3------ รักและใส่ใจตนดีแล้ว จึงสามารถ รักและใส่ใจชีวิตอื่น...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 กรกฎาคม 2011.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    <TABLE style="WIDTH: 100%"><TBODY><TR><TD>ตรีผลา สมุนไพรล้างพิษ(Detox)ในลำไส้
    </TD></TR><TR><TD>
    ตรีผลา มีส่วนผสมของ ลูกสมอไทย ลูกสมอพิเภก มะขามป้อม ท่านสามารถทานอย่างมั่นใจว่าเราให้ท่านได้สารสมุนไพรดีทอกซ์ ล้างพิษ ไม่ใช่ยาระบายที่ทำให้เกิดพิษในลำไส้มากกว่าที่จะล้างพิษ ดังนั้นท่านจะได้ทานสมุนไพรล้างพิษจริงๆ ไม่ใช่ยาระบายและไม่ใช่สมุนไพรเพื่อลดน้ำหนักเป็นหลัก เพียงแต่มีผลด้านลดนำหนักและล้างพิษ
    การล้างพิษที่ดีคือทานสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย รวมถึงการล้างพิษ ยิ่งทานนานยิ่งดี ยิ่งยิ่งดีก็มีความกระตือรือล้นที่จะทาน ทำให้ร่างกายสะอาดยาวนาน
    1. ชำระไขมันพอกตับ ที่จะทำให้ตับทำงานผิดปกติและอาจกลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ
    2. ล้างสารพิษสารเคมีในร่างกายในตับ สำหรับคนทั่วไปที่ทานยาจำนวนมากหรือติดต่อกันเป็นประจำ ยาต่างๆ อาทิ พาราเซตตามอน ความดัน เบาหวาน ยาลดไขมัน สี ผงฟู ครีมทาหน้า สบู่ สารเนื้อแดง ฟอร์มารีน ของหมักดองเหล่านี้ จะถูกฟอกที่ตับ หากไม่ล้างพิษ จะทำให้ตับเสื่อม เมื่อตับที่เป็นอวัยวะฟอกของเสียในตัวเราเสื่อม จะทำให้เจ็บป่วยบ่อยขึ้น หมองคล้ำ และหากมากที่สุดจะก่อตับแข็ง ไตก็จะพังตามไป การฟอกไตจะตามมา ท้ายสุดร่างกายจะบวม ระบบภายในล้มเหลว
    3. ชำระเมือกมันในข้นเหลวในลำไส้ ตระกรันตามข้องอ ข้อหักในลำไส้ ที่ทำให้การดูดซึมสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินไม่ได้ เพราะถูกเมือกมันป้องกันไว้
    4. อุดมด้วยสาร Anti Aging จากพืชล้วน ตรงเข้ายับยั้งการก่อตัวของอนุมูลอิสระ สูตรใกล้เคียงกับน้ำปานะที่พระใช้ฉันท์ ความจริงที่เป็นมากว่า 2,500 ปี ยืดอายุ ดูดีสมวัย




    <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
    สมอไทย
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminalia chebula Retz. var. chebula
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อสามัญ : Myrabolan Wood
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>วงศ์ : COMBRETACEAE
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สรรพคุณ :
    • ผลอ่อน - มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ถ่ายเสมหะ ลดไข้ ขับลมในลำไส้
    • ผลแก่ - มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเดิน
    • ผล - ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง มี Tannin มาก ใช้ทำหมึก
    • ใบ - เป็นยาสมานแผล เป็นยาบำรุงถุงน้ำดี

    <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
    สมอพิเภก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480> </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminalia bellirica (Gaertn.) Roxb.
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อสามัญ : Beleric myrobalan
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>วงศ์ : Combretaceae
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา : http://www.rspg.or.th/plants_data

    • ผลอ่อน - มีรสเปรี้ยว แก้ไข้ แก้ลม เป็นยาระบาย ยาถ่าย
    • ผลแก่ - มีรสฝาด แก้โรคในตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน
    • เมล็ดใน - แก้บิด บิดมูกเลือด
    • ใบ - แก้บาดแผล
    • ดอก - แก้โรคในตา
    • เปลือกต้น - ต้มขับปัสสาวะ
    • แก่น - แก้ริดสีดวงพรวก
    • ราก - แก้โลหิต อันทำให้ร้อน


      <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
      มะขามป้อม
      </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>
      [​IMG]
      </TD></TR></TBODY></TABLE>
      <TABLE id=table3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780><TBODY><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica L.
      </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>ชื่อสามัญ : Emblic myrablan, Malacca tree
      </TD></TR><TR><TD bgColor=#dfdfdf width=480>วงศ์ : Euphorbiaceae
      </TD></TR></TBODY></TABLE>

      สรรพคุณ :
      • น้ำจากผล - แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
      • ผล - แก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="MARGIN: auto; WIDTH: 98%" cellSpacing=2 cellPadding=2><TBODY><TR><TD>มะขามป้อม </TD></TR><TR><TD>- ตรีผลา สมุนไพรล้างพิษ(Detox)ในลำไส้ </TD></TR><TR><TD>- งานวิจัย ...มะขามป้อมช่วยเร่งการเกิดใหม่ของเส้นผม </TD></TR><TR><TD>- สารสกัดจากผลมะขามป้อมป้องกันโรคมะเร็งตับ </TD></TR><TR><TD>- แอสคอร์ไบเจนในมะขามป้อมคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร </TD></TR><TR><TD>- มะขามป้อม ผลไม้อมฤต จากชมพูทวีป </TD></TR><TR><TD>- วิตามินซีกับบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ </TD></TR><TR><TD>- มะขามป้อมวิตามินซี และ แทนนินสูง </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]


    รักตัวเองให้เป็น

    เมื่อใดก็ตามที่กระทำสิ่งใดผิดพลาดไป
    ขอจงอย่าลงโทษตัวเอง
    ให้อภัยและทะนุถนอมตัวเองให้มาก ๆ
    ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อ
    ลองคิดดูว่าการลงโทษตัวเองทำให้อะไรดีขึ้นมาบ้าง
    หรือช่วยแก้ไขสิ่งผิดพลาดไปแล้วได้ไหม
    ไม่หรอกโยม มันกลับทำให้คุณแย่ลง
    อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้ารักแต่เองไม่เป็นอย่าพึ่งไปรักคนอื่น
    คุณต้องรัก ให้อภัย และเข้าใจตัวเองให้มาก ๆ
    หมั่นให้กำลังใจตัวเองและดูแลจิตใจตนเองให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ก็เพื่อตัวเราเองทั้งนั้น
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040

    มารู้จักกรดโฟลิคกันเถอะ
    โดย นาง อรพร ชัยรัตนN
    นักโภชนาการ 5 ฝ่ายโภชนาการ
    กองส่งเสริมสาธารณสุข สำนักอนามัย
    กรดโฟลิคคืออะไรนะ ?
    กรดโฟลิค (Folic acid) เป็นสารอาหารในกลุ่มวิตามิน บี ที่ละลายน้ำ ซึ่งอาจอยู่ในรูป สารประกอบชนิดอื่น ๆ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น โฟเลต (Folate) โฟลาซิน (Folacin) เป็นต้น กรดโฟลิคมีหน้าที่ในการสังเคราะห์สารพันธุกรรม (DNA) ให้คงรูปโครโมโซม ควบคุมการสร้างกรด อะมิโน (Amino acids) ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีน จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ในการสร้างและการแก่ตัวของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวในไขกระดูก กรดโฟลิคเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมที่บริเวณลำไส้เล็ก จากนั้นจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและสุดท้ายจะถูกขับออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะในรูปของโฟเลท
    ใครกัน ? ที่เสี่ยงต่อการขาดกรดโฟลิค
    กลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดกรดโฟลิคมากที่สุด คือ หญิงตั้งครรภ์ คนที่รับประทานกรดโฟลิค ไม่เพียงพอ กลุ่มทารก เด็กที่กำลังเจริญเติบโตและผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ
    อาการแสดงสำคัญของการขาดกรดโฟลิค
    1. โลหิตจางที่มีขนาดเม็ดเลือดแดงใหญ่กว่าปกติ (Megaloblastic Anemia) ภาวะโลหิตจางชนิดนี้เกิดขึ้นเพราะมีการปล่อยเม็ดเลือดแดงที่ยังไม่โตเต็มที่ออกมาในกระแสเลือด เนื่องจากมีเม็ดเลือดแดงที่ไม่โตเต็มที่ไม่เพียงพอ (เม็ดเลือดแดงที่โตไม่เต็มที่ จะมีขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงปกติที่โตเต็มที่แล้ว)
    2. ความพิการทางสมอง (Neural tube defect) เป็นความผิดปกติในการสร้าง หลอดประสาท มีผลต่อไขสันหลังและสมอง เกิดขึ้นในระยะแรกของการพัฒนาเป็นตัวอ่อนในครรภ์ ในช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงในตัวอ่อน เพื่อพัฒนาเป็นไขสันหลัง ประสาทและสมอง ขณะเดียวกันกระดูกส่วนสันหลังจะค่อย ๆ เจริญออกมาล้อมรอบไขสันหลัง ซึ่งในช่วงที่ร่างกายกำลังพัฒนานี้ เกิดความผิดปกติขึ้น จะทำให้เกิดปัญหาได้ ภาวะรุนแรงที่สุด คือ สมองทั้งหมดขาดหายไป (Anencephaly) ที่พบบ่อยที่สุด คือ กระดูก สันหลังไม่ยื่นมาเชื่อมเป็นวงแหวน เพื่อจะโอบล้อมไขสันหลัง ทำให้ของเหลวในไขสันหลังดันช่องกระดูก สันหลังที่ปิดไม่สนิทนี้โป่งออกมา เรียกว่า Spina Bifida ซึ่งความพิการทางสมองนี้ เกิดจากการขาดกรดโฟลิคในช่วงก่อนตั้งครรภ์และช่วงแรกของการตั้งครรภ์
    3. ภาวะมีสารโฮโมซีสเตอีนสูงเกินปกติ (Homocysteinemia) ภาวะนี้เกิดเนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของปริมาณสารโฮโมซีสเตอีนในกระแสเลือด เชื่อว่าโฮโมซีสเตอีนนี้ จะยับยั้ง Cross-linking ระหว่างการสร้าง elastin และ collagen เพิ่มการสร้าง prostaglandin ในเกร็ดเลือดและหลอดเลือด มีการกระตุ้น coagulation factors จนมีการทำลายหลอดเลือดในที่สุด ซึ่งการเพิ่มขึ้นของโฮโมซีสเตอีนนี้จะมี ความสัมพันธ์กับการเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ไขมันอุดตันในหลอดเลือดสมอง เกิดภาวะ เลือดแข็งตัวเป็นก้อนอุดตันทางเดินของกระแสเลือดในเส้นเลือดบริเวณรอบนอกตามแขนขาและอาจส่ง ผลให้เกิดภาวะโคเลสเตอรอลสูง โรคความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน
    ปริมาณกรดโฟลิคที่เราควรได้รับในแต่ละวัน

    <CENTER><TABLE dir=ltr border=1 cellSpacing=1 cellPadding=7 width=463><TBODY><TR bgColor=#009999><TD vAlign=top width="24%">
    วัย
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    อายุ
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    ปริมาณกรดโฟลิค (ไมโครกรัม)
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top rowSpan=3 width="24%">
    ทารก
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    3-5 เดือน
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    20
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    6-8 เดือน
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    25
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    9-11 เดือน
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    30
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top rowSpan=3 width="24%">
    เด็กหญิงและชาย
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    1-3 ปี
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    40
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    4-6 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    50
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    7-9 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    65
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top rowSpan=3 width="24%">
    เด็กผู้ชาย
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    10-12 ปี
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    90
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    13-15 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    130
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    16-19 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    165
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top rowSpan=3 width="24%">
    เด็กผู้หญิง
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    10-12 ปี
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    95
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    13-15 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    135
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="27%">
    16-19 ปี
    </TD><TD bgColor=#00cccc vAlign=top width="49%">
    145
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="24%">
    ผู้ชาย
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    20 ปีขึ้นไป
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    175
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="24%">
    ผู้หญิง
    </TD><TD vAlign=top width="27%">
    20 ปีขึ้นไป
    </TD><TD vAlign=top width="49%">
    150
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="24%">
    หญิงตั้งครรภ์
    </TD><TD vAlign=top width="27%"></TD><TD vAlign=top width="49%">
    500
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="24%">
    หญิงให้นมบุตร
    </TD><TD vAlign=top width="27%"></TD><TD vAlign=top width="49%">
    250
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    <DIR><DIR><DIR>ที่มา : ข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย. คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารประจำวัน ที่ร่างกายควรได้รับของประชาชนชาวไทย. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2532.

    </DIR></DIR></DIR>ปริมาณกรดโฟลิคในอาหารแต่ละชนิด

    <CENTER><TABLE dir=ltr border=1 cellSpacing=1 cellPadding=7 width=434><TBODY><TR bgColor=#009999><TD height=50 vAlign=top width="59%">
    อาหาร
    </TD><TD height=50 vAlign=top width="41%">
    ปริมาณกรดโฟลิค
    (ไมโครกรัมต่อ 100 กรัม)
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    จมูกข้าวสาลี
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    310
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ข้าวสาลี
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    280
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ถั่วเปลือกแข็ง
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    110
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ตับหมู
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    110
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ฯลฯ
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    90
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    เมล็ดถั่วอื่น ๆ
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    80
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ขนมปังที่ทำจากข้าวไม่ขัดสี
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    39
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ไข่
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    30
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ขนมปัง
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    27
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    ปลา
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    26
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    กล้วย
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    22
    </TD></TR><TR bgColor=#00cccc><TD vAlign=top width="59%">
    มันฝรั่ง
    </TD><TD vAlign=top width="41%">
    14
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


    ที่มา : กรดโฟลิค. www.alternateinfo.com/Alternateth/Hsth/Folic_acid_th.htm

    นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว อาหารที่เสริมกรดโฟลิคประเภทเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูปหรือเครื่องดื่มรสชอคโกแลตมอลต์ก็เป็นแหล่งอาหารที่ดีของกรดโฟลิคเช่นกัน
    ผู้ที่รับประทานผักจะได้รับกรดโฟลิคเพียงพอ แต่ผู้ที่เลือกรับประทานอาจได้รับกรดโฟลิค ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และเพื่อให้แน่ใจว่าสตรีที่ตั้งครรภ์หรือกำลังเริ่มตั้งครรภ์ได้รับกรดโฟลิคเพียงพอ ก็อาจรับประทานวิตามินเสริม วันละ 400 มิลลิกรัม กรดโฟลิคเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ ร่างกายจะขับส่วนที่เหลือออกไปทางปัสสาวะ การเสริมกรดโฟลิคหรือการรับประทานกรดโฟลิคสูง จึงไม่ควรกังวลว่าจะมีการสะสมในร่างกาย แต่ในผู้ที่รับประทานกรดโฟลิคมากกว่า 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน อาจทำให้ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติของการตรวจเลือดเพื่อดูภาวะขาดวิตามินบี12 (pernicious anemia) ได้
    การปรุงอาหารประเภทผักนั้น ควรทำให้สุกเร็ว ๆ เพราะความร้อนทำลายกรดโฟลิคได้ถึงร้อยละ 80-90 และการเก็บผัก ผลไม้สดไว้นานเกินไป ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียกรดโฟลิคได้เช่นกัน
    สิ่งขัดขวางการดูดซึมกรดโฟลิค ได้แก่ แอลกอฮอล์ ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ
    ข้อมูลอ้างอิง
    รศ.ดร.อรอนงค์ กังสดาลอำไพ. โฟเลตกับความผิดปกติแต่กำเนิด. www.pharm.chula.ac.th/dic/Folic.htm
    ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล. โฟเลทกับการตั้งครรภ์. www.elib-online.com/doctors/lady_folate1.html
    กรดโฟลิค. www.alternateinfo.com/Alternateth/Hsth/Folic_acid_th.htm
    โฟเลทนั้น สำคัญไฉน? ต่อทารกในครรภ์. www.nestlethai.com
    <DIR><DIR>คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารประจำวันที่ร่างกายควรได้รับของประชาชนไทย 2532. ความต้องการวิตามินและเกลือแร่บางชนิดประจำวันสำหรับคนไทยและข้อกำหนดสารอาหาร ที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
    รศ.นพ. ประเสริฐ อัสสันตชัย. สถานการณ์ทางโภชนาการในผู้สูงอายุไทย. เอกสารประกอบการบรรยายการอบรมด้านผู้สูงอายุและความชรา,2544
    </DIR></DIR>
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    น้ำตำลึงปั่น

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center height=781><TBODY><TR><TD class=style93 bgColor=#fffef2 height=350 vAlign=top borderColor=#fffef2 width=580><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=542 align=center><TBODY><TR><TD class=style93 height=25></TD><TD height=20></TD><TD class=style93 rowSpan=9 width=258>


    </TD></TR><TR><TD height=20 width=15></TD><TD class=style93 height=25 width=258>ส่วนผสม</TD><TD height=20 width=11></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93>ใบตำลึง 20 กรัม </TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93>น้ำเชื่อม 30 กรัม </TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93>น้ำมะนาว 10 กรัม </TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93>น้ำต้มเปล่าสุก 200 กรัม </TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93>เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม </TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93></TD><TD height=20></TD></TR><TR><TD height=20></TD><TD class=style93></TD><TD height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=535 align=center><TBODY><TR><TD height=25 colSpan=2>วิธีทำ
    </TD></TR><TR><TD height=25 width=17>-

    </TD><TD class=style93 height=25 width=518>นำใบตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นใส่เครื่องปั่น </TD></TR><TR><TD height=25>
    -​


    </TD><TD class=style93 height=25>ใสน้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด นำไปกรอง ใส่น้ำที่เหลือคั้นเอา แต่น้ำ </TD></TR><TR><TD height=25>
    -​


    </TD><TD class=style93 height=25>นำน้ำที่ได้ไปใส่เกลือ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม ชิมรสตามใจชอบ</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=535 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top width=71>หมายเหตุ :</TD><TD width=464>ให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและวิตามินซี ป้องกันเลือดออกตาม ไรฟัน </TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top></TD><TD>นำใบมาตำให้ละเอียด แก้อาการแพ้ อาการอักเสบ แมลงกัดต่อย ช่วยป้องกันโลหิตจาง โรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- InstanceEndEditable -->
    </TD><TD bgColor=#fffef2 height=350 borderColor=#fffef2 width=20></TD></TR><TR><TD height=43 width=130></TD><TD bgColor=#fffef2 borderColor=#fffef2 width=20></TD><TD bgColor=#fffef2 height=50 borderColor=#fffef2 width=580>แหล่งข้อมูล : <!-- InstanceBeginEditable name="Menu-source" -->www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 14 สิงหาคม 2544</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]
    จิรากัลย์ - จันดาวาปี


    <!-- - if flash[:note] --><!-- .ui-state-highlight.ui-corner-all --><!-- = closethick("#flash") --><!-- %span.ui-icon.ui-icon-info.ui-flash-icon --><!-- %p --><!-- = flash[:note] --><!-- - flash[:note] = nil --><!-- - elsif flash[:notice] --><!-- .ui-state-error.ui-corner-all --><!-- = closethick("#flash") --><!-- %span.ui-icon.ui-icon-alert.ui-flash-icon --><!-- %p --><!-- - if flash[:notice].is_a? String --><!-- = flash[:notice] --><!-- - else --><!-- %ol --><!-- - flash[:notice].each do |attrib, msg| --><!-- - unless msg.blank? --><!-- %li= msg --><!-- - flash[:notice] = nil -->







    น้ำผักตำลึงสำหรับคุณหนู

    คุณหนูๆทานได้ ผู้ใหญ่ทานด้วย

    สวัสดีคะ ชาว Learners ทุกท่าน วันนี้มีน้ำผักชนิดหนึ่งที่ให้สารอาหารคุณค่ามากมายมาฝากคะนั่นคือ “น้ำตำลึง”
    [​IMG]

    แต่ก่อนอื่นนะคะ ขอเล่าก่อนว่าเมนู น้ำผักชนิดนี้มาได้อย่างไร เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีโอกาสไป วิ่งออกกำลังที่ บึงหนองแวง ซึ่งสถานที่นี้เป็นสถานที่ออกกำลังกายของคนทั่วไปอยู่ภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝั่งกังสดาลคะ ดิฉันวิ่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 2 รอบ แล้วไปพักเหนื่อยอยู่บริเวณศาลาประจำบึง เห็นครอบครัวครอบครัว 1 มีพ่อ แม่ และลูกน้อยประมาณ 1 ขวบคะ ด้วยความรักเด็กของดิฉัน(^_^) ดิฉันจึงเข้าไปเล่น เข้าไปคุยกับเด็ก และพูดคุยเรื่องทั่วไปกับพ่อแม่เด็ก ซึ่งขณะคุยไปคุยมา แม่เด็กก็กำลังป้อนอาหารให้กับเด็ก และสายตาดิฉันแอบไปมองเห็น น้ำเขียวๆ สีไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ แต่มันกำลังจะเข้าปากเด็กไปแล้ว ดิฉันจึงได้ถามแม่เด็กว่า

    ดิฉัน : นั่นน้ำอะไร หรอคะ

    แม่เด็ก : อ๋อ น้ำตำลึงจ้า หนู พอดีพี่อยากให้น้องได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่ ก็เลยนำ ตำลึงที่น้องไม่สามารถเคี้ยวได้มาปั่นให้ทานได้ง่าย จ่ะ

    ดิฉัน : หรอ คะ! เพิ่งเคยเห็นนะคะ เนี่ยว่าตำลึงทำเป็น น้ำตำลึงปั่นได้ด้วย

    แม่เด็ก : ใช่จ่ะ น้ำตำลึงปั่นเนี่ย ทานได้ทุกเพศ ทุกวัยเลย นะ ไม่ใช่เฉพาะเด็กที่เคี้ยวไม่ได้ หนูเองก็สามารถนำไปปั่นรับประทานก็ได้นะ หรือปั่นให้คุณพ่อคุณแม่ทานก็ได้ ไว้เพื่อบำรุงสุขภาพ ของมันดีจริงๆ

    ดิฉัน : คะๆ แล้วเราสามารถปรุงแต่งตามใจชอบก็ได้ใช่มั้ยคะ ?

    แม่เด็ก: ใช่จ่ะ คิดเสียว่า เหมือนเราทานน้ำผลไม้ปั่นทั่วไปแหละ แต่นี่เป็นน้ำผัก ปั่น ลองไปทำดูนะพี่จะบอกคล่าวๆให้

    ดิฉัน : คะๆ ขอหากระดาษจด แปป นะคะ !!

    แม่เด็ก : จ้า ส่วนประกอบต้องเตรียมนะ มีใบตำลึง, น้ำเชื่อม,น้ำมะนาว ,น้ำต้มเปล่าสุกและ เกลือป่นนำใบตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นใส่เครื่องปั่น ใสน้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด นำไปกรองใส่น้ำที่เหลือคั้นเอา แต่น้ำ และนำน้ำที่ได้ไปใส่เกลือ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม ชิมรสตามใจชอบจ่ะ

    ดิฉัน : แค่นี้เองหรอคะ พี่

    แม่เด็ก : จ้าลองไปทำทานดูนะ

    จะเห็นได้ว่า ผักตำลึง เป็นผักอันดับต้นๆ ที่ให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงกระดูกและวิตามินซี ป้องกันเลือดออกตาม ไรฟัน นอกจากนั้นเราสามารถนำใบมาตำให้ละเอียด แก้อาการแพ้ อาการอักเสบ แมลงกัดต่อยคุณหนูๆ รวมถึงช่วยป้องกันโลหิตจาง โรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือดอีกด้วยคะ

    [​IMG]


    จากประสบการณ์โดยตรงที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า Product มีประโยชน์และอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายของตัวมันอยู่แล้ว เราสามารถนำแนวคิดนี้ไปต่อยอดทำธุรกิจได้ อีก อาทิเช่น ใบตำลึงทอดกรอบด้วยน้ำมันรำข้าว หรือ ผักตำลึงนึ่งจิ้มแจ่ว เป็นต้น Process เป็นกระบวนการที่ง่ายมากสามารถทำได้ด้วยตนเองไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ไหนๆก็ตามเนื่องจาก อุปกรณ์และเครื่องปรุงหาได้ตามที่ทั่วไปคะ ส่วนตัวสุดท้าย Pissadarn นับว่าเป็นวิธีการทำเครื่องดื่มที่แปลกแหวกแนวไม่ค่อยมีขายในท้องที่ตลาดมากนัก เป็นความคิดที่สร้างสรรค์โดยไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นคะ

    [​IMG]
    หลังจากนั้นดิฉันได้ไปลองทำดู แล้วให้คุณพ่อ คุณแม่ชิม รสชาติที่ได้จะหวานน้ำเชื่อมแต่ได้กลิ่นผักตำลึงคะ นอกจากจะได้ประโยชน์จาผักที่ต้องการแล้วนะคะ ยังทำให้เราใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์อีกด้วย สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ เว็บไซด์ต่างๆที่ให้ได้เราชมภาพสวยๆนะคะ พบกันใหม่โอกาสหน้าคะทุกคน
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]
    น้ำกระชายปั่นกับน้ำผึ้งผสมมะนาว
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    เครื่องปรุง กระชาย 1 ขีด<O:p></O:p>
    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ<O:p></O:p>
    มะนาว 2 ลูก<O:p></O:p>
    วิธีทำ กระชายล้างน้ำให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรอง <O:p></O:p>
    เอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไปผสม ปรุงรสตามใจชอบ ดื่มได้เลย

    <O:p></O:p>
    สรรพคุณ



    1. บำรุงกระดูก(เพราะมีแคลเซียมสูง)<O:p></O:p>
    2. บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น<O:p></O:p>
    3. ปรับสมดุลของฮอร์โมน<O:p></O:p>
    4. ปรับสมดุลของความดันโลหิต(ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง ความดันโลหิตที่ต่ำจะสูงขึ้น)<O:p></O:p>
    5. แก้โรคไต ทำให้ไตทำงานดีขึ้น<O:p></O:p>
    6. ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ<O:p></O:p>
    7. บำรุงมดลูก<O:p></O:p>
    8. แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง<O:p></O:p>
    9. อาการกระเพราะปัสสาวะเกร็ง(กรณีนี้อาจใช้เม็ดบัวต้มกิน)<O:p></O:p>
    10. ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต<O:p></O:p>
    11. แก้ปัญหาใส้เลื่อน


    <O:p>น้ำสับปะรดปั่นกับใบโหระพาหรือใบตำลึง </O:p>

    (กินใบโหระพาวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ)
    เครื่องปรุง สับปะรด 1 หัว
    ใบโหระพา 1 ขีด
    วิธีทำ ปอกเปลือกสับปะรด ปั่นผสมกับใบโหระพา แล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม
    สรรพคุณ 1. ลดลมในตัว
    2. แก้อาการเลือดข้น
    3. ทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าดีขึ้น
    4. ลดความดันโลหิตสูง
    5. บำรุงหัวใจ
    6. เพิ่มเม็ดเลือดแดง ถ้าใช้แกนสับปะรดจะเพิ่มเม็ดโลหิตขาวด้วย
    7. ลดอนุมูลอิสระ
    เห็ดสามอย่าง
    (เห็ดหอม+เห็ดหูหนูขาว+เห็ดหูหนูดำ+ผลมะตูมแห้ง+ใบเตย)
    เครื่องปรุง (เห็ดหอม+เห็ดหูหนูขาว+เห็ดหูหนูดำ(แห้ง)หรือเห็ดฟาง+เห็ดนางฟ้า+เห็ดเป๋าฮื้อ(สด)
    วิธีทำ นำเห็ดแห้ง 3 อย่าง แช่น้ำให้นิ่ม แล้วหั่น นำไปต้มรวมกันหรือนำเห็ดสด 3 อย่าง ล้างแล้วหั่นต้มรวมกัน ใส่น้ำเยอะ ๆ นำมะตูมแว่นมาปิ้งให้หอม แล้วต้มรวมกัน ดื่มแทนน้ำซุปได้ ส่วนเนื้อเห็ดนำไปผัดหรือยำ
    สรรพคุณ เป็นอาหารบำรุงตับ(มันฝรั่งต้มหรือนึ่งช่วยบำรุงตับ) ตับไม่แข็งแรง จะมีผลดังนี้
    1. อารมณ์ไม่ดี
    2. การสร้างเม็ดเลือดแดงจะไม่ดี
    3. ไทรอยด์อาจเป็นพิษได้
    4. ตัวผอมแต่พุงป่อง เนื่องจากตับมีปัญหา
    5. ช่วยล้างสารพิษตกค้างในตับ ล้างไขมันในตับ
    6. สลายพังผืดในมดลูก
    7. ลดอนุมูลอิสระ ลดเซลล์มะเร็ง
    8. เพิ่มเม็ดโลหิตขาว ลดไขมันในเส้นเลือด


    ที่มา : http://gotoknow.org/blog/jittra-1/113065
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เบต้ากลูแคน

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-3625205826117249";/* New-2012-N3K */google_ad_slot = "1144293848";google_ad_width = 468;google_ad_height = 60;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>
    [​IMG]ประโยชน์ของ

    เบต้ากลูแคน

    เบต้ากลูแคนนั้นเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคโดยมีหลักการทำงานโดยการไปค่อยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ macrohage ซึ่งปกติแล้วเซลล์ macrophage มักอยู่ในสภาวะสงบจนกว่า ร่างกายของเราจะตรวจพบสิ่งแปลกปลอกจากภายนอก เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ฯลฯ โดยปกติแล้วเบต้ากลูแคนสามารถพบได้ใน ยีสต์ ข้าวโอ๊ต บาร์เลย์ ว่านหางจระเข้และเห็ดบางชนิด ปัจจบันตัวเบต้ากลูแคนมักถูกนำมาเป็นส่วนผสมของอาหารเสริม


    ประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

    1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของเซลล์ macrophage
    2. ควบคุมการหลั่ง cytokines เช่น interleukins เพื่อกระตุ้นการสื่อสารระหว่างเซลล์ต่างๆในระบบภูมิคุ้มกัน
    3. กระตุ้นการหลั่ง colony-stimulating factors เพื่อเพิ่มปริมาณการสร้างและการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาว เช่น neutrophils และ eosinophils จากไขกระดูก
    4. สามารถช่วยในการรักษาโรคมะเร็งได้
    [​IMG]


    นอกจากนั้นแล้วตัว เบต้ากลูแคน ยังมีการนำไปใช้ในเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางจำพวกครีมกันแดดได้อีกด้วย โดยเชื่อว่าเบต้ากลูแคนที่ใส่ในครีมกันแดดสามารถกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น โดยจะไปเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง collagen ของเซลล์ผิวหนัง ลดการเกิดอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Langerhans ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่นำเสนอสิ่งแปลกปลอมให้ แก่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันคล้ายๆกับเซลล์ macrophage โดยกระบวนการเหล่านี้จะมีผลทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ลดริ้วรอย และชะลอความแก่ของเซลล์ผิวหนังให้ช้าลง


    ข้อมูลจากวิชาการ.คอม</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    นอนไม่หลับ และโทษภัยต่อร่างกาย

    เรื่องของการนอนนั้น ก็สำคัญยิ่งนัก อ่านเจออีกเหมือนเดิม อดไม่ได้เลยเอามาฝากค่ะ
    เผื่อจะมีประโยชน์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ;D ;D

    เมื่อนอนไม่หลับ

    การนอนสำคัญไฉน…
    ร่างกายคนเราเป็นเสมือนเครื่องจักรที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง การนอนเหมือนกับให้
    เครื่องจักรได้หยุดพัก ร่างกายจะอาศัยช่วงเวลานอนหลับซ่อมแซมและพักฟื้นตนเอง ปรับปรุง
    ระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ เสริมสร้างความจำของสมองและขับของเสีย พร้อมทั้ง
    สะสมพลังงานเพื่อใช้ในวันรุ่งขึ้น การนอนจัดเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ของชีวิต คนเราจึงต้อง
    ใช้เวลา 1 ใน 3 ของชีวิตในการนอน
    การนอนหลับอย่างเพียงพอทั้งด้านระยะเวลาและคุณภาพการนอนหลับ(หลับลึก) จะ
    เป็นหลักประกันสำคัญต่อการมีสุขภาพกายและใจที่ดี อีกทั้งยังเป็นด่านแรกของการป้องกัน
    โรคภัยไข้เจ็บด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงที่นอนหลับ ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนสำคัญหลาย
    ชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone, GH) มากกว่าช่วงที่ไม่
    นอนถึง 3 เท่า ซึ่งมีผลสำคัญต่อการเจริญเติบโตและกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย
    นอกจากนี้ การนอนหลับในแต่ละช่วงเวลามีความสำคัญต่างกันต่อสุขภาพ อาทิ:
    การนอนหลับในช่วง 3 ทุ่ม ~ 5 ทุ่ม จะช่วยให้ระบบน้ำเหลืองขับของเสียได้ดีขึ้น
    พร้อมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
    การนอนหลับสนิทในช่วง 5 ทุ่ม ~ ตี 1 จะช่วยให้ตับขับของเสียได้อย่างมี
    ประสิทธิภาพ กระตุ้นให้เซลล์ผิวซ่อมแซมตัวเองและมีการผลัดเซลล์ใหม่ซึ่งจะเร็ววกว่าปกติ
    ถึง 8 เท่า
    การนอนหลับในช่วงเที่ยงคืน ~ ตี 4 จะกระตุ้นให้ไขสันหลังสร้างเม็ดเลือดแดงอย่าง
    มีประสิทธิภาพ
    การนอนหลับในช่วงตี 1~ ตี 3 จะกระตุ้นให้ถุงน้ำดีขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การหลับสนิทในช่วงตี 3 ~ ตี 5 จะส่งเสริมให้ปอดขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ฉะนั้น การนอนไม่หลับเป็นประจำหรือคุณภาพการนอนหลับไม่ดีเท่าที่ควรจะส่งผล
    กระทบต่อทุกๆ ระบบของร่างกาย ทำให้เแก่ก่อนวัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อหลายๆ โรค เช่น
    ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า เป็นต้น

    อย่างไรจึงเรียกว่านอนไม่หลับ…
    คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่านอนไม่หลับหมายถึงตาค้าง กระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน
    แต่จริงๆ แล้วนอนไม่หลับเป็นภาวะที่นอนไม่พอและยังหมายรวมถึงอาการดังนี้:
    หลับยาก: ใช้เวลามากกกว่า 30 นาทียังไม่หลับ
    หลับไม่ลึก: ระยะเวลาการนอนหลับลดลง
    ตื่นบ่อย: ตอนกลางคืนตื่นเกินกว่า 2 ครั้ง และหลับต่อค่อนข้างยาก
    ตื่นเช้าเกิน: เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สดชื่น
    ฝันบ่อย: รู้สึกตนเองฝันอยู่ทั้งคืน
    ตื่นง่าย: มีเสียงหรือแสงรบกวนเพียงนิดเดียวก็จะตื่น
    คุณภาพการนอนไม่ดี: เวลานอนเพียงพอ แต่ตื่นขึ้นมารู้สึกไม่สดชื่น
    อ่อนเพลียในวันรุ่งขึ้น: ง่วงเมื่อเวลาทำงาน รู้สึกมึนๆ งงๆ สมองไม่ปลอดโปร่ง
    อาการนอนไม่หลับอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในบางช่วงของชีวิต เช่น มีเรื่องเครียดๆ อาการ
    เจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เป็นต้น เมื่อสาเหตุกระตุ้นหมดไป
    อาการนอนไม่หลับมักจะหายไปเองได้ แต่ถ้ามีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการนอนไม่
    หลับชนิดเรื้อรัง ควรหาสาเหตุและรักษาอย่างจริงจัง

    รู้ได้อย่างไรว่านอนไม่พอ…
    ความต้องการในการนอนของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต
    และพันธุกรรม เมื่อระยะเวลาหรือคุณภาพของการนอนไม่สอดคล้องกับความต้องการของ
    ร่างกาย ร่างกายก็จะส่งสัญญาณหลายๆ อย่างถึงเรา อาทิ:
    รู้สึกอ่อนเพลียทั้งวันและงีบหลับในระหว่างวันบ่อยๆ
    เวลาทำงานมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ขาดสมาธิหรือมึนๆ งงๆ ไม่สามารถทำงานได้
    อย่างมีประสิทธิภาพ
    อารมณ์แกว่ง โกรธง่ายโดยไม่มีสาเหตุเพียงพอ
    หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
    บางคนอาจหลับขณะตื่นโดยไม่รู้ตัว

    การนอนชดเชยในวันหยุด...ชดเชยได้จริงหรือ
    การเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้คนเราต้องแบ่งเวลานอน
    ไปกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ ทำงานหรือการสังสรรค์ ทำให้คน
    ส่วนใหญ่ประสบปัญหานอนไม่พอและมักจะแก้ไขด้วยวิธีการนอนชดเชยในวันหยุด แต่หารู้ไม่
    การนอนชดเชยในลักษณะเช่นนี้ไม่อาจไปฟื้นฟูร่างกายจากผลกระทบของการนอนไม่พอที่
    สะสมเรื่อยมา อีกทั้งยังไปทำให้นาฬิการ่างกายเกิดความสับสน ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย
    ไม่สดชื่นในวันรุ่งขึ้น



    การใช้ยานอนหลับมีอันตรายอย่างไร...
    เมื่อเรานอนไม่หลับหนักๆ เข้า หลายๆ คนก็จะนึกถึงยานอนหลับ ถึงแม้ว่ายานี้จะเป็น
    ยาพื้นฐานในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม แต่ไม่ใช่ทางออก
    ที่ดีและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย ทั้งนี้ เนื่องจากยานอนหลับไม่ได้รักษาต้นเหตุของอาการอีกทั้ง
    ยังมีผลอันตรายหลายอย่างที่จะตามมา อาทิ:
    ดื้อยา: การใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันระยะหนึ่งแล้ว ทำให้นอนหลับได้น้อย
    ลง จึงต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับสารพิษจากยา
    เสพติด: เมื่อใช้ยาติดต่อกันระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ
    ขึ้นอีก จนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวันเพื่อให้นอนหลับ
    ถอนยา: ถ้าไม่ได้รับประทานยาจะรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ เดินไป
    เดินมา เกิดอาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนแรก
    อารมณ์สับสน: อาจมีอาการก้าวร้าว ฉุนเฉียว เหม่อลอยหรือซึมเศร้าตามมา
    ความจำเสื่อม: ขาดสมาธิ มีปัญหาความจำเสื่อมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

    การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
    ในทัศนะการแพทย์จีน สภาพการนอนหลับขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาวะ
    หยิน-หยางภายในร่างกาย ความแกร่ง-พร่องของพลังชี่และเลือด ความสัมพันธ์ในการทำงาน
    ของอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย(หัวใจ ตับ ไต ม้าม) เป็นต้น อาการนอนไม่หลับจึงมีสาเหตุที่
    ต่างกัน ส่วนสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่:
    ไตกับหัวใจทำงานไม่สัมพันธ์กัน
    หยางหรือความร้อนในหัวใจจะต้องลงไปที่ไตและไตจะต้องส่งหยินหรือความเย็นขึ้นไป
    หล่อเลี้ยงหัวใจเพื่อไม่ให้หัวใจรุ่มร้อน เมื่อไตอ่อนแอลง จะไม่สามารถส่งความเย็นไปหล่อ
    เลี้ยงหัวใจได้อย่างเพียงพอ หัวใจก็จะรุ่มร้อนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ผู้ป่วย
    กลุ่มนี้ยังมักจะมีอาการกระวนกระวาย อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    และปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย อาการนอนไม่หลับจากไตและหัวใจทำงานไม่สัมพันธ์กันมักจะบำบัด
    วิธีบำรุงไต

    เส้นลมปราณติดขัด
    ตับเป็นศูนย์บัญชาการระบายพลังชี่ให้กระจายไปสู่ทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่
    ทำให้ตับและอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น หากความสามารถในการระบายพลังชี่ของ
    ตับลดลง พลังชี่ก็จะถูกอั้นไว้ในตับ ทำให้เส้นลมปราณตับสะดุดและติดขัด นานๆ เข้าตับก็
    จะรุ่มร้อนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมักจะมีอาการขี้หงุดหงิด
    โกรธง่าย รู้สึกปวดหรือแน่นบริเวณชายโครง ท้องอืดท้องเฟ้อและเรอบ่อยร่วมด้วย อาการนอน
    ไม่หลับจากเส้นลมปราณตับติดขัดมักจะบำบัดด้วยวิธีการระบายพลังชี่ในตับให้กระจายไปสู่
    ทั่วทั้งร่างกาย

    ภาวะเลือดคั่ง
    เมื่อเลือดและพลังชี่ในร่างกายขาดความสมดุลก็จะเกิดภาวะเลือดคั่ง ทำให้เกิดความ
    ผิดปกติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนของเลือดภายในร่างกาย นอนไม่หลับจาก
    ภาวะเลือดคั่งมักจะเป็นชนิดเรื้อรัง และสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือ เส้นเลือดดำใต้ลิ้นของผู้ป่วย
    จะขอดใหญ่ขึ้นและเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วงคล้ำ มีเส้นเลือดฝอยแตกแขนงมากขึ้น หรือใต้ลิ้น
    มีตุ่มสีดำคล้ำๆ ทั้งนี้ เนื่องจากเลือดไหลเวียนช้าลงและมีความข้น ความหนืดมากเกินไป
    ทำให้เส้นเลือดโป่งพองและสีคล้ำลง อาการนอนไม่หลับจากภาวะเลือดคั่งมักจะบำบัดด้วย
    วิธีบำรุงเลือด บำรุงพลังชี่ เพื่อปรับความสมดุลของเลือดและพลังชี่ภายในร่างกาย
    อาการหลับยาก หลับไม่ลึก ตื่นบ่อย ตื่นง่าย ฝันบ่อยและอาการอื่นๆ ของนอนไม่หลับ
    จะค่อยๆ ทุเลาลงเหรืออาจหายไปในที่สุด ระยะเวลาการรักษาอาจไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้
    ขึ้นอยู่กับาอายุ ความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เรื้อรัง

    วิธีดูแลรักษาตนเอง...
    ควรนอนหลับและตื่นนอนอย่างเป็นเวลาไม่ว่าจะเป็นวันหยุดหรือวันทำงาน เพื่อให้
    นาฬิการ่างกายทำงานอย่างเป็นระเบียบ
    งดสารกระตุ้นหลังเที่ยงวัน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น พร้อมทั้ง
    งดสูบบุหรี่
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยผ่อนคลายความเครียดทางร่างกายและอารมณ์
    ทำให้นอนหลับดีขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายภายใน 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะ
    จะรบกวนการนอนหลับได้
    หลีกเลี่ยงการทำงานหรือดูทีวีบนที่นอน
    ห้องนอนที่สะอาด เงียบ มืดและมีอากาศถ่ายเทที่ดีจะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
    ตื่นนอนให้เป็นเวลาถึงแม้ว่าจะนอนหลับได้น้อยเพียงใดก็ตาม การตื่นนอนตรงเวลา
    จะทำให้ร่างกายปรับวงจรในการนอนให้เป็นปกติได้ ส่งผลให้คืนถัดไปหลับได้ง่ายขึ้น
    อย่าไปนอนชดเชยตอนกลางวันนานกว่า 30 นาที เพราะจะทำให้นอนไม่หลับใน
    ตอนกลางคืน
    ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรใช้ยานอนหลับ เพราะจะทำให้ติดและเมื่อหยุดยาจะทำให้
    นอนหลับยากขึ้นกว่าเดิม
    พยายามผ่อนคลายช่วง 1 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน

    หนังสือและเอกสารทางการแพทย์อ้างอิง
    The encyclopaedia of traditional Chinese medical science
    The Chinese meteria medica specified in pharmacopoeia of P.R. China

    จาก http://www.enwei.co.th/25a.html
    arunsaku:
    ช่วง 23.00-01.00 กับ 01.00-03.00 สลับอวัยวะกับสูตรของนาฬิกาชีวิต
    แต่ไม่เป็นไรเพราะยังไงก็หลับแล้วจ้า
    Ammy:
    ตำนานพื้นบ้านกล่าวว่า :-
    ข้าวฟ่าง เป็นยอดอาหาร ที่ช่วยให้หลับสนิท ... ตำราแพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า

    ข้าวฟ่างมีสรรพคุณ...ในการเสริมสร้างม้าม และบำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยให้หลับสบาย

    จากการพิสูจน์ของแพทย์แผนปัจจุบันพบว่า ในข้าวฟ่าง มี "ทิพโตฟาน" สูงมาก อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรท
    เมื่อทานข้าวฟ่างแล้ว จะรู้สึกอิ่มและอบอุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลิน มากขึ้น อันเป็นการกระตุ้นให้ทิพโตฟานไหลเข้าสู่ สมองมากขึ้นด้วย

    *** หากทานข้าวฟ่าง ก่อนนอน จะทำให้เรารุ้สึกง่วงนอน และอยากนอนทันที ข้าวฟ่างต้มนับเป็น อาหารบำบัดโรคนอนไม่หลับที่ประหยัดและถูกหลักอนามันที่สุด***

    นอกจากนี้ยังมี สุตรอาหารังต่อไปนี้ที่จะแนะนำ:-
    1. พุทราจีน 10 เม็ด ต้มเปื่อย เติมน้ำตาลทรายขาวทานก่อนนอน

    2.แปะฮะ 50 กรัม + น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ นำไปนึ่งจนสุก ทานก่อนนอน

    3.พุทราจีน 20 เม็ด+หอมหัวใหญ่ หรือ ต้นหอม 7 ต้น ต้มน้ำดื่มก่อนนอน

    *** ลองทำตามสูตรดู ได้ผลยังไงแจ้งด้วย ***
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">สูตรน้ำคั้นดื่มเพื่อสุขภาพและล้างพิษ </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG]
    สูตรน้ำคั้นล้างพิษนี้สามารถนำมาใช้กับการล้างพิษในขั้นตอนแรกของการล้างพิษต่างๆ ค่ะ ซึ่งนำมาจากหนังสือ "ล้างพิษ ฟื้นสุขภาพและพลังแห่งชีวิต" โดย เพเนโลป ซาช แปลโดย กานต์รวี ทองพูล ไปหาอ่านกันได้ตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ

    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=1 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=moduletable cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-3634627802322091";/* new_content */google_ad_slot = "1504313489";google_ad_width = 200;google_ad_height = 200;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD>1. สมูธธีผลไม้
        • มะม่วงปอกเปลือก 2 ผล
        • ลูกพีชปอกเปลือก 1 ผล
        • เนคทารีนปอกเปลือกและแคะเมล็ด 1 ผล
        • แอพริคอต 2 ผล
    </TD></TR></TBODY></TABLE>นำผลไม้ทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนียนเข้ากันอาจเติมโยเกิร์ตเพิ่มอีก 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำส้มคั้นหรือน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว
    2. ส้มและสับปะรดเคล็นเซอร์
        • ส้มปอกเปลือก 3 ผล
        • มะนาวปอกเปลือก ออก 1 ผล
        • สับปะรดปอกเปลือก 1/4 ผล
        • สะระแหน่สด 1 ก้าน
    นำผลไม้ทั้งหมดใส่เครื่องปั่นพร้อมใบสะระแหน่ ปั่นจนเข้ากันแล้วดื่มทันที
    3. แตงโมเคล็นเซอร์
        • แตงโมแคะเมล็ดสับหยาบๆ 2-3 เสี้ยวโตๆ
        • สะระแหน่สด 2 ก้าน
    ผสมแตงโมและใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้ น้ำที่ได้จะช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และทำให้เจริญอาหาร ห้ามดื่มหรือกินอาหารอื่นๆ 1 ชั่วโมงก่อนและหลังการดื่มน้ำแตงโมเคล็นเซอร์ เพื่อให้ร่างกายย่อยและดูดซึมอาหารได้ดี
    4. แอปเปิ้ลมินต์
        • แปเปิ้ลฝานเป้นชิ้นๆ 2-3 ผล
        • สะระแหน่สด 2 ก้าน
    ผสมแอปเปิ้ลและสะระแหน่ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้ เครื่องดื่มนี้เหมาะกับคนที่ระบบย่อยและดูดซึม อาหารทำงานไม่เต็มที่
    5. แอปเปิ้ลและแพร์ปั่น
        • แอปเปิ้ลฝานเป็นชิ้นๆ 2 ผล
        • ลูกแพร์ 2 ผล
        • องุ่น 1 พวงเล็ก
    ผสมผลไม้ทั้งหมดลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ดื่มเครื่องดื่มนี้สลับกับส้มและสับปะรดเคล็นเซอร์ สำหรับคนที่ล้างพิษน้ำตาล ให้ดื่มเพียง 2-3 ครั้งต่อวัน ในะระหว่างล้างพิษน้ำตาล ให้ดื่มซุปผักเพิ่มร้อนหรือเย็นก็ได้ เพื่อการล้างพิษที่ได้ผลดี
    6. กล้วย มะละกอ และเนคทารีนเคล็นเซอร์
        • เนคทารีนปอกเปลือกแคะเมล็ดออก 1 ผล
        • กล้วย 1 ผล
        • มะละกอสุกปอกเปลือก ขูดเมล็ดออก 1/4 ผล
    นำผลไม้ทั้งหมดใส่ลงในเครื่องคั้นน้ำผลไม้ แล้วเติมน้ำส้มหรือน้ำมะนาวคั้นลงไปครึ่งแก้ว เครื่องดื่มนี้เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกและสำหรับเด็กรับประทานเป็นอาหารว่าง
    7. โทนิคมะละกอต้านอนุมูลอิสระ
        • มะละกอปอกเปลือก ขูดเมล็ดออก 1/2 ผล
        • มะม่วงปอกเปลือก 1 ผล
        • มะนาวฝานเปลือกออก 1/4 ผล
        • น้ำมะนาวคั้น 1/2 ผล
    ปั่นส่วนผสมทั้งหมด เติมโยเกิร์ต ถ้สชอบ ผลไม้รสเปรี้ยวในสูตรนี้สามารถเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นที่ชอบได้ เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    อันตรายจาก."อุจจาระ ตกค้างในลำไส้" ( อย่ามองข้าม)

    [​IMG]
    ภาพประกอบจาก camiseto.es (น่ารักไปมั๊ย?)



    อุจจาระตกค้าง(กากสวะตกค้างในสภา- ขอซะหน่อย...)

    อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก(เหตุที่มีกากสวะสภาเนื่องมาจาก)
    1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด(ปฏิวัติรัฐประหารไม่เบ็ดเสร็จไม่กำจัดสวะออกไปให้หมด)
    2. กินอาหารที่มีกากใย น้อย(เกิดจากทำงานของรัฐบาลที่แล้วๆนู้น..ตามนโยบายของไอ้สู้แล้วหยุด อยากจะบอกตุ๊ดยังทำได้ดีกว่า พูดแล้วเซ็งจิต)
    3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
    (มีลิ่วล้อสมุนพวกซากเน่าเหลือทำงานอยู่ในระบบ ทำให้ระบบทำงานผิดปกติ)
    4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
    (กฏหมายอ่อน กระบวนการยุติธรรมทำงานช้า และมีคนคอยขัดแข้งขัดขาประจำ)
    5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า
    (ไม่Educateพวกประชาชนโดยเฉพาะรากหญ้า รากฝอย รากแขนง รากแก้ว รากกิ่ง รากแก่น (รวมๆก็ทุกรากนั่นแหละ) ให้ตระหนักถึงระบอบชั่วร้ายที่กัดกินประเทศมากว่าห้าปี)


    (พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ขี้เกียจแล้วน่ะครับ วันนี้ง่วง เอาเป็นว่าอ่านเอาความรู้เพื่อสุขภาพกันก่อนก็แล้วกันนะครับ หรือใครอยากแชร์ด้วยก็ดีครับ มุขตันเพราะดันง่วงมาก...)


    หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว


    อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้
    ก็เกาะติดแน่น ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะ และ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ


    คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ
    บางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็ นต้องสาเหตุว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่ม ก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ
    ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

    ** 1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน ** หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

    2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

    3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมาสำหรับผู้ที่สงสัยว่าระบบดูดซึมเสีย ให้ดูสูตร ชามะละกอ


    ข้อมูลทั้งหมดได้จากที่นี่ครับ www.pendulumthai.com

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#009900>
    สูตรอาหาร และ ธรรมชาติบำบัด
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2 height=245><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD width=24 height=18></TD><TD width=951></TD><TD width=26></TD></TR><TR><TD height=227></TD><TD vAlign=top>
    ล้างระบบดูดซึม

    1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
    คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย, นมสดให้แคลเซียม

    2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี ​
    2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี

    3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ

    4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)

    5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว

    ุุุ6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้ น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค


    กำจัดไวรัส

    1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ


    2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส



    แก้คัดจมูก ภูมิแพ้

    1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก

    2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก

    3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้

    4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน



    ล้างเชื้อรา

    1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
    2. ใบย่าน่าง คั้นน้ำ ทานน้ำ
    3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
    *ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา


    ถ่ายพยาธ

    1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ

    2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ

    3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน

    4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ

    5. Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม


    ล้างอุจจาระตกค้าง

    1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร


    2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า

    3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา

    4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน

    5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ


    รักษานิ่วในไต

    1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน


    2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน



    บำรุงไต

    1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น

    2. หน่อไม้ดอง

    3. เม็ดบัว

    4. ไขเยี่ยวม้า

    5. น้ำฟักทอง

    6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป



    บำรุงปอด

    1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น

    2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด

    3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น

    4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ



    บำรุงตับ

    1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน

    2. ถั่วเขียว บำรุงตับ

    3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ

    4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ



    บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

    1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู

    2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ

    3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ

    4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ



    บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ

    1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ

    2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ



    ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน

    1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ

    2. นมสด 1 แก้ว ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส ) ทานติดกัน 3-5 วัน แล้วแต่อาการ



    ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก

    1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้

    2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง

    3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ



    ริดสีดวงทวาร

    สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ


    ลดไขมันในเลือด

    1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน ต้ม ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ ไม่มีอันตราย สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
    * น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน


    2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด

    3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น

    4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ

    5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว



    ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม

    1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
    2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ

    3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ

    4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน


    ขยายหลอดเลือด

    1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด

    2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด



    ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน


    1. ใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย ต้ม ทานน้ำ

    2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน

    3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว

    4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด

    5. ใบมะรุม



    โรคปอดหรือหอบหืด

    ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน



    กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ

    1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร

    2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ

    3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ



    บำรุงม้าม

    1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม

    2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด

    3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี



    แก้ปวดข้อ

    1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น

    2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ

    3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้



    ปรับความดันให้สมดุลย์

    1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
    ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
    - บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
    - บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
    - ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
    - ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
    - แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
    - ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
    - บำรุง มดลูก
    - แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
    - อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
    - ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
    - แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
    *กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง


    เพิ่มเม็ดเลือด

    1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด

    2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน

    3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ

    4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง


    เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

    1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,

    2. มุกสกัด

    3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้

    4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,
    :

    สูตรอาหารอื่น ๆ

    ใบกระเพราตากแห้ง - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม
    ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง
    ใบโหระพา - กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง
    ใบโหระพาปั่นกับสับประรด - ช่วยสร้างเม็ดเลือด
    ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง - ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
    ใบเตย+แฮ่ม - ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน
    ใบยอ - นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
    ใบหูเสือ - กินช่วยขับพยาธิได้
    ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
    มันเทศ - ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
    แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ - เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ
    แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง - แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต
    ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ - ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และวิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด


    ลูกเกด :- แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง


    พริกหวานสีแดง ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน
    พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย
    พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    เห็ดสามอย่าง คือ เห็ด 3 ชนิด หรือ 3 ชนิดขึ้นไป เป็นเห็ดสดหรือเห็ดแห้งก็ได้ นำมาปรุงอาหารแล้วกินได้ทั้งเนื้อเห็ด และน้ำต้มเห็ด


    เห็ดสามอย่าง.....ล้างสารพิษในร่างกาย
    [​IMG]

    ประโยชน์ ของเห็ดสามอย่างเมื่อนำมารวมกัน ปรุงเป็นอาหารแล้ว สามารถล้างพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงตับ ลดอนุมูลอิสระที่จะเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้

    เห็ดชนิดเดียว ประโยชน์ยังไม่มากเท่ากับเห็ดสามอย่างมารวมกัน หรือ 3 อย่างขึ้นไป เห็ดที่นำมาใช้ คือ เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดเข็มทอง ล้างน้ำให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร

    โปรตีนในเห็ด 3 อย่าง เมื่อนำมารวมกันประกอบอาหารแล้วจะได้โปรตีนจากเห็ด ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโน ที่บำรุงสมอง ปรับนมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ แต่ถ้าคนที่เป็นมะเร็งแล้วกินได้ แต่อย่าคาดหวังอะไร ควรไปพบแพทย์ดีที่สุด

    น้ำต้มเห็ด 3 อย่าง ใช้ทำเป็นน้ำซุปปรุงอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรนำเห็ด 3 อย่างไปผัดน้ำมัน และกะทิ เพราะมีโคเลสเตอรอลฝ่ายดีมีประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างดียิ่ง




    โดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา คู่มือเพื่อสุขภาพดี ราศีแจ่มใส ล้างสารพิษในร่างกาย
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040




    [​IMG]


    นาฬิกาชีวิต คือ ต่อมเล็กๆในสมองของมนุษย์ จุดควบคุมจังหวะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและ
    กลางคืน ฮอร์โมนหลั่งออกมาจากต่อม เป็นศูนย์รวมบัญชาการเหล่านี้ คือเครื่องชี้นำที่เราท่านมีความสุขหรือเป็นทุกข์กังวล
    เป็นความจริงที่ควรรับทราบเพราะหากรู้ธรรมชาติตรงนี้ดีแล้ว จะได้แบ่งดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันของตนได้ เหมือนกับ
    มีนาฬิกาภายในร่างกายคอยชี้บอกให้ทราบว่าช่วงนี้ จังหวะร่างกายจะมีสภาพอย่างไร ศาสตร์ในเรื่องพฤติกรรมตรงนี้
    นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าโครโนไบโอโลยี ถ้าหากเรารู้จังหวะ รู้จักระมัดระวังชีวิต ก็จะอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ไม่ยาก

    06.00 น. ต้องยอมรับว่า หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด

    07.00 น. เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ จะถูก
    เปลี่ยนเป็น พลังงานได้อย่างสมบูรณ์

    08.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุด เพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตันจนเกิด
    อันตรายได้มากกว่าช่วงเวลาอื่น

    09.00 น. สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำ สมองจะรับและบันทึกไว้ได้ดีที่สุด

    10.00 น. ถ้าเป็นไปได้ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญากับวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลและการพูดจาระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็น
    จุดเด่นในช่วงนี้

    11.00 น. ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้ไม่ว่าจะ
    เป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด

    12.00 น. จุดหักมาถึงแล้ว สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้

    13.00 น. กระเพาะอาหารเตรียมทำงานของมันด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรรับประทานให้ได้ ไม่งั้นโรคกระเพาะอาหาร
    จะตะโกนถามหา

    14.00 น. ถ้าหากด้องการประดิดประดอยอะไรเพื่อเซอไพรส์คนรักคนชอบละก็ให้รีบทำซะตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่มือไม้ทำงานได้
    ประณีตดีที่สุด

    15.00 น. พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาสเข้าพบเจ้านายเพื่อ
    ขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดใด

    16.00 น. มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้แหละ ถ้าทำได้ยาชาเข็มนึงจะมีผล
    พอๆ กับการได้รับ 3 เข็ม เลยทีเดียว

    17.00 น. แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาออกกำลังกายกล้ามเนื้อ
    อยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก

    18.00 น. จงระวังขณะขับรถอยู่บนถนน ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิด
    อุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด

    19.00 น. สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมากเพียงพอ เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงนี้ จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดีได้เร็วมาก

    20.00 น. คนเราเริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อนที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน แล้วเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะหมู่มิตร ใครที่อยากจะ
    บอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำใน ชั่วโมงนี้โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด

    21.00 น. กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปครั่งค้าง
    ในกระเพาะเกิดผลเสียหายตามมา

    22.00 น. ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆ กับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืน
    เป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น

    23.00 น. ร่างกายกำลังผ่อนคลาย สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือ ช่วงนี้วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่

    24.00 น. ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่
    วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด

    01.00 น. ถึงตอนที่สมองเหนื่อยล้าที่สุดแล้ว ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปีแต่พอเข้า
    ชั่วโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด

    02.00 น. ฮอร์โมนเมลาโตนิน ถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้าและมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายมากที่สุด

    03.00 น. ในร่างกายมนุษย์ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่ง ใครที่จุดบุหรี่สูบมีโอกาสหลับทั้งๆ ที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปากนั่นเลย
    ช่วงนี้มีโอกาสไฟไหม้บ้านมาก

    04.00 น. ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบ
    จะมีปัญหากับการหายใจ

    05.00 น. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลายควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่วโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารกจะคลอด
    ออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 27934777.jpg
      27934777.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.1 KB
      เปิดดู:
      345
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ขาโต๊ะสนุก..............

    <HR>
    [​IMG]








    เรียวขาของผู้หญิง เป็นอีกส่วนของร่างกายที่สาวๆ อยากดูแลให้แลดูฟิตแอน์เฟิร์ม เพื่อความมั่นใจเวลาสวมมินิสเกิร์ต กางเกงขาสั้น หรือยีนส์รัดรูป แต่ถ้าการแต่งตัวโชว์เรียวขา กลับถูกทักว่า ดูไม่สวย เพราะขาใหญ่เหมือนโต๊ะสนุก อาจสร้างข้อจำกัดในการแต่งตัวบางสไตล์ไปได้
    เดลินิวส์ออนไลน์ มีเคล็ดลับในการดูแลเรียวขาให้สมส่วนสวยงาม เพียงลดเลี่ยงการกินอาหารรสจัดจ้าน โดยเฉพาะรสเผ็ด เปรี้ยว และหวาน เนื่องจาก 3 รสจัดจ้านดังกล่าว จะช่วยกันกลบรสเค็ม ทำให้ความเค็มจากโซเดียมซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำในเนื้อเยื่อไหลลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งก็คือที่ขา เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สาวๆ ขาใหญ่ไม่รู้ตัว
    นอกจากห้ามใจไม่เน้นอาหารรสจัดๆ แล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานผักและผลไม้มากๆ รวมทั้งหาโอกาสไปนวดกดจุด เพื่อนวดเอาน้ำที่บวมคั่งในกล้ามเนื้อช่วงขาให้ระบายไปทางระบบน้ำเหลือง โดยร่างกายขับออกไปกับปัสสาวะ เพียงเท่านี้ เรียวขาก็จะดูดี ใส่อะไรก็สวย
    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    takecareDD@gmail.com
    ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ขึ้นบันได ออกกำลังกายไม่ต้องรอว่าง

    [​IMG]


    ยาอายุวัฒนะที่ดีที่สุด และช่วยป้องกันได้ทุกโรคภัยไข้เจ็บนั่นก็คือ การออกกำลังกาย ที่จะต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
    ผู้เขียนเชื่อว่า หลังจากคนทำงาน-มนุษย์เงินเดือน ได้อ่านย่อหน้าข้างต้น คงนึกขึ้นในใจทำนองว่า...จำทำได้อย่างไร เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการเดินทาง การทำงาน การพักผ่อน
    ดังนั้น มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย ควานหาวิธีออกกำลังกายที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนวัยทำงาน โดยสัปดาห์นี้ขอแนะนำ การออกกำลังกายด้วยการขึ้นบันได แต่จะขึ้นอย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุดล่ะ?...
    ก็เพียงแค่ยืนตรง แขม่วท้องหรือพุง อย่าเกร็งช่วงไหล่ ให้ปล่อยผ่อนตามสบาย จากนั้นจึงก้าวเท้าขึ้นบันไดทีละสองขั้น ทุกก้าวย่างควรวางเท้าแนวพื้นขั้นบันไดให้เต็มเท้า
    ขณะก้าวเท้าขวาขึ้นบันได ให้กดน้ำหนักลงที่เท้าขวา ยืดตัวขึ้นจนรู้สึกเกร็งช่วงสะโพกและต้นขา ส่วนเท้าซ้ายก้าวขึ้นบันไดอีกสองขั้นถัดไป ปฏิบัติตามสเต๊ปดังกล่าวจนครบ 1 นาที พอให้รู้สึกเหนื่อยจากการออกแรง เสริมสร้างการทำงานของระบบสูบฉีดโลหิต
    แต่ก็ยังมีข้อควรระวัง หากขั้นบันไดค่อนข้างสูงชันก็ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ หรือถ้าคุ้นเคยกับการขึ้น-ลง ก็ควรเพิ่มความระมัดระวัง
    นอกจากช่วยเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย การขึ้นบันได 1 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้ 18 แคลอรี ดีกว่าเดินไปขึ้นลิฟต์ที่เผาผลาญพลังงานออกไปเพียง 2 แคลอรีเท่านั้น
    takecareDD@gmail.com
    ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]


    ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผอมลงได้
    จะต้องควบคุมปริมาณอาหารด้วย (รับพลังงานต่ำกว่า 400 แคลอรี่ต่อวัน่จะทำให้การลดน้ำหนักและการคุมนน.ง่ายขึ้น)


    การออกกำลังกายควรมีระยะเวลาตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กันยายน 2012
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>นาฬิกาชีวิต

    </CENTER>

    <META name=ProgId content=Word.Document><META name=Generator content="Microsoft Word 12"><META name=Originator content="Microsoft Word 12"><LINK rel=File-List href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml"><LINK rel=themeData href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx"><LINK rel=colorSchemeMapping href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml"><STYLE>@font-face { font-family: &quot;}@font-face { font-family: &quot;}@font-face { font-family: Calibri;}@page Section1 {margin: 72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}LI.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}DIV.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}.MsoChpDefault { FONT-SIZE: 10pt; mso-bidi-font-size: 10.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot; mso-style-type: export-only; mso-default-props: yes; mso-ansi-font-size: 10.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE><META name=ProgId content=Word.Document><META name=Generator content="Microsoft Word 12"><META name=Originator content="Microsoft Word 12"><LINK rel=File-List href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_filelist.xml"><LINK rel=themeData href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_themedata.thmx"><LINK rel=colorSchemeMapping href="file:///C:\DOCUME~1\PAI\Local%20Settings\Temp\msohtmlclip1\01\clip_colorschememapping.xml"><STYLE>@font-face { font-family: &quot;}@font-face { font-family: &quot;}@font-face { font-family: Calibri;}@page Section1 {margin: 72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; size: 612.0pt 792.0pt; mso-header-margin: 36.0pt; mso-footer-margin: 36.0pt; mso-paper-source: 0; }P.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}LI.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}DIV.MsoNormal { LINE-HEIGHT: 115%; MARGIN: 0cm 0cm 10pt; FONT-FAMILY: &quot; FONT-SIZE: 11pt; mso-style-unhide: no; mso-style-qformat: yes; mso-style-parent: &quot; mso-pagination: widow-orphan; mso-bidi-font-size: 14.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot}.MsoChpDefault { FONT-SIZE: 10pt; mso-bidi-font-size: 10.0pt; mso-fareast-font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: &quot; mso-style-type: export-only; mso-default-props: yes; mso-ansi-font-size: 10.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>พึ่งเคลียร์งานที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าจบ เหนื่อยเหลือเกิน
    กินและนอน ไม่เป็นเวลา ซึ่งผู้เขียนคิดว่า หลายๆท่านก็คงเป็นเช่นเดียว
    กับผู้เขียน พอมีงานเยอะๆมักจะลืมนึกถึงสุขภาพของตัวเอง
    กินและนอนไม่เป็นเวลา ไม่มีเวลาพักผ่อน ส่วนใหญ่เรามักจะมีพฤติกรรม
    ในชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เราเจ็บป่วยได้ง่าย
    จึงทำให้ผู้เขียน นึกถึงเรื่องหนึ่ง ตอนไปปฏิบัติธรรมขึ้นมาได้
    ช่วงเช้าขณะออกกำลังกาย อ. จะสอนเรื่อง “ นาฬิกาชีวิต





    ซึ่งหลังจากกลับจากปฏิบัติธรรมผู้เขียนเกิดความสนใจและมีโอกาส
    ได้ซื้อหนังสือมาอ่านและเมื่อเข้าไปทักทายน้องกรู (google)
    ก็มีเนื้อหาอีกเพียบ...
    [​IMG][​IMG]<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    นาฬิกาชีวิต” เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว คิดถึงอะไรกันค่ะ
    นาฬิกาชีวิต ก็คือ ใน 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ภายในร่างกายของเรามี
    การไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย
    อวัยวะตัน และ อวัยวะกลวง
    <!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
    <!--[endif]--><O:p></O:p>
    อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
    อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพราะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่
    ลำไส้เล็ก กระเพราะปัสสาวะ ระบบความร้อน
    ของร่างกาย (ชานเจียว)<O:p></O:p>

    01.00 น. – 03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับ
    พักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงนี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน
    (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย และยังหลังสาร
    เอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้
    ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว ขณะเดียวกันถ้าเรายังไม่หลับยังทำงานอยู่
    ร่างกายจะสูญเสียพลังงานส่วนที่สะสมไว้ไป ตับจะอ่อนแอลง การสะสม
    พลังงานสำรองลดลง การผลิตน้ำดีลดลง และจะส่งผลกระทบถึงการทำงาน
    ของตับอ่อน ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนอินซูลินลดลงด้วย
    ผลที่ตามมาก็คือ โรคภัยไข้เจ็บ
    หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย
    ส่วนหน้าที่รอง คือ 1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมี
    ปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
    2. ช่วยกระเพราะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงาน
    หนักตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษ

    03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์
    และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น<O:p></O:p>
    05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระ ทำให้เป็น
    นิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้
    ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว <O:p></O:p>
    07.00 – 09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน
    ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะ
    อาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า
    หน้าแก่เร็วกว่าวัย<O:p></O:p>
    09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้าจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุม
    เม็ดเลือด สร้างเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยๆ มักมา
    จากความผิดปกติของม้าม คนที่มักนอนในช่วงเวลา 09.00 – 11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ
    นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะขึ้น จึงควรพูดน้อย
    กินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง<O:p></O:p>
    11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยง
    ความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรือ
    อาการตกใจให้ได้<O:p></O:p>
    13.00 -15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิด
    โอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี
    โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ <O:p></O:p>
    15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก
    อาจจะออกกำลังกาย หรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมี
    โซเดียมปนออกมามากไตจะวาย <O:p></O:p>
    17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้
    ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่า
    อาการหนักมาก<O:p></O:p>
    19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
    ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นต้องระวังเรื่อง
    ตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มใจให้แข็งแรง<O:p></O:p>
    21.00 – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้
    เพราะจะทำให้ เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปนั่งตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ<O:p></O:p>
    23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาถุงน้ำดี อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี
    ทำให้ถึงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ
    ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม

    เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะสำหรับร่างกายของเรา
    ทุกเวลานั้นคือการเดินทางของอวัยวะในร่างกายของเราจริงๆ
    ดังนั้น เราควรที่จะดูแลตัวเองดีดี เพื่อที่จะได้มีแรง กำลัง ในการทำงานกัน


    เครดิต

    นาฬิกาชีวิต จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    <EMBED height=360 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/8XHHooab93U?version=3&autoplay=1&hl=th_TH&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">


    ......................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...