Blockchain และ FinTech เป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนระดับความคิดของ ดร เมืองไทย

1) Blockchain และ FinTech เป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนระดับความคิดของ ดร เมืองไทย?

ที่ผมกล่าวเช่นนี้เพราะอะไรนั้นเหรอ?

เพราะว่าในการจัดสัมมนาครั้งล่าสุดนั้น โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ร่วมกับ มูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย ในเรื่อง “Blockchain: The Next Internet”
ในวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2559 เวลา 12.30-16.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน
อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์ฯ เลขที่ 93 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

เมื่อผมได้อ่าน คำสนทนาต่างๆ ของเหล่า ดร ในเมืองไทย ที่สนทนากัน
ในเรื่อง Blockchain ที่ต่างตื่นเต้นกันราวกับเป็นเรื่องใหม่จะเปลี่ยนโลกนั้น

กลับไม่ได้สาระอะไรเลย ..

ถ้าไม่เชื่อ ลองให้ คนถอดเทปแล้ว ให้คนอื่นๆ ฟังดู แล้วมาสรุปให้เข้าใจสั้นๆว่า
เจ้า Blockchain มันคืออะไร มันสำคัญอย่างไร?

ผมเชื่อว่าคนอื่นๆ ถ้าได้ฟังหรืออ่านบทสนทนาแล้ว จะงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกัน
(ซึ่งนั้นสะท้อนว่าที่ท่านๆเหล่านั้น ถ่ายทอดให้ศิษย์ต่างๆ ผ่านมานั้น มันคืออะไร)

http://cheeptham.blogspot.com/2016/07/blockchain-technology-next-internet.html

2) เนื่องจากหา คนอธิบายไม่ได้สักที ผมขออธิบายเลยแล้วกันว่าทำไม FinTech และ Blockchain ถึงน่ากลัวในยุคนี้

ก่อนจะไปที่เทคโนโลยี เรามาดูแนวโน้มและปัญหาของระบบการเงินของโลกก่อน

อันดับแรก เราเห็นแล้วว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น นั้น ดอกเบี้ย
ในการฝากธนาคาร เป็น 0 (ศูนย์) และ ในบางกรณีเป็นภาระของธนาคาร
ธนาคารยังเก็บค่าฝากนั้นเสียอีก ดังนั้นก็คือ ดอกเบี้ยติดลบ นั้นเอง.
ซึ่งทำให้คนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องดิ้นรน เอาเงินออกไปทำประโยชน์
เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าเก็บไว้ที่ธนาคาร

ทีนี้ ถ้าเรามาคิดว่า เอ.. แล้วการฝากเงินไว้ที่แบงค์มันจะได้ประโยชน์อะไร?
และหากนึกย้อนไปในสมัยโบราณ คนเขาก็เก็บเงินกันเอง ไว้ในไหบ้าง อะไรบ้าง

ดังนั้น จึงนำไปสู่การจุดประเด็นสำคัญ ที่ว่า .. แล้วเราจะสามารถทำธุรกรรม
การเงินกันในการซื้อขายกัน โดยไม่ต้องผ่านแบงค์เลยได้ไหม?
และประกอบกับยุคเทคโนโลยี IT ในปัจจุบัน เราจะทำธุรกรรมกันอย่างไร
ในเมื่อไม่ง้อธนาคาร ซึ่งหมายความว่า คนต้องสร้างบัญชีเงินฝากของตัวเองได้
โดยไม่ต้องมีบัญชีกับธนาคาร

ดังนั้นฝรั่งจึงคิดเทคโนโลยี Blockchain ขึ้นมา เพื่อให้คนสามารถเปิดบัญชี
ของตัวเองได้ โดยบัญชีและรายการในบัญชี จะต้องไม่มีการรวมศูนย์ไว้ที่ใดที่หนึ่ง
และรวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินจริงสกุลต่างๆ จะเป็นไปอย่างไรด้วย

ดังนั้นรูปแบบจึงออกมาว่า ต้องกระจายไปเก็บตาม Servers ที่เข้ามา join
ต่างๆ และต้องมีความน่าเชื่อถือด้วยว่าข้อมูลจะต้องไม่ผิดพลาด หรือ ถูกแก้ไขได้

และนี้คือความน่ากลัวของ Blockchain เพราะ มันถูกพัฒนาและสนับสนุน
มาเพื่อล้ม ระบบธนาคาร นั้นเอง

ถามว่ามันจะล้มระบบธนาคารได้จริงหรือไม่? แม้ว่ามันจะยาก แต่เมื่อ
คนกลุ่มมันสมองรวมหัวช่วยกัน อะไรๆ มันก็อาจจะเป็นไปได้ซึ่งอาจจจะสำเร็จเข้าสักวันหนึ่งนั้นเอง

ก็เหมือนกับโครงการไปดาวอังคารนั้นล่ะ เพราะถ้าพยายาม สักวันมันก็สำเร็จ

ดังนั้นปัจจุบัน ธนาคารทั้งโลก จึงต้องดิ้นเอาตัวรอดโดยพยายามเข้าไปสนับสนุน FinTech
เพื่อจะได้ปรับตัวเองตามให้ทันกับสิ่งที่จะกระทบในอนาคตนี้ นั้นเอง

BR
TheVisionMind
01/08/2016

 

คงเป็นอีกรูปแบบของสงครามการเงิน
ที่ต้องการเป็นผู้จีดการเบ็ดเสร็จ
โดยกลุ่มคนที่ใช้สมองทำงาน
แต่เจียวไข่กินเองก็ทำไม่เป็น

ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบการใช้จ่ายในอนาคต
ก็คงจะเป็นแค่การรูดบัตร
กับการใส่ตัวเลขค่าแรงทำงาน
ใน e-wallet
พกแค่การ์ดใบเดียว
บัตรหายตอนจะกินข้าวก็จบ

 

ลุงNeo เข้าใจว่าผู้ที่จะให้องค์ความรู้เรื่องได้ชัดเจน
ทะลุปรุโปร่งแบบง่ายๆ ต้องไม่ใช่มีความรู้ทางเศรษฐ
ศาสตร์หรือการเงินการธนาคารเท่านั้น
ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
เพื่อประดิษฐ์โครงสร้างทางการเงินระดับ
Worldwide น่าจะสำคัญที่สุดในแผนการครอง
ความเป็นใหญ่ทางการเงินระดับโลกครับ

 

ลุงนีโอไม่ค่อยรู้เรื่องการเงินสักเท่าไร
แต่ทำห่อหมกปลาข้างเหลือง และข้าวหมาก
เลี้ยงเพื่อนได้ 555

 

ขออนุโมทนาบุญกับลุงนีโอ ที่มีน้ำจิตน้ำใจ
คอยเผื่อแผ่แบ่งบัน ถือว่าช่วยจรรโลงโลกให้น่าอยู่ครับ

 

ในยุคศรีอารย์คนเบื่อหน่ายการสะสม
การหอบเงินหอบทองไปใช้ไปโชว์
เป็นเรื่องพะรุงพะรัง
ใช้การ์ดใบเดียวไว้รูดกินข้าวพอ

ขับรถขับเรือเองเป็นภาระ
ธุรกิจแนว Uber รับจัดการทรานส์
เฟอร์คนทั่วโลก
ก็พอเห็นลางๆ แล้วนะฮะว่าโลกมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น

 

ช้อปปิ้งก็แดรกลงตะกร้า
รูดบัตรแล้วนั่งดูทีวีรอ ๒ วันสิ่งของมาส่งให้ถึงบ้าน
แค่ยื่นมือรับของกับแสกนนิ้วมือ

 

เข้าใจว่าสังคมศรีอารย์ก็คือสังคม
นิยมเต็มร้อย%ครับ
แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านคงต้องอาศัย
มือของทุนนิยมหรือประชานิยม
ลงทุนปูทางให้ก่อนในยุคบุกเบิก
จากนั้น การขับเคลื่อนสังคมจะเป็นไป
ในสาธารณะโภคินทร์หรืออะไรทำนองนี้
ที่อาณาจักรอโศกเป็นเช่นนี้ทุกสาขา...ผู้นำ
เขามีปัญญามองเห็นว่าสังคมนิยมแบบพุทธะ
คือทางออกที่จะทำให้คนมีคุณค่า
และมีความหมายมากกว่า
เป็นแค่สัตว์เศรษฐกิจฮะ

 

ดูดูไปโลกที่มันเจริญก้าวไปข้างหน้าปฏิเสธไม่ได้
ว่าต้องอาศัยความร้ายเข้ามาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง
เช่นคนดีก็ต้องอาศัยเทียบเคียงกับคนชั่วจึงจะเห็นชัด
ว่าใครดี
ระบอบสังคมก็เช่นกันสังคมนิยมสมบูรณ์จะเกิดขึ้นต้องอาศัย
ความชั่วร้ายของระบอบทุนนิยมเป็นฐานให้เหยียบบ่ายกระดับ
ขึ้นไป..ใครว่าทุนสามานย์ไม่มีอะไรดี ต้องเข้าใจเสียใหม่ฮะ