Inelia ผู้มาจากต่างมิติ - บทสัมภาษณ์ และบทความจากเธอ เกี่ยวกับปี 2012 และการ Ascension ของโลก

Chayutt · 24 มีนาคม 2014

ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกับอิเนเลีย (Inelia) ก่อนนะครับ จากเวปไซต์ของเธอเอง

Home (www.inelia.com)

ข้อความบางส่วนจากเวปไซต์ของเธอ

... เวปไซต์นี้เป็นเวปพี่เวปน้องกับเวปไซต์ www.ascension101.com
และมันก็ถูกอุทิศขึ้นมาเพื่ออธิบายและเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของประเด็นต่างๆ
โดยผ่านทางวีดีโอและไฟล์เสียง ประเด็นดังกล่าวนี้จะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับว่าฉันเป็นใคร
ฉันคืออิเนเลียผู้เป็นเจ้าของเวปไซต์ทั้งสองนี้ และอย่างไร โดยจะลงไปในรายละเอียดเหล่านี้

ข้อมูลที่จะแบ่งปันในเวปไซต์นี้ อาจจะช่วยให้คุณพบว่า ผู้อื่นมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับโลก,
เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริงสมมุตินี้, เกี่ยวกับเส้นกาลเวลา, ปี 2012, มิติต่างๆ,
การเนรมิต, รูปธรรมชีวิตจากนอกโลก, เทคโนโลยีที่ถูกปกปิดเอาไว้, ความสามารถทางจิต,
พัฒนาการทางจิตวิญญาณ, และอื่นๆอีกมากมาย

เมื่อคุณได้อ่าน, ได้ดู และได้ฟังแล้ว ร่างกายของคุณจะบอกคุณเองว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง และอะไรที่เป็นไปได้

สิ่งที่คุณเห็น คือสิ่งที่คุณได้ ไม่มีแผนการใดๆซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น ไม่มีความลึกลับใดๆทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรมาเร่ขายทั้งสิ้น ไม่มียาอายุวัฒนะครอบจักรวาล ที่จะช่วยรักษาชีวิตคุณเอาไว้ทั้งสิ้น
มันเป็นแค่ข้อมูล และเครื่องมือ ที่จะทำให้คุณสามารถเข้าใจชีวิต และพัฒนาชีวิตของตัวคุณเอง
หรือของดาวเคราะห์โลกได้เท่านั้น (ถ้านั่นคือสิ่งที่จิตวิญญาณของคุณเรียกร้องให้คุณทำ)

เมื่อคุณอ่านเวปไซต์นี้แล้ว ความรู้สึกลึกๆภายในของคุณ หรือญาณหยั่งรู้ของคุณ
จะบอกคุณเองว่ามันเป็นข้อเท็จจริง และเป็นความจริงหรือไม่ และมันคือสิ่งที่คุณอยากจะอ่าน อยากจะฟัง
หรืออยากจะเห็นหรือไม่?...

เกี่ยวกับอิเนเลีย

ชื่อเต็มของฉันคืออิเนเลีย เดล พิลาร์ อะฮูมาดา อาวีล่า (Inelia del Pilar Ahumada Avila)
และฉันก็เป็นที่รู้จักกันในนามของ อิเนเลีย เบนซ์ (Inelia Benz) ด้วย
ฉันเกิดในประเทศชิลี ในปี 1966 ในครอบครัวที่ต้องเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองอย่างมาก
พ่อแม่ของฉันเคยทำงานให้กับ และใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิปดีอาเลนเด้ (President Allende)
ผู้ซึ่งถูกโค่นล้มอำนาจไปในการก่อรัฐประหารในปี 1973

ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ การแตกแยกและการล่มสลายของครอบครัวเราด้วย
จนในที่สุดพวกเราต้องหนีออกจากประเทศนั้นไป และฉันก็ไปโตอยู่ในประเทศอังกฤษ

ประมาณปี 90 กว่าๆ ฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองดุบลิน (Dublin) ประเทศไอร์แลนด์
พร้อมกับสามีคนแรกและลูกๆของฉันอีก 3 คน ที่นั่นเองที่ฉันได้เข้าศึกษาที่วิทยาลัย
และสำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาการศึกษาการสื่อสาร (Communication Studies)

ตลอดช่วงเวลาที่ฉันพำนักอยู่ที่ประเทศไอร์แลนด์นั้น ฉันเคยเป็นผู้นำกลุ่มชาวพุทธ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ
และแบบวิถีพุทธนี่เองที่ฉันปฏิบัติมาแล้ว 14 ปี และฉันก็อยากขอแนะนำว่า
ใครก็ตามที่กำลังมองหาวิธีปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ทรงพลังอยู่หละก็ นี่แหละคือวิถีทางนั้นหละ

หลังจากนั้นฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ในอีกหลายๆประเทศ และก็ได้มีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือ
“ผู้ปฏิบัติงานแห่งแสงสว่าง” (Light workers) และ “นักรบแห่งแสงสว่าง” (Light warrior) ทั้งหลาย
บนวิถีทางของพวกเขา

รวมถึงฉันได้ร่วมค้นหา และวินิจฉัยว่า “ฝ่ายมืด” กำลังทำอะไรอยู่บนโลกใบนี้ด้วย
และฉันยังได้พัฒนาและค้นหาเครื่องมือ และวิธีปฏิบัติต่างๆที่จะทำให้ความตระหนักรู้
และระดับความสั่นสะเทือนของมนุษย์ และของดาวเคราะห์โลกใบนี้ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และอย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย

แม้ว่าเส้นทางเดินมันจะไม่ได้ปราศจากอันตรายและการบาดเจ็บ แต่มันก็คุ้มค่า

ในเดือนมกราคม ปี 2010 ฉันได้รับการร้องขอจาก “แหล่งกำเนิด” (the Source) ให้เปิดตัวสู่สาธารณะ
อย่างที่ฉันกำลังทำอยู่นี่แหละ ภารกิจในครั้งนี้จึงได้ค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆจนถึงต้นปีนี้ (ปี 2011)
และหลังจากที่ฉันได้รับการร้องขอจาก “แหล่งกำเนิด” อีกครั้งหนึ่ง ฉันจึงได้สร้างทีมงานขึ้นมา
ร่วมกับ Bill Ryan เพื่อนำข้อมูลออกเผยแพร่สู่สาธารณะตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...

...............................................

Chayutt · 24 มีนาคม 2014

บทสัมภาษณ์ Inelia Benz โดย Bill Ryan แห่ง Project Avalon

สรุปใจความสำคัญโดย : คุณ Threeam

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=feZqzZUV19w

..จดโน๊ตมาแบบดิบๆ ไม่ได้เกลาเลย ไม่ค่อยสละสลวยก็พยายามมองข้<wbr>ามไปนะคะ
เก็บกลับไปแต่เนื้อๆละกันนะคะ ต้องบอกว่าเป็นการแปลแบบสุ่มเสี่ยงมาก
เพราะใช้ความเข้าใจตนเองเป็<wbr>นบรรทัดฐาน ซึ่งอาจจะสื่อถ่ายทอดผิดเพี้<wbr>ยนไปได้อย่างง่ายๆเลย
เพื่อนๆทำใจหน่อยนะคะ
______________________________<wbr>________

ผู้สัมภาษณ์เกริ่นให้ฟังโดยมีประเด็น น่าสนใจว่า ความสามารถพิเศษที่ Inelia มีนั้น
เธอบอกว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน มีอยู่แล้ว ไม่ใช่พรพิเศษจากไหน และผู้ที่ควบคุมโลกเราอยู่นี้
พยายามไม่ให้เรารู้ นอกจากนี้ เขายังย้ำว่า ความมหัศจรรย์ (majic) ที่จะได้กล่าวถึงนั้น
ไม่ใช่เป้าหมายในทางจิตวิญญาณ และไม่ได้เป็นไปเพื่อเพิ่มอัตตา ดั่งที่จะได้เห็นจาก Inelia
เป็นตัวอย่างที่ดี (มีอัตตาน้อยมากๆ) และ พวกเราทุกๆคน มีความสามารถที่จะทำได้อย่าง Inelia
สามารถที่จะเปลี่ยนจักรวาลรอบๆตัวเรา และจากที่ Inelia บอก เราสามารถสร้างสรรเส้นทางของตนเอง
time line และ/หรือ อนาคตตัวเอง และเราควรจะต้องรับผิดชอบชีวิตเราเอง และสร้างสิ่งที่เราปรารถนา
..........................................................

ต่อมา ก็เริ่มสัมภาษณ์ ด้วยการถามถึงประวัติความเป็นมา ได้ความว่า
Inelia เกิดที่ชิลี
จากชิลีในฐานะผู้อพยพ และไปลงเอยที่ เมืองน๊อตติ้งแฮม ที่อังกฤษ เติบโตที่นั่นหลายปี
ย้ายไปไอร์แลนด์ 9 ปี จบวิทยาลัยที่นั่น และกลับไปที่ชิลี จัดการทรัพย์สินของครอบครัว
แล้วไปอยู่ที่สเปน กลับไปอยู่อังกฤษ ตอนนี้อยู่ที่สหรัฐอเมริกามา 6 ปีแล้ว
(มีการแซวขำๆว่าเธอดูหน้าอ่อนเยาว์อยู่เลย ซึ่งเธอก็บอกว่าเธอไม่เด็กแล้ว)

ทีนี้เริ่มไล่ถึงความสามารถพิเศษของเธอ อันดับแรกคือ ภาษา ผู้สัมภาษณ์บอกได้ยินว่า
Inelia ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งเธอได้อธิบายเรื่องนี้ว่า ดั่งที่เราเข้าใจโดยพื้นฐานกันว่า
ทุกจิตจะเริ่มจาก the oneness แตกตัวมากำเนิดภพชาติทั้งหลาย เวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั้น

แต่ในกรณีของเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอบอกว่า อย่างเธอก็เดินทางโดยตรงมาที่โลกนี้
เพื่อมาปฏิบัติการเฉพาะกิจ และเมื่องานเสร็จ ร่างหรือจิตที่เราเห็นและเข้าใจกันนี้ ก็ไม่มีอีกต่อไป
ดังนั้นในนิยามของเธอ ความหมายของคำว่า มนุษย์และจิตวิญญาณ person & soul ใช้กับเธอไม่ได้

ผู้สัมภาษณ์ (ต่อไปขอใช้คำว่า เขา) เขาบอกได้ยินว่า เธอเป็นลักษณะพิเศษมากที่
เป็นจิตที่ไม่เคยกำเนิดมาก่อนเลยในโลกนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยกำเนิดเลยในดาวเคราะห์ไหนๆ

เธอบอกว่า เธอเข้ามาที่ matrix time space ครึ่งชั่วโมงก่อนที่เธอจะถือกำเนิดในโลกเรานี้
เขาย้ำว่าเธอมาแบบจาก the Souce, unity ตรงมาที่โลกเลย มาปฏิบัติภารกิจของเธอ
และด้วยเหตุนี้ เธอต้องเรียนรู้ (และยังคงทำอยู่อย่างต่อเนื่อง) ที่จะ function
ที่จะรู้จักใช้ร่างกายมนุษย์นี้ของเธอ รู้จักการใช้ชีวิตในมิติที่เวลาเรียงกันเป็นเส้นตรงแบบนี้

เขาถามว่าคงท้าทายมากที่ต้องมาแบบนี้ เธอว่าใช่ ที่มากสุดก็คือเรื่อง reaction
การตอบสนองจากคนรอบข้างตัวเธอ ยกตัวอย่าง อายุ 9 เดือน แม่เธอบอกว่าเธอพูดสเปน
โดยไม่มีสำเนียงชิลีปนเลย ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเธอพยายามจะสือสารกับคนอื่น
โดยเธอทำได้ด้วย ใช้อุปกรณ์ของเธอ ไปดาวน์โหลดข้อมูลนี้มาใช้
แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้แล้วในเรื่องของภาษา แต่ยังทำเรื่องอื่นได้
แต่ต้องเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่เพื่อสนุกเล่นๆ

เขาบอกว่าเธอพูดโปรตุเกส กะ รัสเซีย ได้อีกด้วย โดยเธอไม่รู้ตัว คือสำหรับเธอ เธอกำลังพูดอังกฤษ
และทักษะนี้จะเกิดขึ้นเวลาช่วยเหลือคนอื่น เช่นเธอพูดโปรตุเกสกับผู้ป่วยเป็นชั่วโมง
และอีกครั้งที่เธอไปช่วยคน คนอื่นบอกว่าเธอพูดรัสเซียโดยเธอไม่รู้ตัวเอง

มีอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ตอนเธอเป็นเด็ก เธอจะล้มลงตลอดเวลา เธอเล่าว่า
เธอมาที่โลกนี้ครึ่งชั่วโมงก่อนเกิด ตอนนั้นเธอต้องพยายามจะเข้าร่าง และใช้ร่างให้เป็น
ซึ่งเป็นแบบพิเศษ คือแบบปกติ วิญญาณจะมารอเข้าร่าง และเชื่อมต่อกัน
ในกรณีของเธอ เธอไม่รู้เลยว่าต้องทำไงในการใช้ร่างนี้ หายใจยังไง เคลื่อนไหว หันศรีษะฯลฯ

สำหรับเธอมันเหมือนเจอคอมพิวเตอร์ ที่จะต้องทำการโปรแกรม และตัวสายตาของเธอ
กลับอยู่ที่ข้างนอกร่างแถวๆข้างหลังศรีษะ แรกๆเธอพยายามเคลื่อนแขนแบบชักหุ่นแต่ไม่สำเร็จ
เธอต้องเข้าไปแบบเหมือนสวมสูท และทั้งหมดจะเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์

เธอบอกเธอเคยมี viewpoint สายตามองได้แบบรอบ 360 องศารอบตัว
และนั่นทำให้เธอล้มลงตลอดเวลา เพราะสายตาอยู่บนหัว ค่อนไปทางหลัง เลยไม่เห็นของอยู่ตรงหน้า
เธอจึงล้มตลอดเวลาหน้าชนพื้นเลือดไหล แม่เธอถามว่าทำไมไม่ใช้ตามอง
เธอบอกไม่ได้ ตาที่เธอเห็น เพียงแค่รูเล็กๆ แต่แม่เธอสั่งว่า ใช้ตาตัวเองซะ
เธอซึ่งอายุ 4 ขวบก็ทำตาม และต้องฝึกอย่างหนักหัดมองสิ่งต่างๆด้วยดวงตาแบบมนุษย์

ประเด็นต่อมา เธอสามารถออกจากร่างไปเที่ยวในจักรวาลได้ทุกเมื่อ
และเธอบอกเธอต้องไปบ้าง
เพราะค่อนข้างอึดอัด เมื่่ออยู่ในร่างมนุษย์

เขาและเธอช่วยสรุปว่า นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้อยู่แล้ว แต่จางหายไป

เขาถามว่ามีอะไรอีกที่เธอทำได้อีก เธอบอกให้เขาจำกัดวงให้แคบลงหน่อย

เรื่องต่อมา เรื่องที่เธอติดโทรทัศน์ โดยเฉพาะเรื่องที่เธอสนใจ เช่นหนังประวัติศาสตร์
และถ้าใครมาเปลี่ยนช่อง เธอจะโกรธนิดๆ ปี 2001 เธอดูทีวี มีคนหยิบรีโมทขึ้นมาจะเปลี่ยนช่อง
เธอบอกอย่าเปลี่ยนช่องนะ คนๆนั้นก็จะเปลี่ยน แต่ก็ต้องทิ้งรีโมทลง แล้วร้องขึ้นมา
เพราะร้อน ซึ่งพอเปิดด้านในของรีโมทดู ก็พบว่ามันหลอมละลายไปหมดเลย

เธอบอกว่า ใครก็ตามที่เข้าถึงการรับรู้ reach the awareness ก็ทำเรื่องเหล่านี้ได้เหมือนกัน
เพราะเป็นทักษะติดตัวมนุษย์มาอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรที่เธอเอามาจากนอกโลก
เป็นอะไรที่ถูกกดปิดเอาไว้ ไม่ให้เราเชื่อว่าเราทำได้

เธอบอก คนที่ยกระดับจิตวิญญาณได้แล้วทุกคน จะสามารถมีทักษะเหล่านี้ได้ เสมอ
ในขณะที่อีกทาง คนที่พยายามสร้างทักษะพิเศษเหล่านี้ เช่น อ่านใจคน โทรจิต ฯลฯ
ไม่จำเป็นจะมีระดับจิตวิญญาณที่สูงเสมอไป

แล้วการสนทนาก็มาถึงว่า เธอสามารถอ่านใจคนได้ เธอบอกว่า ไม่ใช่เข้าไปในใจคนแล้วอ่าน
เพราะว่านั่นก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่ก็ทำได้เหมือนกัน เธอยกตัวอย่างเรื่องอ่านไพ่ที่คนอื่นถืออยู่ได้
เพราะคนถือไพ่มองอยู่ และยิ่งเขาพยายามจะปกปิดมันเท่าไหร่
แต่มันก็จะเป็นภาพลอยอยู่ข้างหน้าเขาแบบนั้นแหละ

ดังนั้น การอ่านใจคนอื่นสำหรับเธอแล้ว เป็นแบบ merge เข้าไปสวมตัวกับคนๆนั้นเลย
มากกว่าเข้าไปดูที่จิตใจ และเมื่อเข้าไปแล้ว ไม่ได้ไปหยิบความรู้สึกเท่านั้น
แต่สามารถหยิบสิ่งที่คนนั้นเห็น ความรู้สึก ความทรงจำ ความคิดในขณะนั้นด้วย ในบางครั้ง
เขาบอกได้ยินว่าเธอใช้วิธีกลายเป็นคนคนนั้น และนั่นทำให้เธอสามารถเข้าไปล่วงรู้ข้างในคนคนนั้นได้
เธอบอก ประมาณว่าเป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียว ประเด็นที่ลึกเข้าไปอีกคือ
เธอเข้าไปดูได้ทั้ง time line ในอดีต ในอนาคตของคนๆนั้น

แต่สำหรับอนาคต ยากนิดนึง เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งของเรา จะส่งผลต่ออนาคต
ประมาณว่าอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ในขณะที่ ดูอดีต จะง่ายมาก เธอยังบอกอีกว่า สามารถดูเข้าไปแล้วลองดูซิว่าถ้าเปลี่ยนทางเลือก
แล้วสิ่งที่ตามมาจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ในแบบของเธอ จะต่างจากพวกคนที่มีสัมผัสพิเศษรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
เพราะแบบนั้นจะเหมือนเห็นเป็นหนังภาพยนตร์ แต่ของเธอเป็นแบบเธอไปที่นั่น
และดูเหตุการณ์นั้นในสถานที่นั้น ต้องระวังด้วย และคนสัมผัสพิเศษจะเห็นเธออยู่ที่นั่น
สรุปต้องระวัง เพราะการไปปรากฏตัวของเธออาจสามารถเปลี่ยนเรื่องราวได้

เขาพูดถึงมีคนที่ฝันหลากหลายผ่านภพชาติหกชาติของตัวเขา คนนั้นอธิบายว่า
ไม่ได้ตามทาง แต่เหมือนแทรกเข้าไปแต่ละที่ เธอบอกควอนตัมฟิสิกส์ก็ยืนยันเรื่องนี้แล้ว
เธอสามารถไปที่ที่เกิดเหตุการณ์แล้ว เพื่อหาคำตอบ คำแนะนำ เช่น เล่นไวโอลิน ทำครัว ไปตลาดหุ้น

เธอย้ำว่าทุกคนทำได้ โดย คิด ให้เฉพาะเจาะจง เช่น อยากรู้ว่าทำไงจะใช้พรสวรรค์ตัวเองช่วยคนอื่น
แล้วทำเงินได้ด้วย ก็ให้คิดเข้าไปในเส้นทางที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ไปดูว่าทำยังไง
แล้วเราสามารถกลับมาพร้อมข้อมูลที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นได้จริงๆ

เขาพูดกันถึงเส้นทางคู่ขนาน และเธอบอกมีมากมายนับไม่ถ้วน

เขาถามว่างานของเธอคืออะไร เธอบอกมีเพียงหนึ่งงานคือ ยกระดับความสั่นสะเทือนของโลกรวมทั้งมนุษย์
ให้ไปถึงระดับที่สำคัญที่จะเป็นการยกระดับเข้าสู่มิติที่สูงขึ้นต่อไป สำหรับทุกอย่าง คน ก้อนหิน แมลง ฯลฯ

และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ เช่น อาจเป็นการช่วยคนที่ตื่นรู้แล้วให้ยกระดับขึ้นไป
อาจเป็นการช่วยคนที่ยังไม่ตื่นรู้ อาจเป็นการไปสถานที่เพื่อทำความสะอาดให้พลังงานเดินดีขึ้น

เขาถามเธอรู้เมื่อไหร่ว่าเธอต้องทำงานนี้ เธอบอกเธอรู้มาตลอด แม้พ่อแม่ที่เป็นครูอาจารย์
จะไม่ได้ให้ไอเดียเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่เธอก็ทำตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่น
เช่นนั่งข้างๆคนที่พลังงานตกต่ำและช่วยเขา

เขาถามว่า ใครและยังไงที่บอกให้เธอทำงานนี้ เธอบอก ข้อมูลคำสั่งจะเข้ามาหาเธอชัดมาก
ในลักษณะที่ถ้าเธอพลาดไป เธอก็จะยังได้รับสื่ออยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้น
เช่น หนังสือหล่นลงจากชั้น เด็กพูดซ้ำคำเดิม เสียงวิทยุเล่นเพลงซ้ำๆ
บางที
ก็ให้ไปที่ปาร์คเจอผู้หญิงนั่งที่เก้าอี้ และเธอก็จะทำโดยไม่สงสัยหรือถามอะไร

แต่เธอบอกตอนวัยรุ่น ก็มีต่อต้านบ้าง มีครั้งที่เธอถูกบอกไม่ให้วิ่งกระโดดโลดเต้นที่ดวงดาว
มีครั้งที่เธอบอกไม่อยากทำ สไตล์วัยรุ่น แล้วเธอก็เรียนรู้ว่าเธอต้องทำ มีครั้งที่เธอทำไม่ดี
เช่น พูดไม่ดีกับแม่ มือของเธอก็ตบเข้าที่หน้าเธอเองอย่างแรง จนเธอร้องโอ๊ว
แล้วเธอก็จะรู้เองว่าเธอไม่ควรทำอย่างนั้น

มีครั้งนึง ฉุกเฉิน ต้องทำ ต้องทำ แล้วเธอลังเลชักช้า จนในที่สุดก็ต้องรีบไปที่นั่นอยู่ดี
เธอจึงรู้ว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอเลือก เธอต้องทำตาม เธอยังบอกวิธีแยกแยะว่า เสียงที่สั่งเธอนั้นเป็น อัตตา
หรือเป็นสิ่งที่ถูกต้องบริสุทธิ์จาก the Source

โดยการสังเกตุร่างกายตัวเอง รู้สึกสัมผัสตัวเอง ว่า เป็นสิ่งผิดปกติหรือไม่ ให้พูดโกหก และสังเกตุตัวเอง
แล้วเราจะสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติ แล้วทำให้พัฒนาทักษะในการแยกแยะว่าเรื่องไหนจริง ไม่จริง

เขายกตัวอย่างผู้หญิงนั่งที่ปาร์ค ที่เธอไปหา เขาถามว่าเธอทำยังไงกะผู้หญิงคนนั้นในการช่วยเหลือ
เธออธิบายว่า เป็นการ จดจ่อ focus ไปที่ผู้หญิงคนนั้น ไม่มีความสงสัย
และเธอเป็นทางผ่านให้พลังงานบริสุทธิ์ผ่านเธอไปยังผู้หญิงคนนั้นเพื่อรักษาหรืออะไรก็ตามแต่

เธอเล่าว่าแม่เธอจัดปาร์ตี้บ่อยๆ เธอจะสำรวจดูว่าใครที่มีความสั่นสะเทือนต่ำๆ เธอจะเข้าไปช่วยคนนั้น
ซึ่งเธอก็มักจะทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆเป็นเรื่องปกติของเธอ เธอจะเข้าไปนั่งข้างๆเขา
แล้วไม่นาน เธอจะสัมผัสได้ว่าความสั่นสะเทือนของคนนั้นจะสูงขึ้น

มีครั้งนึงที่เธอใช้เวลาชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง กับผู้ชายคนนึง เธอพูดโปรตุเกสกับผู้ชายคนนึง
ซึ่งเธอไม่รู้ตัวเองเลยว่าได้พูดภาษาโปรตุเกสกับเขาไป พอสนทนาเสร็จ เขาถามเธอว่า
ไปเรียนภาษาโปรตุเกสมาจากไหน เธอตอบเขาไปว่า ไม่นี่ เธอพูดภาษาโปรตุเกสไม่ได้
จนเขายืนยันว่าเธอพูดกับเขาร่วมสองชั่วโมงเลยทีเดียว เธอก็งงงงและ say good bye เขาไป

หลายสัปดาห์ต่อมา เธอเพิ่งรู้ว่าผู้ชายคนที่เธอเคยคุยภาษาโปรตุเกสด้วยนั้น
เขาป่วยเป็นโรคร้ายแรงระยะสุดท้ายอยู่ เพราะเขามาที่บ้านของเธอ เพื่อมาขอบคุณเธอ
เพราะหลังจากคุยกับเธอแล้ว ไม่นานเขาก็หายป่วยจากโรคนั้นแบบไม่มีวี่แวว
ไปตรวจก็ไม่พบโรคนั้นอีกแล้ว และเพราะว่าเขาเคยอยู่ที่บราซิลมาก่อน เขาจึงพอจะรู้เรื่อง
เกี่ยวกับ Healer และสิ่งที่ healer ทำได้ดี รวมถึงเรื่องการพูดภาษาอื่นๆแบบที่เธอทำนี้ด้วย
เขาจึงมั่นใจว่า ต้องไม่ใช่ใครอื่นแน่ ต้องเป็นเธอแน่ๆ ซึ่งตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย
ว่าเธอได้ช่วยรักษาให้เขาไปแล้ว

มีคนมีสัมผัสพิเศษมาคุยกะเธอ มาเล่าว่ารู้ถึงสิ่งพิเศษที่เธอทำ ปกติเธอไม่สนใจการยอมรับจากใคร
และไม่ใคร่รู้ว่าใครจะรู้หรือไม่ในสิ่งที่เธอทำ แต่เธอพบว่าบางครั้ง การยอมรับนั้น
มีความสำคัญที่จะทำให้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้จริงนั้น เป็นจริงขึ้นมา

เธอบอก เธอยังมักถูกส่งไปสนับสนุน light worker ที่มีความไม่มั่นใจที่จะทำ
และช่วยขจัดพลังงานลบออกจากตัวพวกเขาด้วย ให้พวกเขาสามารถตัดสินใจ
โดยใช้ทางเลือกอิสระของตนเองได้อย่างแท้จริง โดยไม่ได้รับผลกระทบจากฝ่ายมืดที่ส่งพลังมาแทรกแซง
หรือขัดขวางอยู่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นหลายครั้ง

เธอบอกสิ่งที่เธอทำคือ การ focus จดจ่อไปที่คนที่เธอไปช่วย แล้วจักรวาลจะพุ่งจดจ่อที่คนนั้น
โดยกรณีที่จะเกิดขึ้นได้ก็มี การเปลี่ยนพลังมืดนั้นๆ ให้กลับไปรวมกับ the oneness
หรือให้มันทิ้งร่างไปเกิดใหม่ที่จะมีพลังงานลบแบบนั้นได้ หรือกลายร่างเป็นแสงสว่าง

เธอมีกรณีไปเจอคนที่มีพลังงานลบสูงมาก มีอำนาจมาก ทั้งทางพลังจิต ทางสังคม และทุกๆด้าน
very dark เลว มืดดำมาก เธอบอกงานของเธอที่ได้รับมอบหมายคือ ให้อยู่ใกล้กับคนคนนั้น
ซึ่งเธอรู้สึกลำบากใจมาก ไม่อยากทำเลย แต่คนที่มีสัมผัสพิเศษคนหนึ่ง
ก็บอกให้เธออยู่ใกล้กับคนเลวนั้นด้วย เพื่อเขียนจดโน๊ตเรื่องราวที่คนนั้นทำ
เธอใช้เวลาเป็นสัปดาห์และเขียนออกมา และไปค้นกูเกิลและพบว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง มีคนทำแบบนี้กันจริง

เป็นเรื่องเลวร้ายมากมาย การบูชายันต์ชีวิตเด็ก เลือด ฯลฯ ที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ได้
หลายสัปดาห์ต่อมา เธอถูกส่งให้ออกจากร่าง เพื่อไปที่แมนชั่นใหญ่มากของเขา
เธอเดินเข้าไปเห็นคนคนนั้น และนั่งข้างๆเขา มองที่คนๆนั้น คนๆนั้นก็มองเธอ
แล้วคนๆนั้นก็สื่อว่าต้องการความช่วยเหลือ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงพลังงานบริสุทธิ์
พลังงานความรักอันปราศจากเงื่อนไข ไหลบ่าลงมาที่เธอ แล้วถ่ายทอดต่อไปให้คนๆนั้นทันที
แล้วคนนั้นก็กลับสว่างขึ้นมาได้อีกครั้ง เธอประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาก

เธอกลับมาที่ร่าง และงงในสถานะมนุษย์ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไรกับการที่คนเลวขนาดนั้นได้รับการชำระล้าง
ซึ่งทำให้ตระหนักว่า เธอไม่ควรใช้การตัดสินแบบมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง

เธอมีเพื่อนที่มีสัมผัสพิเศษ อีเมล์เธอ เธอไปที่แมนชั่นกับเธอ เดินไปรอบๆกับผู้ที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย
ซึ่งได้บอกว่าในที่นั้น พลังงานไม่มีหลงเหลืออยู่เลย สะอาดมาก

เขาและเธอช่วยกันสรุป และเสริมอธิบายถึงสิ่งที่เธอเป็นว่า เธอมีหน้าที่จดจ่อไปที่คนที่ต้องการรับความช่วยเหลือ
และเป็นทางผ่านให้กับพลังงานจักรวาล เป็น the lens เพื่อถ่ายทอดพลังงานจากจักรวาล
แล่นผ่านไปช่วยคนนั้น โดยเธอไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอะไร และคนที่รับความช่วยเหลือ
จะต้องมีความตั้งใจเปิดรับการช่วยเหลือ เธอไม่สามารถบังคับให้ใครทำอย่างนั้นได้ ถ้าคนนั้นไม่ต้องการ

โดยเฉพาะในกรณี light worker นั้น light worker จะต้องออกปากร้องขอให้เธอช่วย เธอไปช่วยเองไม่ได้

เขาถามว่าเธอทำไงในกรณีมาพบเขา เธอได้คำสั่งโดยได้รับชื่อของเขา Bill และ Avalon
เธอใช้เวลาเป็นสัปดาหืในการค้นหาเขา จนเธอเจอเว็บฯเขา ไปที่ฟอรั่ม โพสท์กระทู้เพื่อให้เขาเห็น
แต่เขาจะต้องติดต่อเธอเอง เธอแค่แสดงตัวให้เห็นเท่านั้น

เขาถามว่าเธอต้องทำมากี่งานแล้ว เธอบอกมากมายจนบอกไม่ได้ บางงานก็ใช้เวลาเป็นปี

เขาถามว่า อยากรู้ไหมทำไม เธอบอกไม่ทราบ และไม่สนใจหาคำตอบ
เขาถามว่าเธอขี้สงสัยไหม เธอบอกไม่เธอไม่ขี้สงสัย แต่เธอบอก เมื่อทุกอย่างเปิดเผยขึ้นมา
ว่าทำไมเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็น่าสนใจดี

เขาถามคำอธิบาย the source ที่ให้ข้อมูลทั้งหลาย เธอเรียก divine source
เธอบอก ได้มีการ ร้องขอ จากหลายทาง หลายมิติ ฯลฯ ให้โลกนี้ยกระดับขึ้น
อันรวมถึงทุกอย่าง มนุษย์ หิน ต้นไม้ ตัวโลกเอง ฯลฯ

เธอบอกมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ในทั้งระบบนี้

มาถึงประเด็นว่าโลกเราตอนนี้ตกอยู่ภายใต้พลังงานลบอย่างมาก สงคราม ความกลัว
โลกถูกครอบงำด้วยความสั่นสะเทือนความกลัว โดยคนจำนวนน้อยนิด ผ่าน สงคราม ทีวี อาชญากรรม
หรือแม้กระทั่ง ดนตรี

แล้วก็มาคุยกันต่อเรื่องมาทำการเปลี่ยนแปลง time line

เธอบอก เมื่อเธอมาที่ time line นี้ เธอมีปัญหาว่าเธอไม่รู้จักที่นี่เลย เป็นเหตุการณ์เมื่อเธออายุสามขวบ
เธอร้องไห้อยู่หลายวัน เธอไม่คิดว่าเธอจะทำงานนี้ได้ และยังจำได้จนถึงวันนี้

เขาถามว่าเธอจำได้ทุกอย่างไหม เธอบอกเธอเคยมีความจำพิเศษแบบนั้น แต่ไม่มีอีกแล้ว

เขาถามว่าในกระบวนการนี้ (Ascension) เราทำได้ไปถึงไหนแล้ว เธอบอกทำได้ดีทีเดียว
แต่ก็มีอีกมากมายที่เราจะทำได้อีก แต่เราจะทำสำเร็จ ไม่เป็นที่สงสัยในเรื่องนั้น
แต่จะมีอุปสรรคแค่ไหนนั้น ขึ้นกับแต่ละคนที่จะจัดการกับ ความกลัว ของแต่ละคน
เธอบอกมีหลายกรณีที่คนที่เธอจะช่วย ไม่เปิดรับ และนั่นทำให้การช่วยเป็นไปไม่ได้
คือคนนั้นจะต้องปรารถนาที่จะรับการช่วยด้วย

ทุกคน ควบคุม time line ของตนได้ และนี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายมืดไม่อยากให้เรารู้
เพราะถ้าเรารู้ว่าเรามีศักยภาพนี้ เราก็จะรู้ว่า เราสามารถจะเลือก จะเป็น จะมีชีวิตแบบที่เราต้องการได้

ฉะนั้น คำถามที่ว่า การเปลี่ยนเส้นทางของโลก ทำยังไง ที่ถูกนั้น คำถามควรจะเป็นว่า
จะเปลี่ยนเส้นทางของชีวิตตน ยังไง และทำงานร่วมกับคนอื่นในเส้นทางเดียวกัน
และท้ายสุด เราจะไม่ตกเป็นทาสอีกต่อไป

มีอีกหลายล้านที่คล้ายๆเธอที่มาที่นี่ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
และวิดีโอนี้อาจจะปลุกให้หลายคนตื่นรู้ขึ้นได้

และเธอพูดติดตลกใส่กล้องว่า

"ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ ที่คุณได้มาชมวิดีโอนี้"

ตอนท้าย พูดถึง เส้นทางคู่ขนาน ความสับสนข้อมูลว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ และมีความกังวล
เธอบอกว่า อันดับแรก คืออย่าไปเห็นด้วยกั<wbr>บความกังวลเหล่านั้น

เธอบอก เธอไม่เคยเลือกคนที่<wbr>เธอจะทำงานด้วย เธอไม่ทำส่วนตัว ตัวต่อตัว อีกแล้ว
เธอแนะให้ตามความสุข ความรัก เธอไม่ใช่คนแก้ แต่เป็นคนจุดปฏิกริยา
และทุกคนทำแบบเธอได้ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องรอให้ใครอนุญาต

พวกเรามีทักษะเหล่านี้ แต่สูญเสียไปตามระหว่างทาง ประเด็นไม่ใช่เรื่อง การย้ายเก้าอี้ข้ามไปมาในห้อง
หรือ การอ่านใจคน หรือ การรักษาคนป่วย แต่เป็นเรื่องการยกระดับความสั่<wbr>นสะเทือนของตน
และนี่ก็จะช่วยยกระดับความสั่<wbr>นสะเทือนของโลกด้วย

เขาสรุปว่านี่เป็นเพียงการเริ่<wbr>มต้น มีอะไรอีกมากมายที่ต้องทำ

เธอสรุปว่า ทั้งหมดนี้ไม่เพี<wbr>ยงเป็นเรื่องของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสองสามปีนี้
หรือ เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่จะเกิ<wbr>ดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก

.......................................

Chayutt · 6 มิถุนายน 2011

กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?

บทความโดย: Inelia Benz
กุมภาพันธุ์ 2009

ที่มา:
What does the process of Ascension involve?
[FONT=&quot]
[/FONT]
เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเริ่มต้นจากตรงจุดไหนเป็นอย่างมาก บางครั้งเส้นทางสำหรับ
ผู้ที่ยังไม่เคยอยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณมาก่อน ก็อาจจะง่ายดายยิ่งกว่า
เส้นทางสำหรับผู้ที่อยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณอยู่แล้ว หรือเป็นผู้ที่อยู่บนเส้นทางแห่งศาสตร์ลี้ลับอยู่แล้วก็ได้

เหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ผู้ที่อยู่บนเส้นทางแห่งศาสตร์ลี้ลับ ปกติแล้วก็จะมีแบบแผน
หรือวิถีปฏิบัติที่ยึดถืออยู่เป็นของตัวเอง และมักจะถูกยั่วยวนด้วยสิ่งต่างๆ เช่น ความสามารถทางจิต,
ข้อมูลจากการสื่อสารทางโทรจิต, การสนทนากับทวยเทพ รวมถึงมีความสามารถทางโลกมากกว่าคนอื่นๆ
เช่น การโทรจิต หรือการใช้กฎแห่งการดึงดูด อะไรแบบนั้น เป็นต้น

ถ้าหากคุณก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่กำลังคลุกคลีอยู่กับวิถีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้
และสามารถนำมันมาใช้เพื่อช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้หละก็ ดังนั้นการเลื่อนระดับขึ้นของคุณ
สิ่งแรกที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็คือ การประจักษ์ชัดว่าทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ก็มีความเป็นจริงเป็นจังไปไม่น้อยกว่าพื้นที่คุณกำลังยืนอยู่นี้เลย

ความสามารถเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คุณเหนือกว่า หรือด้อยกว่าคนอื่นๆบนโลกนี้แต่อย่างใดเลย
และพวกมันก็มีประโยชน์พอๆกับความสามารถอื่นๆที่คนอื่นๆบนโลกมีกันนั่นแหละ

ก้าวแรกที่คุณจะต้องเดินไป ไม่ว่าคุณจะกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ/ศาสตร์ลี้ลับ
หรือไม่ก็ตาม ก็คือ การเริ่มต้นทำสิ่งเหล่านี้:

- ปลดปล่อยความกลัว (Release of Fear)
- ปลดปล่อยการยึดติด (Release of Attachment)
- ปลดปล่อยความถูกต้อง (Release of Being Right)

- ทำให้กระแสความรักหลั่งไหลออกมา (Flow of Love)
- ทำให้จิตใจสงบ (Silence of Mind)
- ยอมรับความเป็นแก่นแท้ของตนเอง (Acceptance of your essence)
- เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
(Become as much You as you possibly can)

3 เรื่องแรก เป็นสิ่งที่ต้องปลดปล่อยออกไป ที่คุณจะต้องทำไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ที่คุณคิดว่าเหมาะสมกับคุณมากที่สุด

แต่วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลสำหรับฉันก็คือการเข้าไปสู่กระแสความรัก แล้วทำให้ความรักหลั่งไหลไปสู่มัน และสู่ตัวฉันเอง

วิธีการนี้ทำได้โดยการหลับตาลง แล้วทำความรู้สึกถึงช่องว่างที่เป็นจักระที่ 4 ของเรา
ซึ่งช่องว่างที่ว่านี้อยู่กลางทรวงอก ใต้กระดูหน้าอกพอดี

มันขึ้นอยู่กับว่าคุณก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว มันอาจจะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคุณ
ตอบสนองกลับมาอย่างท่วมท้น ที่ในที่สุดแล้ว คุณก็สามารถสัมผัสถึงกระแสความรักอันศักดิ์สิทธิ์
ที่หลั่งไหลมาสู่คุณและผ่านคุณได้ จนทำให้คุณเอิบอาบอยู่ในกระแสแห่งความสุขและความปิติยินดี

การทำจิตใจให้สงบ สามารถทำได้โดยใช้วิธีการทำสมาธิแนวไหนก็ได้ วิธีที่ฉันใช้อยู่
ฉันคิดว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ได้ผลดีที่สุด นั่นก็คือวิธีกำหนดรู้ถึงลมหายใจเข้า-ออกจากช่องจมูก
วิธีนี้ใช้ได้ผลไม่ว่าคุณจะกำลังอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบ หรือกำลังอยู่ท่ามกลางเทศกาลจับจ่าย
ช่วงเทศกาลคริสต์มาสในห้างสรรพสินค้าก็ตาม

การยอมรับความเป็นแก่นแท้ของตัวเอง เพราะว่าคุณคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณคือความรักอันศักดิ์สิทธิ์
คุณคือภูมิปัญญาและความรู้อันศักดิ์สิทธิ์ คุณคือประสบการณ์และจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์
นี่แหละคือผู้ที่คุณเป็น นี่แหละคือสิ่งที่คุณเป็น

ภาษาของมนุษย์ไม่สามารถใช้อธิบายความเป็นแก่นแท้ของตัวคุณได้ แต่คุณจะรู้เมื่อคุณรู้สึกถึงมันได้

การเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ หมายความถึงยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้กระทั่งหูดหรือไฝที่อยู่บนผิวหนังของคุณเอง โดยการยอมรับความเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ
ในฐานะที่เป็นมนุษย์ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในขณะเดียวกัน คุณจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ในสภาวะของการเลื่อนระดับขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ความปิติยินดี คือประสบการณ์พื้นฐาน
และเป็นรากฐานของการดำรงชีวิตของคุณ

คุณจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ล้วนเป็นประสบการณ์
เพื่อการเรียนรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น คุณจะรู้ว่าการสูญเสีย คือส่วนหนึ่งของชีวิต
คุณจะรู้ว่าความรู้สึกในแง่ลบ เป็นแต่เพียงข้อความที่บ่งบอกให้คุณทราบว่า
คุณจำเป็นจะต้องทำให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย

และคุณจะรู้ว่าทุกๆคน และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวคุณ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของคุณด้วยกันหมดทั้งสิ้น

…………………………

Chayutt · 6 มิถุนายน 2011

แบบฝึกหัดเพื่อจัดการกับความกลัว

บทความโดย: Inelia Benz
ที่มา:
Fear Processing Exercise

แบบฝึกหัดนี้ คือวิธีการส่วนตัวของฉัน ที่ฉันใช้กับตัวเองเพื่อการเลื่อนระดับขึ้น
รวมถึงใช้กับลูกค้าของฉันด้วย มันเป็นวิธีการที่ได้ผลอย่างมาก และมันก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
และก็เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่อง ที่จะต้องทำ เพื่อให้การเดินทางบนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนี้ไปได้เร็วขึ้น

มันคือภาระหน้าที่ทั้งหมด มันคือรากฐานของการเลื่อนระดับขึ้น และมันก็คือส่วนประกอบที่เป็นกุญแจสำคัญ
ในการเนรมิตความฝันให้เป็นความจริงในโลกแห่งมิติที่ 3 นี้ด้วย
และมันยังเป็นวิธีการเพื่อบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลอีกด้วย

แบบฝึกหัดเพื่อจัดการกับความกลัว
โดย Inelia Benz สำหรับเวปไซต์ ascension101.com

คุณสามารถทำแบบฝึกหัดนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ที่คุณรู้สึกกลัว และเพื่อให้ได้ผลมากที่สุด
จะเป็นการดีมากที่สุดถ้าหากว่าคุณทำในที่ๆสงบและเป็นส่วนตัว และทำผ่านลิสต์รายการ
ของสิ่งที่ทำให้คุณกลัวที่คุณเตรียมไว้ก่อนแล้ว

ให้นั่งลงหรือนอนลงอย่างสบายๆ ให้หลังเหยียดตรง แล้วหลับตาลงเบาๆ
หายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ จนถึงช่องท้องของคุณ
จากนั้นก็ให้ปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

หายใจเข้าช้าๆและลึกๆ และปล่อยออกอย่างรวดเร็วซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็ให้หายใจเข้าลึกๆและช้าๆ แล้วปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง
แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นหายใจตามปกติ
ทำการสแกนร่างกายของคุณเองจากหัวไปจรดเท้า เพื่อค้นหาพลังงานแห่งความกลัว
ให้ค้นหาความกลัว แต่ถ้าคุณค้นไม่พบเลย ให้อ่านจากลิสต์ของสิ่งที่ทำให้คุณกลัวนั้น
โดยให้เลือกเอามาอย่างเดียวก่อน แล้วสแกนร่างกายของคุณอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อคุณค้นพบความกลัวที่อยู่ในร่างกายของคุณแล้ว
ให้มองดูมันเฉยๆ
อย่าไปวิเคราะห์อะไรมัน
แค่มองดูมันเฉยๆ
จงปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นแหละ
จงปล่อยให้มันอยู่ต่อไป
จงปล่อยให้มันเจริญเติบโตขึ้น
และจงปล่อยให้มันมีอยู่ต่อไป

มันอาจจะแสดงออกมาในรูปของความไม่สบายทางกาย
เช่น การจุก หรือ ความเจ็บปวด
หรือมันอาจจะแสดงออกมาในรูปแบบของตำแหน่งของพลังงาน
หรือผ่านทางกระแสความคิดหรือความทรงจำ
หรือมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ความรู้สึกกลัวเฉยๆก็ได้

จงมองดูมันเฉยๆ
จงสังเกตดูมัน
จงรู้สึกถึงมัน
จงปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นแหละ

จากนั้นก็ให้พูดว่า “ความกลัวเอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเธอนะ”
จงยินดีต้อนรับให้มันอยู่ตรงนั้น
จงยินดีต้อนรับความกลัว และปล่อยให้มันเจริญเติบโต
จงปล่อยให้มันเจริญเติบโต และโตขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่มันจะสามารถโตได้
จงปล่อยให้มันโตขึ้นเรื่อยๆมากที่สุดเท่าที่มันจะโตได้

จงปล่อยให้มันแสดงตัวตนของมันออกมาให้คุณเห็น
แต่จงอย่าไปวิเคราะห์มัน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นเลย
ไม่ว่าจะเป็นคำพูด
ความคิด
ความทรงจำ
จงตามดูมันไปเรื่อยๆ หากว่ามันเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น
หรือเปลี่ยนไปอยู่ในบริเวณอื่นของร่างกายของคุณ

ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม จงยินดีต้อนรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่นั้น

“เจ้าความคิดเอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้านะ..
เจ้าอารมณ์เอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้านะ,
เจ้าคำพูดเอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้านะ,
เจ้าความทรงจำเอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้านะ,
เจ้าความกลัวเอ๋ย ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้านะ”

ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้า

จงมองดูมัน และจงสังเกตดูมันเฉยๆ

ตอนนี้จงปล่อยให้ตัวคุณเองเข้าไปใกล้มันมากขึ้น
และจงโอบกอดความกลัวเอาไว้
ไม่ว่ามันจะแสดงตัวออกมาในรูปแบบใดก็ตามแต่
จงมอบแสงสว่างและความรักให้แก่มัน
และจงปล่อยให้มันดำรงอยู่ต่อไป

จงขอบคุณมันที่มันได้ทำกับคุณไว้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
จงขอบคุณมันที่มันได้อยู่กับคุณมาเป็นเวลานาน

ตอนนี้ จงปลดปล่อยมันออกไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว (Oneness)
จงปล่อยให้มันเป็นอิสระและกลับไปสู่แหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง (the Source)

จากนั้น ก็ให้หายใจเข้าลึกๆ
โดยที่ในขณะที่หายใจเข้า ก็ให้หายใจเอาแสงสว่าง และความรักเข้าไปด้วย
ในขณะที่หายใจออก ก็ให้แสงสว่าง และความรักหลั่งไหลเข้าไปแทนที่ช่องว่างที่ความกลัวเคยอยู่นั้นเสีย

จากนั้น ก็ให้หายใจเข้าช้าๆลึกๆแบบสบายๆ
ในจังหวะที่หายใจเข้าก็หายใจเอาแสงสว่าง และความรักเข้ามาด้วย

ส่วนในจังหวะที่หายใจออก ก็ให้แสงสว่าง และความรักขยายตัวออกไปทั่วร่างกายของคุณ
แล้วออกมาสู่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวคุณ

ตอนนี้ก็ให้สแกนร่างกายของคุณจากปลายเท้าจรดศรีษะ เพื่อดูว่าความกลัวชนิดนั้นๆยังคงมีหลงเหลืออยู่อีกไหม
ถ้ายังมีอยู่ก็ให้ทำแบบฝึกหัดนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

แต่ถ้าไม่มีเหลืออยู่แล้ว ก็ให้ทำแบบฝึกหัดนี้กับความกลัวชนิดอื่นๆที่คุณได้ทำลิสต์รายการเอาไว้แล้วนั้นต่อไป

หรือคุณอาจจะหยุดตอนนี้เลยก็ได้ โดยการลืมตาขึ้น แล้วยืดเส้นยืดสายซะหน่อยหนึ่ง

จงทำแบบฝึกหัดนี้ซ้ำทุกวันๆ จนกว่าจะไม่เหลือความกลัวใดๆในชีวิตของคุณอีกต่อไปแล้ว

และหากว่าคุณพร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่ขั้นตอนถัดไป ก็ไปที่ Do the Ascension Course กันเลย

…………………………..

Kama-Manas · 6 มิถุนายน 2011

ได้อ่านแล้ว ร่างกายของฉันบอกว่า "จริงค่ะ" อ่านทุกตัวอักษร ซึมซาบเข้าไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว...และรู้ว่าทุกๆคนและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวฉัน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของฉันด้วยกันหมดทั้งสิ้น....ขอบคุณแสงสว่างที่เข้ามาเติมเต็มอีกครั้งนึง

Chayutt · 6 มิถุนายน 2011

เดี๋ยวค่อยมาต่อวันหลังนะครับ
เพราะว่ายังมีข้อความของเธออีกหลายสิบ
ที่อยากแปลและแบ่งปันให้อ่านด้วยหนะครับ

..........................................

SpecDum · 6 มิถุนายน 2011

โห!! เยอะ! เยอะ! (คำนี้เอามาจากโฆษณาเมืองไทยประกันชีวิต)

Senju · 6 มิถุนายน 2011

ขอบคุณมากครับรอติดตามครับ ^^

แก้วทิพย์ · 6 มิถุนายน 2011

Chayutt said: ↑

เดี๋ยวค่อยมาต่อวันหลังนะครับ
เพราะว่ายังมีข้อความของเธออีกหลายสิบ
ที่อยากแปลและแบ่งปันให้อ่านด้วยหนะครับ

..........................................
Click to expand...

ขอบคุณค่ะ ไม่เคยพลาดกระทู้ของคุณชยุตเลย สรรหาสิ่งดีๆมาฝาก แถมแปลให้อีก ขอบคุณไปถึงทีมแปลทุกคนค่ะ

Chayutt · 24 มีนาคม 2014

การเลื่อนระดับขึ้น และ DNA – เราจะสามารถเร่งกระบวนการนี้ให้เร็วขึ้นได้หรือไม่?

บทความโดย: Inelia Benz
ตุลาคม 2010

ที่มา:
Ascension and DNA - Can we accelerate the process?

October 2010

ตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆนี้ ฉันเคยคิดว่า DNA เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
นั่นคือไม่ว่าพวกเราจะมาพร้อมกับมันที่เป็นแบบไหนก็ตาม มันก็จะเหมือนกับโครงสร้างที่เป็นของแข็งทั่วๆไป
ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

และในที่สุดแล้ว เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างทางกายภาพของเราได้จริงๆ ใช่ไหมหละ?
ไม่ว่าจะเป็น ทำให้มันสูงขึ้น เตี้ยลง เปลี่ยนสีผมหรือสีของนัยตา

ดังนั้น ฉันจึงเคยคิดว่า DNA ก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วแบบตายตัว
ดังนั้น เมื่อฉันได้ยินว่ามีบางคนที่ป่วยเพราะว่ามีเชื้อไวรัสบางชนิดไปเปลี่ยน DNA ของพวกเขาเข้า

มันอะไรกันเนี่ย??

ฉันเคยคิดแต่ว่า DNA ของเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องใช้เวลาเป็นภพชาติเลยไม่ใช่เหรอ??

เพราะว่า คุณเห็นไหมว่า ฉันเคยคิดว่าการที่ DNA
จะเปลี่ยนแปลงหรือผ่าเหล่าไปได้ ก็เฉพาะจากชนรุ่นหนึ่ง
ไปสู่อีกรุ่นหนึ่งโน่นแหละ แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นเลย!

แล้ว..ถ้างั้น ถ้าไวรัสก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลง DNA ของพวกเราได้เลย
แล้วอย่างอื่นหละ ก็จะไม่สามารถทำได้เหมือนกันหรอกเหรอ?

ดังนั้น เมื่อฉันค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ฉันจึงได้พบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการกระตุ้น DNA
และพบว่า “DNA ขยะ” มีแหล่งที่มาจากนอกโลก และข้อมูลอื่นๆอีกมากมาย

มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันสนใจมากก็คือ เรื่อง “การผ่าเหล่าอย่างเป็นธรรมชาติ”
(spontaneous mutation) ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาสำหรับสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์บนโลกใบนี้
และฉันก็ได้รู้ว่า ความจริงแล้วการผ่าเหล่าแบบข้ามรุ่น ไม่ได้เป็นวิธีการผ่าเหล่ารูปแบบหลักแต่อย่างใด

จากนั้น ฉันจึงนึกขึ้นมาได้ว่า Hira Ratan Manek
ก็ได้ศึกษาเรื่องการจ้องมองพระอาทิตย์ขึ้น/ตก (Solar gazing) เอาไว้แล้ว

เขาได้ใช้วิธีการนี้เปลี่ยนแปลงร่างกายเนื้อของเขา
ให้สามารถดูดซับเอาสารอาหารทุกชนิดที่เขาต้องการเข้าไปได้
โดยการยืนเท้าเปล่าบนพื้นดิน แล้วจ้องมองดูดวงอาทิตย์
ตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก

(Hira Ratan Manek)

จนเดี๋ยวนี้ เขาไม่ต้องรับประทานอาหารเพื่อให้ได้พลังงานมา
สำหรับใช้เพื่อการดำรงชีวิตอีกต่อไปแล้ว น่าทึ่งไหมหละ!!

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=Vv1VPQr7GZ4&feature=related"]YouTube - ‪Sun Gazing‬‏[/ame]

ดังนั้น ประเด็นหลักที่ฉันสนใจก็คือเรื่องการเลื่อนระดับขึ้นของสายพันธุ์เหล่านั้น
วิธีการจ้องมองดูพระอาทิตย์นี้อาจจะช่วยให้เราเข้าไปใกล้เป้าหมายนี้ได้มากขึ้นจริงๆก็ได้
เพราะว่าผลพลอยได้ของมันที่ Hiran Ratan Manek ได้รับก็คือ การพบกับความปิติสุข,
การรู้แจ้ง และการมีสุขภาพจิตที่ดี

พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ดวงอาทิตย์ไม่ได้เป็นแค่แหล่งพลังงานที่ไหลบ่ามาสู่โลกเท่านั้น
แต่ฉันยังเชื่ออีกว่าระบบสุริยะของเรากำลังเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเขตของจักรวาล
ที่มีระดับคลื่นความถี่ของพลังงานสูงมากๆอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่ว่าเขตนี้มันจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเราเอง
หรือว่ามันจะอยู่นิ่งๆแต่เราเป็นฝ่ายเคลื่อนที่ผ่านมันไป ในช่วงระยะเวลาอีกไม่กี่พันปีนี้ก็ตาม
ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เราได้เข้าไปอยู่ในเขตนั้นแล้ว

ฉันยังรู้อีกว่าสนามพลังงานที่พิเศษนี้ คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเรา
ที่จะได้วิวัฒน์ขึ้นอย่างใหญ่โตมโหราฬ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล
และ ในระดับเผ่าพันธุ์ด้วย

นั่นแหละคือสิ่งที่มันผุดขึ้นมาให้ฉันได้รู้ว่า ถ้าพวกเราสามารถกระตุ้น DNA ของพวกเรา
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างตั้งใจ (เหมือนกันที่มันได้เกิดขึ้นแล้ว จากวิธีการ Sun gazing)
เพื่อให้ DNA ของเราสามารถเข้ากันได้กับสนามพลังงานใหม่นี้มากขึ้น,
หรือเพื่อให้สามารถดูดซับมัน หรือใช้ประโยชน์จากมัน ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
เมื่อนั้นพวกเราก็จะก้าวกระโดดได้จริงๆแล้วหละ

แต่แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ความคิดใหม่แต่อย่างใดเลย เพราะว่าการกระตุ้น DNA
เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในวงการ “การเลื่อนระดับขึ้น” (Ascension) อยุ่แล้ว
และก็หลายๆวัฒนธรรมก็มีการพูดถึงเรื่อง “ร่างกายแห่งแสงสว่าง” หรือกายทิพย์
ซึ่งจะเป็นร่างกายที่พวกเราจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นในช่วงขณะที่เราเลื่อนระดับขึ้นไปนี้อยู่แล้ว

และต่อไปนี้คือสิ่งที่ฉันอยากจะนำเสนอ ก็คือว่า เหมือนวิธีการ Sun gazing
ที่เราสามารถที่จะกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของ DNA แบบนั้น ในตอนนี้ได้เลย
เพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในระนาบที่สูงขึ้น
หรือเพื่อให้มีระดับความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้น

ทำไมจะต้องรอด้วยหละ ใช่ไหม๊?

ดังนั้น ถ้าเราทำตามหลักการณ์ของ Sun gazing แล้วหละก็
ทั้งหมดที่เราจะต้องทำก็คือ เปิดตัวเราเองออกมา
แล้วมองดูที่ใจกลางของกาแล็กซี่ หรือที่ “ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกเรา”
หรือ “พระเจ้า” หรือ “ทวยเทพ”

เพราะว่าโดยทั่วไปแล้ว เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า
พลังงานนี้จะผ่านเข้ามาทางจักระที่ 7 ของเรา
ดังนั้น ถ้าเราเปิดตัวเองขึ้นไปให้ถึงพลังงานนั้น
ถ้าพวกเรา “มองดู” พลังงานนั้นด้วยตาที่ 3 ของเรา
และยอมให้มันแทรกซึมผ่านเข้ามาในร่างกายแห่งพลังงานของพวกเรา
(จักระทุกๆจักระ และ ออร่าทุกๆออร่า)

ซึ่งมันจะช่วยได้มาก ถ้าจินตนาการว่า มันเป็นลำแสงสว่างสีขาวพวยพุ่งเข้ามา
และทำให้ตัวเราเองสว่างไสวขึ้นดุจหลอดไฟที่เปิดแล้ว

พวกเราไม่จำเป็นต้องมีภาพของ DNA ที่เราต้องการหรอก
เพราะว่าในตอนนี้ พวกเรายังไม่สามารถที่จะเข้าใจ
ถึงศักยภาพทั้งหมดของมันได้

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด ถ้าจิตของคุณไม่นิ่งจริงๆ ก็คือ
การจินตนาการว่ามีแสงสว่างอยู่ในช่องว่างระหว่างความคิด,
ช่องว่างระหว่างโมเลกุล, และช่องว่างระหว่างอะตอม

และจงลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
จงเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นด้วยแสงสว่างที่สว่างไสวและสวยงาม

................................

ปล.เนื้อหาเรื่องเกี่ยวกับ Sun Gazing นี้
คุณ kindred ได้แปลและโพสต์เอาไว้แล้วนะครับ
ในกระทู้ข้างล่างนี้ครับ

http://palungjit.org/threads/sungazing-เพื่อความสมดุลแห่ง-กาย-ใจ-และจิตวิญญาณ.293844/

......................................

วิญญ์ ชวาทิต · 7 มิถุนายน 2011

ขอบคุณมากครับ..

อันที่จริง แนวทางที่เธอทำอยู่ เป็นอะไรต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าเคยสอนเอาไว้ตั้งแต่สองพันกว่าปีที่แล้ว จึงเป็นการช่วยยืนยันถึงวิถีแห่งสัจจะในความเป็นหนึ่งเดียวของแสงสว่างและพลังงาน การละอัตตา การเลื่อนชั้นระดับจิตฯลฯ อีกทั้งไอเดียหลายๆ อย่างของเธอก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ได้ดีทีเดียว ผมรู้สึกว่า ยิ่งใกล้เวลา...จะยิ่งมีบุคคลประเภทนี้ เปิดเผยตัวเองขึ้นเรื่อยๆ

ขอบคุณที่นำเธอมาให้รู้จักอีกครั้งครับ

mead · 7 มิถุนายน 2011

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆแบบนี้ด้วยครับ

vijit_j · 7 มิถุนายน 2011

นึกแล้ว เวปล่มไป 2 อาทิตย์ คุณ Chayutt ต้องมีงานแปลดีๆ มาให้อ่านกันเพี๊ยบแน่ๆ

Plagruy · 7 มิถุนายน 2011

ขอบคุณครับ คนนี้สอนได้ดีแฮะ

ผ่านมาจริงๆ · 7 มิถุนายน 2011

ขอบคุณค่ะ

ติดตามทุกชิ้นงานของคุณชยุตย์ แต่เรื่องนี้อ่านง่ายดีค่ะ ทดลองทำแล้ว..ใช่เลย

Chayutt · 7 มิถุนายน 2011

การเลื่อนระดับขึ้น กับ ร่างกายเนื้อของเรา (Ascension and the Body)

บทความโดย: Inelia Benz
มกราคม 2009

ที่มา:
Ascension and the Body

คุณอาจจะเคยได้ยินได้ฟังข้อมูลมามากมายเกี่ยวกับความสำคัญของการล้างพิษในร่างกาย
ก่อนที่จะเข้าสู่หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension)

ซึ่งคำกล่าวที่ว่านี้มันก็มีทั้งผิดและถูก

เพราะว่าในทางกลับกัน ยังไงเสียร่างกายของคุณก็สามารถที่จะรับมือกับกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นได้อยู่แล้ว
ไม่ว่าคุณจะทำการล้างพิษก่อนหรือไม่ก็ตาม

แต่ในอีกทางหนึ่ง ถ้าคุณไม่เตรียมความพร้อมของร่างกายของคุณให้ดีซะก่อน คุณก็อาจจะป่วยอย่างหนักได้
ผลกระทบทางด้านร่างกาย ของการปฏิบัติเพื่อการเลื่อนระดับขึ้นโดยไม่ได้ทำการล้างพิษให้กับร่างกายซะก่อนนั้น
ไม่ค่อยรุนแรงนัก แค่มันจะทำให้ไม่สบายเท่านั้นเอง มันเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะรู้สึกคลื่นไส้, อาเจียน,
และท้องเสียเป็นเวลา 3 วัน

ดังนั้น ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรเตรียมความพร้อมให้ร่างกายก่อนนั่นเอง

แต่วิธีการเตรียมความพร้อมดังกล่าวนี้ ก็ค่อนข้างง่ายมากเลย โดยการลดการบริโภคน้ำตาลลง,
ลดคาเฟอีน, เนื้อสัตว์, และอาหารที่ผ่านการแปรรูปทั้งหลายลง รับประทานเฉพาะอาหารสด,
ผักสด และผลไม้สด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดื่มน้ำและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพให้มากๆ

และถ้าเป็นไปได้ ก็ให้ประกอบอาหารทานเองโดยใช้ส่วนประกอบที่เป็นอาหารปลอดสารพิษ
หรือ Organic products

และถ้าคุณเป็นคนสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็ให้พยายามงดเว้นเสียอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ก่อนการเข้าไปปฏิบัติ ฉันเข้าใจว่าการสูบบุหรี่มันเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ เพราะฉะนั้น
ก็ให้พยายามงดให้นานที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ก็แล้วกัน ถ้าคุณไม่สามารถงดได้ถึง 24 ชั่วโมงจริงๆหละก็
งดยาเสพติดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ (พยายามเลิกให้ได้โดยเด็ดขาดและตลอดไป)
แต่ให้ใช้ได้เฉพาะที่เป็นยารักษาโรคที่จำเป็นสำหรับชีวิตและสุขภาพของคุณเท่านั้น

ส่วนยาต้านอาการซึมเซา และยาที่มีผลต่อจิตใจอื่นๆ อย่าหยุดใช้มันโดยพละการ
หากไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ประจำตัวของคุณซะก่อน

สำหรับการใช้ยาทุกชนิด ให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณว่าคุณจะสามารถหยุดใช้มันได้หรือไม่

การที่คุณยังต้องรับประทานยาอยู่ มันไม่สาเหตุที่จะทำให้คุณไม่สามารถเข้าปฏิบัติเพื่อการเลื่อนระดับขึ้นได้
แต่ฉันอยากจะขอแนะนำว่า คุณควรจะลองค้นหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกดูบ้าง
เช่น การใช้วิธี Homeopathy, การใช้สมุนไพร, และอื่นๆแทนเป็นต้น แต่อย่าซื้อยามารับประทานเอง

ฉันไม่ได้กำลังพยายามทำให้คุณคิดว่า ถ้าคุณจำเป็นต้องรับประทานยาอยู่
หนทางมันก็จะง่ายกว่าผู้ที่ไม่ต้องรับประทานยานะ นั่นไม่ใช่ประเด็น

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการเลื่อนระดับขึ้นทั้งหลาย ล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น
เพราะว่าคุณก็อยู่ในช่องว่างนั้นแล้ว คุณแค่ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากมันเท่านั้นเอง

........................

Chayutt · 24 มีนาคม 2014

ความมหัศจรรย์ของร่างกาย (The Body Fantastic)

บทความโดย: Inelia Benz
พฤษภาคม 2011

ที่มา:
The Body Fantastic

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ฉันได้กล่าวไปแล้วหลายครั้งว่า ร่างกายนี้แหละ คือเครื่องมือที่มีความสำคัญที่สุดหละ
แถมยังเป็นพันมิตรและเพื่อนที่ดีที่สุดของเราอีกด้วย

แน่นอนว่าร่างกายก็คือส่วนหนึ่งของเรา แต่ว่า ก็เหมือนกับกายทิพย์อื่นๆของเรานั่นแหละ
ที่มันจะมีโครงสร้างทางพลังงานเป็นของตัวมันเอง มันมีชีวิตเป็นของตัวมันเองด้วย
มันเป็นเสมือนม้าให้เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ขี่ไปจนตลอดชีวิต
ถ้าเรามองร่างกายได้แบบนี้แล้ว เราก็จะปฏิบัติดีต่อมัน มากกว่าการที่เรามองว่ามันคือตัวเราเองซะอีก
เพราะถ้ามันเป็นเสมือนม้าแล้ว เราก็จะรักมัน ให้การปกป้องมัน ให้อาหารที่เหมาะสมกับมัน
เลี้ยงดูมันอย่างเหมาะสม ให้มันมีเวลาพักผ่อน มีเวลาเล่น และมีอิสรภาพ

และในขณะที่เรากำลังขี่มันอยู่ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับมันอยู่ เราก็จะสื่อสารกับมันด้วย ด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนมากๆ
และด้วยวิธีการสื่อสารโดยตรงกับมัน เพราะฉะนั้น นักขี่ม้าที่ดีกับม้าของเขา
ก็จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แบ่งปันข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภูมิประเทศซึ่งกันและกัน
และรวมถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอุปสรรคและอันตรายใดๆที่อาจจะพบบนเส้นทางของพวกเขาด้วย

ร่างกายมนุษย์ ก็เป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นประชากรหลักของดาวเคราะห์โลก
ท่ามกลางประชากรอื่นๆทั้งหลาย ได้ถูกทำให้สูญเสียพลังอำนาจไป และถูกทำให้ตกอยู่ในความโง่เขลา
และหลับไหลมานานแสนนานแล้ว

ดังนั้น มันจึงควรที่จะถึงเวลาแล้วที่พวกเรา ในฐานะมนุษยชาติ จะสามารถใช้ศักยภาพ
ที่มีอยู่แล้วของร่างกายของพวกเรา สื่อสารทางโทรจิตกับกันและกัน และกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ
รวมถึงกับดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วย แล้วพวกเรายังสามารถที่จะยกของหนักๆ
โดยใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของได้อีกด้วย และสามารถหายตัวท่องไปในที่ไกลๆได้
โดยปราศจากความพยายามใดๆทั้งสิ้นได้อีกด้วย
ชาวโลกส่วนใหญ่ เมื่อพวกเขาคิดถึงความสามารถเหล่านี้แล้ว พวกเขามักจะคิดว่า
มันเป็นความสามารถของจิตที่ทำเช่นนั้นได้ แต่มันไม่ใช่เลย

ตัวอย่างเช่น พวกเราใช้จิตของเราตัดสินใจว่าจะปิดไฟ จากนั้นร่างกายของเราก็ลุกขึ้นเอื้อมมือไปปิดไฟให้
มันคือร่างกายต่างหากหละที่เป็นผู้ลงมือทำให้ มันคือร่างกายต่างหากหละที่รู้สึกร้อน และหนาว
ที่ได้ยินเสียงเพลง หรือเสียงของคนที่เรารัก

มันคือร่างกายของเราต่างหากหละที่เป็นผู้รับรู้ความสวยงาม และความน่าเกลียดน่าชังของดาวเคราะห์โลก

จิตของเราจะทำหน้าที่แปลข้อมูลทุกอย่างที่ได้รับรู้มาเหล่านั้น จากนั้น เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่
ก็จะรู้ว่ามันคืออะไร และมันหมายความว่าอะไร แล้วจึงทำการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเหล่านั้น

ในทำนองเดียวกัน มันคือร่างกายของเราต่างหากหละ ที่ได้ยินเสียงความคิดของผู้อื่นๆ,
ที่มองเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเครื่องพรางแห่งการลืมเลือนนั้น
และที่สามารถยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากๆจากระยะไกลได้

สิ่งหนึ่งที่เราสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อที่จะพัฒนาการสื่อสารกับร่างกายของเราให้ชัดเจนและดียิ่งขึ้นก็คือ
การเริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆแบบใช่หรือไม่

ตัวอย่างเช่น ให้คุณลองนึกถึงสิ่งที่ทำให้คุณกลัวแบบไม่มีเหตุผลดู เช่น คุณอาจจะกลัวสุนัข หรืองู เป็นต้น
แล้วลองถามคำถามดูซิว่า

“ร่างกายของฉันกลัว..(สิ่งนั้น)...ใช่ไหม๊?”

ซึ่งคำตอบอาจจะมาในรูปแบบของความรู้สึกกลัว ก็แปลว่าคำตอบคือ “ใช่”

หรือถ้าไม่รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย ก็แสดงว่าคำตอบคือ “ไม่ใช่”

จากนั้นก็ให้ถามคำถามต่ออีกว่า

“ฉันกลัว..(สิ่งนั้น)...ใช่ไหม๊?”

แล้วคุณก็จะรู้ว่าผู้ที่กลัวสิ่งนั้นจริงๆหนะคือใครกันแน่

แต่ถ้าไม่มีการตอบสนองกลับมาเลยจากทั้งสองคำถาม นั่นก็แสดงว่า
มีบางสิ่งบางอย่างอุดตันในช่องทางการสื่อสารของคุณกับร่างกายของคุณแล้วหละ

ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันอยากจะแนะนำว่า ให้คุณลองทำแบบฝึกหัด ชุด “firewall exercise” ดู

และตอนนี้ ก็จะเป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความสามารถเหล่านั้นของร่างกายไป
ข้อมูลเหล่านี้ถูกส่งมาถึงฉันทางจิต และฉันก็ยังไม่มีเวลาพิสูจน์ความถูกต้องของมันเลย ว่า:

ในอดีตกาลที่ผ่านมาแล้ว มีรูปธรรมชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่ง ได้เดินทางมายังโลกซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่มีกายเนื้ออยู่
นั่นก็คือโลกใบนี้และทรัพยากรของโลกใบนี้นั่นเอง

พวกเขาได้ปลูกฝังโครงสร้างทางพลังงานหลายอย่างลงไปในร่างกายของมนุษย์โลก
ซึ่งตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้เทคโนโลยีอะไร ถึงทำเช่นนั้นได้
มันเป็นไปได้ว่าพวกเขาใส่ลงไปโดยตรงใน DNA เลย แม้ว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้อีกเหมือนกันว่า
พวกเขาปลูกฝังมันลงไปในจิตสำนึกมวลรวมของมนุษย์ด้วย

แต่ผลของมันก็คือ นับแต่นั้นมา มนุษย์โลกส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถใช้ความสามารถหลายๆอย่างของตนเองได้อีกต่อไป

ซึ่งความสามารถที่ว่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือการสื่อสารทางโทรจิต เพราะว่าก่อนหน้านั้น
มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้สามารถเข้าถึงจิตสำนึกมวลรวมและเข้าถึงซึ่งกันและกันได้
มนุษย์เคยสามารถสื่อสารกันข้ามทวีปได้ พอๆกับสามารถสื่อสารกับสัตว์ต่างๆ, พืชต่างๆ และกับไกอาได้
แล้วพวกเขายังเคยสามารถมองเห็นมิติต่างๆมากมายได้ด้วย ซึ่งปรากฎการณ์เหล่านี้
ก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แล้วด้วย เช่น ใน The Tower of Babel เป็นต้น

มีอีกอย่างหนึ่งที่ถูกนำออกไปจากมนุษย์ ก็คือความสามารถในการมองเห็นเผ่าพันธุ์อื่นๆที่มาจากนอกโลก
รวมถึงสิ่งก่อสร้างและยานอวกาศของพวกเขาด้วย ซึ่งเผ่าพันธุ์นี้แหละที่ทำให้พวกเราต้องเป็นแบบนี้

เหตุผลที่พวกเขาต้องทำแบบนี้กับเราก็เพราะว่าพวกเขาเกรงกลัวในพลังอำนาจของพวกเรา
กลัวความสามารถของพวกเรา และพวกเขาก็ต้องการเลี้ยงพวกเราเอาไว้เป็นร่างกายเนื้อ, เป็นทาส
เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงาน, ทรัพยากร, DNA และอื่นๆจากพวกเรา

เผ่าพันธุ์ที่ทำเช่นนี้กับมนุษย์ที่ว่านั้น พวกเขาก็ยังคงติดอยู่ในมิติที่ 3 วัฒนธรรมการสืบพันธุ์ของพวกเขาเอง,
ความคิดและความเชื่อของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะวิวัฒน์ข้ามพ้นโลกทางกายภาพได้
และก็เหมือนกับชาวยุโรป ที่ชอบเที่ยวตระเวนไปทั่วโลกเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ
เพื่อยึดครองที่ดินของพวกเขา เผ่าพันธุ์นี้ก็เหมือนกัน พวกเขาทำเช่นนั้นมานับพันๆปีแล้ว ถ้าไม่ใช่หลายล้านปีหนะนะ

แต่ก็เหมือนกับชาวยุโรปอีกนั่นแหละ ที่ประชากรของพวกเขาโดยทั่วไปแล้ว ก็มีวิวัฒนาการ
และความตระหนักรู้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เที่ยวไล่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ
มากและกว้างขวางเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนอีกแล้ว (แม้ว่าในตอนนี้มันจะยังคงมีอยู่ก็ตาม)

มีทางเดียวสำหรับเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่ว่านี้ ที่จะยอมปลดปล่อยดาวเคราะห์ทั้งหลาย
ที่ตกเป็นทาสของพวกเขาแล้ว ก็คือ

พวกเขาจะต้องยกระดับความสั่นสะเทือนของความตระหนักรู้ของพวกเขาขึ้นให้ได้ก่อนนั่นเอง

ฉันอยากจะขอร้องพวกคุณว่า หากคุณได้ใคร่ครวญดูตามแนวความคิดนี้แล้ว
ถ้ามันเป็นแนวความคิดที่สอดคล้องเข้ากันได้กับของคุณแล้วหละก็ โปรดส่งแสงสว่างและความเมตตากรุณา
ไปให้เผ่าพันธุ์นี้ด้วยเถิด

ศักยภาพของมนุษย์โลกเรามีอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ามีพวกเราจำนวนมากพอ
จดจ่อไปที่พวกเขา พวกเราก็จะสามารถเริ่มปลดปล่อยพวกเขาออกจากโซ่ตรวนของพวกเขาเองได้

และจะเป็นการเริ่มต้นบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งวิวัฒนาการไว้ในประชากรของพวกเขาให้งอกงามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้

สำหรับร่างกายของเราเองแล้ว จงให้การยอมรับเขาอย่างสูงเถิด
จงบอกกับเขาว่า ตอนนี้คุณเข้าใจเขาแล้ว
และจากนี้ไปคุณจะรับฟังเขา ช่วยเหลือเขา
ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และช่วยทวงคืนความสามารถ,
การหยั่งรู้ และภูมิปัญญาดั้งเดิมของเขากลับคืนมา

.................................

Chayutt · 7 มิถุนายน 2011

Firewall สำหรับการเลื่อนระดับขึ้น (Ascension)
โปรแกรมที่พวกเขาไม่อยากให้คุณค้นพบ

บทความโดย: Inelia Benz
พฤศจิกายน 2010

ที่มา:
Firewall to Ascension - the program they don't want you to find.

มนุษย์โลกส่วนใหญ่จะมี firewall สอดแทรกอยู่ในสนามพลังงานของพวกเขา

ซึ่งมันจะไปหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้สามารถพัฒนาตนเอง หรือ เลื่อนระดับขึ้น
หรืออื่นๆอันจะเป็นผลให้พวกเขาสามารถบรรลุขั้นสูงสุดของกระบวนการทางวิวัฒนาการของพวกเขาได้
Firewall ที่ว่านี้มันคือโครงสร้างทางพลังงานอย่างหนึ่งที่จะทำให้เรา “รู้สึก”
เหมือนกับว่ามีโลหะอะไรซักอย่างฝังอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา

มันสามารถที่จะถูกกระตุ้น และก็จะถูกกระตุ้นการทำงานขึ้นจริงๆด้วย
ในทุกครั้งที่พวกเราพยายามทำสมาธิ
หรือพยายามเรียนรู้ประสบการณ์นอกกายเนื้อ
หรือพยายามเรียนรู้ lucid dreaming
หรือพยายามพัฒนาจิตวิญญาณ หรือพลังจิต
หรือพยายามสื่อสารในรูปแบบใดก็ตาม กับตัวตนที่สูงส่งกว่า
หรือกับเทพผู้นำทาง หรือกับเบื้องบน หรือกับทวยเทพ
หรือกับอะไรก็ตาม ที่พวกเราอยากจะเรียกว่า
เป็นคณะผู้ติดตามเพื่อให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนพวกเรา
ซึ่งจะอยู่กับพวกเราตลอด

และมันก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า ความสั่นสะเทือนที่จำเพาะเจาะจงของมันนั้น
ยังสามารถถูกกระตุ้นให้ทำงานได้จากแรงกระทำจากภายนอกอีกด้วย
วิธีที่จะค้นหาว่าในตัวคุณเองก็มี firewall พวกนี้อยู่บ้างหรือไม่
ก็โดยการเติมคำในประโยคต่อไปนี้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์:

“ที่ฉันไม่ทำสมาธิ หรือ ฝึกจิต ก็เพราะว่า.......”

ตอนนี้ก็ให้มาดูที่คำตอบกัน เพื่อค้นหาสัญลักษณ์ด้านพลังงานของคำตอบนั้น
ให้คุณสแกนร่างกายของคุณเพื่อค้นหามัน จากนั้นก็ถามตัวเองว่า

“ฉันคือผู้ที่นำ firewall นี้มาใส่ไว้ในร่างกายของฉันเองใช่ไหม?”

ถ้าใช่ ทำไมหละ? มันเป็นความสมัครใจหรือว่ามันเป็นเพราะว่าถูกบังคับ?

แต่ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ แล้วใครหละที่เป็นคนทำ?
คุณอาจจะได้รับหรือไม่ได้รับคำตอบ ของคำถามเหล่านี้ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือว่า
คุณได้พบ firewall แล้ว

ตอนนี้คุณก็มีทางเลือกอยู่หลายทาง
คือกำจัดมันออกไปด้วยตัวของคุณเอง
หรือส่งมันกลับไปที่แหล่งกำเนิด
หรือขอร้องให้เทพผู้นำทาง หรือทวยเทพของคุณช่วยกำจัดมันออกไปให้คุณ
จากนั้นก็เติมเต็มช่องว่างที่เหลืออยู่นั้นด้วยแสงสว่างและความรัก
ถ้าคุณพบว่าในการกำจัด firewall นี้มันมีการต่อต้านเกิดขึ้น
จงจดจ่อความสนใจของคุณไปที่แรงต้านทานนั้น
มันอาจจะเป็น backup program ก็ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้จริงๆ

ตัวอย่างเช่น “ฉันต้องการวิธีปฏิบัติมากกว่านี้เพื่อช่วยตัวฉันเอง หรือ คนที่ฉันรัก”
หรือ “ฉันค้นหามันไม่พบ”

ถ้าคุณพบคำตอบใดคำตอบหนึ่งที่ว่านี้ จงดำเนินการเหมือนที่ได้กล่าวไปแล้ว
จากนั้นก็กลับไปที่ firewall อีกครั้งหนึ่ง จงจำไว้ว่าอย่าไปคิดวิเคราะห์
หรือ ตัดสินชี้ถูกชี้ผิดมันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
หลังจากที่คุณทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จงเดินหน้าทำสมาธิ หรือฝึกจิตต่อไป
แต่ถ้ามีแรงต้านทานเดิมๆเกิดขึ้นมาอีก ให้ทำตามวิธีการข้างบนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

มันอาจจะต้องทำหลายครั้งหน่อย แต่มันจะต้องถูกกำจัดออกไปจนหมดในท้ายที่สุด
และคุณก็จะเป็นอิสระ และสามารถปฏิบัติจิตที่จำเป็น
เพื่อไปให้ถึงศักยภาพเต็มรูปแบบของคุณเองได้ในภพชาตินี้

ขอให้สนุกกับการล่านะคะ

……………………………….

แม่นายมล · 7 มิถุนายน 2011

โอโห..คุณชยุตข้อมูลทะลัก อั้นไว้นาน
ยังกะน้ำล้นเขื่อนอ่านไม่ทัน ก็อปไว้อ่านก่อน
ค่อยๆ ปล่อยมานะ ปรูดด.ด..ด...ด

Army56 · 7 มิถุนายน 2011

Inelia = I alien

ขอบคุณครับ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

Inelia ผู้มาจากต่างมิติ - บทสัมภาษณ์ และบทความจากเธอ เกี่ยวกับปี 2012 และการ Ascension ของโลก

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

ไฟล์ที่แนบมา:

inelia.jpg

inelia3.jpg

inelia4.jpg

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

Senju Active Member

แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

ไฟล์ที่แนบมา:

Hira Ratan Manek2.jpg

วิญญ์ ชวาทิต เป็นที่รู้จักกันดี

mead เป็นที่รู้จักกันดี

vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

ไฟล์ที่แนบมา:

six-pack.jpg

Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

Inelia ผู้มาจากต่างมิติ - บทสัมภาษณ์ และบทความจากเธอ เกี่ยวกับปี 2012 และการ Ascension ของโลก

ไฟล์ที่แนบมา:

inelia.jpg

inelia3.jpg

inelia4.jpg

ไฟล์ที่แนบมา:

Hira Ratan Manek2.jpg

ไฟล์ที่แนบมา:

six-pack.jpg

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา