7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่1)

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 3 กรกฎาคม 2008.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาวพลังจิต วันนี้จะเกาะ คุณณัฐภณ ไปเที่ยว อลาสก้ากันค่ะ
    เบื่อสันโดษ มากมาย หายหน้าไปไหนก็ไม่รู้ เราไปเที่ยวกันดีกว่า ปล่อยให้สันโดษ
    อยู่ที่บ้านพลังจิตไปก่อน อิอิ ไม่แน่ นะคะ อาจได้ไปเจอสันโดษ ที่ภูเขาน้ำแข็ง ขั้วโลก
    นอนเล่น อยู่กะหมีขาว ก็อาจเป็นได้ เพราะสันโดษ ชอบหนีเที่ยวคนเดว ค่ะ
    ปล่อยให้เพื่อน ตามหาอยู่นั้น แบบว่าเธอเป็นนางเอกอะค่ะ เลยต้องตามใจเค้าหน่อย สุดสุด
    ปะ เราออกเดินทางกันดีกว่า เด๋วเพื่อนใหม่รอ แล้วเกิด เซ็งเป็ด ขึ้นมา จะไม่งามเนาะ อิอิอิ...

    [​IMG] พวกป๋ม ขอตามไปด้วย หมดนี่เรยนะ ....


    7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ

    ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ

    คำกล่าวที่ว่า “Alaska is the last frontier of the world” ก็คงไม่ผิดความจริงมากหรอกครับ จากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกปัจจุบันในทุกๆที่กำลังถูกคุกคามจากหลายด้าน ซึ่งสาเหตุหลักคงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็คือ มนุษย์เรา หรือให้ชัดๆ ก็คือ พวกเราเองนี่แหละครับ ไม่ว่าจะโดยทางๆใดก็ทางหนึ่ง แล้วจะมีที่ไหนกันที่รอดพ้นจากความเจริญ และการรุกล้ำของมนุษย์ หากไม่ใช่สถานที่ที่มีความกันดารสุดขีดทั้งจากสภาพพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และสภาพอากาศที่เย็นสุดขั้วหัวใจอย่าง “อะลาสก้า”[​IMG]


    แนะนำผู้เขียน : ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท ) และผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันนี้ “ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้คนไทยออกมาเที่ยวต่างประเทศ จนขาดดุลเงินตราในประเทศ ” ผมยังยืนยันสนับสนุนคนไทยว่า “เที่ยวที่ไหน ไม่สุขใจเท่าบ้านเราครับ ” เพราะไม่มีชาติไหนให้บริการได้ดีเท่าคนไทย (อันนี้มั่นใจ 100 % ครับ) เพียงแต่ผมบริหารธุรกิจส่วนตัวของครอบครัว “เมืองผจญภัยผางาม” จึงมีความจำเป็นที่จะต้องค้นหาประสบการณ์ผจญภัยจากทั่วโลก เพื่อนำมาประยุกต์สร้างกิจกรรมผจญภัยใหม่ๆ ในเมืองไทย ครับ [​IMG]


    การเดินทางของผม เริ่มต้นขึ้น จากการร่วมเดินทางในเรือสำราญที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือที่มีขนาดใหญ่ลำล่าสุด นั่นคือ SAPPHIRE PRINCESS ด้วยขนาดของลำเรือที่มีระวาง 100,900 ตัน และสูงเท่ากับตึก 16 ชั้น จุผู้โดยสารได้ 2600 กว่าคน มีความรู้สึกเหมือนกับอยู่บนอาคารสูงขนาดยักษ์เคลื่อนตัวอยู่กลางทะเล ที่เพียบพร้อมไปด้วยสุดยอดความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหารระดับหรูถึง 5 ภัตตาคาร (บางภัตตาคารเปิดให้รับประทานอาหารได้เต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ), โรงละครขนาดยักษ์ที่จัดเตรียมการแสดงระดับ Boardway ทุกคืน , Fitness, Spa, Casino และอื่นๆ กัน ทำให้ผมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง ซึ่งเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบเรียบง่าย สบายๆ ว่า ในความศิวิไลซ์สุดโต่ง กับการไปท่องเที่ยวในแหล่งพรมแดนธรรมชาติสุดท้าย อย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้หรือเปล่า อะไรคือสิ่งที่คนเราต้องการในชีวิตของเรามากกว่ากัน[​IMG]

    คำตอบของผมอยู่ในระหว่างการเดินทางนั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละวันเลยละกันครับ

    ในการเดินทางครั้งนี้ของผมนั้น ร่วมเดินทางไปกับคุณแม่ครับ โดยผมรับหน้าที่หลักในการจัดการการเดินทางให้ราบรื่นตลอดทั้งทริป ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หรือตกหล่น (เพราะขึ้นเรือไม่ทัน ) โดยเด็ดขาด ซึ่งการเดินทางในวันแรกนั้น ยังคงวุ่นวายอย่างมากกับการเช็คผ่านศุลกากรก่อนขึ้นเรือ ซึ่งเป็นโชคดีของเราคนเอเชีย ที่ไม่ต้องต่อคิวมากครับ เพราะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมากเท่ากับคนในประเทศของเขา (อเมริกา) ซึ่งการท่องเที่ยวแบบล่องเรือสำราญ (Cruise)นั้น เป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ( 60 ขึ้นไปครับ ) ตามแนวคิดที่ชาวอเมริกันมักจะทุ่มเททำงานหนักในวัยทำงาน เพื่อพักผ่อนในยามเกษียน แต่สำหรับผม การเดินทางทุกครั้ง เป็นเหมือนกับการเรียนรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้ ทำให้พบผู้คนและประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ที่อาจจะหาไม่ได้อีกในชีวิต จึงต้องตักตวงให้มาก และต้องในตอนที่ยังมีพละกำลังอยู่ด้วย ( 60 คงไม่ไหวครับ แฮะๆ )
    พอขึ้นเรือมาอย่างฉิวเฉียดเวลา เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็รีบขึ้นมาที่หัวเรือเพื่อชมบรรยากาศตอนช่วงเรือออกครับ มันเหมือนตึกหมุนไปช้าๆบนกลางทะเลจริงๆ และแล้วการผจญภัยของผม (และคุณแม่) ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ ที่น่าตื่นเต้นมากๆ ก็เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดการการเดินทางเองด้วยภาษาอังกฤษที่ถึงแม้พอจะมีทักษะอยู่บ้าง แต่ในระดับที่สามารถสื่อสารให้ได้เนื้อหา เต็มร้อย ก็ยังต้องอาศัยการปรับตัวพอสมควรครับ และยังรวมถึงความโครงเครงของเรือในวันแรกเมื่อออกสู่กลางทะเลที่ห่างฝั่ง ประกอบกับอยู่บนชั้นเรือที่สูงและอยู่ใกล้หัวเรือ (เพราะจองเรือได้เป็นห้องสุดท้ายในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี) ทำให้มีอาการเมาเรือตลอดคืนอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้วันแรกของเราผ่านไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตอนกลางคืนมีนัดรวมที่โรงหนังเพื่อบรรยายการใช้ชูชีพ และข้อห้ามต่างๆบนเรือ เช่น การห้ามโยนบุหรี่ออกนอกตัวเรือ (ลมจะพัดย้อนเข้าหาตัวเรือ ซึ่งทำให้เกิดอัคคีภัยได้ ) โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยสอนการใช้อุปกรณ์ และควบคุมการ Flow การเดินออกเหมือนเป็นการฝึกทางหนีไฟไปในตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมากครับ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ในวันที่สอง เป็นวันเดินทางตลอดทั้งวันครับ ไม่มีขึ้นฝั่งเลย จึงมีกิจกรรมอัดแน่นตลอดทั้งวัน ทั้งลำเรือ มีเครื่องมือพิเศษในมือผมเพียงชิ้นเดียว ที่เรียกว่า “Princess Platter” หรือ วารสารของทางเรือ ซึ่งจะส่งมาวันต่อวัน และบอกสถานที่และเวลา รวมถึงประเภทของกิจกรรม ไล่เลียงมาตั้งแต่ เรียนทำอาหาร / เพ้นท์เซรามิค / เรียน Line Dance / ฉายหนังสารคดี / ฟังบรรยายสถานที่เที่ยวที่เราจะไป / ฝึกโยคะ / ฟังเลคเชอร์เรื่องสัตว์ป่า ดูแกะสลักน้ำแข็ง / เรียนถ่ายภาพ / ฯลฯ เรียกว่า วันเดียวคงร่วมกิจกรรมไม่หมด ก็เลือกตามความชอบและความถนัด บางกิจกรรมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยครับ ในวันนี้ ยังเป็นวันที่บังคับให้เราต้องมาในชุดสูทและชุดราตรีตอนกลางคืน เพื่อมาร่วมงานรับประทานอาหารค่ำอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วยครับ

    โดยจะมีการเสริฟอาหารสี่อย่างตั้งแต่ Appetizer (รองท้อง) จานกลาง สลัด อองเทร์ (จานหลัก) ตบท้ายด้วยของหวาน ต้องแต่งตัวผูกไท ใส่สูทเต็มยศ และนั่งรออาหารออกมาทีละอย่างหลังจากเลือกสั่งในช่วงแรกแล้ว อาหารรสชาติดีสุดยอดครับ บางมื้อมี Lobster ด้วย แต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะออกครบทุกเมนู ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าชอบความสะดวกสบาย การรับประทานแบบบุฟเฟต์ 24 ชั่วโมงในเรือ แบบไม่ต้องมีการนัดหมายเวลา น่าจะสะดวกกว่าครับ

    การผจญภัยจริงๆ จึงเริ่มในวันที่สามครับ ผมเริ่มรู้สึกเริ่มชอบล่องเรือในทริปไปอลาสก้า ครั้งนี้แล้วล่ะครับ ข้อดีของการท่องเที่ยวแบบเรือสำราญ หรือ Cruise ก็คือ ประหยัดเวลาในการเก็บสัมภาระเข้าๆออกๆ หรือย้ายโรงแรมในแต่ละเมืองไปมาก ( เพราะนอนในเรืออย่างเดียวตลอด 7 วันเลยครับ ) ทำให้เรามีเวลาสนุกสนานกับท่องเที่ยวของเราได้เต็มที่ ตื่นเช้ามาก็ถึงเมืองท่องเที่ยวพอดี โดยเรือจะจอดในแต่ละเมืองท่าทุกเช้าไม่ซ้ำกัน และพอจอดปุ๊บก็ต้องรีบไปหาทัวร์ที่เราจะไปติดต่อด้วยตัวเองให้ทันเวลา ท่องเที่ยวผจญภัยให้สมอยาก และกลับมาขึ้นเรือให้ทัน จึงจะออกเดินทางเพื่อไปโผล่ที่เมืองท่าต่อไปในเช้า/สายของวันถัดมาครับ ซื้อโปรแกรมท่องเที่ยวเยอะก็ต้องทำเวลากันหน่อย รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ถ้าตั้งใจไปหาประสบการณ์ ผมก็ว่าคุ้มครับ

    [​IMG]ในวันที่สาม เรือของเราได้จอดที่เมืองท่า KETCHIKEN (เก็ท-ชิ-เก้น) เป็นเมืองท่าในอดีตครับ ได้แวะ Creek Street ซึ่งถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงาม เพราะเป็นเมืองที่สร้างติดกับหน้าผาริมแม่น้ำ (จึงเป็นที่มาของชื่อครับ) สินค้าของอลาสก้า จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นสินค้า Hand Made โดยคนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาเอสกิโม / กระดูกปลาวาฬแกะสลัก หรือ อัญมณีเครื่องเงิน ซึ่งมีอยู่มากในเมืองนี้ครับ และสินค้าในแต่ละเมืองจะไม่ค่อยเหมือนกันด้วยครับ แต่ต้องยอมรับว่า สินค้าราคาสูงมากๆ เพราะอลาสก้า สามารถรับนักท่องเที่ยว ได้เป็นฤดูกาลเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น (ในช่วงที่หนาวจัดจะไม่เหมาะต่อการท่องเที่ยว ) ดังนั้นราคาจึงต้องคุ้มค่าพอที่เขาอยู่รอดได้ตลอดปี
    ตอนบ่ายต้องไปตะลุยทัวร์ด่านเชือกคนเดียว ในโปรแกรม Rope & Zip Line บอกได้เลยว่าเสียวสุดยอด เห็นไม่สูงมาก และขนาดผมซึ่งคุ้นเคยกับความสูงก็ต้องบอกเลยว่าไม่ง่ายและเสียวจริงๆ ตอนเล่นอยู่ตกใจมากครับเพราะมีเสียงโหวกเหวกโวยวาย สาเหตุมาจากมีฝูงอินทรีหกตัว ตีปีกลงพักเกาะเหนือหัวเราถึงหกตัว ตัวใหญ่ครับ ทำให้เราได้ใกล้ชิดสัตว์ป่าและสัมผัสความเป็นธรรมชาติของป่าอลาสก้าจริงๆ ครับ
    [​IMG] [​IMG]

    การบริหารเวลาเรื่องทัวร์ที่นี่เนี่ยดีมากๆ มีการรับและส่งต่อจากหัวเรือ ถึงสถานที่เที่ยว ระหว่างทางคนรถพร้อม headphone บรรยายแบบชัดเจน ถึงรายละเอียดเมืองรอบข้างและสถานที่ที่จะไป (ใช้คุ้มมาก) ส่งต่ออย่างดีนัดเวลากันก่อนกลับ ซึ่งการขึ้นรถที่นี่ต้องบอกว่า เรามาก่อนของก่อนเวลานัดดีที่สุด เช่น รถออก 5.30 ในตั๋วจะเขียนว่าพบกัน 5.20 เราควรมาถึง 5.10 เพราะตอน 5.20 คนมาขึ้นรถกันเกือบครบ ขาดไปหนึ่งคน พอเช็คแล้ว 5.29 ยังไม่มา เขาก็ทิ้งเลยครับ เยี่ยมที่สุด บางวันมีคนมาสุดท้ายตอน 5.25 เขาก็สาปแช่งกันทั่วรถและจะพูดนินทากันว่า“ไปไหนนะ” บ้างก็“ทำไมเราต้องรอเขา” กับอีกคนก็ตะโกนบอก“ไปเถอะ” แต่พอคนสายสุดที่มา late ก่อนเวลานัดขึ้นมาถึง ก็ยังดีนะครับ ที่ทุกคนก็แค่พร้อมใจกันปรบมือต้อนรับอย่างสนั่นกึกก้อง ถ้าผมเป็นคนมาสายผมคงโดดน้ำตายเลยหล่ะ ดีนะครับ เห็นเชือดไก่ให้ลิงดูตั้งแต่วันแรก (มีแต่วันแรกเท่านั้นแหละที่ราบเรียบที่สุด วันอื่นๆนี่ผมเฉียดเกือบสายสุดทุกวัน เพราะมันออกจากศุลกากรในเรือลำบากจริงๆ การลงท่าทุกครั้งถือว่าออกจากชายแดนอเมริกาเข้าอลาสก้า/แคนาดา ตอนเข้าก็ต้องตรวจเอ็กซเรย์โลหะทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยเรื่องการก่อวินาศกรรมบนเรือ ดูคิวขึ้นเรือในภาพละกันนะครับ ฉะนั้นเราแทบต้องเตรียมตัวเมื่อเรือจอดก่อนทัวร์ออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมงทุกครั้ง ซึ่งก็มีข้อดี เพราะทำให้ผมเป็นคนตรงเวลาขึ้นเยอะเลย )

    [​IMG]ในวันที่สี่ตอนเช้าตรู่เลยครับ เราล่องเรือผ่านเส้นทางทะเลระหว่างช่องเขา ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดชมภูเขาน้ำแข็ง (Ice Burg) ก้อนมหึมามากมาย ซึ่งเป็น Hi- Light ของโปรแกรมเรือ Inside Passage ที่เราเลือกมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ ถ้าโชคดีเราจะได้เห็นจังหวะที่ภูเขาน้ำแข็งกำลังถล่มลงมาจากข้างหุบเขาด้วยเสียงดังสนั่นเมื่อกระทบกับผิวน้ำเหมือนระเบิดลูกใหญ่ ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ยากมากครับ บางครั้งอาจจะต้องไปรอกันเป็นหลายชั่วโมงครับ [​IMG]
    ซึ่งโชคร้ายที่ในช่วงที่ผมไปอากาศค่อนข้างอบอุ่น นอกจากจะไม่ค่อยมีภูเขาน้ำแข็งแล้ว บริเวณภูเขารอบก็ไม่มีธารน้ำแข็งให้เห็นอีกด้วย แต่ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ครับ เพราะอากาศ ณ เวลานั้น ก็ถือว่าสาหัสสากรรจ์อยู่มาก จริงอยู่ว่าอุณหภูมิไม่ต่ำมาก คือ ยังไม่ถึง 0 องศา แต่ด้วยความแรงลมจัดทำให้ผมมีความรู้สึกปวดหูและจมูกอย่างสุดขีด จึงสามารถออกมาบริเวณด้านนอกได้แค่ประมาณไม่เกิน 20 นาที
    [​IMG]แต่ที่โชคดีสุดๆหนึ่งในล้านก็คือ ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่คาดว่าในชีวิตนี้คงจะไม่ได้เจออีกแล้วก็คือ ในวินาทีที่กลับเข้ามานั่งพักทานกาแฟในบริเวณตัวเรือ และกำลังคิดถึงคนไทยและประเทศไทยอย่างมากๆ สิ่งที่ทำให้รำลึกถึงเมืองไทยมากที่สุดก็ลอยผ่านมาตรงหน้าผม จนผมอดไม่ได้ที่จะรีบเก็บภาพนี้มาฝากทุกๆคน ลองดูในภาพเองนะครับ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ในช่วงบ่ายของวันที่สี่ ผมได้แวะลงที่เมือง Juneua (จูโน่) เพื่อชมสิ่งมหัศจรรย์อยู่สองอย่างครับ (เนื่องจากโปรแกรมแน่นมาก เพราะจะต้องเที่ยว 2 ทัวร์ให้เสร็จในเวลา 4 ชั่วโมง ถ้ากลับมาไม่ทัน ก็อาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่สาม ก็คือ “จะกลับบ้านอย่างไรโดยไม่มีเรือ” ครับ )
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    สิ่งแรก คือ การขึ้นทัวร์เครื่องบินน้ำเพื่อไปชม “เกรเชอร์ - ธารน้ำแข็งล้านปี” (Glacier) ซึ่งอาศัยการก่อตัวจากหิมะที่อัดแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็ง ไหลผ่านกาลเวลาอย่างเชื่องช้าเป็นเวลานับล้านปี จนก่อเกิดธรรมชาติที่น่าชมและตื่นตาอย่างไม่รู้ลืมครับ การเดินทางเริ่มต้นจากนั่งรถไปรอที่ท่าเรือบินน้ำซึ่งมีเครื่องบินน้ำจำนวน 10 ลำ บินวนขึ้นวนลงสลับกันทุก 5 นาที เพื่อรับผู้โดยสารประมาณ 6 คนต่อลำเพื่อจะบินเลียดเมือง ลัดสู่หุบเขาธารน้ำแข็งล้านปีในเวลา 15 นาที รวมเวลาชมและไป-กลับ ประมาณ 45 นาทีครับ ระหว่างการบินจะมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษ ถึงธรรมชาติการเกิดธารน้ำแข็ง และ วัฒนธรรมรวมถึงผู้คนในเมืองจูโน่ ทำให้เราเรียนรู้จักผู้คน การทำมาหากินของเขา และประวัติศาสตร์การกำเนิดเมืองด้วยครับ



    เมื่อบินมาถึงธารน้ำแข็งล้านปี ต้องขอบอกว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากครับ การได้มาเห็นประติมากรรมธรรมชาติที่ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าและงดงามขนาดนี้ ทำให้เราเรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่บอกให้เรารู้ว่า เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวจ้อย ที่เป็นเพียงส่วนประกอบส่วนน้อยของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ การดำเนินชีวิตของเราควรให้ความเคารพกับธรรมชาติมากขึ้นกว่านี้ในทุกๆด้าน เพียงแค่คิดว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีกนิดและธารน้ำแข็งเหล่านี้ละลายมากขึ้นสู่ท้องทะเล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาวะแวดล้อมโลก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ Nature strike back หรือ “ธรรมชาติเอาคืน” ( อันนี้ผมตั้งเองนะ) ในรูปแบบไหนบ้าง และที่สำคัญ ความสวยงามเหล่านี้ ผมเองก็คนหนึ่งที่อยากจะมีส่วนร่วมในการรักษา เก็บไว้ให้ลูกหลานได้มีโอกาสชื่นชมต่อไปด้วย


    สิ่งที่สอง ก็คือ การได้ล่องเรือติดตามชมการใช้ชีวิต ปลาวาฬ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่ง ผมต้องเดินทางไปขึ้นเรือในท่าเรือที่ค่อนข้างห่างไกลจากที่เดิมมาก โดยไปขึ้นเรือเร็ว 2 ชั้น ซึ่งมีกระจกใสรอบเรือ ทำให้สามารถสังเกตเห็นการปรากฏตัวของปลาวาฬได้จากรอบลำเรือเลยครับ สภาพบนเรือค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะจัดเป็นเรือภัตตาคารแบบง่ายๆ และมีอาหารอร่อยครับ ระหว่างเดินทางสามารถรับประทานอาหารเย็นได้เลย ระหว่างนั้นพอเรือเจอปลาวาฬก็หยุดดูได้ทันที ซึ่งการท่องเที่ยวเพื่อชมชีวิตสัตว์ป่าในต่างประเทศนี่ดีมากเลยครับ มีระบบจัดการท่องเที่ยวในเชิงนิเวศน์ ซึ่งคำนึงถึงการกระทบสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและรักษาให้ยั่งยืน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ได้อย่างตลอดไป เนื่องจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียด และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของปลาวาฬ ทั้งในด้านพฤติกรรมการหากิน / อพยพ / แพร่พันธุ์ จึงมีการกำหนดเวลาในการชมของเรือแต่ละลำว่า จะใช้เวลาหลังจากเจอปลาวาฬไม่เกิน 30 นาที ทำการเดินเรือในแนวขนานกับการว่ายของปลาวาฬและต้องรักษาระยะห่างในแนวรัศมีประมาณ 100 เมตร (หากข้อมูลระยะทางคลาดเคลื่อนต้องขออภัยด้วยครับ) และต้องทำการดับเครื่องทันทีหากปลาวาฬปรากฏตัวหรือเคลื่อนที่เข้าใกล้กว่าระยะที่กำหนด

    ในที่สุด เราก็ได้เจอปลาวาฬหลังค่อม (Ham-Back Whale) เป็นตัวแรกเลยครับ ในระยะที่ใกล้ที่สุด ซึ่งจะปรากฏตัวโดยการพ่นน้ำขึ้นเป็นฝอยน้ำสูง และดำผุดขึ้นมาประมาณ 3- 4 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 นาทีครับ ก่อนที่จะดำลงครั้งสุดท้าย (Terminal Drive ) โดยจะมีลักษณะพิเศษที่โก่งหลังขึ้นโค้งสูงเป็นพิเศษ และโผล่ครีบหางสูงขึ้นมา อันเป็นสัญลักษณ์ว่า จะทำการดำลงลึกแล้วในครั้งนี้ จากนั้นจึงอาจจะโผล่อีกตำแหน่งที่ต่างกัน จากการโผล่ครีบหางให้เห็นในครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้เราสามารถบอกลักษณะเด่นของปลาวาฬแต่ละตัวได้เลยครับ โดยที่ท้ายเรือจะมีแผนผังภาพครีบหางและชื่อของปลาวาฬนั้นๆครับ เจ้าตัวที่โผล่มาให้เห็นนี้ ยังโผล่มาให้เห็นในอีก 4 ครั้งในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของลูกเรือทุกคนและกัปตันในการช่วยติดตามปลาวาฬ ซึ่งระยะทางก็ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆครับ ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดเราเป็นเรือเร็วมาก สัตว์โลกขนาดใหญ่ตัวนี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่ามากจริงๆ ทั้งๆที่ตอนโผล่ตัวจะดูเคลื่อนไหวไม่ค่อยเร็วมาก จนถึงระยะเวลาที่กำหนด เราจึงเดินทางกลับกัน เพื่อไม่เป็นการรบกวนปลาวาฬมากนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2008
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ)

    ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ

    [​IMG] [​IMG]
    ระหว่างทาง ทางกัปตันก็ใจดี พาเราไปเยี่ยมหอประภาคารที่เป็นจุดพักประจำของกลุ่มแมวน้ำ/สิงโตทะเล และอินทรีย์หัวขาว (ล้าน) หรือ Bald Eagle ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกา
    ได้เห็นกลุ่มแมวน้ำนอนขี้เกียจ และดำผุดดำว่ายก็สร้างความประทับใจให้กับผมมากครับ ได้มาเรียนรู้จักชีวิตสัตว์โลกต่างแดน และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งผมและคุณแม่ก็มีความสุขมากๆ และเดินทางกลับมาถึงเรือของเราได้ทัน เพียง 5 นาทีก่อนเรือจะออกจากท่า
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    ในวันที่ห้า เรามาตื่นเช้าที่เมือง Skagway (สะ-แก๊ก-เวย์) เลยครับ ซึ่งวันนี้ เราจะได้เดินทางไปในสองแห่ง นั่นก็คือ

    การชมเส้นทางสายประวัติศาสตร์โดยทางรถไฟสาย White Pass ชื่นชมธรรมชาติของเทือกเขาหิมะในอลาสก้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเดินทางสายหลักใน อลาสก้าในอดีตเลยครับ เป็นเส้นทางสายคลาสสิกที่มีทิวทัศน์บรรยากาศรอบข้างงดงามจริงๆครับ ซึ่งจะมีการบรรยายถึงจุดที่ผ่าน ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือ จุดชมทิวทัศน์ ผ่านทางลำโพงตลอดทั่วทั้งรถไฟ โดยที่ไม่ต้องมีมัคคุเทศก์คอยดูแลครับ ส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้เวลาผ่อนลานให้กับตัวเราเอง ให้เวลาผ่านไปตามเส้นทางการเดินทาง ทำให้อดที่จะร้องเพลง "นักแสวงหา" ในต่างแดนไม่ได้ ลองนึกตามดูนะครับ ".....ผจญโชคผจญภัย ตามทางรถไฟไปส่ง... เพราะยังเป็นหนุ่มจะงอมืองอเท้ารอคอยคงไม่ไหว จึงต้องไปเป็นหนุ่มนักแสวงหาให้ได้ดี ในดวงตามีแต่ความหวัง ทุกทุกคนต่างมีความหวัง จึงมีความหวังเต็มคันรถไฟ หัวใจเบ่งบาน...." ชีวิตแห่งการเดินทางให้ความสุขกับคนที่มีอิสระในหัวใจเสมอครับ ชีวิตที่มีความสุขง่ายๆกับสิ่งรอบข้างและใฝ่หาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นมาตลอดครับ ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตเราขึ้นอยู่กับใจเรา จะทำให้ง่ายก็ง่าย จะทำให้ยากก็ยาก ทุกเรื่องนะครับ อยู่ที่ใจเราคิด
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    การเรียนรู้อีกบทอยู่ในช่วงบ่ายครับ นั่นคือ การไปเยี่ยมค่ายสุนัขลากเลื่อน และนั่งรถเลื่อนโดยหมู่สุนัขขั้วโลก ทำให้ผมเรียนรู้อีกครั้งครับว่า ชีวิตบางคน สำหรับเรา ก็ดูไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้มันเป็นเรื่องง่ายขึ้น เข้าสู่เรื่องทัวร์ก่อนนะครับ ในวันนี้ผม และคุณแม่ต้องเดินทางด้วยรถบัสประมาณเกือบชั่วโมง มุ่งสู่แคมป์สุนัขขั้วโลก ( Husky Siberian ) สิ่งที่ผมชื่นชอบเมื่อแรกถึงแคมป์เลยก็คือ พวกฝูงหมาหน้าบึ้งขนฟูทั้งหลายที่ถูกผูกติดอยู่กับบ้านของเขา จำนวนกว่า 50 ตัว เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส / ลูบหัว และถ่ายรูปคู่กันอย่างหนำใจครับ (แม้ว่าพวกฝูงหมาจะผอมลงในหน้าร้อน ก่อนที่จะถูกขุนให้ฟูเพื่อมีความอบอุ่น และพละกำลังต่อการลากเลื่อนในหน้าหนาว ) ก่อนที่จะแยกนักท่องเที่ยวไปนั่งรอในรถลากและล่ามฝูงสุนัขจำนวนประมาณ 12 ตัวต่อคันในการลากเลื่อนแต่ละคัน

    ในที่สุดผมก็กำลังจะมาถึงหนึ่งในความใฝ่ฝันของผมแล้วครับ นั่นคือ การได้นั่งรถเลื่อนลากโดยฝูงฮัสกี้ที่น่ารักกลางหุบเขาหิมะเย็นสุดขั้วด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนที่ผมจะตื่นมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้ากับ รถลากเหล็กกล้าดัดแปลงขนาดนั่งได้หกคน และติดด้วยล้อรถโฟร์วีลสี่ข้าง เนื่องจากในหน้านี้เป็นหน้าร้อนครับจึงไม่มีหิมะให้เห็นซักปุย แน่นอนครับ ยังใช้พลังฝูงหมาในการขับเคลื่อนเหมือนเดิม ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดในการลากเลื่อนขึ้นลงเขาอยู่เพียงประมาณ 10 นาที ครับ เพื่อไม่ให้น้องหมาๆ (ซึ่งผอมโซอยู่แล้ว) ต้องเหนื่อยเกินไป แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลยครับ เมื่อผมได้เห็นการทำงานที่เป็นมืออาชีพ ในขบวนการนำเที่ยวรถเลื่อนสุนัขนี้ ประกอบด้วยทีมงานมากมายที่คอยควบคุมดูแลพฤติกรรมสุนัขไม่ให้ทะเลาะกันตลอดเส้นทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างชัน ,ทีมรถ 4WD ที่มาช่วยลากเลื่อนที่ติดระหว่างทางขึ้นเขา,นายบังเหียน (Musher) และผู้ช่วยที่ต้องเข้าใจพฤติกรรมสุนัขเป็นอย่างดี เพื่อให้การเดินทางของคณะเราในแต่ละเลื่อนเดินทางด้วยความสนุกสนาน และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ต้องปลอดภัย! และเหตุผลของเขาที่จัดการท่องเที่ยวในหน้านี้ก็เพื่อ หารายได้เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน และเลี้ยงดูสุนัขทั้งหลายตลอดฤดูกาล และค่าใช้จ่ายต่างทั้งหมด เพื่อการแข่งขันซึ่งสูงมากครับ ที่แน่นอนเลยก็คือ ถ้าไม่สามารถชนะในการแข่งขันในอันดับไหนได้ ก็จะไม่มีรายได้อะไรอีกเลย จึงทำให้เขาต้องจัดการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ในแบบนี้ครับ เขาก็อยากให้นักท่องเที่ยวมามีประสบการณ์ในฤดูหนาว แต่ด้วยอุณหภูมิที่สาหัสถึงขั้นต่ำกว่า 0 องศา และหิมะ รวมถึงพฤติกรรมสุนัข จะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมความปลอดภัยได้เช่นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้อย่างดีครับ และไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด

    เมื่อมีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยายถึงชีวิตการแข่งขันของนายบังเหียน หรือ มัชเชอร์ ที่แคมป์ (คนที่บรรยายนี้เคยติดอันดับ 1ใน 3 อันดับโลกครับ) ยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีกครับ เพราะคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในอาชีพประหลาดที่ลำบากที่สุดในโลกเหมือนกัน แต่ละคนต้องมีความพร้อมร่างกายอย่างสูงสุด และทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้าหมาย และสุนัขของเขาจริงๆ ตลอดการแข่งขันต่อเนื่องประมาณ 10 วันถึงสองสัปดาห์ ที่ต้องเดินทางติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในสภาพพื้นที่ทุรกันดาร และสภาพอากาศที่แสนสาหัส มัชเชอร์คนนี้ เคยนอนเพียงชั่วโมงเดียวในบางคืนเพื่อเร่งทำเวลาให้ได้น้อยที่สุด, ตัดสินใจตัดผ่านเส้นทางลัด ซึ่งเป็นแม่น้ำเก่าซึ่งอาจจะถล่มระหว่างการเดินทาง,สละที่นอนพร้อมที่คลุมในรถเลื่อนเพื่อรักษาความอบอุ่นให้สุนัขทั้งทีม และตัวเองต้องมานอนในถุงนอนพิเศษนอกเลื่อน,คอยดูแลนวดเท้าให้กับสุนัขทุกตัว ,ฯลฯ

    หลายคนคงนึกสงสัยว่า มันจะคุ้มกันหรือกับการทุ่มเททุกอย่างเพื่อการแข่งขันขนาดนี้ แม้ว่าผลสุดท้ายอาจจะจบลงด้วยการพ่ายแพ้และไม่ได้อะไรกลับไป ซึ่งมัชเชอร์ก็บอกเล่าถึงความรู้สึกว่า ในบางครั้งที่เขาได้ไปผจญภัยในสถานที่ที่อาจจะยังไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไป ได้เป็นเจ้าของทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือแสงเหนือ ท่ามกลางบรรยากาศงดงามที่ไม่อาจบรรยาย ได้ดำเนินชีวิตที่เป็นขีดสุดของความอดทน และความภาคภูมิใจสูงสุดเมื่อคว้าชัยชนะมาได้ ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

    ตลอด 20 นาทีที่ฟังการบรรยายถึงชีวิตของมัชเชอร์ จึงเต็มไปด้วยความระทึกใจในประสบการณ์ที่เราไม่อาจจะมีโอกาสได้สัมผัส และรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เคล็ดลับสำคัญของเขาระหว่างแข่งขัน ก็คือ "ทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ ที่ทำให้หมาทุกตัวอารมณ์ดี และ ไม่โกรธคุณ ระหว่างการแข่ง"

    ผมได้เยี่ยมชม และบันทึกภาพอุปกรณ์ทุกชิ้น และรถเลื่อนสุนัขของจริงในแบบต่างๆ จะเห็นได้ว่า เขาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่คุณภาพดีที่สุด เพื่อการแข่งขัน และที่ชอบใจมากๆ ก็คือ รองเท้ากันหนาวของเขา ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นบาท ซึ่งทำด้วยสุดยอดวัสดุที่กันหนาวได้เป็นอย่างดี,เบา,ไม่ต้องซัก (เพียงแค่บิดน้ำออกก็ใส่ได้เลย) และที่สำคัญคือ ขนาดของรองเท้า ซึ่งใหญ่เท่ากับท่อนตัวช่วงบนของผมได้เลย ลองดูขนาดเอานะครับ และแล้วความสนุกสนานก็ผ่านมาอย่างรวดเร็ว จนผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าในที่สุดก็ใกล้จะมาถึงการสิ้นสุดของการเดินทางสู่อลาสก้าบนเรือ Cruise Sapphire Princess ครั้งนี้เสียแล้ว วันนี้ซึ่งเป็นเช้าวันที่หก ก็เป็นการเดินทางกลับซะแล้วครับ จึงเป็นวันที่เราอยู่บนเรือทั้งวันอีกครั้ง ในวันนี้จึงมีกิจกรรมบนเรือมากมายอีกเช่นเคย แต่คราวนี้ผมวางแผนโปรแกรมมาค่อนข้างดี และไม่ให้พลาดโอกาสทัวร์ในเรือดีๆ หลายอย่าง ที่เขาเปิดโอกาสให้เข้าไปดูการทำงาน และสถานที่จริงในการรองรับลูกเรือกว่าสองพันคน ว่ามีระบบการจัดการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปทัวร์ในห้องครัว หรือ เวทีการแสดง และ Back Stage ฯลฯ รวมถึงเบื้องหลังการเตรียมตัวอีกหลายๆ อย่างครับ
    ต้องถือว่ามหัศจรรย์จริงๆ ครับ แค่เวทีที่เห็นมีระบบไฟเวทีที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์อยู่ถึง 200 กว่าดวง และใช้เรือถึง 3 ชั้นสำหรับในการทำโรงละคร โดยเวทีจะแขวนลอยบนไฮโดรลิกในชั้นกลาง ฝ่ายฉากจะทำการเปลี่ยนเวทีที่ชั้นล่าง เพื่อส่งให้ไฮโดรลิกดึงขึ้นไปชั้นกลาง ทำให้ผมรู้สึกว่าบริษัทในต่างประเทศ เขาจะลงทุนจริงจังในอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำงาน และใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุในเรือ มากกว่าที่จะทำให้ได้มาตรฐานที่กำหนด ผมว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราน่าเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรม และจิตสำนึกของความปลอดภัยของเขาอย่างมากครับ

    แต่ยังไม่หมดการผจญภัยของผมซะทีเดียวครับ ลืมบอกไปว่า ในเย็นวันสุดท้ายนี้ ผมยังเหลือการเดินทางไปเยี่ยมชม สวนดอกไม้ Butchart Gardens (บุตชาร์ท การ์เด้นส์ ) ที่โด่งดังไปทั่วโลก และรักษาความงดงามมาได้จนถึง 104 ปีทีเดียวครับ สำหรับคนที่ชื่นชอบไม้ดอกไม้ประดับไม่ควรพลาดเลย (ผมก็คนนึงล่ะครับ) สวนดอกไม้เลื่องชื่อแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองวิคตอเรีย ประเทศแคนาดาครับ
    ก่อนการเดินทางเข้าต้องผ่านศุลกากรค่อนข้างเข้มงวด และผ่านทัวร์รอบเมืองที่มีทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมงดงาม แต่ใจของผมเดินทางไปถึงสวนก่อนซะแล้ว เนื่องจากเรามีเวลาจำกัดอยู่ที่สวนเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง สำหรับคนที่รักดอกไม้ก็ถือว่าเป็นเรื่องทรมานใจน่าดูครับ ที่มาถึงหนึ่งในสวนดอกไม้ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลกแต่ไม่สามารถอยู่ชื่นชมได้นาน

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ความน่าอัศจรรย์อยู่ที่แต่เดิมสวนนี้เคยเป็นหุบเขาหินปูนที่โดนระเบิดจากการทำเหมืองแร่มาก่อน จนไม่เหลือสภาพที่งดงาม แต่ได้รับการจัดแต่งสวนใหม่โดยภรรยาเจ้าของเหมือง (คุณนายบุตชาร์ท ) จนกลายเป็นสวนสุดงดงาม และต่อเติมจนโด่งดังระดับโลก แม้ว่าในฤดูนี้ไม้ดอกจะยังไม่ค่อยงดงามเท่าที่ควร แต่สำหรับผมก็ถือว่าตื่นตาตื่นใจมากแล้วครับ
    [​IMG] [​IMG]
    โดยในช่วงกลางคืนเขาก็จัดเป็นสวนประดับแสงไฟงดงาม (แฝงลงไปในพุ่มไม้ หรือส่องที่น้ำพุเลย) และมีการแสดงดอกไม้ไฟในช่วงฤดูหนาวที่ต้นไม้กำลังทิ้งใบทั้งหมด เรียกว่า สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งผมก็ตั้งปณิธานไว้แล้วล่ะครับว่า จะต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยม Buchart อีกครั้งนึงให้ได้ โดยจะต้องมีเวลาเยี่ยมชมให้มากกว่านี้ เพราะด้วยเวลาเพียง 1 ชัวโมง 45 นาที ก็ทำให้การเที่ยวสวนดอกไม้ของผมกลายเป็นการผจญภัยย่อมๆ เลยครับ ถึงขนาดต้องวิ่งผสมกับเดินเร็วในการเยี่ยมสวนหลัก 5 สวน นั่นคือ Sunken Garden , Japanese Garden , Rose Garden , Private Garden , Italian Garden เพื่อตามเก็บบรรยากาศภาพความสวยงามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ใครอยากชมความงดงามให้เต็มอิ่มนะครับ แนะนำให้เข้าไปดูครับที่ www.butchartgardens.com จะมีตารางการท่องเที่ยวของทางสวนในทุกฤดู และปฏิทินที่บอกช่วงเวลาบานของดอกไม้ในสวนด้วยครับ และแล้วการเดินทางของผมก็ใกล้มาถึงปลายทางแล้วครับ เมื่อกำลังจะเดินขึ้นเรือ Sapphire Princess เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง Seattle ในเช้าวันถัดไป


    ไม่ได้รู้สึกใจหายเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังจะเดินทางกลับไปหาบ้าน และครอบครัวที่รู้ใจเราหลังจากมานาน และที่สำคัญ การเดินทางในครั้งนี้ผมและคุณแม่ ได้ใช้ชีวิตแห่งการเดินทาง เพื่อเรียนรู้ ซึบซับประสบการณ์รอบข้าง อย่างเต็มที่ในทุกที่ที่ได้ไปเยือน เป็นหนึ่งในการเดินทางที่สมบูรณ์และประทับใจที่สุดครับ ความหมายของการเดินทาง บางครั้งผมว่าไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเท่านั้นนะครับ แต่อยู่ที่ระหว่างทางที่เราจะได้เรียนรู้ / สัมผัส และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากกว่า.......

    ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท)

    ขอขอบคุณ http://travel.sanook.com/foreign/foreign_08761.php
    เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2008
  3. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
    ขอบคุณ ค่ะ
     
  4. seng sun dan

    seng sun dan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +5
    ฮัทช่า ฮัทช่า จะขอบคุณอะไร ผมไม่เข้าใจ
     
  5. seng sun dan

    seng sun dan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +5
    เขาว่าไก่อลาสก้าอร่อยกว่าไก่แคนตั๊กกี้ จิงปะ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    คุณณัฐ ก็กลับไปแล้ว เหลือแต่ เค ขวัญ อยู่ที่อะลาสก้า พอดีคุณโดด ส่งกะแสจิตมาว่า
    อยู่แถวนี้ ขอไปตามหา คุณโดด ก่อนนะคะ บอกให้จอง บ้านน้ำแข็งไว้ ไม่รู้จะมีห้องว่างไม๊
    เด๋วเจอกัน นะคะ

    เดินหาคุณโดด จนเมื่อยแระ ยังไม่เจอแมวซักตัว แต่ยังโชคดี พอดีไปเดินเหยียบเท้า
    คุณ ฮิวโก้ สุดหล่อ นอกจากไม่โกรธแล้ว ยังอาสาพาเที่ยวต่อค่ะ ดูดิ หล่อด้วยใจดีด้วย
    ใช่ปะคะ ไปกันเลยค่ะ

    เพื่อนๆ คงเคยได้ยินชื่ออลาสก้า อลาสก้า เป็นรัฐนึงของอเมริกา ไม่ติดกับเมกา แต่เป็นประเทศอเมริกา งงใช่มั้ย เราก็งง มันไปเอามาได้ยัไง ไม่รู้ เกิดไม่ทัน นึกไม่ออกเหรอ นี่เลย แผนที่
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2008
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ที่เขียน Gulf of Alaska นั่นแหละ อยู่ติดกับ แคนาดา ที่นั่นเป็นขั้วโลกเหนอ ก็ มี 2 ฤดู คือ หนาว กับ หนาวโคตร ดูจากภาพก็คงนึกออกว่าหนาวขนาดไหน
    [​IMG]
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของพ่อแม่พี่น้องของฮิวโก้ ครับ นี่ไง เหมือนโก้มั้ย
    [​IMG]
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ที่นี่เค้าล่าสัตว์ เอาหนัง และ ขน เป็นอาชีพนึง
    [​IMG]
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เรือแบบนี้ พานักท่องเที่ยวไปดูหมีขาว และภูเขาหิมะ ที่เมือง Haines
    [​IMG]
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ข้างบนนั่น Haines Habor และนี่ ภาพรวม City of Haines
    [​IMG]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ที่นี่หนาวมาก อาชีพก็คงต้องเกี่ยวกับอะไรเย็นๆ เช่นน้ำแข็ง แกะน้ำแข็ง ใครที่อยู่อลาสก้า จะได้เงินค่า ทนหนาว ปีละ 2 พันเหรียญ จากรัฐบาล เค้าต้องการให้คนมาอยู่เยอะๆ แต่คงไม่ค่อยมีคนอยากมาเท่าไหร่ เราก็ไม่เอา กลัวหนาว บรื๋อส์

    [​IMG]
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    อันนี้ก็สภาพหมู่บ้าน เหมือนตามบ้านนอกบ้านเรานั่นแหละเนอะ
    [​IMG]

    อ้าว พอดีคุณฮิวโก้ มีธุระ ต้องไปกินข้าวกะท่านประธานาธิบดี โดยด่วน เค ขวัญ โดนทิ้งอีกละ
    ไม่เป็นไร เด๋วเราไปตามหา คุณโดด กันต่อนะคะ ตะกี้เห็น คุณอิส กะ คุณ เซ็ง อยู่หลังไวไว
    สงสัย มาเที่ยวเหมือนกัน เราไปหาเค้ากันดีกว่านะ ตามมาค่ะ อยู่นิ่งๆ เด๋ว ไขมันแข็งตัว นะคะ

    ขอขอบคุณ http://www.pantown.com/board.php?id=11897&area=4&name=board9&topic=25&action=view
    เอื้อเฟื้อข้อมูล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2008
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ระหว่างที่ยังหาคุณโดด ไม่เจอ เราไปสำรวจอลาสก้ากันนะคะ
    ขอขอบคุณ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=138117

    อลาสก้า เพิ่งมาเป็นของอเมริกาได้ประมาณ 140 ปี มานี้เองค่ะ

    [FONT=arial,helvetica,sans-serif]18 ตุลาคม 1867 หรือเมื่อ 140 ปีที่แล้ว เป็นวันที่อลาสก้าของรัสเซีย เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐโดยสมบูรณ์ โดยในวันนั้น ที่เมือง โนวา - อาร์คานเกลสค์ เมืองหลวงอลาสก้าของรัสเซีย ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ซิทก้า ได้มีพิธีส่งมอบคาบสมุทรแห่งนี้ให้กับสหรัฐ [/FONT]
    [​IMG]
    ตามประวัติ เชื่อว่าคนเชื้อสายเอเชีย อพยพข้ามช่องแคบแบริ่ง เข้ามาลงหลักปักฐานที่อลาสก้าราวเมื่อ 1 หมื่น 2 พันปีก่อน การเข้าไปติดต่อกับคนที่นี่ของชาวยุโรป เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1741 เมื่อ วิตุส แบริ่ง เดินทางไปที่นั่นกับเรือเซ็นต์ปีเตอร์ เพื่อทำการสำรวจให้กับกองทัพเรือรัสเซีย และเมื่อคณะสำรวจกลับออกมา ขนสัตว์จากที่นั่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม คณะนักค้าขนสัตว์เล็กๆจึงเริ่มมาที่อลาสก้า โดยหลักฐานการตั้งหลักฐานของชาวยุโรปที่นี่ว่าเกิดขึ้นในปี 1784

    ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 รัสเซียและสหรัฐเริ่มเข้ามาสำรวจอลาสก้า เพื่อโครงการขยายอาณานิคม แต่รัสเซียไม่เคยผนวกอลาสก้าเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้หาประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้มากนัก ผิดกับฝ่ายสหรัฐที่ได้แสดงความสนใจในดินแดนแห่งนี้
    [​IMG]
    ข้อตกลงเรื่องการขายอลาสก้า ลงนามโดยนายวิลเลี่ยม เซวาร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเมื่อ 30 มีนาคม 1867 งานนี้ ฝ่ายอเมริกันต้องจ่ายเป็นค่าดินแดนขนาด 1 ล้าน 5 แสนตารางกิโลเมตรเพียง 7 ล้าน 2 แสนดอลล่าร์ หรือเทียบเท่ากับ 11 ล้านรูเบิ้ลทองคำ
    [​IMG]
    ในยุคปัจจุบันนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนออกมาตำหนิการตัดสินพระทัยขายอลาสก้าของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 ว่ามองการณ์ใกล้ และไม่มีความรักชาติเอาเสียเลย ขายไปได้ยังไง คนรัสเซียที่อยู่ที่นั่นก็ตั้งมากมาย แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนบอกว่าในยุคที่ขายนั้น คนรัสเซียในอลาสก้ามีอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ทรัพยากรธรรมชาติมีค่าอะไรก็ยังหาไม่พบ
    ฝ่ายสหรัฐเองก็ใช่ย่อย หลายคนในยุคนั้น มองไม่เห็นประโยชน์ของการซื้ออลาสก้า ดินแดนที่ทั้งไกลก็ไกล ร้างผู้คนก็ร้าง สื่อมวลชนในยุคนั้นก็ล้อเลียนรัฐบาลว่าเสียเงินไปมากมายเพื่อซื้อก้อนน้ำแข็ง ถึงขั้นมีข่าวลือว่า นักการทูตรัสเซียยัดเงินใต้โต๊ะ ให้ข้าราชการสหรัฐเดินเรื่องเพื่อให้มีการซื้อขาย เพิ่งจะปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้น ที่เริ่มมีการค้นพบทองคำ ต่อมาก็ยังพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกมากมายมหาศาล
    [​IMG]
    ตอนแรกเมื่อมาอยู่กับสหรัฐ อลาสก้า อยู่ในการดูแลของกระทรวงการทหาร ต่อมาก็ถูกยกระดับสถานะเรื่อยมา จนได้เป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐ เมื่อ 1959
    อลาสก้า เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด หนาวที่สุด มีภูเขาสูงที่สุด มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุด มีแนวชายฝั่งยาวที่สุด มีทะเลสาบมากที่สุด มีเขตชุ่มน้ำมากที่สุด และมีป่ามากที่สุดของสหรัฐ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    เดินๆอยู่ เกือบตกเขาแหนะค่ะ นอกจากต้องระวังเรื่องไขมันแข็งตัวแล้ว
    ยังต้องระวังเดินตกเขาด้วยนะคะ เด๋วจะหาว่า เค ไม่เตือน

    [​IMG]
     
  16. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    หลังจากเดินตามหาคุณโดด อยู่พักใหญ่ๆ ก็ทนไม่ไหวค่ะ มันหนาวจับใจ
    เลยต้องวาน ชาวเอสกิโม ช่วยตามหาอีกแรง ใจดีกันจังเลยค่ะ ไม่บ่นกันซักคำ

    [​IMG]
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ระหว่างที่คุณเอส ตามหาคุณโดด เราก็ไปเที่ยวกานต่อ อิอิ..

    [​IMG]
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ว๊าว ซ๊วยสวยเนอะ คุณอิส ว่ามะ น่าถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเนาะ
    อ้าว ตี๋ใหญ่ กาซิบมาบอก ดึกแล้ว เด๋วพรุ่งนี้มานำเที่ยวต่อ วันนี้พอก่อนนะ
    คุณอิส ไปนอนได้แร้วนะคะ นอนดึกมาก เด๋วตาดำ หมดสวยพอดี อิอิอิ...
    คุณเซ็ง ไม่รู้ไปเซ็งเป็ดที่ไหน ปล่อยเค้าไปละกัน บายค่ะ see u tomorrow na ka..

    [​IMG]
     
  20. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    โหนเรือ SAPPHIRE PRINCESS ไปด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...