย หรือมีของเสียค้างอยู่ในระบบเลือดมาก มากจนปวดตามกล้ามเนื้อ ซึ่งเมื่อดื่มไปสักระยะเวลาหนึ่ง อาการต่างๆ ที่เป็นอยู่จะค่อยๆลดลงตามลำดับ



    การดื่มน้ำผักเป็นการเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ จำเป็นและที่สำคัญ คือ คลอโรฟิลด์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดุดซึม ก็จะไป “ฟื้นฟูตับ” มันจะไปก่อน พอ “น้ำตับหลั่ง” น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โปรไฮเดรด ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ใจขณะที่ตัวมันไม่ย่อย ไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่งแล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้มากกว่าเดิม



    ซึ่งอาการที่ดีขึ้น นั่นคือ ขบวนการที่ร่างกายชะล้างของเสียออกได้มากขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับอาการปวด ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการไปหยุดความสามารถในการชะล้างของเสียในร่างกาย และทำให้เกิดการสะสมของสารพิษมากขึ้น ในทุกระบบของร่างกายและกระจายจนก่อเป็นเซลล์มะเร็ง



    ในน้ำผักปั่นเป็นกรดอ่อนๆที่มี คลอโรฟิลล์(สารสีเขียวในพืช)มีวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โปรตัสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เป็นส่วนประกอบหลัก




    อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น





    [​IMG]

    ผักสลัดไม่มีใช้ ผักกาดแก้ว มะเขือเทศลูกเล็ก

    หอมใหญ่หัวเล็ก ก็เพิ่มได้พอควร




    [​IMG]


    ผักกาดหอม 2 ใบ

    คึ่นฉ่าย 2 ก้าน

    มะเขือเทศ 1 ลูก

    หอมหัวใหญ่ ¼ ลูก

    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

    เสาวรสหรือมะนาว 1 ลูก

    แอปเปิ้ล ½ ลูก

    น้ำสะอาด 2 แก้ว


    วิธีทำ



    1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น



    2. ปั่นน้ำผัก เป็นเวลาประมาณ 20 วินาที



    3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว(จะได้น้ำผักปั่น 2 แก้ว)



    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    ถ้าเป็นแอปเปิ้ลแดง หรือมะเขือเทศแดงมาก

    น้ำก็จะสีเข้มกว่านี้



    ส่วนประกอบของน้ำผักปั่นและประโยชน์



    น้ำผักปั่นมีสารอาการแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ช่วยการทำงาน 5 ระบบคือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ



    ผักกาดหอม ช่วยฟิ้นฟูเซลล์ระบบประสาทและเซลล์ในปอด ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อกระดูกเส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง



    คึ่นฉ่าย ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลล์ เม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่างๆ



    มะเขือเทศ ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมีสารช่วยย่อยอาหารทำให้เยื่อบุ กระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ หอมหัวใหญ่ ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง



    มะนาว ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน



    น้ำผึ้ง ให้พลังงานสำรองม้าม



    พืชผักที่สามารถทดแทนหรือเพิ่มเติม



    กล้วยน้ำว้าสุก : เป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง เมื่อต้องการเพิ่มความหวานให้กับน้ำผักปั่น สามารถใช้กล้วยน้ำว้าแทนน้ำผึ้งได้


    แอปเปิ้ลแดง : ให้วิตามิน เอ ซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส


    ผักกาดขาว : หากผักกาดหอมหมด ผักกาดขาวเป็นทางหนึ่งซึ่งจะให้แคลเซียมและไฟเบอร์ ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น


    สะระแหน่ : ช่วยขับลมในลำไส้ และบำรุงปลายประสาท


    โหระพา : ช่วยขับลมในลำไส้ บำรุงปลายประสาท ลดความเป็นกรด ในกระแสโลหิต ลดอาการไข้ แก้ปวดหัว


    ผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว ตะลิงปิง มะดัน มะนาว ส้ม ส้มโอ เสาวรส


    ผักที่ใช้แทนผักกาดหอมได้ ใบชะมวง ใบมะยม ใบโหระพา


    [​IMG]


    [​IMG]


    ขอบคุณข้อมูล จากหนังสือน้ำผักปั่น และนมธัญพืช

    โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์




    http://www.gotoknow.org/blogs/posts/441361
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2012
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ** เครียด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย = อาการเตือนโรคตับ**

    ชี้! อายุ 30 ปีขึ้นไป กลุ่มเสี่ยง

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p>[​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ตับ เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย อีกทั้งยังเป็นอวัยวะที่อึดมากๆ คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับเพียง 30% ผู้ป่วยโรคตับจึงไม่มีอาการที่ชัดเจนและไม่แสดงความผิดปกติในผลเลือด แต่พอมีอาการหรือตรวจเจอก็มักจะสายเกินไปแล้ว <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เราจะวิธีสังเกตอย่างไรว่าตับของเราเริ่มเสื่อมลง ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร เราจะได้ป้องกันและบำรุงรักษาตับแต่เนิ่นๆ มิให้พัฒนาเป็นโรคตับขั้นรุนแรง...


    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    หน้าที่สำคัญของตับในทัศนะการแพทย์แผนจีน...
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในทัศนะการแพทย์จีน หนึ่งในหน้าที่สำคัญของตับ คือ การระบายพลังชี่ให้กระจายไปสู่ทั่วทั้งร่างกาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะให้ตับและอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้ปกติ แต่ความสามารถในการระบายพลังชี่ของตับจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุย่างเข้า 30 - 35 ปี ซึ่งเป็นไปตามความเสื่อมของร่างกาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ส่งผลให้พลังชี่ถูกอั้นไว้ในตับ และเลือกและพลังชี่ก็จะไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้เส้นลมปราณตับสะดุดและติดขัด นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะเร่งให้เกิด ภาวะพลังชี่อั้นในตับเร็วขึ้นและรุ่นแรงขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เส้นลมปราณตับ เริ่มทอดตั้งแต่ปลายนิ้วหัวแม่เท้าไปตามหลังเท้าขึ้นไปสู่น่อง แล้ววกผ่านอวัยวะเพศ (อัณฑะหรือมดลูก) ขึ้นไปยังท้องน้อยผ่านตับ ถุงน้ำดี เลียบข้างกระเพาะอาหารและขึ้นไปตามปอด ลำคอ แก้ม และสิ้นสุดที่สมอง <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดังนั้น เส้นลมปราณตับติดขัดจาก ภาวะพลังชี่อั้นในตับจึงทำให้ตับและอวัยวะอื่นๆ ตามเส้นลมปราณตับทำงานผิดปกติ หากปล่อยไว้เรื้อรัง อาจพัฒนาเป็นโรคตับขั้นรุนแรง เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งหรือมะเร็งตับ เป็นต้น
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ภาวะพลังชี่อั้นในตับจะแสดงอาการอย่างไร...
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    - ผลกระทบด้านจิตใจและอารมณ์ :<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเส้นลมปราณตับส่วนบนที่เดินผ่านสมองเกิดการติดขัด ก็จะทำให้สมองผลิตสารเคมีทั้งหลายที่ทำให้คนเราไม่เครียดและรู้สึกอารมณ์ดีน้อยลง จึงเกิดความเครียด ขี้หงุดหงิด หดหู่หรือซึมเศร้าได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้น
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    - เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในเต้านมหรือตับ :<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เส้นลมปราณตับ เกี่ยวข้องกับเต้านม ตับ ประจำเดือน และมดลูก ภาวะพลังชี่อั้นในตับทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดไม่คล่องตัว จึงเกิดการสั่งสมพิษในร่างกาย เมื่อพิษนั้นสั่งสมเป็นเวลานานก็จะจับตัวเป็นก้อน เสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งในเต้านม ตับหรือมดลูก
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    - ผลกระทบต่ออวัยวะตามเส้นลมปราณตับ :
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การติดขัดของเส้นลมปราณตับส่วนบน นอกจากจะทำให้เราเครียดแล้ว ยังทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบ รู้สึกมีอะไรจุกอยู่ในคอหอย จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออก ผิวหน้าซีดเหลือง มีฝ้าฮอร์โมนบนใบหน้า เป็นต้น <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การติดขัดของเส้นลมปราณตับส่วนกลาง จะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือคัดเต้านมโดยเฉพาะในสตรีจะเป็นมากขึ้นช่วงก่อนจะมีประจำเดือน เนื้องอกหรือมะเร็งในเต้านม รู้สึกหายใจไม่เต็มท้องทำให้ต้องถอนหายใจบ่อยๆ ปวดแน่นหรืออึดอัดบริเวณชายโครง เป็นต้น <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ส่วนการติดขัดของเส้นลมปราณตับส่วนล่าง จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องตึงตัว ทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องน้อย รู้สึกปวดหน่วงอัณฑะ ประจำเดือนผิดปกติ เนื้องอกหรือมะเร็งมดลูก เป็นต้น
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    - ผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร : <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ภาวะพลังชี่อั้นในตับทำให้ตับ กระเพาะอาหาร และม้ามทำงานไม่สัมพันธ์กัน จึงส่งผลให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เบื่อของมัน ท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบไม่จับตัวเป็นก้อน <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เมื่อกระบวนการย่อยดูดซึมและลำเลียงอาหารบกพร่องเป็นเวลานานย่อมสงผลกระทบต่อการสร้างเลือดและพลังชี่ในร่างกาย ทำให้เกิดอาการของหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทและการไหลเวียนของโลหิต เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ นอนหลับแต่ฝันร้าย ตื่นตอนกลางคืนแล้วหลับยากหรือนอนหลับมากเกินไป ขี้ลืม ตกใจง่าย เป็นต้น
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการพลังชี่อั้นในตับ หรือผู้ป่วยที่ต้องการปรับความสมดุลของตับ หรือรักษาโรคตับแรกเริ่ม การแพทย์จีนนิยมใช้วิธีระบายพลังชี่ในตับให้กระจายไปสู่ทั่วร่างกาย เส้นลมปราณตับจึงไม่สะดุดและติดขัด เลือดและพลังชี่ก็จะไหลเวียนได้สะดวกขึ้น <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อาการเครียด ขี้หงุดหงิด นอนหลับยาก เบื่ออาหาร ท้องอืดท้องเฟ้อ เรอบ่อยและอาการอื่นๆ ที่เกิดจากภาวะพลังชี่อั้นในตับก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด...

    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
     
  4. พ่ายรัก

    พ่ายรัก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +1
    สวดยอดมากๆๆๆครับสำหรับความรู้ดีๆๆที่เอามาแชร์กัน สาธุๆๆๆๆ
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    Update ล่าสุด


    26 มี.ค. 2555

    ข่าวจากการอบรม วันที่ 24-25 มี.ค. 2555

    [SIZE=+0][FONT=arial, sans-serif]
    [​IMG]
    [/FONT]
    [FONT=arial, sans-serif]
    [/FONT]
    [FONT=arial, sans-serif]หลอดแกนชนิดเจาะสองรูหันปลายแหลมขึ้นข้างบน

    อุปกรณ์พีระมิดทุกชนิดควรหันปลายแหลมชี้ขึ้นฟ้า ไม่ว่าจะเป็นหลอดแกนที่ติดตัว แถบแกน พีระมิดที่วางรอบบริเวณบ้าน เครื่องยกอากาศ เตียงพีระมิด

    หากไม่สะดวกหรือไม่สามารถกลับปลายแหลมขึ้นข้างบนได้จริงๆ จะหันปลายแหลมชี้ลงดินอย่างเดิมก็ได้
    ข้อสำคัญคือต้องทำให้เหมือนกันทุกอุปกรณ์ ถ้าจะชี้ขึ้นฟ้าก็ต้องชี้ขึ้นฟ้าเหมือนกันหมดทุกอุปกรณ์ทุกก้อนพีระมิด ถ้าจะชี้ลงดินก็ต้องชี้ลงดินเหมือนกันหมดทุกอุปกรณ์ทุกก้อนพีระมิด


    การหมุน


    เหน็บหลอดแกนพีระมิดชนิดเจาะสองรูที่หน้าอกบริเวณใกล้หัวใจหันปลายแหลมขึ้นข้างบน เหรียญสุขภาพ 2 เหรียญประกบซ้อนกันกำไว้ในมือ โดยหันด้านธรรมจักรออกนอกฝ่ามือทั้งสองเหรียญ (แบมือ วางเหรียญแรกลงที่ฝ่ามือโดยหันด้านธรรมจักรออกนอกฝ่ามือแล้ววางเหรียญที่สองทับลงไปโดยด้านธรรมจักรออกนอกฝ่ามือเช่นกัน ด้านเรียบของเหรียญที่สองจะประกบกับด้านธรรมจักรของเหรียญแรก แล้วกำมือ) กำไว้ในมือข้างใดก็ได้ นึกหมุนระหว่างหลอดแกนที่หน้าอกกับเหรียญในมือ จะเกิดการหมุนในทิศทางจากซ้ายไปขวา ขับของเสียออกจากร่างกาย


    การถู


    เหน็บหลอดแกนพีระมิดชนิดเจาะสองรูที่หน้าอกบริเวณใกล้หัวใจ นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก วางแถบแกนหน้าหลังหันปลายแหลมพีระมิดขึ้นบน นึกเส้นพีระมิดนำมาถูตามปกติ , หมุนกับแถบแกน เหวี่ยงของเสียลงแถบแกนได้ตามปกติ


    การทำสมาธิด้วยเหรียญ


    กำเหรียญไว้ในมือหนึ่งเหรียญหรือสองเหรียญก็ได้ กำหนดตั้งอยู่ๆที่กลางเหรียญไปเรื่อยๆ จะเกิดความสว่างขึ้น จากนั้นนึกไปที่จมูกเชื่อมแสงสว่างจากเหรียญมาที่จมูก จากนั้นนึกเชื่อมแสงสว่างไปที่ ฐานกายที่ท้อง หัวใจ และตาที่สาม ตามลำดับ จะเกิดแสงสว่างละลายความมืดดำทั่วร่างกาย


    การเหน็บอุปกรณ์ติดตัวในชีวิตประจำวัน


    เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้


    -เหน็บหลอดแกนพีระมิดชนิดเจาะสองรูที่หน้าอก
    -เหรียญธรรมจักรรุ่นล่าสุด (รุ่นหินภูเขาไฟ) ยังคงใช้เหน็บติดตัวที่หน้าอกได้เช่นกัน
    -เหน็บหลอดแกนพีระมิดชนิดเจาะสองรูที่หัวใจ , เหน็บหรียญสุขภาพ 2 เหรียญประกบซ้อนกันหันด้านธรรมจักรออกนอกตัว ที่เอวหรือที่หน้าอกด้านขวา
    -เหน็บเหรียญธรรมจักรรุ่นล่าสุดที่หัวใจ , เหน็บหรียญสุขภาพ 2 เหรียญประกบซ้อนกันหันด้านธรรมจักรออกนอกตัว ที่เอวหรือที่หน้าอกด้านขวา


    เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตามความรู้สึกของแต่ละคนว่าอย่างไหนรู้สึกสบายและสะดวกสำหรับตนเอง


    วิปัสสนา


    กำหนดตั้งอยู่ตรงที่เจ็บปวดมีปัญหา หรือจุดใดๆในร่างกายที่ความรู้สึกเราไปยึดเกาะอยู่ จะเห็นตัวตึ๊บหรือตัวสันตติ ดูตัวสันตติไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเกิด-ดับเป็นจังหวะ ไม่ต้องใส่เจตนาให้หายเจ็บปวดเพียงดูสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะละลายแรงตัณหาที่ดึงให้จิตยึดเกาะอยู่กับความรู้สึกที่จุดนั้น เมื่อทำชำนาญเข้าไม่ต้องกำหนดตั้งอยู่ เพียงแต่ดูตัวสันตติที่เกิดขึ้น เมื่อปฏิบัติไประยะหนึ่งแล้วตัวสันตติจะย้ายตำแหน่งไปตามจุดอื่นๆในร่างกายที่เราไม่ได้กำหนด มันจะไปของมันเอง จะย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงระยะหนึ่งตัวสันตติจะเกิดขึ้นพร้อมกันหลายจุดในเวลาเดียวกัน จนกระทั่งเกิดทั่วทั้งร่างกาย ในที่สุดตัวสันตติทุกจุดในร่างกายจะเต้นพร้อมกันเป็นจังหวะเดียว เกิดแรงดันไปดันที่ศูนย์กลางธาตุรู้ที่หัวใจทำให้จิตหลุดออกจากใจถึงซึ่งความหลุดพ้นได้



    [/FONT]
    [/SIZE]
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ...ชาเขียวอ่างขาง ของโครงการหลวง....

    ขับอนุมูลอิสระได้ดี ระบบเส้นเลือด ไขมัน ลดน้ำหนัก

    -ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานมากชาตัวนี้

    -อายุยิ่งมาก น้ำหนักยิ่งต้องลดให้สมดุลกับภาวะกระดูกที่บอบบางลงไม่ให้แบกรับน้ำหนักจากความอ้วน (อย่าไปเชื่อคนชม..ว่าอายุมากอ้วนท้วนสมบูรณ์แสดงว่ามั่งมี สุขสบาย..ยิ้มรับได้แต่ต้องลด นน.ให้ได้มาตรฐานหรือต่ำกว่านิดหน่อย)

    -1 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำร้อนไปเรื่อยๆจนจืด 3 ครั้ง

    -ไม่ควรทานเกิน 3ช้อนโต๊ะ ครั้งต่อวัน (สลับไปใช้ ชาอื่น เช่น เจียวกู้หลาน
    ปู่เฒ่าทิ้งไม้เท้า หลินจือตากแห้ง จะได้สารหลากหลาย และฟื้นสุขภาพและขับพิษในร่างกายซึ่งมีหลายชนิดสนองกับสมุนไพรแตกต่างกัน)

    -สดชื่น แจ่มใส หายง่วงทั้งวัน

    -บรรเทาอาการท้องเสียจากสารแทนนิน

    -เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและผนังหลอดเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้มีความดันโลหิตสูง

    -สารเคซิทินซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง(อาหารที่ดินประสิวเป็นส่วนผสม เนื้อสัตว์ อาหารทะเล)ถ้านิยมทานเนื้อสัตว์ให้ดื่มชาเขียวไปด้วยจะช่วยลดการสร้างสารก่อมะเร็ง

    -แร่ฟลูออไรด์สูงแช่ชา 3 นาทีก่อนดื่มจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุได้ 95%

    -ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชรา สารต้านอนุมูลอิสระในใบชา มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินCถึง 100 เท่า มากว่าวิตามิน E ถึง 25 เท่าในการทำลายอนุมูลอิสระ

    -ต้านโรคข้ออักเสบชนิดรูมาติก(rheumatoid arthritis) ที่บวมแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อต่อ
    ซึ่งมักเกิดกับสตรีวัยกลางคน
    -สารแคเทซินทำลายและจำกัดปริมาณคอเลสเตอรอลในลำไส้และควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่พอดี
    -ยับยั้งการก่อตัวของก้อนเลือดแบบผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของหัวใจวาย ลมชัก
    -ควบคุมน้ำหนัก เพราะช่วยในการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
    -ขจัดกลิ่นปากเพราะยับยั้งไวรัสและแบคทีเรีย ช่วยยาสีฟัน
    -ป้องกันฟันผุ เพราะชาไปยับยั้งแบคทีเรียStreptococcus mutans ตัวการก่อหินปูนและกลิ่นปาก
    -ท่านที่ oil pulling อยู่แล้วหรือทานน้ำมันมะพร้าวของโครงการหลวงและทานน้ำกลั่นย่านางประจำ ชานี้จะเพิ่มในการขจัดอนุมูลอิสระ ปรับสมดุลของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ตำลึง

    ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่ายและราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆแต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นนอกจากนี้ สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย


     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>[​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p> “ขมิ้นชัน” เป็นสมุนไพรไทยพื้นบ้านที่คนทั่วไปรู้จักกันดี มีสรรพคุณทั้งทางด้านยาและใช้ในการประกอบอาหาร ปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยว่าขมิ้นชันมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น หรือมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง ฯลฯ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อย่างไรก็ตาม มีหลายคนบ่นว่าเคยรับประทานแล้วแต่รู้สึกว่าไม่ได้ผล วันนี้จึงมีวิธีในการรับประทานขมิ้นชันให้ได้ผลดีมาฝากกัน โดยต้องรับประทานตามเวลาต่อไปนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 03.00-05.00 น. การรับประทานขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จะช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ทำให้ปอดแข็งแรง และช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 05.00-07.00 น. จะช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ซึ่งถ้าหากคุณเคยรับประทานยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้รับประทานขมิ้นชันเวลานี้ เพราะขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องรับประทานเป็นประจำจึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อช่วยให้ขับถ่ายได้เป็นปกติ นอกจากนี้ขมิ้นชันยังช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก และปัญหาลำไส้ใหญ่ขับถ่ายน้อยหรือมากจนเกินไปได้เช่นกัน แต่ถ้าหากลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้รับประทานขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิร์ต นมสด น้ำผึ้ง มะนาวหรือน้ำอุ่นก็ได้ เพื่อช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ จำนวนกว่าล้านเส้น ซึ่งขมิ้นชันจะช่วยล้างบริเวณขนนี้ให้สะอาดโดยไม่ให้มีขยะตกค้างอยู่ที่ขน และเมื่อขนสะอาดจะทำให้ไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว ป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวารและโรคมะเร็งลำไส้ได้เช่นกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 07.00-09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และยังลดอาการท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมองและป้องกันความจำเสื่อมได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 09.00-11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป และผอมเกินไปซึ่งเกี่ยวข้องกับม้าม นอกจากนี้ยังลดอาการของโรคเกาต์ ลดอาการเบาหวาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 11.00-13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่ถ้าหากรับประทานขมิ้นชันเลยเวลา 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง (แต่ส่วนมากมักไปไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง) จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เวลา 15.00-17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรรับประทานน้ำกระชายเวลานี้ จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ที่สำคัญถ้ารับประทานขมิ้นชันเลยจากช่วงเวลานี้ไปจนถึงเวลานอน จะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และเมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็จะไม่ค่อยอ่อนเพลีย ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขั้นตอนในการทำขมิ้นชันบดเป็นผงเพื่อใช้รับประทาน มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก<O:p></O:p>
    1. นำขมิ้นมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง<O:p></O:p>
    2. จากนั้นตักขมิ้นชันที่ต้มไว้ออกมาผึ่งให้เย็น แล้วนำมาหั่นเป็นแว่นเล็กๆ<O:p></O:p>
    3. จากนั้นนำมาตากแดดหลายๆ ครั้งจนแห้งสนิท แล้วจึงนำมาบดให้ละเอียด (ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นแห้ง ความร้อนไม่ควรเกิน 65 องศา) เพราะถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตียรอยด์ได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ที่ต้องย้ำคือ ควรรับประทานขมิ้นชันให้ตรงเวลาที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพราะจะทำให้อวัยะทุกส่วนในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ที่ต้องการจะบำรุงหรือแก้ไขฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์<O:p></O:p>
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    โลกภายนอก กว้างไกล ใครใครรู้
    โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
    จะมองโลก ภายนอก มองออกไป
    จะมองโลก ภายใน ให้มองตน
    [​IMG]
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    "........น้ำปั่นผัก ฟื้นฟูเซลล์ ..............."

    <TABLE border=0 cellSpacing=10 cellPadding=5 width="100%" bgColor=#def492><TBODY><TR><TD height=16 vAlign=center>


    ชมรมบ้านสุขภาพ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=center width="26%"></TD><TD height=16 vAlign=center width="74%">ในน้ำผักเป็นกรดอ่อน ๆ ที่มี คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll สารสีเขียวในพืช ) มีวิตามินเอ วิตามินซีธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส

    ซึ่งเมื่อทานเข้าไป จะเกิดการแลกเปลี่ยนการใช้สารอาหารได้สูงสุด ณ จุดที่ร่างกายสามารถนำของ เสียทิ้งได้ทั้งหมด และทำให้ร่างกายสร้างพลังงานในแต่ละเซลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้เกิดการ สร้างเซลใหม่ทดแทนเซลเก่าที่ตายในแต่ละวันได้เต็มที่

    ลักษณะนี้คือ ปัจจัยสูงสุดที่ร่างกาย จะไม่เกิดความอ่อนแอ ในทุกอวัยวะ

    ดังนั้นเมื่อไปอยู่ในประเทศไหนก็แล้วแต่ ถ้าได้สัดส่วนของสารอาหารออกมาเป็นกรดอ่อน
    มีคลอโรฟิลล์แล้วมีสารอาหารพวกโปแตสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ครบ 5 ตัวนี้

    ในค่า pH = 4 และมีคลอโรฟิลล์ มีวิตามินเอ และวิตามินซี

    ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถมีอาหารได้เต็มที่ในแต่ละเซล ถ้าทุกเซลแข็งแรงไม่มีเซลตายก็ไม่แก่เลย

    ถ้าค่า pH เป็น "กรดเกินไป" การใช้แคลเซียมก็จะยาก "กรดอ่อน" ทำให้เกิดการใช้ไขมัน ทำให้ไขมันถูกย่อยสลายได้เร็ว ถ้าเป็น "ด่างเกินไป" การย่อยสลายไขมันก็ทำได้น้อย

    ไขมันคือของแข็งที่มีปริมาณถึง 60% ของของแข็งทั้งหมดในร่างกาย ไขมันคือตัวที่จะไปเปลี่ยนเป็นน้ำหล่อเลี้ยง น้ำเมือกที่ไปหล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย น้ำไขข้อ เป็นไขกระดูก เป็นกล้ามเนื้อ เป็นกระดูก เส้นเอ็น ไขมันหล่อเลี้ยงเส้นผมเป็นลำดับ
    pH ของน้ำผักที่เหมาะสมกับคนไทยอยู่ที่ pH 4-6 คนอ้วนมาก ให้น้ำผักที่ pH 4 เลย เนื่องจากคนอ้วนมีไขมันค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ น้ำผักจะเปลี่ยนไขมันเป็นโคเลสเตอรอล ไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ และเป็นกลีเซอไรด์ในที่สุด ซึ่งร่างกายนำไปใช้ได้

    การดื่มน้ำผัก .......ช่วยอะไร ?
    เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ

    การดื่มน้ำผัก การเติมสารอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่จำเป็นและที่สำคัญคือ คลอโรฟิลล์ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วส่วนที่ต้องถูกดูดซึม ก็จะไป "ฟื้นฟูตับ" มันจะไปก่อน พอ "น้ำตับหลั่ง" น้ำตับอ่อนก็หลั่ง การย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินก็จะทำได้มากขึ้น ในขณะที่ตัวมันไปย่อยไขมันส่วนที่ เก่าส่วนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน ดังนั้นร่างกายก็ได้พลังงานมาสนับสนุนให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้มากกว่าเดิม
    น้ำผักสูตรบ้านสุขภาพเป็นน้ำผลไม้ผักสด จึงช่วยล้างสิ่งปฏิกูลในร่างกายตลอดจนสารพิษต่าง ๆ
    อย่างรวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ คือ ลดอาการปวดต่าง ๆ จากอาการท้องเสีย หรือมีของเสีย ค้างอยู่ในระบบเลือดมากจนปวดตามกล้ามเนื้อ อาการปวดหลังดังกล่าวจะลดลง ลดอาการปวดศีรษะ ลดไข้ ลดความอ่อนเพลีย ลดอาการนอนหลับยาก ลดอาการนอนกรน

    ซึ่งอาการที่ดีขึ้น คือ ขบวนการที่ร่างกาย ชะล้างของเสียออกได้ดีขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าว ไม่ควรเก็บกดได้ด้วยการใช้ยาระงับปวด ซึ่งเป็นการไปหยุดความ สามารถในการ ชะล้างของร่างกาย ทำให้เกิดสารพิษมากขึ้นในทุกระบบของร่างกาย และแพร่กระจาย สะสมจนก่อเกิดเซลมะเร็ง
    การกินน้ำผักก่อนเป็นการเตรียมร่างกายให้ย่อยสารอาหารที่เรากินลงไปได้ดีกว่าเดิม นั่นคือ เกิดสภาวะดีกับร่างกายทั้งระบบ สรุป น้ำผักทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกันคือ

    1. ให้สารอาหารที่ร่างกายนำไปฟื้นฟู ตับกับตับอ่อน
    2. กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมในการ ย่อยไขมันที่เหลือค้างอยู่ เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะย่อยสารอาหารที่รับประทานเข้าไปในมื้อต่อไป
    ส่วนประกอบของน้ำผักและประโยชน์
    เรื่อง : ชมรมบ้านสุขภาพ

    น้ำผักมีสารอาหารแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ช่วยการทำงาน 5 ระบบ คือ ระบบดูดซึม ระบบทางเดินหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบต่อมไร้ท่อ

    ผักกาดหอม
    ช่วยฟื้นฟูเซลโดยเฉพาะระบบประสาทและเซลในปอด
    ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ช่วยบำบัดโรคโลหิตจาง

    คื่นฉ่าย
    ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและฟื้นฟูการสร้างเซลเม็ดเลือด ช่วยชะล้างของเสียในระบบเลือด ช่วยให้ร่างกายมีความสามารถใช้แคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของระบบข้อเสื่อมต่าง ๆ

    มะเขือเทศ
    ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ช่วยทำให้ผิวพรรณดี เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายมีสารช่วยย่อยอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะ ลำไส้ทำงานเป็นปกติ

    หอมหัวใหญ่
    ช่วยทำให้หัวใจแข็งแรง

    มะนาว
    ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน

    น้ำผึ้ง
    ให้พลังงานสำรองกับม้าม

    อัตราส่วนของผักที่จะใส่น้ำผักปั่น
    ผักกาดหอม 2 ใบ คื่นฉ่าย 2 ก้าน มะเขือเทศ 1 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว )
    หอมหัวใหญ่ 1/4 ลูก ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ) น้ำผึ้ง 2 ช้อน
    เสาวรส หรือ มะนาว 1 ลูก แอปเปิ้ล 1/2 ลูก น้ำสะอาด 2 แก้ว

    วิธีทำ
    1. นำส่วนประกอบที่กล่าวในข้างต้นใส่ลงในโถปั่น
    2. ปั่นน้ำผักเป็นเวลาประมาณ 20 วินาที
    3. เทน้ำผักที่ปั่นแล้วลงในแก้ว ( จะได้น้ำผักปั่น 2 แก้ว )
    หมายเหตุ ควรดื่มทันทีเพื่อสงวนคุณค่าทางอาหาร


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    .....การล้างผักผลไม้ ให้ปลอดภัย ก่อนรับประทาน...............

    1. ปลอดภัยด้วยสูตรขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร (1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 ก่อนนำมาปรุงอาหาร
    2. ลดสารพิษฆ่าแมลง 60-84% ใช้น้ำส้มสายชู 0.5% หรือน้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที
    3. ลดสารพิษฆ่าแมลง 54-63% เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที
    4. ลดสารพิษฆ่าแมลง 7-33% ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที
    5. ลดสารพิษ 50% ลวกผักด้วยน้ำร้อน ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50% เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง
    6. เสียปริมาณดีกว่าเสียใจ ผักที่มีกาบใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำปลี หัวหอมใหญ่ ควรปอกเปลือกหรือลอกใบชั้นนอกออกจะสามารถช่วยลดสารพิษลงได้
    7. ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ผสมผงปูนคลอรีน 1/2 ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก
    8. ล้างผักด้วยน้ำยาล้างจาน ใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำถูเบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับล้างไข่ด้วย
    9. ล้างนอกล้างในผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ควรล้างหลายๆ ครั้ง ใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่วแล้วล้างน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนจึงกินได้ เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรนำมาล้างก่อน จึงค่อยปอกเปลือก เพราะถ้าไม่นำมาล้างก่อน สิ่งสกปรกบนผลไม้จะติดไปกับมือหรือมีดขณะปอกผลไม้ได้ ทำให้เนื้อผลไม้สกปรก
    10. ยาสีฟันสารพัดประโยชน์ องุ่นปกติมักจะมีคราบเหมือนยางเป็นฝ้าขาวๆ ล้างยังไงก็ไม่ออก วิธีล้างให้เด็ดผลองุ่นออกจากพวงใส่ภาชนะบีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร ขยี้ให้ทั่วมือ ใส่น้ำพอสมควร แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะเด็ดน้ำ
    นอกจากนี้ยังมีการใช้ด่างทับทิม 5 เกล็ดต่อน้ำ 4 ลิตร ใช้น้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัว ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 4 ลิตร และใช้น้ำซาวข้าวล้างผัก แช่ผักทิ้งไว้ ซึ่งก็ล้วนแต่ช่วยลดสารพิษอันก่อให้เกิดโรคต่อระบบขับถ่ายและลำไส้ได้ดี ใครสะดวกแบบไหนก็ใช้ได้ตามความถนัด
    วิธีที่ดีที่สุดคือ เลือกที่สะดวก ปลอดภัย และให้ประสิทธิภาพในการชำระล้างสารพิษได้มากที่สุด เท่านี้...คุณก็จะมีสุขภาพดีจัง ตังค์อยู่ครบ…ขอให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้านะคะ
    ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/15861.html
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    คลายร้อน...
    ด้วยการบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

    [​IMG]

    เมื่อถึงฤดูร้อน แสงแดดที่ร้อนระอุทำให้เราต้องหาวิธีคลายร้อน บางคนก็ไปเที่ยวทะเล เล่นน้ำ หรือหลบอยู่ในบ้านเพราะไม่อยากไปสู้แดดภายนอก เหล่านี้ล้วนเป็นการทำให้ร่างกายภายนอกเย็นสบายขึ้น แต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่คุณสามารถคลายร้อนได้จากภายใน นั่นคือการรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม

    ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ จากกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ให้คำแนะนำถึงการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสำหรับหน้าร้อนนี้ว่า

    "สำหรับในหน้าร้อน ร่างกายของเราจะมีการขับเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหรืออาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ เพราะน้ำในร่างกายจะสูญเสียไปกับเหงื่อ แต่มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยลดคลายร้อน ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายได้ โดยเฉพาะสมุนไพรที่มีรสขมจะมีฤทธิ์เย็นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น รวมทั้งช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล เช่น มะระ ใบบัวบก แตงกวา สะเดา ขี้เหล็ก แตงโม กระเจี๊ยบ ฯลฯ อาหารในแต่ละมื้ออาจจะมีสมุนไพร เหล่านี้อยู่สักหนึ่งเมนู จะเป็นยอดมะระต้มจิ้มกับน้ำพริกหรือแกงขี้เหล็กปลาย่าง นอกจากจะช่วยดับร้อนแล้วยังช่วยในส่วนของระบบขับถ่ายอีกด้วย หรือหากต้องการดับกระหายก็เลือกดื่มน้ำแตงโม น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว น้ำมะตูม น้ำยาอุทัย ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและดับกระหายได้"

    ด้านโภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ได้ให้คำแนะนำว่าในฤดูร้อน อาหารเบา ๆ เหมาะสำหรับร่างกายของคนเรามากกว่าอาหารหนักซึ่งเหมาะสำหรับรับประทานในฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนที่ทำให้เราต้องการบริโภคอาหารเบาๆ หรือเป็นเพราะมีอาหารสำหรับหน้าร้อนให้เลือกรับประทานหลากหลายชนิด แต่จริงๆ แล้ว โดยธรรมชาติของร่างกายคนเราจะเปิดรับน้ำและผักผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำในยามอากาศร้อนมากที่สุด

    อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในหน้าร้อนทำให้ร่างกายของเราขับเหงื่อออกมากขึ้น ส่งผลให้เราสูญเสียน้ำและแร่ธาตุหลากหลายชนิดในร่างกาย อาทิ โซเดียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม เป็นต้น น้ำและแร่ธาตุส่วนที่ถูกขับออกจากร่างกายนั้นไม่มีการสร้างเสริมขึ้นมาทดแทนใหม่ เราจึงรู้สึกอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเช่นนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยากออกไปสนุกสนานในฤดูร้อน...และต่อไปนี้ คือสุดยอดอาหารคลายร้อนที่โภชนากรซูซานแนะนำ

    สุดยอดอาหารคลายร้อน

    ผักและผลไม้ทุกชนิดอุดมด้วยน้ำ และส่วนใหญ่ก็เป็นแหล่งสร้างเสริมโปแตสเซียมที่ดี ดังนั้น "ผลไม้" จึงเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับฤดูร้อน แต่ยังมี สุดยอดอาหารคุณภาพอีก 4 ประเภท ที่ช่วยทำให้คลายร้อนได้มากขึ้น ได้แก่ ผลไม้จำพวกแตง (Melon) เบอร์รี่ ผักขม และพริกไทย...แต่จะสุดยอดอย่างไรล่ะ!.



    [​IMG]

    ผลไม้จำพวกแตง


    อันดับ 1 : ผลไม้จำพวกแตง

    บรรดาเหล่าแตงทั้งหลาย อาทิ แตงโมและ แคนตาลูป ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไปเนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม โดยเฉพาะแคนตาลูปซึ่งถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกประเภทหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีโปแตสเซียมสูงกว่าแตงโมถึง 3 เท่าแล้ว สีส้มของแคนตาลูปยังมีสารเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้รับผลกระทบจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตอีกด้วย



    [​IMG]

    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่


    อันดับ 2 : ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้รสอร่อยประจำฤดูร้อน มีส่วนผสมของน้ำและสารประกอบทางธรรมชาติสำหรับรักษาอาการปวดบวมอักเสบ ซึ่งสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแอสไพริน ดังนั้น การบริโภคเบอร์รี่รสหวานฉ่ำอร่อยเลิศ จึงช่วยลดอาการอักเสบและช่วยถอนพิษจากการเผาไหม้ของแสงแดดฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี


    [​IMG]
    ผักโขม

    อันดับ 3 : ผักโขม

    ผักโขม ให้คุณประโยชน์หลัก 2 ประการ ประการแรก...ผักขมและผักใบเขียวนอกจากจะอุดมไปด้วยน้ำ ยังเป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม หนึ่งในแร่ธาตุที่เราสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ใบสีเขียวเข้มของผักขมยังมีสารลูติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงช่วยปกป้องผิวและสายตาจากการถูกทำลายจากแสงแดด


    [​IMG]

    พริกไทย


    อันดับ 4 : พริกไทย

    พริกไทย อาจเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายสำหรับหลายๆ คนที่จะนำมาบริโภคในช่วงอากาศร้อน แต่ในความเป็นจริงเราจะพบว่าพริกไทยที่เผ็ดร้อนสามารถกระตุ้นให้เกิดการขับเหงื่อออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหยออกจากผิวจะทำให้เกิดความรู้สึกเย็นสบายแก่ร่างกายของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ พริกไทยยังมีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้นอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกคุกคามของแสงแดดและหากคุณยังรู้สึกร้อนระอุ ลองบริโภคอาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนอย่างกระเทียมสดและขิง ซึ่งมีคุณสมบัติในการขับเหงื่อเหมือนกัน ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ...

    แม้ว่าผลไม้และผักจะมีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมาก แต่ไม่ควรบริโภคเพราะผลไม้และผักแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในหน้าร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ และพยายามอย่าให้เกิดความรู้สึกกระหาย เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของคุณสั่งให้คุณดื่มเครื่องดื่ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณมีอาการค่อนข้างขาดน้ำ เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่คุณออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนขึ้น เกลือแร่จะช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายได้สูงสุด

    การดื่มเครื่องดื่มที่เหมาะสมร่วมกับการบริโภคผักและผลไม้สดในปริมาณมากจะช่วยทำให้คุณคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยทดแทนน้ำ และเกลือแร่ที่สูญเสียจากการขับเหงื่อของร่างกาย นอกจากนี้ ผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการคุกคามของแสงแดด ทำให้คุณคลายร้อนและรู้สึกเย็นกายสบายใจท่ามกลางอุณหภูมิของอากาศอันร้อนระอุ...

    ที่มาข้อมูล : Hospital & Healthcare. ปีที่ 5 ฉบับที่ 43
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    รักษาฝ้า.โดยวิธีธรรมชาติ

    [​IMG]






    ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์ครีมรักษาฝ้าจำนวนมากออกมาจำหน่าย แต่เราควรจะใช้วิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง วิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติเหล่านี้จะไม่เพียงแต่กำจัดปัญหาฝ้าเท่านั้น แต่ยังช่วยในกระบวนการของการต่ออายุผิวโดยนำระดับอีลาสตินที่ปกติก็จะช่วยให้ผิวที่ดีจะช่วยในการซ่อมแซมผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย พื้นผิวที่อุดตันรูขุมขน และทำให้มีสุขภาพผิวที่ดีขึ้น เรามาลองดูกันครับวิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติที่เราสามารถทำได้เองง่ายๆ ดังนี้


    น้ำส้มสายชู: น้ำส้มสายชูซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถนำมาล้างทำความสะอาดหน้าได้ และสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ๆ ได้ นำน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณที่เท่ากันมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้ล้าง ทำความสะอาดหน้า วิธีนี้จะทำให้หน้าดูนุ่นนวลขึ้น สามารถใช้น้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ลหรือน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากธรรมชาติแทนได้


    น้ำหอมหัวใหญ่: สามารถเตรียมได้โดยการนำหอมหัวใหญ่มาปั่นละเอียดเพื่อให้ได้น้ำหอมหัวใหญ่ออกมา จากนั้นผสมกับน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากแอปเปิ้ล ทาบริเวณที่เป็นฝ้าวันละประมาณ 2 คร้้ง หรืออีกวิธีนึง นำหอมหัวใหญ่มาหั่นเป็นแว่น จากนั้นจุ่มลงในน้ำส้มสายชูแล้วนำไปวางลงบนบริเวณที่เป็นฝ้า


    [​IMG]
    น้ำมะนาว: น้ำมะนาวสามารถช่วยรักษาฝ้าได้อย่างรวดเร็ว สภาพที่เป็นกรดโดยธรรมชาติของน้ำมะนาวจะมีผลให้เกิดการลอกของเซลล์ผิวที่อยู่บ้านบน ดังนั้นจึงสามารถช่วยรักษาฝ้าให้จางลงได้




    ความเครียดมีผลทำให้เกิดฝ้าด้วย ดังนั้นเราควรควบคุม ดูแลไม่ให้เกิดความเครียด วิธีที่ได้ผลมากที่สุดคือ การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดมากๆ เป็นการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ขับของเสียออกจากร่างกายได้ง่ายผ่านทางเหงื่อ การรับประทานที่มีสารอาหารที่จำเป็นอย่างพอเหมาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ โดยพบว่า การรับประทานผลไม้สดต่างๆ อย่างพอเหมาะจะทำให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ


    ทั้งหมดนี้เป็นวิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติอย่างเห็นผล แม้ว่าวิธีการรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาตินี้จะไม่ทำให้ฝ้าจางลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเปรียบเทียบเรื่องความปลอดภัย ก็ถือว่าคุ้มค่า
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    "หอมหัวใหญ่" บำรุงหัวใจอสุจิแข็งแรง

    <!--Main-->
    ไม่นึกว่าอาหารที่กินบ่อยมาก อย่างหอมหัวใหญ่มีสรรพคุณที่น่าสนใจมาก เลยขอคัดลอกและเสนอต่อ ให้กับผู้สนใจทั่วไป
    จาก นสพ.ไทยรัฐ 15 กรกฎาคม 2552 โดย นายเกษตร


    [​IMG]

    สูตร ยาสมุนไพรบางสูตรไม่ได้มุ่งเน้นในการรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่จะมีจุดประสงค์ในทางบำรุงทำให้ร่างกายบางส่วนที่มีสภาพไม่สมบูรณ์หรืออ่อนแอมีสภาพแข็งแรงและดีขึ้นได้ เช่นสูตร "หอมหัวใหญ่" ที่คนทั่วไปรู้จักดี มีวางขายทั่วไป ใช้ปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง หากรู้จักเอาไปผสมกับน้ำผึ้งแท้รับประทานก็จะกลายเป็นสูตรโภชนาบำรุง ช่วยทำให้หัวใจและน้ำอสุจิในบุรุษแข็งแรงขึ้นได้

    โดยมี วิธีรับประทานง่ายๆคือ เอา "หอมหัวใหญ่" ครึ่งหัวแบบสดปั่นในเครื่องปั่นจนละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งแท้ กะจำนวนพอประมาณแล้วแบ่งรับประทาน 2 ครั้งในหนึ่งวัน เช้ากับเย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ทำกินเรื่อยๆไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน จะมีสรรพคุณช่วยทำให้หัวใจและน้ำอสุจิในบุรุษที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น สูตรนี้นิยมทำกินมานานแต่โบราณแล้ว ใครที่มีบุตรยากลองเอาสูตรนี้ไปทด-ลองทำกินดู อาจทำให้สมหวังก็ได้ ไม่มีอันตรายอะไร

    หอมหัวใหญ่ หรือ ALLIUM CEPA LINN. อยู่ ในวงศ์ ALLIACEAE ซึ่ง "หอมหัวใหญ่" มี "ไซโคลอัลลิซิน" ทำหน้าที่ช่วยไม่ให้มีไขมันเกาะผนังหลอดเลือด เหมือนกับไวน์ที่มี "ฟลาโวนอยด์" เป็นตัวขจัดไขมันในผนังหลอดเลือดนั่นเอง ซึ่งหากจะดื่มไวน์เพื่อให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง สู้กิน "หอมหัวใหญ่" ประจำ หรือทำตามสูตรที่กล่าวข้างต้นถือว่าดีกว่าเยอะ เพราะราคาไม่แพงเหมือนกับไวน์และหาได้ง่ายกว่าด้วย
    [​IMG]
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    น้ำผลไม้ชนิดไหน เหมาะกับสภาวะอะไร


    น้ำผลไม้ที่ใช้ดื่มระหว่างการอดอาหารจะต้องเตรียมสด ๆ ก่อนดื่ม ในศูนย์สุขภาพหลายแห่งจะเตรียมน้ำผลไม้หลายชนิดไว้ให้เฉพาะ
    แต่ละคนตามสภาพอาการป่วยไข้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบจะไม่ให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำผลไม้ที่ทำจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นประจำ
    แต่ให้ดื่มสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งส่วนใหญ่จะเน้นน้ำผัก เช่น น้ำแครอต คื่นฉ่าย และอัลฟัลฟา ให้ดื่ม น้ำต้มผักวันละสองครั้ง น้ำผักและผลไม้
    มีคุณสมบัติฟื้นฟูสุขภาพมีสรรพคุณเป็นยา การจัดน้ำผลไม้ หรือน้ำผักให้ดื่มเฉพาะอย่างจะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายกลับคืนสู่ความสมบูรณ์
    อย่างมีประสิทธิผล


    ถ้าสุขภาพของท่านปกติและต้องการอดอาหารเพื่อล้างพิษและสร้างเสริมความอ่อนเยาว์ ท่านจะเลือกดื่มน้ำผักและผลไม้ชนิดไหน
    ก็ได้ตามอัธยาศัย น้ำผลไม้ที่นิยมดื่มคือแอปเปิล ส้ม เกรพฟรุต มะนาว องุ่น สับปะรด และลูกแพร์ สำหรับประเทศเขตร้อนมักใช้น้ำผลไม้เมืองร้อน
    2 ชนิด คือ มะละกอ และถั่วลิมา (lima ) ส่วนน้ำผักที่นิยมได้แก่ แครอต คื่นฉ่าย กะหล่ำปลี หัวบีท และน้ำผักสีเขียว คลอโรฟิลที่ทำจากใบของ
    อัลฟัลฟา ใบคอมเฟรย์ ใบของหัวแครอต ใบของหัวพีต ผักชี กล้าต้นข้าวสาลี หรือผักใบเขียวของผักทั้งหลายที่กินได้
    ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของเกลือแร่ แร่ธาตุที่จำเป็น วิตามิน เอนไซม์ สารให้สี และสารเฉพาะอื่น ๆ ที่ปรากฏในผักแต่ละอย่างที่มี
    สรรพคุณรักษา และป้องกันโรค
    • แร่ธาตุในน้ำผักและผลไม้สด แคลเซียม ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุดต่อวันคือ 0.8 กรัม พบมากในน้ำมะนาว ส้มเขียวหวาน เอลเดอเบอรี่ เคล แครอต คะน้า กะหล่ำปลี
    แพงพวยน้ำ เทอนิปและหัวบีท ร่างกายใช้สร้างกระดูก ป้องกันอาการอักเสบ ป้องกัน เลือดออกง่าย ใช้ในการเผาผลาญอาหารอื่น ๆ ด้วย
    โปแทสเซียม ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุดต่อวัน0.5-1.0กรัมพบมากในองุ่น ส้มเขียวหวาน มะนาว ผักชี ผักโขม มันฝรั่ง แดนดิไลออน
    คื่นฉ่าย และผักใบเขียวทุกชนิด ร่างกายใช้ในระบบประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อโซเดียม ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุดต่อวัน 0.2 - 0.4 กรัม
    พบมากในเชอรี่ ลูกท้อ หัวบีท แดนดิไลออน แครอต คื่นฉ่าย และมะเขือเทศ
    แมกนีเซียม ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุด 0.3 กรัม พบมากในเอลเดอเบอรี่ ราสเบอรี่ มะนาว เอนไดฟ์ และหัวบีท ร่างกายใช้ปรับ
    สภาพเส้นประสาทที่ถูกรบกวน ใช้ในการทำงานของกล้ามเนื้อ เป็นแร่ธาตุที่ขาดไม่ได้ในการเผาผลาญเกลือแร่และการเผาผลาญอาหารทั่วไป
    ฟอสฟอรัส ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุดต่อวัน 0.9 กรัม พบมากในองุ่น ราสเบอรี่ ส้มเขียวหวาน ผักโขม แครอต หัวบีท กะหล่ำปลี
    แพงพวยน้ำ และเคล เป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างกระดูก และสำคัญสำหรับการทำงานของสมองและระบบประสาท
    กำมะถัน ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุดต่อวัน 0.3 กรัม พบมากในลูกเกดดำและแดง ผักโขม แพงพวยน้ำ และเคลเป็นแร่ธาตุสำคัญ
    ในการเผาผลาญอาหารของตับและผิวหนัง
    เหล็ก ปริมาณที่ต้องการน้อยที่สุด 12 มิลลิกรัม (มก.) พบมากในลูกเกดดำและแดง ราสเบอรี่ ผักโขม แอปริคอท ผักชี และหัวบีท
    เป็นแร่ธาตุสำคัญในการเติมออกซิเจนให้เซลล์ในฐานะเป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบิน
    • แร่ธาตุจำเป็นที่ร่างกายต้องการจำนวนน้อยในน้ำผักและผลไม้สด ยังไม่มีใครรู้ว่าร่างกายต้องการแร่ธาตุจำเป็นเหล่านี้เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ แต่ที่ทราบแล้ว ก็คือ ถ้าขาดแร่ธาตุเหล่านี้โรคจะเกิด
    กับมนุษย์
    ทองแดง พบมากในลูกเกดดำและแดง เคล มันฝรั่ง และหน่อไม้ฝรั่ง ช่วยการดูดซึมของเหล็ก
    แมงกานีส พบมากในสตรอเบอรี่ แอปริคอท ผักกาดหอม ผักโขม และเคล สำคัญในกระบวนการสืบพันธุ์
    สังกะสี พบในแอปเปิล ลูกท้อ เคล แครอต ผักกาดหอม และหน่อไม้ฝรั่ง เป็นแร่ธาตุที่เส้นประสาทต้องใช้สุขภาพและการทำงานของ
    ต่อมลูกหมากจะขึ้นกับปริมาณที่เพียงพอของสังกะสีในอาหาร
    โคบอลท์ พบในแอปเปิล มะเขือเทศกะหล่ำปลี แครอต หัวบีท มันฝรั่ง และหอมหัวใหญ่ ช่วยในการสร้างฮีโมโกลบิน ฟลูออรีน พบใน
    ลูกเกดดำ เชอรี่ ผักโขมและแครอต รูปแบบที่เกิดตามธรรมชาติสำคัญสำหรับการสร้างกระดูกและฟัน
    ไอโอดีน พบในส้มและผักโขม มีส่วนในการเผาผลาญอาหารผ่านทางต่อมไทรอยด์
    กรดซิลิซิก พบในสตรอเบอรี่ องุ่น ผักกาดหอม ถั่วฝักยาว และแครอต เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก มีประโยชน์มาก
    โดยเฉพาะเมื่อกำลังซ่อมแซมแผลให้หาย
    • วิตามิน เอนไซม์ สารให้สี และ ฯลฯ ในน้ำผักและน้ำผลไม้ วิตามินเอ ไม่พบในรูปของวิตามินในผักหรือผลไม้ แต่จะอยู่ในรูปโปรวิตามินเอคือ แคโรทีน ร่างกายจะแปลงแคโรทีนเป็นวิตามินเอเอง
    เมื่อต้องการใช้ พบมากในแครอต ผักโขม มะเขือเทศ พริกเขียวและพริกแดง กะหล่ำปลี คื่นฉ่าย โรสฮิปส์และส้ม การดูดซึมวิตามินเอในระบบ
    ทางเดินอาหารจะเพิ่มขึ้นถ้าเติมน้ำมันแฟลกซ์ (Flaxseed oil คือ น้ำมันลินซีด) หรือน้ำมันงาในน้ำผลไม้หรือน้ำผัก
    วิตามินบี 1 พบมากในเกรพฟรุต แครอต หัวบีท ใบบีท คื่นฉ่าย และแดนดิไลออน
    วิตามินบี 2 พบมากในผักชี หัวเทอนิป ใบบีท แครอต คื่นฉ่าย พริกหวาน ผักโขม และเคล
    วิตามินบี 3 พบมากในผักชี เคล มันฝรั่ง และหน่อไม้ฝรั่ง
    วิตามินบี 5 พบมากในกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก สตรอเบอรี่ เกรพฟรุต และส้ม
    วิตามินบี 6 พบมากในลูกแพร์ ผักโขม มันฝรั่ง มะนาว และแครอต
    กรดโฟลิก พบมากในผักโขม ผักชี แครอต มันฝรั่ง และส้ม
    ไบโอติน พบมากในกะหล่ำดอก ผักโขม ผักกาดหอม และเกรพฟรุต
    อินโนซิทอล พบมากในส้ม เกรพฟรุต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เคล หัวบีท มะเขือเทศ และหอมฝรั่ง
    วิตามินซี วิตามินที่คนทั่วไปรู้จักและใช้กันมากที่สุดในโลก ร่างกายใช้มากเวลาเกิดความเครียด และการติดเชื้อ พบมากในลูกเกดดำ
    ผลไม้รสเปรี้ยว พริกเขียว เคล กะหล่ำปลี ผักโขม ผักชี และโรสฮิปส์
    วิตามินเค พบในผักโขม กะหล่ำปลี และยอดแครอต
    วิตามินพี พบมากในองุ่น ส้ม ลูกเกดดำ โรสฮิปส์ ลูกพลัม และพริกเขียว
    วิตามินอี พบในน้ำมันพืชกลั่นด้วยความเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันจมูกข้าวสาลี
    เอนไซม์ เอนไซม์ที่สำคัญหลายชนิดพบในน้ำผลไม้และผักสด ถ้าถูกความร้อนเกินกว่า 60 องศาเซลเซียสเอนไซม์จะถูกทำลาย
    สารทำสี สีเหลือง แดง เขียว และน้ำเงินทุกความเข้มและเฉดสี เป็นสารที่มีปริมาณมากในน้ำผัก และผลไม้สดมีคุณสมบัติป้องกันโรค
    ช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และการดูดซึม และช่วยในการเผาผลาญโปรตีน และโคเลสเตอรอล ฯลฯ
    นอกจากนี้ น้ำผักและผลไม้สดยังมีสารคล้ายฮอร์โมน เป็นฮอร์โมนพืชและสารต้านจุลชีพ ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ เช่น สารในกระเทียม
    หอมฝรั่ง หัวผักกาดแดง มะเขือเทศ ฯลฯ




    • โรคอะไรบ้างที่ใช้น้ำผักและผลไม้รักษา

    ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันว่าผู้ป่วยแต่ละคนแม้จะเป็นโรคเดียวกันจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการรักษาจึงต้องปรับให้เข้ากับผู้ป่วย
    ยิ่งเมื่ออ้างถึงการอดอาหารด้วยแล้ว ลักษณะทางกายภาพและสภาพจิตใจต้องนำมาพิจารณาด้วย ผู้ป่วยคนเดียวกันการรักษาเมื่อปีที่แล้วอาจ
    จะไม่เหมือนกับการรักษาในปีนี้ ดังนั้น คำแนะนำที่ปรากฏต่อ ๆ ไปจึงอธิบายอย่างกว้าง ๆ ถ้าท่านเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว ผู้เขียนจึงแนะนำ

    ให้พบแพทย์ว่าน่าจะดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักร่วมในการรักษาได้หรือไม่
    • โรคติดเชื้อ การตอบสนองของโรคติดเชื้อต่อการรักษาด้วยน้ำผลไม้เกือบทุกโรคดีมาก เช่น โรคต่อมทอลซิลอักเสบ น้ำลูกเกดดำ มะนาว ส้ม สับปะรด
    เอลเดอเบอรี่ หัวบีท แครอต มะเขือเทศ พริกเขียว แพงพวยน้ำ หอมหัวใหญ่กระเทียม (จำนวนน้อย) และ โรสฮิปส์ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค

    ติดเชื้อได้
    • โรคกระเพาะ โรคอุจจาระร่วงและกระเพาะอาหารอักเสบตอบสนองดีกับน้ำแครอต มะเขือเทศ คื่นฉ่าย มันฝรั่ง และน้ำกะหล่ำปลี ( วิตามินยู ) เป็นยา
    รักษาอาการท้องร่วงและแผลในกระเพาะ โดยเฉพาะโรคตับ และถุงน้ำดี(ถุงน้ำดีอีกเสบ) รักษาด้วยน้ำองุ่น แครอต หัวบีทร่วมกับน้ำจากแดนดิไลออน
    และหัวแรดดิช น้ำลูกแพร์ใช้ได้ผลดีในการรักษาโรคถุงน้ำดีอักเสบกับนิ่วในถุงน้ำดี โรคของลำไส้เล็กทุกชนิด และอาการท้องผูกทุกรูปแบบจะดีขึ้น
    ถ้าใช้รักษาด้วยน้ำผลไม้สด กระเทียมมีฤทธิ์ล้างพิษลำไส้และขับลมเช่นเดียวกับน้ำหอมหัวใหญ่แต่แรงกว่าน้ำผลไม้หรือผักเหล่านี้ใช้จำนวนน้อย
    ครั้งละ1ช้อนโต๊ะอาจจะผสมกับน้ำผลไม้ที่ฤทธิ์อ่อนกว่าเช่น น้ำแครอต บีท และคื่นฉ่าย
    สำหรับกลุ่มท้องผูกเรื้อรังแนะนำให้ใช้น้ำผักเหล่านี้ ผักโขม แพงพวยน้ำ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หัวแรดดิชดำ และแดนดิไลออน ควบ
    กับน้ำผลไม้ที่มีฤทธิ์อ่อนกว่าเช่น แครอต มะเขือเทศ แตงกวา บีท และคื่นฉ่าย ใช้ล้างลำไส้ได้ดี แต่หลายคนท้องอืดเมื่อใช้ผักชนิดนี้
    น้ำผลไม้ที่แนะนำสำหรับโรคกระเพาะ คือ แอปเปิลกับน้ำมะนาว ชากจากบลูเบอรี่แห้ง ใช้ดีมากสำหรับอาการโรคอุจจาระร่วง

    • โรคเลือดและโรคหัวใจ ปริมาณเม็ดเลือดแดงที่แปรปรวนรักษาได้ด้วยน้ำผลไม้ เลือดแดงที่ข้นเกินจะจางลงหลังดื่มน้ำผลไม้ภายใน 3 สัปดาห์ ส่วนพวกเลือดจาง
    ใช้ผักโขม เคล และผักชีรักษาได้ดี น้ำผักพวกนี้มีเหล็กและโคลโรฟิล และสารสีเขียวเป็นจำนวนมาก เวลาใช้นำมาเติมใส่น้ำแครอตประมาณ
    90 - 120 มล.ต่อวัน น้ำองุ่นก็ใช้ได้ดีเช่นกัน
    สารสีเข้มขององุ่น บีท และบลูเบอรี่ช่วยเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นด้วยน้ำผลไม้ เพราะออกฤทธิ์ต่อ
    หลอดเลือดฝอย
    สำหรับการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจปกติ น้ำจากฮอร์ทรอนเบอรี่ และกระเทียมเติมใส่น้ำผลไม้ฤทธิ์อ่อนอื่นก็ใช้ได้

    • ความดันเลือด การรักษาโรคความดันเลือดสูงใช้ในการอดอาหารด้วยการดื่มน้ำผลไม้เป็นดีที่สุด น้ำผลไม้ให้เกลือแร่โปแทสเซียมแก่เลือดและเนื้อเยื่อ
    ช่วยกำจัดเกลือโซเดียมคลอไรด์ส่วนเกิน ระยะเวลาการอดอาหารควรอยู่ระหว่าง 3 - 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่ความดันจะลดลงจนเป็นปกติ
    อดซ้ำอีกหลายครั้งทุก ๆ 6 เดือน น้ำผลไม้ที่เหมาะสำหรับโรคนี้คือ น้ำผลไม้รสเปรี้ยว น้ำลูกเกดดำ องุ่นควบกับน้ำแครอต ผักโขม คอมเฟรย์
    ผักชี หอมหัวใหญ่และน้ำกระเทียม อาการความดันเลือดต่ำใช้น้ำผลไม้รักษาก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน น้ำผลไม้ที่ใช้คือน้ำสับปะรด คื่นฉ่าย แรดดิชดำ
    หอมหัวใหญ่ และกระเทียม เสริมด้วยน้ำแครอต บีทแดงและน้ำองุ่น
    กลุ่มที่มีอาการบวม หรือน้ำคั่งในเนื้อเยื่อ ใช้น้ำลูกแพร์และแดนดิไลออนก็ได้ผล

    • แผลที่ขา แผลที่ขาหายได้อย่างรวดเร็วด้วยน้ำผลไม้สด ใช้น้ำหอมหัวใหญ่ และน้ำกระเทียมเติมใส่น้ำแครอต หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวกับน้ำแอปเปิล
    ถ้าใช้ใบคอมเฟรย์ และหอมหัวใหญ่ปิดแผลจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น
    • ความอ้วน น้ำผลไม้ที่เหมาะสำหรับลดความอ้วน น้ำคื่นฉ่าย แพงพวยน้ำ ผักชี มะนาว เกรพฟรุต สับปะรด องุ่น ใช้เวลารักษา 3 - 4 สัปดาห์หรือ
    นานกว่าถ้าต้องการ
    • โรคไขข้อรูมาติก โรคไขข้อรูมาติกตอบสนองดีต่อน้ำผลไม้เมื่ออดอาหาร 4 - 6 สัปดาห์ ฤทธิ์ด่างของน้ำผลไม้จะช่วยละลายของเสียที่สะสมหมักหมมอยู่
    รอบ ๆ ข้อ แนะนำให้รักษาโรคนี้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น นวดวารีบำบัด ฯลฯ ในกรณีโรคเก๊าท์ การอดอาหารในช่วงแรกจะทำให้มีอาการมากขึ้น
    เพราะกรดยูริกที่ถูกน้ำผลไม้ละลายออกมาจะไหลทะลักเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อรอการกำจัด สำหรับพวกอาการหนักแม้การอดอาหารดื่มแต่
    น้ำผลไม้จะไม่อาจแก้ไขความพิการได้ แต่ก็ทำให้การทำงานของข้อดีขึ้นมาก น้ำผลไม้ที่มีประโยชน์ในเรื่องไขข้อรูมาติก ได้แก่ น้ำแครอต บีท
    ผักชี อัลฟัลฟา มันฝรั่ง และคื่นฉ่าย น้ำผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีใช้ในกรณีโรคไขข้อรูมาติกได้ แต่น้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวใช้เป็นบางครั้งเท่านั้น
    โรคไขข้อรูมาติกเป็นโรคของคอลลาเจนและวิตามินซีเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับคอลลาเจนที่สุขภาพสมบูรณ์แนะนำน้ำต้มผักวันละครั้ง
    เพราะธรรมชาติของโรคไขข้อรูมาติกคือการเสียสมดุลของเกลือแร่ในเนื้อเยื่อโดยเฉพาะการขากโปแทสเซียม น้ำผักอุดมไปด้วยโปแทสเซียม

    และเกลือแร่อื่นจะช่วยชดเชยส่วนที่ขาดหายไป
    • เบาหวาน โรคเบาหวานจะใช้วิธีรักษาด้วยการอดอาหารก็ได้แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตในน้ำผลไม้มีไม่สูงและ
    หลายชนิดเป็นประโยชน์ในการรักษาโรค และที่ขาที่เกิดจากโรคเบาหวานหายได้เร็วระหว่าง การอดอาหารด้วยการดื่มน้ำผลไม้ ผู้ป่วยโรค
    เบาหวานอายุน้อย ควรออกกำลังเล่นกีฬาให้มาก การทำงานหนัก และการออกกำลังจะช่วยลดความต้องการอินซูลินไปได้
    น้ำผลไม้สำหรับการรักษาโรคเบาหวาน ได้แก่ ถั่วฝักยาว ผักชี แตงกวา คื่นฉ่าย แพงพวยน้ำ ผักกาดหอมหอมหัวใหญ่ กระเทียม
    ผลไม้รสเปรี้ยว แตงกวามีฮอร์โมนที่เซลล์ตับอ่อน ต้องการใช้สร้างอินซูลิน ส่วนออร์โมนในหอมหัวใหญ่ก็เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคเบาหวาน
    เช่นกัน
    หมายเหตุ ชาที่ทำจากเปลือกถั่วฝักยาวได้รับการยืนยันจากแพทย์แผนปัจจุบันหลายคนแล้วว่ามีสารอาหารธรรมชาติทดแทนอินซูลิน
    และมีประโยชน์ในโรคเบาหวาน ผิวของถั่วฝักยาวอุดมด้วยกรดซิลิซิก และฮอร์โมนบางตัวที่ใกล้เคียงกับอินซูลิน น้ำชาจากผิวถั่วฝักยาว 1 ถ้วย

    จะเท่ากับอินซูลิน 1 หน่วย ขนาดที่แนะนำให้ดื่มคือชาผิวถั่วฝักยาว 1 ถ้วย ตอนเช้า กลางวัน และเย็น (รวม 3 ถ้วย)
    • โรคไต โรคไตและโรคต่อมลูกหมาก ใช้น้ำผลไม้สดจัดการได้ผล น้ำผลไม้ออร์สแรดดิชปริมาณน้อย แพงพวยน้ำ และใบเบร์ช เติมใส่น้ำแครอต
    และคื่นฉ่าย น้ำมะนาวใช้ละลายก้อนยูริกในกระเพาะปัสสาวะ สำหรับต่อมลูกหมาก ใช้น้ำฟักทองก็ได้ผลดี
    • โรคผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบและแผลผิวหนังพุพองหลายชนิดรักษาหายด้วยการอดอาหารมานานนับปีแล้ว ในช่วงแรกของการอดอาหาร อาการ
    โรคผิวหนังจะเลวลงเพราะการกำจัดของเสียที่เกิดน้ำลูกเกดดำ องุ่นแดง แครอต บีท และผักโขมเป็นน้ำผักที่แนะนำให้ใช้ น้ำแตงกวาเป็นน้ำที่

    แนะนำให้ดื่มและใช้ภายนอก สำหรับโรคผิวหนังเพราะมีคุณสมบัติเป็นเครื่องสำอางด้วย
    • หงุดหงิดและนอนไม่หลับ น้ำผลไม้ที่แนะนำได้แก่ น้ำแอปเปิล แครอต ส้มและคื่นฉ่าย
    • โรคถุงลมโป่งพอง น้ำผลไม้ที่แนะนำได้แก่ แครอต หัวผักกาด แพงพวยน้ำ และมันฝรั่ง อย่างอื่นได้แก่ น้ำส้ม มะนาว ลูกเกดดำ และชาโรสฮิปส์
    • คอพอก คอพอกหรือต่อมไทรอยด์โตเกิดจากการขาดสารไอโอดีน รักษาได้ด้วยน้ำผลไม้ แครอต ผักชี ผักโขม คึ่นฉ่ายและน้ำต้มผักสูตรพิเศษ
    เติมสาหร่ายผง 1 ช้อนโต๊ะตอนต้มสาหร่ายทะเลดัลซ์ และสาหร่ายทะเลอื่น ๆ เป็นแหล่งธรรมชาติของไอโอดีนอินทรีย์
    • กลิ่นปาก น้ำผักสีเขียวอุดมด้วยคลอโรฟิลของผักชี ผักโขม แพงพวยน้ำ คอมเฟรย์ อัลฟัลฟา และใบบีท ผสมกับน้ำแครอตและคึ่นฉ่ายดื่มวันละ 2 แก้ว
    ใช้ดับกลิ่นปากที่เกิดจากการหมักหมมของเสียในเนื้อเยื่อได้ดี
    • หอบหืด น้ำผลไม้รักษาโรคหอบหืดที่ดีที่สุดได้แก่ น้ำมะนาว คอมเฟรย์ ฮอร์สแรดดิชและกระเทียม น้ำกระเทียมกับฮอร์สแรดดิชจำนวนน้อยผสม
    น้ำแครอตและหัวบีท น้ำมะนาวเจือน้ำ ดื่มตอนเช้าหรือจะดื่มแบบไม่เจือจางวันละ 1 ช้อนชา วันละ 2 - 3 ครั้ง
    • การใช้น้ำผลไม้สดด้วยตัวเอง ในกรณีของโรคที่เป็นรุนแรงเช่น โรคเบาหวาน ความดันเลือดต่ำ อาการติดเชื้อรุนแรงอย่างเฉียบพลัน การจะใช้วิธีอดอาหารด้วยการดื่ม
    น้ำผลไม้รักษาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
    โรคที่เป็นมานานและไม่รุนแรงโดยเฉพาะถ้าต้องการใช้การอดอาหารด้วยการดื่มน้ำผลไม้เป็นมาตราการป้องกันโรค ท่านก็สามารถ
    ปฏิบัติได้เลย
    นอกเหนือจากคุณสมบัติในด้านการแพทย์เพื่อรักษาโรคแล้ว น้ำผลไม้สดยังมีผลในการสร้างความอ่อนเยาว์ให้แก่อวัยวะต่าง ๆ
    คุณสมบัติพิเศษมหัศจรรย์เช่นนี้เองที่เป็นที่รู้จักกันดีและใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเสริมสวย และคลินิกชะลอความชรา น้ำผลไม้สด ทำให้

    ร่างกายบริสุทธิ์ ฟอกเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ สะเทินพิษที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารและซ่อมสร้างเนื้อเยื่อใหม่
    • ข้อปฏิบัติที่ควรจดจำ 1. น้ำผลไม้ทุกชนิดจะต้องเตรียมสด
      2. ใช้เครื่องคั้นน้ำผลไม้ไฟฟ้า ร้านสรรพสินค้าใหญ่ ๆ จะมีขายหลายยี่ห้อ ทำตามคำแนะนำที่ติดมากับเครื่องแต่ละยี่ห้อ
    อย่างเคร่งครัด
    3. ใช้ผักและผลไม้สด ควรเลือกหาผลผลิตที่ได้จากการปลูกแบบปลอดสารพิษ (มักมีขายตามร้านอาหารสุขภาพ) ถ้าหาซื้อพืชผัก
    ผลไม้ดังกล่าวมาจากร้านค้าหรือตลาดทั่วไปอาจจะมียาฆ่าแมลงติดมาด้วย ล้างด้วยน้ำสะอาดโดยใช้น้ำอุ่นและสบู่หรือน้ำยาล้างจาน ล้างแอปเปิล
    แพร์ องุ่น พลัม แตงกวา แครอต พริกเขียว มะเขือเทศและคึ่นฉ่าย ล้างน้ำสะอาดอย่างน้อย 3 - 4 ครั้ง ด้วยน้ำเย็น ขัดถูด้วยแปรงหรือใช้มือเปล่า
    4. เตรียมน้ำผลไม้แต่ละครั้งตามแต่ต้องการ อย่าเตรียมเผื่อไว้มาก ๆ เพราะแม้เก็บไว้ในตู้เย็น น้ำผลไม้ จะสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ และการรักษาโรค


     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ประโยชน์ของ ตำลึง ที่คนทั่วไป คาดไม่ถึง

    “ตำลึง”

    ไม้เลื้อยที่ชาวไทยรู้จักดีเพราะปลูกง่าย เลี้ยงง่าย พบเห็นได้ทั่วไป ในสมัยก่อนที่บ้านเรือนชาวไทยยังมีพื้นที่กว้างขวาง ดำเนินชีวิตแบบพอเพียง พึ่งพาอาศัยพืชผักผลไม้ที่ปลูกอยู่รายรอบบ้านนำมาทำเป็นอาหาร ตำลึงเปรียบได้ดั่ง “ผักสวนครัว รั่วกินได้” ของชาวไทยอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนทุกริมรั้วบ้านก็มักมียอดอ่อนๆ ของผักตำลึงโบกพลิ้วปลิวไสวไปตามแรงลมให้เห็นจนชินตา
    ประโยชน์ของ ตำลึงนอกจากจะปลูกเป็นผักสวนครัว นำมาปรุงอาหารรับประทานได้โดยง่ายแต่สุดแสนเอร็ดอร่อยเป็นที่ถูกใจใครหลายๆ คนในครอบครัวแล้ว ตำลึงยังถือเป็น “ยาเย็น” ที่มีฤทธิ์ทาง สมุนไพรนานาประการ ไม่ว่าเป็นดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้โดยทั่วไป ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ฯลฯ และยังมีอีกหนึ่งสรรพคุณของตำลึงซึ่งไม่ควรมองข้าม นั่นคือ ฤทธิ์ในด้านการล้างพิษ ซึ่งครอบคลุมทั้งการล้างพิษภายในและการล้างพิษภายนอกร่างกายเลยทีเดียวค่ะ
    [​IMG]


    จะ ขอพูดถึงการล้างพิษภายนอกร่างกายกันก่อน



    ตำลึงหรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Coccinia grandis Voight สามารถนำมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ผื่นคัน หรือการอักเสบทางผิวหนังที่เกิดการระคายเคืองเนื่องจากสารเคมีตกค้าง อาทิ เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ได้ โดยการนำใบตำลึงสด ๑ กำมือมาล้างให้สะอาด บดจนละเอียด แล้วผสมน้ำ (ที่อุณหภูมิปกติ) ลงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงคั้นเอาน้ำสมุนไพรที่ได้มาทาในบริเวณที่มีอาการ หลังจากน้ำสมุนไพรแห้ง ก็ทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย นับเป็นวิธีการล้างพิษทั่วไปที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง โดยที่เราไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยาเคมีใดๆ เลย
    นอกจากนี้ ในตำรายาสมุนไพรยังกล่าวถึงการใช้เอทิลแอลกอฮอล์ หรือ แอลกอฮอล์ที่สามารถรับประทานได้ ชนิดที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่เกิน ๔๐ เปอร์เซ็นต์ (เข้มข้นมากกว่านี้อาจทำให้ผิวหนังแห้ง หรืออักเสบ) มาเป็นส่วนผสมลงในใบตำลึงบดละเอียดแทนการใช้น้ำธรรมดา (โดยปกติแล้วชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้เหล้าขาว) ซึ่งวิธีนี้ทำให้ได้ฤทธิ์ในการรักษาที่เข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะมีเอทิลแอลกอฮอล์ที่เปรียบเสมือนตัวกลาง ช่วยสกัดสารที่อยู่ในใบตำลึงให้ออกมาได้มากขึ้น แต่อาจมีการตรวจสอบเบื่องต้นเสียก่อนว่า ผิวหนังเราแพ้เอทิลแอลกอฮอล์หรือไม่ ด้วยการนำน้ำสมุนไพรที่ได้มาพอกสังเกตดูอาการขั้นต้นก่อนที่ใต้ท้องแขน ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่อ่อนที่สุดในร่างกาย เพียงไม่เกิน ๓-๔ ชั่วโมง ก็จะรู้ผลแล้ว

    แต่หากอาการเจ็บป่วยของท่านไม่อยู่ในขั้นรุนแรง หรือ เป็นโรคร้าย เช่น งูสวัด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เอทิลแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมแต่อย่างใด เพียงแค่น้ำเปล่าหรือใบตำลึงบดสดๆ เพียงอย่างเดียวก็สามารถล้างพิษออกทางผิวหนังได้แล้ว คล้ายๆ กับการใช้ประโยชน์จากว่านหางจระเข้นั่นเอง


    ประโยชน์ของ ตำลึงยังมีอีกมาก ในด้านการล้างพิษ เรายังสามารถนำตำลึงมารับประทานเพื่อล้างพิษหรือถอนพิษที่เข้าสู่ร่างกายจาก การรับประทานอาหารได้อีกด้วย
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD class=text0>ส่วนที่ใช้ของตำลึง




    ใบสด


    สรรพคุณ
    ตำลึงอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก และฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน วิตามินซีและอื่น ๆ นอกจากนี้ จากการค้นคว้าของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย สำหรับตำรายาแผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด

    ราก : แก้ดวงตาเป็นฝ้า ลดความอ้วน แก้ไข้ทุกชนิด ดับพิษทั้งปวง ฝนทาภายนอก แก้ฝีต่างๆ แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนภายใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบต่อย
    ต้น : กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้น รักษาเบาหวาน
    เปลือกราก : เป็นยาถ่าย ยาระบาย
    เถา : แก้ฝี ทำให้ฝีสุก แก้ปวดตา แก้โรคตา แก้ตาฝ้า ตาแฉะ แก้พิษอักเสบจากลูกตา ดับพิษร้อน ถอนพิษ เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน
    ใบ : เป็นยาพอกรักษาผิวหนัง รักษามะเร็งเพลิง แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด แก้หืด รักษาผื่นคันที่เกิดจากพิษของหมามุ้ย ตำแย บุ้งร่าน ใช้เป็นยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้ปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษคูน แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย แก้ไข้หวัด แก้พิษกาฬ แก้เริม แก้งูสวัด
    ผล : แก้ฝีแดง ทั้งห้า รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม รักษาเบาหวาน Tips
    ใช้เป็นรักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงกัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง แพ้ละอองข้าว โดยเอาใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กแล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    เห็ดสามอย่าง บำรุงสมอง และ ล้างพิษ

    "เห็ด" บำรุงสมอง ลดคอเลสเตอรอล



    [​IMG]

    ฤดูฝนแบบนี้ เมนูตั้งโต๊ะมักจะมีเห็ดหน้าตาแปลกๆ สลับกันขึ้นมาให้ได้
    เอร็ดอร่อยกันแทบทุกมื้อกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ของปี ชาวจีนและชาวญี่ปุ่น
    นิยมนำเห็ดไปปรุงเป็นนํ้าแกง นํ้าชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรค
    ต่างๆ ทางยุโรปนำไปปรุงเป็นซุป คนไทยนำมาผสมในแกงต่างๆ รวมถึง
    ผัด ต้ม จิ้มนํ้าพริก ยิ่งช่วงกินเจ เห็ดจะถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อ
    สัตว์ เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุม หรือแชมปิญองเห็ดนางรม
    หรือเห็ดออรินจิ เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคนเห็ดหูหนู เห็ดหลินจือ
    การบริโภคเห็ดได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สรรพคุณของเห็ดที่ช่วย
    ในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรค
    หลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิด แถมเห็ดบาง
    ชนิดรสชาติใกล้เคียงเนื้อสัตว์ สามารถนำไปปรุงอาหารให้อร่อยได้
    หลายวิธี ทั้งต้ม ผัด แกง ยำ ย่าง หรือทอด จึงดัดแปลงไปได้หลายสิบ
    เมนูเลยทีเดียว ถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิด มาปรุงเป็นอาหาร เรียกว่า
    เป็นเมนูเห็ดล้างพิษ จะเป็นเห็ดสด หรือเห็ดแห้งก็ได้ นำมาปรุงอาหาร
    แล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ด และนํ้า โปรตีนจากเห็ดที่ร่างกายดูดซึมจะใช้งาน
    ได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวม
    กันปรุงอาหาร จะช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ ลดอนุมูล
    อิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็งว่ากันมาเช่นนี้
    เมนู ซุปเห็ดล้างพิษ
    วิธีทำ เครื่องปรุงมีแค่ 6 อย่าง ส่วนชนิดของเห็ด ขอเลือกเป็นเห็ดยอด
    นิยมของคนไทยได้แก่ เห็ดหูหนูเห็ดหอมสด และเห็ดออรินจิ ซึ่งเดิมเป็น
    เห็ดนางรมพื้นเมืองที่ขึ้นในแถบเมดิเตอร์เรเนียน มะเขือเทศท้อ เกลือ
    พริกไทย เริ่มจากหั่นเห็ดหูหนูซอยให้เป็นเส้นยาวๆ ไม่ต้องบางมาก
    หั่นเห็ดออรินจิเป็นท่อนเล็กๆ ส่วนเห็ดหอมสด เลาะเอาก้านแข็งๆ ออก
    มะเขือเทศท้อหั่นเป็นเสี้ยวๆ เตรียมเสร็จแล้วพักไว้ ต้มนํ้าให้เดือด
    ใส่เห็ดทั้ง 3 ลงไป ต้มพอสุก ใส่มะเขือเทศท้อ เกลือ และพริกไทย
    เคี่ยวสักพักให้ความหวานจากมะเขือเทศท้อออกมา ซุปเห็ด 3 สหาย
    สลายพิษ เห็ดหอมสดเนื้อนุ่มเหนียว เห็ดหูหนูเนื้อกรุบกรอบอร่อย
    ส่วนเห็ดออรินจิ เนื้อขาว แน่น และรสหวานนิดๆ ถ้าได้รับการปรุงอย่าง
    ถูกวิธี จะมีรสเหมือนหอยนางรมจริงๆ ความอร่อยของเห็ด 3 อย่างที่รส
    ชาติต่างกัน ในนํ้าซุปใสหวานนิดๆ เค็มน้อยๆ พร้อมความเผ็ดร้อนอ่อนๆ
    ของพริกไทย สำหรับคุณที่ชอบรสจัดจ้าน ก็ทุบพริกขี้หนูสวน แล้วบีบ
    มะนาวใส่ลงไป กลายเป็นต้มยำเห็ด 3 สหาย ทำง่าย ดีต่อสุขภาพ
    คุณประโยชน์ของเห็ด เห็ดหอม บำรุงสมอง ลดคอเลสเตอรอล ต้าน
    มะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ชะลอความชรา เห็ดออรินจิ มี
    คุณค่าทางโภชนาการสูงใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ มีโปรตีน และมีคอเลส
    เตอรอลตํ่า เห็ดหูหนู ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง
    ไม่เกิดอาการหลอดเลือดตีบตัน ช่วยผ่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้
    คลายตัว ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เพราะเห็ดหูหนู
    ช่วยชะล้างและบำรุง เสริมสร้างโลหิต ช่วยบำรุงสายตา บำรุงตับ บำรุงผิว
    ให้เปล่งปลั่ง สดใส
    [​IMG]
    วิธีเลือกเห็ดเห็ดหอมให้เลือกเห็ดใหม่ ซึ่งสีจะออก
    เทาเกือบดำ ไม่หมองคลํ้า เลือกที่มีเนื้อดอกหนาหน่อย เห็ดออรินจิให้
    เลือกดอกที่มีสีขาวสะอาด กลิ่นไม่แรง เนื้อแน่นมากๆ และเห็ดหูหนูที่ดี
    ดอกจะต้องใหญ่หนา สีเป็นมัน วิธีเก็บรักษาเห็ดสด หลังจากซื้อมาแล้ว
    ต้องตัดรากและเศษดินออกให้หมด อย่าให้เห็ดถูกนํ้าเพราะจะทำให้เน่า
    เสียเร็ว เก็บใส่ถุงพลาสติกเจาะรูให้ไอนํ้าระเหยออก แล้วรัดปากถุงให้
    แน่น เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาจะอยู่ได้ 1-2 วัน ไม่ควรเก็บไว้นานๆ
    เพราะจะเน่าและขึ้นรา ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องล้างให้สะอาดโดย
    เฉพาะตามซอก
    โรงพยาบาลสมิติเวช โทร.0-2711-8181
    DrCarebear Samitivej | Facebook
    ความมหัศจรรย์ของเห็ด 3 อย่าง
    [​IMG]
    ในการล้างพิษ เห็ดเป็นอาหารที่
    ให้โปรตีนสูง ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังไม่มี
    สารตกค้างอย่างเนื้อสัตว์ แต่ถ้านำเห็ดอย่างน้อย 3 ชนิดมาปรุงเป็น
    อาหาร จะเกิดประโยชน์ขึ้นอย่างมาก ประโยชน์ของเห็ด 3 อย่างคือ
    - ช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจาก
    สุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอาง (ลิปสติกสีสด
    ยาย้อมผม) - ช่วยล้างพิษพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง
    อัลฟาท็อกซิล ไวรัสตับอักเสบ สเก็ดเงิน
    - ช่วยล้างไขมันในตับ - ตับแข็งแรงขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้อารมณ์ดี
    การสร้างเม็ดเลือดแดงดี
    [​IMG]
    วิธีการปรุง - นำเห็ดที่ทานได้อย่างน้อย 3 อย่าง เช่น เห็ดหูหนูต่างๆ
    เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดโคลน เห็ดเข็ม - ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำ ใส่ใน
    แกงจืด แกงเลียง แกงส้ม ไข่ตุ๋น - ต้มน้ำดื่ม จะผสมใบมะตูม ใบเตยหรือ
    เพิ่มน้ำตาลกรวดก็ทำให้หอม อร่อย และมีประโยชน์เพิ่ม - หลีกเลี่ยงการ
    ผัดกับน้ำมันพืช เท่านี้คุณก็มีอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ช่วยให้ตับคุณแข็ง
    แรงขึ้น เห็ด จะ เป็นเห็ดอะไรก็ได้ตั้งแต่สามอย่างขึ้นไป ถ้าได้ถึง 5 ชนิด
    ได้ยิ่งดี จะเป็น เห็ดสดเห็ดแห้งก็ได้ตามใจ แต่ต้องเป็นเห็ดที่ทานได้
    เพราะในตัวเห็ดจะมีสาร โปรตีนแต่ละชนิดไม่มาก แต่การที่เรานำเอาเห็ด
    มารวมกันนั้น สารเคมีในเห็ดแต่ ละตัวจะมารวมกันและเกิดปฏิกิริยา
    เปลี่ยนโปรตีนในเห็ดให้เป็นกรดอะมิโนที่มี คุณค่ามากในการต่อต้าน
    และช่วยในการขจัดเซลล์มะเร็ง ให้ลดจำนวนลงได้ สำหรับ ผู้ป่วย
    มะเร็งควรทานทุกวัน จะทานในรูปน้ำต้มเห็ดหรือนำเห็ดมาปรุงอาหาร
    แทน เนื้อสัตว์ก็ได้ ในประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคนสูบบุหรี่มากเป็น
    อันดับ ต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว แต่สถิติการเป็นมะเร็งปอดน้อยกว่า
    ประเทศ อื่นๆ มาก เพราะเค้าทานเห็ดกันมากนั่นเอง นอกจากนี้เรายัง
    สามารถทานเห็ดร่วม กับใบมะรุมได้อีกด้วย เนื่องจากเห็ดนี้จะไปทำ
    งานร่วมกับใบมะรุมได้เป็นอย่าง ดี
    [​IMG]
    ประโยชน์จากเห็ดสามอย่าง : เห็ด เป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่มี
    คอเลสเตอรอล มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อย่างโปแตสเซียมซึ่งช่วยลด
    ความดันโลหิต และซีลีเนียมซึ่งเป็นตัวสารต้านมะเร็ง รวมทั้งยังมี
    วิตามินต่างๆ และกรดอะมิโนต่างๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณพอสม
    ควร กิน "เห็ดสามอย่าง" ก็จะยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งกว่ากินเห็ดเพียงอย่าง
    เดียว เห็ดสามอย่างเมื่อรวมกันนั้นจะมีค่ากรดอะมิโนที่สามารถลดอัตรา
    การเติบโตของ เซลล์มะเร็งได้ ทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมในตับ ทั้งจาก
    อาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจา
    กเครื่องสำอาง และพิษจากสารอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังล้างไขมัน
    ในตับ ทำให้ตับเเข็งแรง สร้างเม็ดเลือดแดงได้ดี การกินเห็ดสามอย่าง
    ที่ว่านี้ ก็คือเห็ดอะไรก็ตามที่กินได้ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า
    เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง ฯลฯ และจะนำมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ย่าง
    หรือทำอาหารประเภทใดก็ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน นอกจากนั้นยังต้ม
    เป็นน้ำซุปเห็ดดื่มก็ได้ด้วย โดยการนำเห็ดอะไรก็ได้ 3 อย่าง มาล้าง หั่น
    และนำไปต้มรวมกันในน้ำสะอาด ใส่มะตูมแว่นที่ปิ้งจนหอมมาต้มรวมกัน
    ดื่มแทนน้ำซุปได้ ส่วนเนื้อเห็ดนำไปทำอาหารอื่นๆ ได้อีกด้วย การกิน
    "เห็ดสามอย่าง" ก็จะยิ่งได้ประโยชน์ยิ่งกว่ากินเห็ดเพียงอย่างเดียว
    เหมือนกับส่วนผสมของดินปืน ที่เมื่อแยกส่วนออกมาแต่ละตัวแทบจุด
    ไม่ติดไฟ แต่พอนำมารวมกันก็กลายเป็นระเบิดได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 เมษายน 2012
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969

    [​IMG]



    กินเจเพื่อสุขภาพ "เห็ด"เพิ่มภูมิคุ้มกัน ใน
    โอกาสเทศกาลกินเจ รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่
    คณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัย
    รังสิต มีข้อแนะนำเรื่อง "กินเจอย่างไร เสริมสุข
    ภาพภูมิคุ้มกัน" ว่าปัจจุบันมีการกินอาหารเจหรือ
    มังสวิรัติมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รัก
    สุขภาพ สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงคุณภาพของ
    อาหาร เพื่อให้ได้สารอาหารที่เหมาะสมและเพียง
    พอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละเพศและ
    วัย มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการกินอาหารมังสวิรัติช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยหรือลดอัตราการตาย
    จากโรคเรื้อรังชนิดไม่ติดต่อต่างๆ ได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็นมังสวิรัติ โดยมีรายงานยืนยันว่าผู้ที่
    กินอาหารมังสวิรัติมักจะมีระดับคอเลสเตอ รอล ความดันโลหิตและน้ำหนักตัวต่ำกว่าผู้ที่ไม่กิน
    อาหารมังสวิรัติ แม้ว่าอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลต่อการ
    เกิดโรคภัยต่างๆ ดังที่กล่าวมา แต่บทบาทสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพก็เป็นสิ่งที่ทั่วโลก
    ยอมรับ เช่น สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้เลือกกินอาหารจากพืชเป็นหลัก
    สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้เลือกกินอาหารให้สมดุลโดยเน้นอาหารประเภท
    ผักผลไม้ และธัญพืช ทั้งนี้ การกินเจหรือมังสวิรัติควรมีการวางแผนที่ดี เพื่อให้ได้รับสารอาหาร
    ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรป้องกันการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น
    ธาตุเหล็ก แคล เซียม สังกะสี โปรตีน ไขมันจำเป็นบางชนิด วิตามินบี 12 และวิตามินดี เป็นต้น
    หนึ่งในเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมในเทศกาลกินเจ คือ เห็ด เพราะนอกจากจะมีรสชาติอร่อย
    และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีให้เลือกมากมายมาปรุงอาหารและประกอบอาหารได้
    หลากหลายเมนูแทนเนื้อสัตว์ได้เนื่องจากเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนจากอาหารพืช มีทั้งเมนูต้ม
    ผัด แกง ทอด ย่าง หรือยำ เห็ดมีพลังงานต่ำ 20 แคลอรี และ ไขมัน 0 กรัมต่อ 1 ที่เสิร์ฟ แต่มี
    คุณค่าทางโภชนาการต่อสุขภาพสูง เนื่องจากอุดมไปด้วยคาร์โบ ไฮเดรต โปรตีน เส้นใยอาหาร
    วิตามินและแร่ธาตุ เห็ดที่มีกลุ่มวิตามินบีสูง เช่น ไรโบฟลาวิน ไนอะซิน และกรดแพนโทธีนิก มี
    วิตามินซี ฟอสฟอรัส โพ แทสเซียม อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียมและวิตามินดีใน
    อาหาร การแพทย์แผนตะวันออกมีการใช้เห็ดบำรุงสุขภาพและเป็นยามานานหลายศตวรรษ แต่
    คุณสมบัติของเห็ดต่อการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันเริ่มได้รับความสนใจเมื่อไม่นานมานี้ มีรายงาน
    การศึกษาทางวิชาการจำนวนมาก รวมทั้งวารสารเห็ดทางการแพทย์นานาชาติยืนยันว่าเห็ด
    ทางการแพทย์มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว โดยการปรับสมดุลการทำงาน
    ของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพเพื่อการต่อต้านเชื้อโรคและเซลล์มะเร็ง เห็ดที่เกิดขึ้นตาม
    ธรรมชาติพบว่ามีมากถึง 38,000 สายพันธุ์ แต่มีเห็ดเพียงไม่กี่ชนิดที่รับประทานได้และมีสารที่มี
    ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ เช่น "เห็ดทางการแพทย์" หรือ Medicinal
    Mushrooms ปัจจุบันพบว่ามีอยู่ไม่กี่ชนิดที่สำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ เห็ดยามาบูชิตา
    เกะ (เห็ดปุยฝ้าย) เห็ดหลินจือ เห็ดไมตาเกะ ถั่งเฉ้า เห็ดหอม และ เห็ดเทอร์กี้เทล เป็นต้น ซึ่ง
    นำมาใช้เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ เพิ่มภูมิต้านทาน ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงโรค
    มะเร็ง ป้องกันไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ลดการอักเสบ ต้านการแพ้ ควบคุมสมดุลของระดับ
    น้ำตาล ส่งเสริมระบบการขับพิษจากร่างกาย ตัวอย่างเห็ดทางการแพทย์ที่นิยมใช้แพร่หลาย
    เช่น เห็ดยามา บูชิตาเกะ หรือ เห็ดปุยฝ้าย มีงานวิจัยทางการแพทย์ของประเทศญี่ปุ่น พบว่า
    เห็ดชนิดนี้ให้ผลต่อการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด
    มะเร็งกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และผิวหนัง แต่เนื่องจากเห็ดชนิดนี้พบได้ยากตาม
    ธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตในภูเขาที่มีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ จึงทำให้
    ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้ในระบบปิด เห็ดหลินจือ เป็นเห็ดสมุนไพรที่ใช้กันแพร่หลาย
    ในประเทศจีนและญี่ปุ่นในการรักษาโรคมากมาย สารสำคัญที่พบคือ Triterpenoids และ โพลี
    แซ็กคาไรด์ สารเหล่านี้มีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน ลดระดับคอเลสเตอรอล
    ไปจนถึงการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกที่ผิดปกติ ถั่งเฉ้า หรือ "หญ้าหนอน" มีการนำมา
    ใช้เป็นยาอย่างแพร่หลาย โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้มากมาย เช่น เสริมภูมิต้านทาน
    ช่วยระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยให้เจริญอาหาร ทำให้ร่างกายแข็งแรง รักษาภูมิแพ้ แก้เครียด
    ชาวจีนจึงขนานนามว่า "เห็ดอายุวัฒนะ" เห็ดไมตาเกะ ในญี่ปุ่นมีการใช้เห็ดไมตาเกะเสริมสร้าง
    ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด และมีหลายการศึกษาบ่งชี้ว่าสารสกัดเห็ดไมตา
    เกะช่วยให้การได้รับเคมีบำบัดขนาดน้อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ปกป้องเซลล์ที่
    แข็งแรงไม่ให้ถูกทำลาย เห็ดหอม หรือ เห็ดชิตาเกะ เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลด ไขมันใน
    เส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็ง ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร บำรุง
    กำลัง บรรเทาอาการไข้หวัด เห็ดทางการแพทย์อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งจากอาหารธรรมชาติ
    ที่ไม่ควรมองข้าม
     

แชร์หน้านี้

Loading...