Body Mind and Soul ธรรมชาติบำบัดเพื่อส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 21 เมษายน 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    <TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG] </TD><TD><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=right>[​IMG]


    </TD></TR><TR><TD align=right>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=right>[​IMG]


    </TD></TR><TR><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>




    ชีวิตของมนุษย์นั้น ไม่ได้มีเฉพาะแค่ "ร่างกาย" เป็นองค์ประกอบเพียงอย่างเดียว หากแต่มีองค์ประกอบของชีวิตที่สลับซับซ้อน เพราะมีทั้งมีกายเนื้อที่เรียกว่า "ร่างกาย" และมีกายทิพย์ที่เรียกว่า " วิญญาณ"

    เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงจำเป็นที่จะต้องปรับสมดุลย์ของร่างกายและวิญญาณไปพร้อมๆ กัน หรือดำเนินชีวิตไปตามแนวทางของธรรมชาติบำบัดเพื่อส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม

    เมื่อทอดสายตาไปยังศาสตร์การแพทย์ทางเลือกแขนงต่างๆ ก็พบว่า มีค่ายสำนักหนึ่งที่มีวัตรปฏิบัติในวิถีดังกล่าว นั่นก็คือ MOA international ซึ่งในประเทศไทยได้มีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิแพนอเมริกันเอ็มโอเอแห่งประเทศไทยค่ายสำนักแห่งนี้...มีต้นธารมาจากการก่อตั้งของนักคิดและนักปรัชญาที่มีชื่อว่า "โมเกจิ โอกาดะ" เมื่อราว 100 ปีก่อนรากแห่งปรัชญาของโอกาดะประกอบไปด้วยคำ 3 คำคือ Body mind and soul

    โอกาดะบอกว่า ชีวิตมนุษย์นั้น ไม่ได้มีเฉพาะร่างกายหรือกายเนื้อเท่านั้น หากแต่ยังมีกายทิพย์หรือจิตวิญญาณหลอมรวมอยู่ด้วย และจิตวิญญาณนี้เองที่เป็นต้นเหตุแห่งการเกิดความทุกข์หรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากต้องการบำบัดสุขภาพให้สมบูรณ์พร้อม ก็ต้องมุ่งไปที่ต้นเหตุ นั่นก็คือที่ว่างแห่งวิญญาณ

    ถ้าเราศึกษาลงไปในเบื้องลึก ก็จะพบว่า พื้นฐานแห่งชีวิตมนุษย์ทุกผู้ ทุกตัวตนตั้งแต่เกิดมาจะมีสารพิษสะสมและหมักหมมอยู่ในร่างกาย ถ้าเป็นในแง่ของจิตก็จะเป็นความขุ่นมัวชนิดหนึ่งที่สะสมอยู่ในมิติทางจิต แต่ถ้าเป็นในแง่ของกายก็จะเป็นสารพิษต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในเลือด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นกายภาพของวิญญาณ หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันชัดๆ ก็ต้องบอกว่า เหมือนเป็น "กล่องดำ" ของชีวิต ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเราสามารถกำจัดต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง โดยพุ่งเป้าไปที่วิญญาณและเลือดที่เต็มไปด้วยสารพิษได้อย่างหมดจด ก็จะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

    ทีนี้....ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วจะทำอย่างไร?

    โอกาดะบอกว่า ปกติมนุษย์มีขีดความสามารถที่จะบำบัดอาการต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอยู่ แล้ว เพราะในร่างกายมี "ชีวเคมี" หรือถ้าพูดเป็นภาษาวิชาการก็คือ "ไบโอ โฟรตอล" ซึ่งจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมพลังชีวิตให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างสูงสุด แต่ในบางครั้งกระบวนการเหล่านี้ ก็อาจถูกขัดขวางหรือว่าทำงานไม่ได้

    ขณะเดียวกัน พลังที่จะทำให้มนุษย์มีความสมดุลได้ก็เชื่อมโยงกับพลังจากภายนอก 3 พลังด้วยกันคือ พลังจากดวงอาทิตย์ พลังจากดวงจันทร์และพลังจากโลก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ในบรรดาดาวนพเคราะห์ทั้งหลายในระบบสุริยจักรวาล จะมีก็แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และก็โลกเท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์

    พลังจากดาวนพเคราะห์ทั้งสาม มนุษย์จะสามารถรับเข้ามาจากการใช้ชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจไม่ทราบข้อเท็จจริงเท่านั้นอธิบายสั้นๆ ก็คือ หัวใจจะเป็นตัวดึงเอาพลังดวงอาทิตย์ที่เป็นธาตุไฟในมิติของจิตเข้ามาตลอดเวลาของการเต้น ปอดจะเป็นตัวดึงพลังจากดวงจันทร์ที่เป็นธาตุน้ำ ส่วนกระเพาะอาหารจะทำหน้าที่ดูดซับเอาธาตุดินจากโลกซึ่งมาจากอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ พลังทั้งสามเมื่อหลอมรวมกันแล้ว ก็จะเกิดเป็นพลังที่จะทำให้พลังชีวิตของเรามีประสิทธิภาพ

    เมื่อเราทราบหลักการว่า ชีวิตมนุษย์ตั้งอยู่และดับไปด้วยพื้นฐานแห่งพลังตรงนี้ เราก็ต้องพยายามที่จะไม่เพิ่มเติมเอาสารพิษหรือความขุ่นมัวหรือความเครียดทั้งหลายเข้าไป

    โอกาดะบอกด้วยว่า จริงๆ แล้ว ความเจ็บป่วยนับเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังเตือนหรือกำลังบอกเราว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ต้องแก้ไขและกำจัดทิ้งไป หรือถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาทบทวนดูว่า สิ่งต่างๆ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่นั้น ถูกต้องหรือไม่อย่างไร

    อย่างเช่น เมื่อเราเป็นหวัดก็แสดงว่า ร่างกายกำลังกำจัดของเสียออกไปจากเลือด การรักษาให้หายทำง่ายๆ ด้วยการพักผ่อนและดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งเมื่อสารพิษต่างๆ ถูกขับออกไปแล้ว ร่างกายก็จะกลับมามีสุขภาพดียิ่งกว่าเดิมแต่ที่สำคัญก็คือ เราจะต้องไม่เพิ่มเติมเอาสารพิษต่างๆ ที่อยู่แวดล้อมเข้ามาอีกทั้งในรูปของกายภาพคือจากอาหารการกินหรือสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ รวมทั้งในรูปของทางจิตจากความเครียดต่างๆ โอกาดะให้ชื่อแนวคิดดังกล่าวว่าเป็น "ทฤษฎีแห่งการชำระล้าง"
     
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    คราวที่แล้ว เกริ่นนำถึงหลักคิดและปรัชญาของโอกาดะไปบ้างพอสมควร ซึ่งเชื่อว่า จะช่วยปรับและปูพื้นฐานความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง มาคราวนี้ก็เลยขออนุญาตลงลึกให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่ 2 ส่วนด้วยกันคือ

    1.การบำบัดด้วยอาหาร และ2.การบำบัดทางจิตใจ

    ตามหลักการที่ถูกต้องนั้น การรับประทานอาหารตามปรัชญาของโอกาดะจะต้องปราศจากสารเคมีทุกชนิดและใช้วัสดุ ตลอดจนกรรมวิธีการปลูกตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเป็นสำคัญ

    ดินก็ต้องเป็นดินธรรมชาติ เทคนิคการปลูกหรือการปรับปรุงดินให้มีประสิทธิภาพก็ต้องไม่มีสารเคมี ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงมาเจือปน ซึ่งโอกาดะได้กำหนดมาตรฐานในเรื่องนี้จนได้รับการยอมรับไปทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ถึงขนาดใช้แนวทางของโอกาดะไปเป็นหลักในการส่งเสริมการทำเกษตรกรรมธรรมชาติกันเลยทีเดียว

    คำว่า เกษตรกรรมธรรมชาตินั้น ในปัจจุบันค่อนข้างมีหลากหลายความหมาย ส่วนใหญ่แล้วจะมองไปในเชิงการเกษตรที่ไม่จัดการ ปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติ ได้เท่าไหร่ก็เก็บเกี่ยวเท่านั้น แต่การเกษตรธรรมชาติตามหลักคิดของโอกาดะสามารถใช้วิธีการจัดการโดยอาศัยวัสดุจากธรรมชาติมาช่วยในการปรับปรุงบำรุงดิน

    ดินที่ดีและดินที่อุดมสมบูรณ์ จะอัดแน่นไปด้วยพลังของ 3 ธาตุคือธาตุไฟ ธาตุน้ำและธาตุดิน เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีพลังธรรมชาติเข้าไป ก็จะทำให้พลังธรรมชาติในร่างกายมีความสมบูรณ์มากขึ้น

    ส่วนการบำบัดทางจิตนั้น หลักใหญ่ๆ คือจะมีการโน้มนำเอา "พลังธรรมชาติ" ที่อยู่รอบตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัดเช่นกัน เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อจิตใจปลอดโปร่งไร้ความทุกข์ก็จะช่วยเติมเต็มความเอิบอิ่มในแง่ของจิตวิญญาณ ลดความขุ่นข้องหมองใจลงไป เพราะเมื่อเราบังเกิดความพึงพอใจ จิตใจก็จะรู้สึกสดชื่น และเมื่อสมองหลั่งสารเอ็นโดฟินออกมาก็จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น

    ธรรมชาติในที่นี้ หมายรวมถึงศิลปะความงามทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม จิตรกรรมหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ

    อย่างไรก็ตาม โอกาดะบอกว่า ความงามที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดินซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือ "ดอกไม้"

    ดอกไม้ที่สวยงามไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ชม ก็คงเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบ ต้องยิ้ม ต้องพึงพอใจ คงไม่มีใครเห็นดอกไม้สวยๆ แล้วหน้าตาบูดเบี้ยว ไม่ชอบหรือโมโห เพราะขณะที่เราเห็นดอกไม้ เราได้ดูดซับเอาพลังธรรมชาติของดอกไม้เข้าไปอย่างเต็มที่

    ถ้าไม่เชื่อ วันนี้เมื่อกลับไปถึงบ้าน ก็ทดลองทอดสายตาไปที่ดอกไม้สวยๆ สักชั่วขณะ แล้วคุณจะรู้เองว่า มีความรู้สึกเช่นไร

    ดังนั้น โอกาดะจึงส่งเสริมให้ทุกคนปลูก "ดอกไม้" ในบ้าน หรือถ้าไม่มีพื้นที่ก็ปักเอาไว้ในแจกันก็ได้

    พูดถึงเรื่องศิลปะและความงามแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงศาสตร์ของชนชาติอาทิตย์อุทัยหรือคนญี่ปุ่นแขนงหนึ่ง นั่นก็คือ "ศิลปะการชงชา" เพราะเป็นศาสตร์ที่รวบรวมเอาศิลปะทุกแขนงมารวมกันไว้ ดังนั้น จึงถือเป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยในการบำบัดทางจิตได้เป็นอย่างดี

    อย่างไรก็ตาม การบำบัดทางจิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือ การบำบัดด้วยพลังฝ่ามือ หรือที่ชาว MOA เรียกกันว่า การชำระล้างบำบัดแบบโอกาดะ ซึ่งกลไกการทำงาน จะมีการส่งผ่านพลังธรรมชาติเข้าไปยังจุดที่สัมผัสและตรวจดูว่า มีการสะสมของพิษหรือความขุ่นมัวหรือไม่ จากนั้นก็จะทำการแก้ไขมิติทางจิตเพื่อทำให้ความขุ่นมัวหรือสารพิษที่เกาะอยู่หมดไป

    ส่วนกลไกต่อจากนั้นเป็นอย่างไร หรือใครที่อยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็คงต้องสอบถามเพิ่มเติมไปที่ สุชาติ ชาญนิรุตติ กรรมการและเลขานุการของมูลนิธิแพนอเมริกันเอ็มโอเอไทย ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2641-1185 หรืออีเมล : THMOA@loxinfo.co.th ก็จะทำให้เข้าใจได้มากยิ่งขึ้น
     
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    หากวิเคราะห์แนวความคิดของ "โมเกจิ โอกาดะ" ผู้เป็นต้นธารแห่งธรรมชาติบำบัดเพื่อส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งพอสมควร และสามารถกล่าวได้ว่า เป็นจุดที่แตกต่างระหว่างการแพทย์แผนตะวันตกกับการแพทย์แผนตะวันออกโดยสิ้นเชิง

    ในเรื่องนี้ น.พ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาการแพทย์ทางเลือก สรุปเอาไว้อย่างได้ใจความว่า การแพทย์แผนตะวันตกนั้น เมื่อเกิดปัญหากับระบบของร่างกายจะพยายามมองให้เป็นเรื่องง่ายๆ โดยมองให้เห็นเป็นปัจจัยเดียวแล้วก็จัดการแก้ปัจจัยดังกล่าว เช่น ถ้าร่างกายขาดสารอาหารอะไร ก็เติมสารอาหารชนิดนั้นเข้าไป ซึ่งข้อดีอยู่ตรงที่สามารถเห็นผลทันตา แต่ข้อเสียก็คือเป็นการแก้ปัญหาแบบไม่รู้จักจบสิ้น ต้องแก้ ต้องเติมไปเรื่อยๆ

    แต่ปรัชญาที่โอกาดะถ่ายทอดมายังลูกศิษย์นั้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรับประทานอาหารที่เน้นหนักไปที่การรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติ และปราศจากสิ่งปนเปื้อน เพราะถ้าหากรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติก็จะได้รับพลังชีวิตที่เป็นธรรมชาติด้วย

    หากใครที่เคยรับประทานพืชผักที่ปลูกตามแนวทางของโอกาดะ ซึ่งมีวางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ก็จะพบว่า นอกจากรสชาติจะอร่อยกว่าพืชผักทั่วๆ ไปแล้ว ยังมีความรู้สึกสดชื่นและมีพลังเพิ่มขึ้นอีกด้วย

    "แนวคิดของโอกาดะใกล้เคียงกับแนวทางของแมคโครไบโอติกมาก เท่าที่ผมทราบจริงๆ แล้วกลุ่มนี้สามารถลงลึกไปการผลิต หมายความว่ามีการกระตุ้นให้ชาวบ้านทำเกษตรกรรมปลอดสารพิษด้วย แล้วข้อดีก็คือว่า ไม่ได้เร่งให้ทำแบบหักโหม แต่ค่อยๆ ปรับให้เป็นไปทีละขั้นก่อนจะมาถึงเกษตรธรรมชาติอย่างแท้จริง"

    "เช่นเดียวกับเรื่องการชงชาและการจัดดอกไม้ ทั้งสองเรื่องสามารถช่วยให้เรากระตุ้นสมองเพื่อพัฒนาตัวเอง มีสมาธิ เกิดมุมมองที่มีชีวิตชีวา รู้จักคุณค่าของธรรมชาติและทำให้เกิดการเรียงตัวของคลื่นพลังความคิดไปในเชิงบวก มีความละเมียดละไมจากการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความรีบเร่งและกลายเป็นทาสของวัตถุนิยมมากขึ้นทุกขณะ"

    สำหรับเรื่องการส่งพลังหรือรวบรวมพลังเพื่อบำบัดพิษให้ตัวเองหรือผู้อื่นนั้น คุณหมอจักรกฤษณ์บอกว่า ถ้าอธิบายตามทฤษฎีของอายุรเวชก็หมายถึง การที่แหล่งรับพลังของร่างกายซึ่งอยู่ที่ "จักร" ได้เปิดทางให้กับพลังธรรมชาติเข้ามาผสมผสานกลมกลืนในร่างกาย จากนั้นก็จะส่งผ่านคลื่นเหล่านี้ออกไปยังบุคคลที่มีความปรารถนาจะรักษาให้หาย โดยอาจไปได้ทั้งทางมือหรือทางกระแสจิต

    ฟังการวิเคราะห์ของคุณหมอจักรกฤษณ์แล้วก็ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาในทันทีเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม อีกจุดหนึ่งที่ "ผู้จัดการสุขภาพ" คิดว่าน่าจะช่วยเสริมหรือสามารถปรับประยุกต์ใช้ร่วมกับแนวคิดของโอกาดะและศาสตร์สุขภาพทางเลือกอื่นๆ ได้ดีนั่นก็คือ แนวคิดในการรับประทานอาหารแบบสุขใจ

    หลักการง่ายๆ ของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ทุกครั้งที่เรารับประทานอาหาร จะต้องกระทำด้วย "ความสบายใจ" ไม่ใช่รับประทานด้วย "ความเครียด" ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากความวิตกกังวลในจิตใจจะส่งผลในเชิงลบมากกว่าการรับประทานสารอาหารที่ปนเปื้อนเล็กๆ น้อยๆ ด้วยซ้ำไป

    เพราะการรับประทานอาหารด้วยความสบายใจ จะสามารถช่วยกระตุ้นสมองให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ดังจะเห็นได้ว่า ทุกชาติทุกภาษาต่างให้ความสำคัญกับเรื่องราวบนโต๊ะอาหารค่อนข้างมาก มีการจัดโต๊ะ ตกแต่งและรังสรรค์ความสวยงามเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศระหว่างการรับประทานอาหาร

    ถ้าเป็นของไทย สิ่งที่เห็นได้ชัดๆ น่าจะเป็นเรื่องของการสลักเสลา การแกะสลักผักผลไม้ต่างๆ ให้สวยงาม ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แฝงเอาไว้ด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่ความฟุ่มเฟือยหรือแสดงวัฒนธรรมและขนบประเพณีของชาติเท่านั้น

    ความจริงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติบำบัด เกี่ยวกับเรื่องการรับประทานอาหารให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อเราถูกโลกสมัยใหม่โน้มนำไป จึงทำให้หลงลืมสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย

    หมูบะช่อต้มกับยอดตำลึงที่เด็ดจากข้างรั้ว รับประทานครั้งใดก็อร่อยเมื่อนั้น

    น้ำพริกปลาทูแกล้มกับมะเขือ แตงกวาที่ปลูกเอาไว้ที่สวนครัวหลังบ้าน รับประทานครั้งใดเป็นรู้สึกสดชื่นและให้ความรู้สึกกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเมื่อนั้น

    ที่สำคัญคือ แต่ละภาคก็ล้วนแล้วแต่มีชนิดของอาหารที่สอดคล้องกับธาตุของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

    ...ย้ำกันอีกทีสำหรับผู้ที่อยากติดต่อทาง MOA เพื่อรับทราบข้อมูลและแนวคิด ตลอดรวมถึงแหล่งจำหน่ายพืชผักธรรมชาติ สามารถโทรศัพท์ไปได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2641-1185 หรืออีเมล์ : THMOA@loxinfo.co.th
     
  4. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    :cool: ขอบคุณค่ะ น้องเอก
     
  5. panda

    panda สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    [b-wai] ยาวจังเลย T___________T


     

แชร์หน้านี้

Loading...