Law of Attraction การควบคุมกฏแห่งแรงดึงดูดให้ทำงานให้เราอย่างมีประสิทธิภาพ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย sarissa, 8 เมษายน 2011.

  1. angsana la

    angsana la สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    จากหนังสืออิสระแห่งความปรารถนา อ.โนวา อนาลัย
    บทที่ 4 ภาพชีวิตของโลกส่วนตัว
    ประสบการณ์ชีวิตของเธอในโลกทางกายภาพหลั่งไหลจากศูนย์กลางภายในจิตออกไปสู่ภายนอก แล้วเธอก็รู้เห็นประสบการณ์เหล่านั้น เหตุการณ์ภายนอกและภาวะที่ส่งผลต่อชีวิตของเธอล้วนเป็นการตอบสนองอันมีชีวิตชีวา การเปลี่ยนแปลงของภาวะจิต-เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์และภาวะทางกายทั้งปวง
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
    ที่สามรถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ทางกายภาพได้
    นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต
    ภาวะภายนอกในโลกแห่งความเป็นจริงของเธอถูกสร้างขึ้นตามแบบซึ่งเป็นรูปทรงที่อยู่ภายในภาวะจิต ความรู้สึกนึกคิดและจินตภาพของเธอเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ภายนอกทั้งหลาย ซึ่งกลายเป็นวัตถุสิ่งของ-บุคคลและเหตุการณ์ทั้งหลายที่มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเธอ
    เธอเปลี่ยนแปลงแม้แต่สิ่งที่ดูเสมือนว่าถาวรที่สุดในชีวิตของเธออยู่เสมอ ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติที่เธอมีต่อมัน ไม่มีสิ่งใดในประสบการณ์ภายนอก-ที่ไม่มีต้นกำเนิดมาจากภายในจิตของเธอ
    การติดต่อสื่อสารและสังคมกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆแต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอไม่ได้ยอมรับที่จะดึงดูดเข้ามาสู่ประสบการณ์ชีวิตในทุกแง่ทุกมุมของเธอด้วยความคิดทัศนคติหรืออารมณ์ ทั้งนี้รวมถึงประสบการณ์ชีวิตก่อนการเกิดและหลังความตาย ในนัยนี้-เธอทั้งหลายได้รับพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ ในการสร้างโลกแห่งความเป็นจริง-อันเป็นโลกส่วนตัวของเธอ
    ชีวิตในชาติภพนี้เธอกำลังเรียนรู้ที่จะใช้พลังงานอำนาจซึ่ง ไม่มีวันหมดสิ้น ภาวะรวมของโลกและสถานการณ์ส่วนตัวของเธอแต่ละคนเป็นผลงานอันเป็นวัตถุธาตุและประสบการณ์อันเกิดจากพัฒนาการในการสร้างสรรค์โลกของจิตวิญญาณในร่างมนุษย์
    ความปลื้มปิติในการสร้างสรรค์หลั่งไหลผ่านเธออย่างง่ายดายเสมือนลมหายใจ แม้ประสบการณ์ที่เล็กน้อยที่สุดก็คุณสมบัติเป็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้จะถูกกระตุ้นและส่งกระแสออกไปภายนอก และส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม กระแสของความรู้สึกนึกคิดที่คลายคลึงกันจะรวมตัวกันเป็นหมวดหมู่ด้วยกฎแห่งการดึงดูดของจักรวาลเมื่อกระแสเหล่านี้รวมตัวกัน มันก่อให้เกิดสสาร-สถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นใน"กาลเวลา"
    บางความรู้สึกนึกคิดแปลงสภาวะเป็นโครงสร้างที่เธอเรียกกันว่า วัตถุสิ่งของ ซึ่งสถิตย์อยู่ใน"ช่องว่าง-ระยะทาง"
    บางความรู้สึกนึกคิดแปลงสภาวะเป็นโครงสร้างที่เธอเรียกกันว่า วัตถุสิ่งของ ซึ่งสถิตย์อยู่ใน "กาลเวลา"
    ช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเป็นรากเหง้าแห่งสมมุติฐานซึ่งมนุษย์ยอมรับว่า โลกแห่งความเป็นจริงของเขาเกิดขึ้นบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เป็นลำดับต่อเนื่องจากขณะหนึ่งๆ ไปสู่อีกขณะหนึ่ง ในมิติที่มีช่องว่างและระยะทาง ประสบการณ์ภายในอันเกิดจากภาวะจิตของเธอทั้งหลาย แปลงสภาวะมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ตามสมมุติฐานดังกล่าวนี้
     
  2. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    สวัสดีค่ะ

    ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกท่านที่มีความคิดความมุ่งมั่นแบบเรามาร่วมเข้กลุ่มทดลองทำควมฝันของเราให้เป็นจริงด้วยการใช้พลังดึงดูด ดึงดูดความเป็นไปได้ทั้งหลายของเรา

    คุณIIvII นี่คือความรู้สึกของเราค่ะที่อยากให้กระทู้น้เต็มไปด้วยความรัก มิตรภาพ ความเอื้ออาทรต่อกัน

    ขอบคุณคุณ Angsana La ที่นำข้อความอันมีคุณค่าจากหนังสือชุดโนวา อนาลัยมาให้พวกเราได้ซาบซึ้งอีกครั้ง ทุกครั้งที่อ่านความรู้สึกดีก็เบ่งบานในหัวใจ

    วันนี้ดิฉันได้ดูคลิปอันหนึ่งของ อับราฮัม ฮิคส์ เห็นว่าน่าสนใจเลยอดไม่ได้ที่จะนำมาให้ได้ชม
    แต่แน่นอนว่าเราไม่ปล่อยให้คุณผู้อ่านที่รักต้องงงกับภาษา เลยแปลมาให้ลองอ่านดูนะคะ
    ขอเล่าที่มาของอับราฮัม ฮิคส์นิดนึงค่ะ

    อับราฮัมคือจิตวิญญาณหนึ่งที่สื่อสารผ่านร่างของเอสเธอร์ ฮิคส์
    คล้ายๆกับท่านโนวา อนาลัยกับพี่นักเขียน

    เชิญชม

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=03xXkYpNRls&feature=related"]YouTube - Abraham-Hicks: Allowing Your Financial Abundance[/ame]

    ผู้ถาม : เช้านี้อากาศดีจริงๆนะครับ เรื่องการเงิน
    ตอนนี้ผมเองก็มีความสุขดีกับชีวิตในตอนนี้ ผมรู้สึกโอเคกับเงิน
    ที่มีอยู่ในแบ็งค์(หัวเราะ)
    ซึ่งก็ไม่ได้มากนักหรอกครับ มันไม่มากเลยในตอนนี้

    แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ
    เหมือนอยู่ในภาวะบดบี้เพื่อให้มันชัดขึ้นๆ มากขึ้นๆ
    ในการกำกับตัวเองให้ไปสู่สิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการอะไร?

    แล้วในคืนต่อมาผมก็นึกออกว่าผมไม่เชื่อจริงๆว่า
    อะไรที่ทำให้มีรายได้ประจำและสม่ำเสมอได้
    นอกเหนือจากงานที่ทำ 9โมงเช้าถึงห้าโมงเย็น

    ผมทำธุรกิจของตัวเองนะครับ
    ผมเองเชื่อนะครับในความอุดมมั่งคั่งของจักรวาลแล้วเห็นตัวอย่างเยอะแยะในชีวิตผม
    แล้วในส่วนนี้ ผมได้ตัดสินใจดีพอหรือยังในสิ่งที่ผมต้องการ?
    ผมอยากเชื่อแบบนั้น

    เชื่อว่าความปรารถนาที่จะเชื่อว่าเงินจะหลั่งไหลมาสู่ผมอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ
    ความเชื่อนี้มากพอที่จะแทนความต้องการหรือไม่
    และความต้องการมากพอจะแทนที่ความเชื่อหรือไม่

    อับราฮัม :

    เอาละ นั่นมันต่างกันนะ แต่ความต้องการที่จะเชื่อนี้จริงๆแล้ว
    เป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่หนทางที่ถูกต้องนะ
    และความต้องการที่จะเชื่อมากพอนั่นหมายถึงว่า
    คุณกำลังทำงานกับความคิดที่จะช่วยให้คุณเชื่ออย่างนั้น
    ช่วยคุณทีละนิดๆ ปลดปล่อยคุณจากความคิดต่อต้านแล้วเริ่มไหลไปกับมัน

    คุณพูดบางอย่างที่สำคัญมาก คุณบอกว่า
    "ผมเชื่อว่าความมั่งคั่งจะหลั่งไหลมาสู่ผมนอกเหนือจากงานประจำ
    แต่ผมไม่เชื่อว่ามันจะทำได้" ดังนั้นลองเล่นกับมันดูนะว่า

    "ผมต้องการให้ความมั่งคั่งหลังไหลมาสู่ผมนอกเหนือ
    จากโครงสร้างนั่นแต่ผมยังไม่เห็นวิธีที่มันจะเป็นไปได้"
    นี่เป็นความคิดขั้นต้นก่อน

    "แต่ผมอยากเห็นว่ามันเป็นไปได้อย่างไร" ประมาณว่าปล่อยให้ไหลไป
    ดังนั้นเมื่อคุณยังคงพูดถึงเงื่อนไขนี้ "มีคนมากมายแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว"
    นั่นคือให้มันไหลไป

    "แต่คนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างที่แตกต่างกันออกไป"
    นั่นคือการเปลี่ยนต้นทางความคิดก่อน
    ดังนั้นคุณแค่เล่นกับมันจนกว่าความเชื่อคุณจะอ่อนกำลังลง
    จนกว่าคุณจะตระหนักว่ามันไม่สำคัญเลยว่าคิดว่าอะไร

    ความคิดไม่ได้มีอะไรถูกหรือผิด
    สำคัญที่ว่ามันเชื่อมต่อสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่
    นั่นต่างหาก ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มให้ความเป็นจริงของบางสิ่งปรากฏขึ้น

    เอสเธอร์(ร่างของผู้หญิงคนที่อับราฮัมสื่ออยู่นี้)อาจจะบอกว่า
    "แต่มันจริง แต่มันใช่ มันมีหลักฐาน" แล้วเราจะบอกว่า
    คุณต้องเริ่มที่จะให้ความคิดแบบนี้เข้ามา

    "ฉันควรต้องคิดแบบนั้นเพราะมันเป็นเรื่องจริง"
    แล้วค่อยๆยึดความคิดที่ว่า
    "ฉันจะคิดถึงมันเพราะมันเป็นข้ออ้างเพื่อให้ฉันจับคู่กับความเป็นฉันและสิ่งที่ฉันต้องการ"

    เมื่อคุณลองมองดูอะไรสักอย่าง อย่างเช่นความเชื่อที่คุณมีอยู่นี้
    ความเชื่อนี้กั้นคุณออกจากความมั่งคั่งที่จะหลั่งไหลมาสู่คุณ
    นอกเหนือจากการทำงานประจำ
    ดังนั้นตอนนี้ขอให้คุณลองจ้องไปที่ความคิดนั้นแล้วพูดกับมัน

    "ความเชื่อแบบที่ฉันกำลังคิดอยู่นี้มันเป็นเพียงข้ออ้างที่จะทำให้เงินไม่หลั่งไหลมาใช่ไหม ?
    เอาละฉันคิดว่าฉันได้คิดแบบนี้มานานมากแล้ว
    แล้วก็ไม่สามารถละความคิดตัวนี้ได้ ทั้งที่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลย
    เพราะฉันสามารถคิดอะไรก็ได้ที่ฉันอยากคิด

    ดังนั้นความเชื่อตัวนี้ก็เป็นแค่ความคิดหนึ่งที่ฉันเคยคิดมาก่อนเท่านั้น
    เจ้าความคิดนี้ไม่อาจจะดึงเอาอำนาจทั้งหลายที่ฉันมีในประสบการณ์ที่ผ่านมาได้หรอก
    เจ้าก็เป็นแค่ความคิดที่ติดเป็นนิสัยเท่านั้นแล้ว
    ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงความคิด
    แล้วความคิดนี้มันจะอ่อนลงๆ

    ใครก็ตามที่อยู่บนเส้นทางที่รู้ว่าตนคือใคร
    ย่อมมีพลังอำนาจเหนือกว่าคนเป็นล้านที่ไม่รู้
    เมื่อคุณปล่อยตัวเองให้อยู่ในกระแสที่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณร้องขอ
    คุณก็ได้ส่งสัญญาณออกไป สัญญาณที่มีอำนาจรวดเร็วและแน่นอน

    ดังนั้นจงพิจารณาให้ดีก่อนปล่อยความคิดออกไป
    แล้วจากนั้นก็คิดถึงความแตกต่างที่มากมายของความพยายามที่คุณเห็นบนโลกนี้
    ความเหนื่อยยากของผู้คนที่ต้องทำงานหนักและต้องทำมากแค่ไหน
    เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนนิดเดียว แล้วเปรียบเทียบกับคนอื่นๆที่ทำนิดเดียวแต่ได้ผลตอบแทนมหาศาล

    คุณต้องก้าวถอยไปอีกก้าว
    ถอยไปจากความคิดที่โหมประโคมใส่แบบเก่าๆของมนุษย์ทั้งหลายถึงความอยุติธรรมนี้
    ถอยไปในจุดที่ว่าช่างเหลือเชื่ออะไรประมาณนั้น
    ว่าคุณนี่ละเป็นพยานที่เห็นกับตาเลย ผ่านการถอดความหมายด้วยตัวคุณเอง
    มันมีการคัดทานของพลังกันอยู่ในแนวทางนี้
    ว่ายังมีคนที่คิดว่าถ้าเกิดมาในครอบครัวที่จะช่วยหยิบยื่นให้พวกเขาได้
    พวกเขาก็คงจะเรียนรู้วิธีการต่างๆต่อไปๆ
    แล้วท้ายที่สุดไม่มีใครที่ไม่เข้าใจถึงพลังแห่งการคัดทานนี้จะประสบความมั่งคั่งอัน
    มหาศาลได้หรอก

    ดังนั้นตอนนี้คุณเริ่มจะพูดแบบเป็นตรรกะว่า
    "ผมเชื่อว่างานประจำให้ผลตอบแทนในเรื่องเงินและเวลา
    แต่ผมเชื่อว่ายังมีเรื่องในแง่มุมอื่นๆที่ไม่ได้คิดมาก่อน
    ผมรู้ดีว่ามีคนอีกมากที่มีรายได้มากๆ
    ถ้าผมหารจำนวนเงินที่ผมได้กับชั่วโมงที่ทำ
    ผมคงจะไม่สามารถหาชั่วโมงต่อวันได้มากพอให้กับคนคนนั้นที่ทำเงินได้มากมาย
    หรือจะพูดอีกอย่างคือในแต่ละชั่วโมงของเขามีค่าเท่าไหร่
    มันไม่ได้เพิ่มขึ้น

    มันต้องมีหนทางที่จะเปรียบเทียบกันระหว่าง
    ความพยายามและผลตอบแทนที่แบบงั้นๆ
    แต่ถ้าบนเส้นทางแห่งปรารถนาแล้วผลตอบแทนจะมหึมา

    ดังนั้นทุกสิ่งที่เราเคยคิดเกี่ยวกับงานประจำและค่าตอบแทนต่อชั่วโมง
    และความต้องพยายามอย่างมากก็จะลอยออกไปนอกหน้าต่าง
    เพราะว่านี่คิอความแตกต่างที่ฉันกำลังเล่นกับมัน
    ตอนนี้ฉันเข้าใจมันแล้ว แล้วฉันจะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ

    ไม่ว่าสิ่งใดที่ฉันจะทำ ฉันจะรู้สึกขอบคุณเงินทุกบาททุกสตางค์
    ฉันเห็นเศรษฐกิจและเส้นทางที่ปรารถนาและการให้
    การรับและทรัพยากรในสิ่งที่แตกต่างกัน

    ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าถ้าเวลาและพื้นที่ว่างแห่งความเป็นจริง
    มีที่มีมากับทุกสิ่งที่จะทำให้ฉันใส่ลงไปในพลังงานสั่นสะเทือนของฉัน
    เวลาและพื้นที่ว่างแห่งความเป็นจริงมีพลังอำนาจที่จะส่งถึงฉันและคนอื่นๆ
    ไม่จำเป็นต้องต่อสู้แข่งขันกัน

    และดังนั้นอะไรที่มาสู่ฉันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นกำลังทำ
    พูดอีกอย่างคือไม่มีแง่ของเศรษฐกิจที่ต้องหารกันแล้ว
    คุณต้องชี้ชัดออกมาว่าคุณจะสร้างสิ่งที่คุณต้องการออกมายังไง

    มันเป็นเรื่องทางเศรษฐกิจที่ว่าในกระบวนการสร้างสรรค์ที่ตอบรับพลังงานการสั่นสะเทือนที่คุณยึดไว้

    มันไม่ใช่หลายร้อยปีมาแล้วเหรอที่คุณเอาลูกปัดไปแลกกับขนนกกับคนอื่น แล้วดูซิว่าเศรษฐกิจคุณขยายไปถึงไหนต่อไหน ไม่มีใครไปดึงเอาทรัพยากรจากที่อื่น มันขยายเพราะความคิดที่คุณฉายมันออกมา คุณเห็นไหม

    ดังนั้นถ้าคุณพิจารณาดูทั้งหมดนี้ คุณจะตระหนักว่าคุณคือผู้สร้างความเป็นจริงของชีวิตคุณเอง
    สิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่คือปัจจัยของสิ่งที่ขยายมาอยู่ตรงนี้เพื่อคุณ

    ตอนนี้คุณเข้าถึงความคิดที่คุณรู้สึกดี
    ตอนนี้คุณอยู่ในการคานอำนาจระหว่างคุณกับความปรารถนาของคุณ
    ในช่วงเวลาสั้นที่เหลือนี้
    ไม่แค่พูดว่าอะไรที่คุณหารายได้จากงานประจำแทนที่จะพูดว่า
    "โอ้แน่นอน ฉันหางานได้และฉันให้สัญญากับตัวเองว่าฉันจะอดทนต่อการต่อต้านที่ฉันจะต้องรู้สึก

    คุณไม่จำเป็นต้องพูดกับตัวเองด้วยบทสนทนาแบบนี้เพราะคุณเข้าใจแล้วว่าการคิดแบบนี้ทำรายได้ที่เปรียบไม่ได้เลยกับการที่คุณอยู่บนแนวทางที่คุณปรารถนากับพลังงานสั่นสะเทือนของคุณ คุณจะไม่ได้คิดถึงมันเลยละ

    ดังนั้นเมื่อคุณพูดถึงสิ่งที่คุณรู้

    "ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งเหล่านี้ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันรู้ถึงกฏแห่งแรงดึงดูดอันมั่งคั่ง
    ฉันรู้ว่าฉันได้มีชีวิตและใส่พลังงานลงไปในพลังงานความสั่นสะเทือน

    ฉันรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการรู้สึกไม่ดีกับการรู้สึกดี
    ฉันรู้ว่าฉันมีอำนาจที่จะนำทางความคิดของฉัน

    ฉันรู้ว่ามีแง่บวกทุกที่ที่ฉันอยู่และฉันก็มองหามัน

    ฉันรู้ว่ามีความแตกต่างระหว่างแนวทางแห่งการสั่นสะเทือนและความคิดต่อต้าน

    ฉันรู้ว่าฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่า

    พูดอีกอย่างคือ คุณต้องยึดเอาความต้องการที่จะให้เกิดขึ้นได้ให้เหมือนเป็นหลักฐานว่าคุณมีค่าพอที่จะรับ

    แต่นั่นมันไม่ใช่ว่าต้องทีหลังนะ เหมือนอย่างที่พูดว่า
    "ให้ฉันไปอยู่ตรงนั้นก่อนซิ ฉันจึงจะรู้สึกรู้สึกดี"

    คุณต้องรู้สึกดีก่อนที่คุณจะไปตรงนั้น แล้วจากนั้นเริ่มทำอีกครั้งๆ
    นี่คือสิ่งที่ฉันรู้

    ฉันรู้ว่ากฏแห่งแรงดึงดูดมันมั่งคั่ง ฉันเห็นหลักฐานของมัน

    ฉันรู้ว่าฉันมีผู้นำทางในตัวฉัน ฉันรู้สึกถึงหลักฐานมัน

    ฉันรู้ว่ามีสิ่งมากมายที่ฉันต้องการเพราะว่าฉันรู้สึกถึงการคัดทานที่บอกให้ฉันรู้ว่ามีสิ่งที่ฉันต้องการ

    ฉันรู้ว่าฉันอยู่ในแนวทางฉันเสมอ

    ฉันรู้ว่านั่นเพราะว่า คุณเห็นไหม ทุกความรู้สึกของการมีคุณค่าจะปิดช่องว่างนั่น
    โดยคุณไม่จำเป็นต้องพูดว่า ฉันรู้ว่าฉันมีค่า แต่คุณต้องรู้สึกถึงการเทียบคุณค่า

    คุณรู้ไหมว่าเมื่อคุณอยู่ในภาวะของความสำนึกขอบคุณ ช่องว่างนั้นจะปิดลง
    และเมื่อคุณอยู่ในภาวะที่รู้คุณค่าของตัวเอง คุณปิดช่องว่างนั้น

    ดังนั้นมันไม่สำคัญถ้าคุณรู้สึกซาบซึ้งมากกว่าการสำนึกคุณค่าเพื่อปิดช่องว่างนั้น
    แต่เมื่อคุณรู้สึกไร้คุณค่า มันจะเปิดช่องว่างระหว่างคุณกับสิ่งที่ปรารถนา
    มันทำให้คุณอยู่ในภาวะของไม่ปล่อยให้สิ่งต่างๆเข้ามา
    และคุณรู้ไหมว่าถ้าคุณรู้สึกถึงคุณค่าตนเอง
    คุณจะได้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการและร้องขอ

    ดังนั้นความจริงคือว่าความจริงที่คุณไม่ได้หมายถึงมันจริงๆ มันต้องไม่ใช่
    ซึ่งนั่นมันไม่สำคัญ แค่หมายถึงสิ่งที่คุณต้องทำงานกับมัน

    ผู้ถาม : ผมจะทำครับ

    อับราฮัม : คุณทำได้แน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2011
  3. AFIKLIFI

    AFIKLIFI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    560
    ค่าพลัง:
    +53
    ขอบคุณมากครับ
     
  4. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    คุณsarissaได้แปลไว้สวยงามแล้ว
    แค่เผื่อว่าเพื่อนบางท่านอยากถือโอกาสนี้เรียนภาษาไปด้วยในตัว
    ดังนั้น ขออนุญาตนำเสนอบทสนทนาของ อับราฮัม ฮิคส์ ฉบับภาษาอังกฤษ ดังนี้ค่ะ
    ____________________________________________

    In this track, Abraham helps a self employed gentleman ease his way into a vibration that is more suited for financial abundance. While it focuses on money, it can be applied to any area where you have a belief that counters a desire that you have.
    Recorded on 8/4/07 in Los Angeles, CA.
    Abraham-Hicks Publications: 2007/8/4 Los Angeles, CA (Saturday)

    (Hot Seater) Good Morning.
    (Abraham) It is.
    (Hot Seater) It’s a lovely morning. Finances. I am so happy with where my life is at right now and I’m even okay with how much money is in my bank account. (laugh) which isn’t a lot. Quantitatively, it’s not a lot right now. But I’m really kind of living in this space where I’ve really been chewing on the contrast more. And more and more directing myself towards what do I want. What do I want? And the other night, I got in touch with that I didn’t really believe in the regular steady flow of money outside of a 9 to 5 job and I am self employed. I believe in the abundance of the universe and I see it in so many areas of my life. In this one particular area, I’ve decided well what do I want? I WANT to believe that. Is that desire to believe that the dollars can come to me regularly and steadily – is that belief enough to override the want – is the want enough to override the belief??

    (Abraham)
    Well, now that’s different. But wanting to believe it really is a step in the right direction and wanting to believe it enough that you’re working at thoughts that help you believe it helps you to, little by little, release the resistance and begin going with the flow of that.
    You said something very important – You said “I want abundance to flow to me outside of a 9 to 5 job but I don’t believe that it can.” So, let’s just play with it. “I want abundance to flow outside of anything that’s structured but I don’t see how it can.” is upstream. “But I want to see how it can” is sorta letting go of the oars. So then you keep talking in those terms. “There are plenty of people who show that example.” That’s letting go of the oars. “But most people that I know are showing a different example.” That’s turning upstream. So you just play with it until you soften the belief. Until your awareness is that it doesn’t matter what the thought is. The thought isn’t right or wrong, it’s whether it dove tails with what you want that matters or not. So you begin to let of the reality of something – Esther will say “But it’s TRUE. But that’s right. There’s evidence” And we say, you have to start letting go of the idea “I should think it because it’s true” and start getting hold of the idea – “I will think it because it’s my excuse to match who I am and what I’m wanting.”
    When you look at something, like this belief you have. So this belief is what’s keeping you from letting abundance flow outside a 9 to 5 job. So now you look right at it and say “Belief what is it that I’m thinking about you that I’m using as my excuse not to allow the money to flow?” “Well I’m thinking that I’ve been thinking you for so long that I can’t let go of you. And that doesn’t make sense because I can think any thought I want. So, you belief, are just a thought that I have been thinking. You don’t hold any power in my experience. You’re just a habit of thought that I’m in the process of changing right now.” So it softens as you think about it.
    One who’s in alignment with who they are is more powerful than millions who are not. When you get yourself turned downstream so that you are in alignment with what you’re asking for, and now you’re only offering one signal, the power of that is so swift and sure.
    So contemplate that platform and then think about the great disparity in the amount of effort that you see happening on this planet. How hard many people are working and how much action that they’re offering for very small remuneration, comparatively. And how little some others are doing and how much incredible abundance is coming to them. And you have to step back from that, not from the old normal human fanfare of injustice, but step back from that in sort of awe as you are witnessing first hand, through your own deciphering of life, that there’s leverage in alignment. That there are people who have figured out, maybe they were born into a family where it was easy for them to pick it up and maybe they learned it one step along the way, but the bottom line is nobody is experiencing enormous abundance who doesn’t understand, in some way, this power of this leverage of alignment.
    So now you are beginning to say things, logical things like, “I believe more in the 9 to 5 return on time and money but I know there’s more to the story than I have been before thinking. I do acknowledge that there are a lot of people that are earning a lot of money that if I divide the amount of money that I make with the number of hours that I am putting and I come up with this dollar per hour equivalent. There are not enough hours in the day for that guy to make that much money. ” In other words, what would his hourly rate be?? It just doesn’t add up! There’s got to be something way more to the equation than effort and return, and effort and return, and effort and return. Effort and return brings mediocre. Alignment brings a return that is astronomical.
    So everything that I’ve ever thought about 9 to 5 and dollar per hour and effort, it all just goes out the window. Because this is a whole different platform that I’m playing from now. Now I GET it. So now, I’m gonna do what ever I do and I’m going to appreciate the money that’s coming but I am now seeing economy and alignment and allowing and receiving and resources in an entirely different light. Now I get IT that if this time / space reality has the where-with-all to cause me to put it into my vibrational escrow, this time / space reality has the ability to deliver the goods for me or anybody else. There’s no competition. And so, what comes to me, doesn’t have anything to do with what anybody else is doing. In other words, there’s not an economy that’s being divvied up and you’ve gotta figure out how to carve your piece out of it.
    There is an economy that’s in the process of being created that is responding to the vibrational platform that you all hold. It was not very many hundreds of years ago that you were trading beads and feathers and things with one another. And now, look how your economy has expanded. And nobody’s been trucking resources in from other places. It’s expanding because of the thoughts that you are projecting, you see.
    So, as you contemplate all of this, and you realize that you are the creator of your own reality, and the environment that you are living is what is causing the expansion of that which is there for you, and now you are reaching for the thoughts that feel good, NOW you are leveraging yourself in a way that you will, in a very short time, not be even talking about what you could earn 9 to 5. Instead of saying “Oh sure I could go get a job and I could commit myself and I could endure the discord that I would feel” You wouldn’t even be having those conversations because of your understanding of what that kind of thinking earns in comparison with this empowering thinking of when you come into alignment with vibrational escrow. You would not even be considering it.
    So when you talk about what you do know –
    “I don’t know how it’s going to happen but these things I do know.
    I do know, law of attraction abounds.
    I do know that I have been living life and I’ve put stuff in vibrational escrow.
    I do know the difference between not feeling good and feeling good. I do know that I do have the power to direct my thoughts.
    I do know that there are positive aspects everywhere I stand and if I will look for them.
    I do know the difference between vibrational alignment and resistance.
    I do know that I am a worthy being.
    In other words, you keep wanting to use your manifestations as the evidence that you are worthy of receiving but that is backwards. That is like saying “Put me over there and I will have a good feeling response to being over there.”
    You gotta feel good before you get over there. And so, just keep starting back over again.
    These things I do know:
    I DO know that law of attraction abounds. I see evidence of it.
    I DO know that I have guidance within me. I feel evidence of it.
    I DO know that there are many things that I want because I feel the discord that lets me know that there are things that I want.
    I DO know I am often in alignment.
    I DO know that… Because you see, all the feeling of worthiness is is closing the gap. You don’t need to say “I do know that I am worthy” but you do need to feel the equivalent of it.
    Do you know that when you are a state of appreciation, the gap is closed? And when you are a state of knowing your worthiness, you gap is closed? So, does it matter if you feel appreciation rather than worthiness to close the gap? But when you feel unworthy, it always widens the gap? It always puts you in the state of disallowing. And do you know that if you felt worthy, you’d have all of these things you’ve been asking for? So the fact that you don’t means you must not. So, it doesn’t matter. Just means you have some things to work on.
    Hot Seater – I can do that.
    Abraham – You can indeed.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011
  5. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    Wonderful Life Affirmations

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=zo-NSTZzVMs&feature=player_embedded"]YouTube - Wonderful Life Affirmations[/ame]

    ฉันจดจ่ออยู่กับความงามแห่งชีวิต
    ฉันมีความสุข สำราญบานใจ
    ชีวิตฉันมีทิศ มีหนทางไป
    แต่ละวัน ชีวิตฉัน ดีขึ้น ดีขึ้น เรื่อยๆ
    ฉันเฝ้ามองชีวิตฉัน จากมุมของผู้ปกปักดูแลตัวฉัน
    ฉันเปิดใจ เปิดรับสิ่งดีดีหลั่งไหลมาสู่ตัวฉัน
    ฉันคาดหวัง สิ่งที่ดีที่สุด
    ฉันรักการคิดบวก
    ฉันเป็นจิตวิญญาณวิเศษสุด
    ฉันสอดคล้องประสานไปกับจักรวาลเสมอ
    ฉันเชื้อเชิญเรื่องมหัศจรรย์เข้ามาสู่ชีวิตฉัน
    ฉันเต็มใจต้อนรับชีวิตที่ทยอยเผยออกมาของฉัน
    ชีวิตฉันช่างเยี่ยมยอด
    ฉันเผื่อแผ่สันติสุขและรักแด่ทุกคนที่ฉันพบ
    ฉันสนใจแต่ด้านบวกของชีวิต
    ชีวิตฉันเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนานและมิตรภาพ
    ฉันไว้วางใจในกระบวนการแห่งชีวิต
    ฉันกำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวฉันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011
  6. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    Be Moderate About the Vortex

    <object width="640" height="390">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/MTW9ASxinKI&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" width="640" height="390"></object>

    Abraham-Hicks Vortex of Creation Workshop
    North Los Angeles, CA — 2/12/11
    Masters Program Disc 3
    “She is in love with everything.”

    So what we are getting at here with you, this has been a really good demonstration of energy moving. We want you all to just acknowledge that you are in the Vortex, at one time or another, on several occasions through the day. And sometimes it just feels like a place of utter peacefulness. Sometimes it feels like a place of appreciation that just wells up in you. Sometimes it feels like love. Sometimes it feels like eagerness. But in almost every case, it is a sort of brief spiking, that as you acknowledge it, will come to you frequently. We would like you to feel the Vortex as this place where you move from interest to eagerness to love to appreciation to peacefulness. But we would like you to realize that, as you hang around there, in any of that range of emotions, that the more that you are able to maintain your vibrational frequency there, the more within the vortex you will begin to spike. So that the lowest of your day will still be in the Vortex and the highest of your day will be off the wall sort of enthusiasm. We want you to feel moderate about the Vortex. We don’t want you to hype the Vortex. That really is the message we want to give you. We don’t want you to hype it, we want you to feel natural within it.
    We would rather that you feel Worthy, and Loved, and Blessed, even than eager, and passionate. Because the Loved and Worthy and Blessed is sustainable from moment to moment to moment. Where that high flying enthusiasm, the specifics of it, they’re only going to come occasionally. So we don’t want you to misunderstand when you are in the Vortex. We don’t want you to think the Vortex is always that bouncing off the wall stuff. We want you to realize that when sometimes just sitting in quiet contemplation, in a feeling of utter well being, you’re in the vortex, and you are doing the work. In fact, anytime that you’re not feeling negative emotion, you’re doing the work.

    ______________________________
    แปลแบบคร่าวๆก่อนละกันนะคะ
    ______________________________

    ใจความหลักของข้อความนี้คือ

    จงทรงอารมณ์ของตนให้อยู่ในความรู้สึกดังต่อไปนี้
    มีคุณค่่า
    เป็นที่รัก
    ได้รับพรประเสริฐ


    วิธีสังเกตุง่ายที่สุดว่าเราทรงอารมณ์ดั่งข้างต้นหรือไม่ ก็คือ
    หากคุณปราศจากความรู้สึก ลบ
    นั่นหมายถึงว่า คุณกำลังดำรงตนอยู่ในกระแสพลังงานที่เป็นบวก
    คุณมาถูกทางแล้ว และ คุณทำถูกต้องแล้ว


    <!-- Start WP Socializer Plugin - Addthis Button -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011
  7. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    <EMBED height=390 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/yBHbeVVpOrY?version=3 allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true">


    ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการมากกว่าสิ่งที่เขาต้องการ
    ความคิดเหล่านั้น จึงดึงดูดสิ่งที่เหมือนๆกันเข้ามา มาก และยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
    เมื่อใดก็ตามที่อารมณ์ความรู้สึกนั้นเข้มข้นและรุนแรง
    พละกำลังของกระบวนการสร้างจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงตามไปด้วย

    หากคุณสงสัยว่าคุณกำลังเป็นอย่างไร ลองมองไปรอบๆตัวคุณ
    มองดูผู้คน มองดูต้นไม้ใบหญ้า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
    คุณรู้สึกกกับสรรพสิ่งต่างๆอย่างไร เป็นสุข หรือหดหู่

    สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของพวกเรา คือภาพที่สะท้อนปฎิกิริยาความคิดภายใน
    จักรวาลรับรู้พวกคุณได้จากความรู้สึกที่คุณส่งออกไป
    และจักรวาลก็ส่งมอบพลังงานที่เหมือนกันนั้นกลับมาสู่คุณ
    มันเป็นกฎการขับเคลื่อนทางพลังงานอย่างแท้จริง
    คุณส่งพลังงานความรู้สึกอย่างไรออกไป คุณก็จะได้รับพลังงานอย่างนั้นกลับมา
    ไม่มีทางเป็นอื่น

    เพราะฉะนั้น โปรดจงเลือกความคิดอย่างระมัดระวัง ทันทีที่คุณคิด คุณส่งมันออกไปแล้ว
    และก่อนที่มันจะเข้มข้นและรุนแรง โปรดสังเกตุ และกำกับไว้ด้วยสติ
    เพราะความคิด เป็นพลังอำนาจที่สูงที่สุดในจักรวาล
    มันคือแรงปรารถนาภายใน ที่จะมาสร้างโลกแห่งความเป็นจริงให้กับคุณ


    ;aa21
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011
  8. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,232
    อ่าน
    และ ได้ลอง ทำดู

    ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ครับ

    แต่
    ที่รู้สึก คือ
    ได้รับสิ่งดีๆมากขึ้น
    แม้
    ไม่เท่าที่คาดหวังไว้ก็ตาม ครับ

    ขอบคุณ ที่ เขียน และ เล่า ประสพการณ์ ครับ
     
  9. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    ได้ข่าวว่า เริ่มมีเพื่อนๆสมัครเข้าร่วมโครงการของคุณSarissa แล้วนะคะ
    อยากบอกท่านที่สนใจ อย่ามัวลังเล รีบสมัครเข้ามาเลยค่ะ
    โครงการแปลกแปลกและดีดีอย่างนี้ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆนะคะ
    กี่ครั้งแล้วในชีวิตของเรา ที่ปฏิเสธสิ่งดีดีให้หลุดมือไป
    วันนี้คุณบอกรักตัวเองแล้วรึยัง
    นานแค่ไหนแล้วที่ให้ของขวัญกับตัวเองครั้งล่าสุด
    ขอเชิญ มาชาร์จพลังงานบวกร่วมกัน
    มาสร้างปาฏิหารย์ด้วยกัน

    ปล เราเคารพสิทธิส่วนตัวของคุณเสมอ
    เราจะเผยแพร่ผลลัพธ์ของโครงการ
    โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่านที่เข้าร่วมโครงการ
    ก็ต่อเมื่อ ได้รับอนุญาตจากท่านฯเท่านั้นค่ะ
     
  10. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    เงิน เงิน และเงิน


    เงินไม่ใช่ทั้งปีศาจและพระเจ้า เงินคือพลังงานชนิดหนึ่ง
    อย่างที่ผู้เขียนเคยเล่าให้คุณผู้อ่านฟังถึงภาวการณ์ขาดแคลนเงินของผู้เขียน
    แม้ผู้เขียนจะมีบ้านหลังงาม มีรถยนต์รุ่นที่ชอบ
    แต่กระนั้นผู้เขียนยังอยู่ในภาวะขาดเงินอยู่ดี

    การอยู่ด้วยความกังวลกับเรื่องของเงิน
    เงินทุกบาทที่ใช้สอยออกไปผู้เขียนก็มีความกังวลลึกๆว่า
    เงินจะหมดไปๆ ทำให้เกิดความตะหนี่และกลัวว่าเงินจะหมดไปจริงๆ
    พลังของความกลัวว่าเงินจะหมดก็ดึงดูดสภาวะขาดเงินโดยสิ้นเชิงเข้ามาในชีวิต


    เมื่อผู้เขียนได้เรียนรู้กฏแห่งแรงดึงดูดและเรียนรู้ว่า
    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองโดยที่เราไม่รู้ตัว
    เมื่อยอมรับความเป็นจริงที่เราสร้างขึ้นมาเอง
    ผู้เขียนก็เรียนรู้ที่จะควบคุมกฎแห่งแรงดึงดูดอย่างมีสติ


    ก่อนอื่นขอให้เราลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงินเสียก่อน


    เงินไม่ใช่ปีศาจหรือพระเจ้าที่จะบันดาลหรือทำลายทุกสิ่ง
    หากแต่เงินเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
    คุณผู้อ่านลองนึกถึงข่าวเศรษฐกิจที่รายงานยอดเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
    จำนวนเงินที่รายงาน เช่น 28000 ล้าน
    พวกเขาไม่ได้เอาเงินมากองที่ตลาดหุ้นให้เราเห็น
    หากแต่เป็นจำนวนตัวเลขบนกระดาษใบหนึ่งเท่านั้น
    แล้วพวกเขาก็เชื่อในจำนวนตัวเลขนั้น ให้ค่ามันเชื่อมโยงกับความเชื่อของเขา

    แล้วดูซิว่มันมากมายเพียงใด กับความเชื่อของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง

    เงินจึงเป็นเพียงพลังงานที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความเข้าใจของเรา
    พี่นักเขียนแห่งหังสือชุดโนวา อนาลัยเคยบอกกับผู้เขียนในการไปพบกันครั้งหนึ่งว่า

    "เงินก็เหมือนสุขภาพ ใช่ว่าหากเราสุขภาพดีแล้วจะทำให้คนอื่นสุขภาพไม่ดี"
    เงินมีเพียงพอกับทุกคน พอๆกับสุขภาพนั่นละ

    ขอผู้เขียนลองขยายความตรงนี้สักนิด


    เงินเป็นพลังงาน อากาศเป็นพลังงาน สุขภาพ (ชี่ ลมปราณ) เป็นพลังงาน
    ทุกอย่างคือพลังงานชนิดหนึ่ง
    แต่เราไม่เคยคิดว่าอากาศจะขาดแคลน
    เราไม่เคยวิตกกังวลว่าเมื่อเราสูดอากาศเข้าไปในนปอดก้อนโตๆ
    แล้วพรุ่งนี้อากาศจะมีไม่พอ

    เราไม่เคยดุหรือกำกับลูกหลานของเราว่าพวกเขาหายใจมากไป
    เราไม่กังวลว่าสิ้นเดือน เราอาจมีอากาศหายใจไม่พอ


    เงินก็เช่นกัน มันเป็นเพียงจำนวนตัวเลขที่เราใส่คุณค่าลงไปในกระดาษแผ่นหนึ่ง
    จำนวนเงินที่เรามีหรือไม่มี เชื่อมโยงกับความเชื่อของเราในเรื่องเงินพอๆกับเรื่องของอากาศ
    หากใครสักคนเชื่อว่าเงินมีไม่เพียงพอ ชีวิตคนคนนั้นจะสะท้อนผ่านสิ่งที่เขาคิด


    เวลาที่คุณพูดถึงเรื่องเงิน คุณรู้สึกอย่างไร
    คุณมักจะพูดเสมอหรือไม่ว่า คุณไม่มีเงิน ๆ
    คุณกำลังประกาศต่อกฎแห่งแรงดึงดูดว่าคุณไม่มี

    ไม่มีย่อมดึงดูดความไม่มีเข้าหากันเสมอ


    แล้วทุกครั้งที่ใช้จ่ายเงินละ คุณมีความรู้สึกอย่างไร
    คุณเคยกังวลหรือโมโหตัวเองหรือไม่ที่คุณเผลอใช้จ่ายโดยไม่ระวัง
    แล้วกังวลว่ารายรับจะไม่พอสำหรับรายจ่าย
    คุณอาจต้องประหยัดค่าอาหารลงเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะมีเงินพอไปจนถึงสิ้นเดือน

    ถ้าคุณมีอารมณ์คล้ายๆกับที่เล่ามานี้ ขอให้คุณพิจารณาความเชื่อของตัวเองใหม่
    ว่าคุณกำลังสร้างความรู้สึกขาดเงินหรือกำลังสร้างจิตสำนึกแห่งความยากจนขาดแคลนเข้ามาในชีวิตคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  11. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    เราทุกคนต่างมีอิสระที่จะสร้างความเชิ่อใดๆ ก็ได้ที่เราต้องการ
    ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะให้สิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตเราบ้าง
    ลองเปรียบเทียบความคิดสองแบบนี้ดูซิเวลาที่คุณจ่ายเงินออกไป

    ความคิดที่หนึ่ง : “ฉันไม่น่าซื้อเลย ฉันไม่มีเงินพอสำหรับเรื่องแบบนี้หรอก”

    ความคิดที่สอง : “ฉันชอบเงิน ฉันกำลังใช้เงินนี้เพื่อทำให้ชีวิตฉันและผู้อื่นดีขึ้นๆ
    ฉันซาบซึ้งที่เงินหลั่งไหลมาสู่ฉันเพื่อนำความสุข ความสบายมาสู่ฉันและคนอื่นๆ
    ยิ่งฉันใช้เงิน เงินจะยิ่งหลั่งไหลมาสู่ฉัน
    ฉันใช้เงินนี้ด้วยความสำนึกขอบคุณและด้วยความฉลาด”

    ทุกครั้งที่คุณมีปฏิกิริยาต่อเงินไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
    จักรวาลกำลังมอบโอกาสแห่งประสบการณ์แห่งชีวิตตามที่คุณส่งสัญญาณร้องขอออกไป
    ความรู้สึกแห่งการขาดแคลนที่อยู่ลึกๆในใจ
    การเชื่อว่ามีเงินไม่เพียงพอ
    ความกลัวเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในตัวเราทุกคน
    ดังนั้นนี่เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะได้ลบล้างความคิดแบบเดิมออกไป
    ก่อนอื่นเราลองมาสำรวจความเชื่อคุณก่อน

    • ฉันไม่เคยมีเงินพอ

    • ฉันมีหนี้สินมากจนไม่อยากคิด

    • เงินทองหายาก

    • ใครอยากได้เงินมากๆ แสดงว่าคนนั้นโลภและฉันไม่ใช่คนโลภ

    • คนมีเงินมักเอาเปรียบเสมอ

    • คนนั้นโชคดีจัง ฉันซิไม่เคยมีโชคลาภทางการเงินเลย

    • ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นๆ หาไม่พอกับรายจ่าย

    • เงินเข้ามาแล้วออกไปเร็วเสมอ

    • แย่แล้ว เงินฉันกำลังจะหมด

    • ฉันอยากซื้อสิ่งนี้ แต่ฉันมีเงินไม่พอแม้ฉันอยากได้มากแค่ไหนก้ตาม
    มันเป็นของฟุ่มเฟือยเกินไปในชีวิตฉัน

    • ฉันต้องทำงานอย่างหนัก ลำบาก อดออม
    เพื่อแลกกับรายได้นิดเดียว

    • ความยากจนทำให้ฉันรู้จักนอบน้อม
     
  12. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ถ้าในขณะนี้คุณกำลังประสบภาวะขาดเงิน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย
    นั่นแสดงว่าคุณมีความเชื่อลึกๆในเรื่องของเงิน
    การขาดแคลน ความไม่พออยู่ลึกๆในจิตใต้สำนึกคุณ

    คุณต้องเริ่มสร้างความเชื่อใหม่ๆเข้ามาในจิตใจคุณ
    ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่า
    คุณเคยมีความเชื่อในเรื่องเงินแบบนี้แล้วตอนนี้คุณกำลังอยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลง
    คุณต้องเริ่มคิดใหม่ทุกครั้งที่ชุดความเชื่อเดิมของคุณกลับมาเรื่องการขาดแคลนเงิน

    • จักรวาลมีความมั่งคั่งมากมายเพียงพอสำหรับทุกคนรวมถึงฉันด้วย

    • ฉันรู้ว่ามีความมั่งคั่งอยู่ทุกแห่งบนโลกนี้ มันมีพอสำหรับทุกคน

    • ฉันสบายใจกับเงิน

    • ฉันมีความสุขที่เงินได้สร้างความสุขให้กับฉันและคนอื่นๆ

    • เงินกำลังหลั่งไหลมาสู่ฉัน

    • ฉันมีค่าและคู่ควรกับเงินจำนวนมาก

    • ฉันเป็นมิตรกับเงิน และเงินเป็นมิตรกับฉัน

    • ฉันมีงานปาร์ตี้เงิน แล้วเงินมากมายก็เป็นแขกสำคัญด้วย เงินก็ชวนเพื่อนเงินมามากมาย

    • ฉันมีความสุขและคนอื่นๆก็มีความสุข

    ขอแค่คุณรู้สึกเบิกบาน สนุกกับการคิดถึงเงินในแนวทางที่เป็นบวก
    (ขอให้แน่ใจว่าไม่มีความคิดลบๆซ่อนอยู่ในความคิดนั้น)
    ถ้าคุณยังเปลี่ยนความคิดในทันทีไม่ได้ ขอให้คุณแกล้งเชื่อไปก่อน
    จนกว่าความคิดลบหรือความคิดต้านทานของคุณจะอ่อนล้าลงไป
    จนความรู้สึกเบิกบานเป็นสุขเข้ามาแทนที่จนไม่เหลือช่องว่างให้กับความคิดลบเรื่องเงินอีกต่อไป

    ทุกครั้งที่คุณใช้เงิน จงรู้สึกดีและสงบ
    เชื่อมั่นว่าทุกครั้งที่คุณใช้เงิน คุณกำลังใช้กฎแห่งแรงดึงดูดเพื่อให้เงินเข้ามาในชีวิตคุณ
    แต่อย่าลืมว่าคุณต้องใช้จ่ายเงินด้วยสติ สงบและรู้สึกดี

    นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะหากคุณใช้เงินอย่างไม่มีสติ
    ใช้เงินมากกว่ารายรับของคุณเพียงเพราะว่าคุณบอกตัวคุณเองว่ากำลังใช้กฏแห่งแรงดึงดูดนั้น
    คุณต้องพิจารณาไปถึงความรู้สึกของคุณอย่างถี่ถ้วน
    ถามตัวเองว่าคุณรู้สึกดีหรือไม่ คุณต้องการมันจริงไหม

    สำรวจความคิดคุณ
    หากคุณพบว่าคุณรู้สึกดี จงใช้จ่ายออกไปด้วยความรู้สึกดีและสงบ
    หากคุณพบว่าคำพูดที่บอกว่า “ฉันใช้เงินเพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนของความมั่งคั่งตามที่ฉันอ่านเจอในกฏแห่งแรงดึงดูด” เป็นคำพูดที่หลอกตัวเอง

    คุณกังวลใจลึกและกระวนกระวายเพราะกังวลว่าเงินที่ใช่ไปอาจไม่กลับคืนมา
    ภายใต้คำพูดนั้นมีความคิดลบและหวาดกลัว ไม่มั่นใจ

    มันจะไม่สร้างแรงสั่นสะเทือนแห่งความมั่งคั่งใดๆให้คุณเลย
    คุณอาจหลอกคนอื่นได้ แต่คุณไม่อาจหลอกจิตใจของตนเองได้
    ไม่อาจหลอกจักรวาลและกฏแห่งแรงดึงดูดได้
    อารมณ์ความรู้สึก สติในขณะที่ใช้เงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ

    คุณต้องรู้สึกถึงปัจจุบันขณะในขณะที่คุณใช้จ่ายเงิน
    จงรู้สึกตัวตนให้อยู่กับพลังแห่งการสำนึกขอบคุณ
    คุณกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนทางพลังงานแห่งความมั่งคั่ง

    หากคุณกำลังชำระหนี้ จงสำหนึกขอบคุณเจ้าหนี้ที่ไว้ใจคุณให้คุณได้ใช้บริการของเขา
    หากคุณกำลังซื้อสินค้า จงสำนึกขอบคุณผู้ผลิต ร้านค้าและขอบคุณเงินที่นำความสุขความสะดวกสบายมาสู่ชีวิตคุณและคนอื่นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  13. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    ทุกครั้งที่คุณพูดถึงเรื่องเงิน จงระมัดระวังในแต่ละถ้อยคำที่คุณเปล่งออกมา
    หากบังเอิญมีคนถามคุณว่า "คุณมีเงินไหม"
    จงตอบคำถามนนี้เสมอว่า "ฉันมีเงิน มีมากมาย"

    อย่าพูดว่าคุณเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนที่หาเงินมา ขณะที่คุณกำลังให้เงินลูกคุณไปโรงเรียน
    อย่าปลูกฝังสำนึกแห่งความขาดแคลนต่อพวกเขา

    จงสื่อสารในแง่บวกเกี่ยวกับสภาวะการเงินของคุณด้วยภาษาที่เรียบง่าย
    และจิตสำนึกที่เป็นบวกมากกว่าจิตสำนึกแห่งการขาดแคลน
    ไว้ใจว่าพวกเขาเข้าใจถึงการใช้จ่ายเงินที่เหมาะสม

    ผู้เขียนนึกถึงหนังสือชุดหนึ่งที่ชื่อว่า “พ่อรวยสอนลูก” เขียนโดย โรเบิร์ต คิโยซากิ
    หนังสือบอกเล่าถึงแนวคิดที่แตกต่างระหว่างพ่อรวยกับพ่อจนที่มองเรื่องเงินต่างกันแบบสุดขั้ว
    พ่อรวยสอนเขาว่า เงินมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพียงพอสำหรับทุกคน
    ขณะที่พ่อจนสอนเขาว่า เงินทองเป็นเรื่องของความชั่วร้าย เห็นแก่ตัวและหามาได้อย่างยากเย็น

    คุณผู้อ่านคงพอจะเดาออกว่าชีวิตของพ่อคนไหนที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและประสบความสำเร็จ

    จงสร้างจิตสำนึกว่าเงินเหมือนอากาศที่มีเพียงพอสำหรับทุกคน
    เงินเหมือนอากาศที่มาเพื่อสร้างความสุขความเบิกบานและสร้างชีวิตให้เรา
    จงวางใจว่าเงินจะมีเพียงพอเหมือนอากาศ
    แล้ววางใจว่าคุณจะมีทางเลือกใหม่ๆในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้
    ที่เงินจะไหลเข้ามาสู่ชีวิตเรามากขึ้นๆ

    เกมที่ 6 บัญชีเงินฝากแห่งความมั่งคั่ง

    ขอให้คุณนำสมุดเล่มสวยของคุณออกมา
    เขียนบนหัวกระดาษว่า บัญชีเงินฝากแห่งความมั่งคั่ง
    คุณอาจจะชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทมาร่วมเล่นด้วย

    เกมคือ ในวันที่ 1 คุณจะมีเงินในบัญชีของคุณหนึ่งแสนบาท
    แล้วจะมีเข้ามาทุกวัน วันละหนึ่งแสนบาท
    สิ่งที่คุณทำคือคุณจะนำเงินที่ได้วันละหนึ่งแสนไปทำอะไร
    คุณอาจจะเปิดนิตยสารที่มีสินค้าที่คุณอยากได้มานานแล้ว
    คุณก็เลือกซื้อๆ ซึ้อข้าวของชิ้นนั้นชิ้นนี้ไปเรื่อยๆ จงมีความสุขและสนุกไปกับมัน

    หรือคุณอาจจะลองนำเงินนั้นไปลงทุน จดบันทึกการลงทุนของคุณ
    คุณไม่ต้องห่วงว่าคุณจะลงทุนผิดพลาด เพราะเงินจะมีเข้ามาให้คุณทุกวันๆ

    เมื่อคุณปราศจากความกลัวว่าเงินคุณจะหมดไป
    คุณเพ่งความสนใจไปสู่สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นๆ ในเรื่องของเงิน

    จักรวาลไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คุณกำลังใส่ใจเป็นบัญชีของจริงหรือจินตนาการ
    จักรวาลเพียงรับเอาสัญญาณที่คุณส่งออกไปว่า
    ความรู้สึกของคุณ อารมณ์ของคุณอยู่กับสิ่งใด
    แล้วสรุปว่าทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เป็นจริงในชีวิตคุณ

    ตราบใดที่จักรวาลจับสัญญาณจากคุณได้ในแบบนี้
    ความมั่งคั่ง จะหลั่งไหลมาสู่คุณ
    บัญชีเงินฝากแห่งความมั่งคั่งนี้จะนำทางความรู้สึกที่ดี
    มันทำให้คุณเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะใช้จ่ายกับสิ่งใด ในวันรุ่งขึ้นคุณจะมีเงินเข้ามามากขึ้นๆเสมอ
    คุณก็จะเลิกคิดถึงความขาดแคลนไปเลย

    แล้วจากนั้นเส้นทางแห่งความมั่งคั่งก็จะเข้ามาในชีวิตคุณ
    อย่างที่พวกเราย้ำกับคุณเสมอ พลังงานเหมือนกันย่อมดึงดูดกัน
    เงินคือพลังงานชนิดหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2011
  14. จังโดอิล

    จังโดอิล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +4
    แรงดึงดูด

    สรรพสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันหรือคล้ายกันมักจะมาอยู่รวมกลุ่มกันเสมอ เฉกเช่นเดียวกับความคิด ความรู้สึก ความปราถนา ถ้าเป็นสิ่งที่ดีงามแล้วส่งไปมากเท่าไหร่ก็จะกลับมาสู่ตัวเรามากเป็นเท่าตัวเสมอและจะเป็นแรงดึงดูดสิ่งที่ดี ๆมาสู่ตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ
     
  15. chanwen

    chanwen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +62
    อ่านแล้วร้สึกดีจริงๆครับ
    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องราวดีๆมาให้พวกเราได้อ่านอย่างมากมาย

    ขอเพิ่มเติมอีกหน่อยนึงละกันครับ
    เพลง When You Believe เนื้อเพลงความหมายก็เข้าใจและชอบมาตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก(เกือบ10ปีที่แล้ว)
    แต่ฟังพร้อมกับดูเนื้อเพลง ความหมายที่ออกมามันไม่เหมือนกับที่เคยรู้สึกมาก่อน เมื่อได้มาอ่านร่วมกับกระทู้นี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2011
  16. curio

    curio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,048
    รออ่านอยู่นะครับ :cool:
     
  17. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    วันจันทร์นี้คงจะว่างแล้วได้คุยกันต่อค่ะ
    มาขออนุญาตเล่าความคืบหน้าโครงการของเรา
    พวกเรารวมตัวกัยได้ทั้งหมดแปดคน อ้อตอนนี้เพิ่มมาเก้าคนค่ะ
    เราพูดคุยกัน เล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของเรา ไลฟ์สไตล์เราให้กันและกันฟัง
    เพื่อให้เราเชื่อมโยงถึงกันและกัน

    โชคดีที่เราได้คำแนะนำจากพี่นักเขียนแห่งหนังสือชุดโนวา อนาลัย
    ให้พวกเรามีจุดม่งหมายในเงินล้านก่อนว่าเราจะเอาไปทำอะไร
    พวกเราจึงเล่าให้กันและกันฟังอย่างเปิดอกว่าเราจะเอาไปทำอะไรบ้าง
    บางคนจะนำเงินล้านไปให้แม่ บางคนจะนำเงินไปซื้อรถ
    บางคนนำไปท่องเที่ยว บางคนนำไปสมทบทุนซื้อบ้าน ฯลฯ

    จากนั้นเราก็นั่งสมาธิร่วมกัน
    เมื่อเราทุกคนมีสมาธิดีแล้วเราก็เริ่มจดจ่อไปทีละคนกับเพื่อนในกลุ่ม
    เราเห็นภาพพวกเขากับเงินล้าน เห็นภาพเขาอยู่ในรถที่เขาได้จากเงินล้าน
    เราดื่มด่ำกับภาพนั้น จดจ่อ แล้วก็ที่สำคัญเราไม่มีข้อกังขา

    จากการทดลองทำครั้งนี้
    สิ่งที่ได้คือเรารู้สึกง่ายที่จะจดจ่อให้คนอื่น
    แล้วรู้สึกเต็มอิ่มกับพลังดึงดูดที่เพื่อนเปิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้สำหรับเรา
    และมันพุ่งไปที่เป้าหมายที่เราอยากมี/อยากเป็น/อยากทำ

    ตรงนี้มันเป็นคีย์เวิร์ดที่สำคัญอันหนึ่งในความรู้สึกของพวกเรา
    เมื่อเวลาที่เราจดจ่อเป้าหมายของตัวเอง เรามักไม่รู้สึกเต็มที่
    เรามักคิดถึงข้อจำกัดที่เรารู้ว่าเรามีอยู่จริงในชีวิต เรามักมีคำถาม
    มีความสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จนทำให้กฏแห่งแรงดึงดูดไม่ได้ทำงาน เพราะเราไม่เชื่ออย่างเต็มหัวใจนั่นเอง

    ต่างจากการที่เรานึกภาพของผู้อื่น
    มันง่ายแบบไม่มีข้อสงสัย

    เราเชื่อได้เต็มหัวใจว่าเพื่อนเราจะได้/จะเป็น/จะมี
    อย่างที่พวกเขาบอกเราจริงๆ แล้วเมื่อเราเชื่อ
    หลายๆคนเชื่อ ทั้งกลุ่มเชื่อ
    เจ้าตัวเองก็จะเชื่อตามโดยไม่มีข้อกังขาในที่สุด

    พวกเราตื่นเต้นและรู้สึกดีถึงพลังความรักแบบไร้เงื่อนไข
    ปลื้มปริ่มดื่มด่ำกับความรู้สึกดีๆที่ได้รับจากเพื่อนและส่งออกไป
    เราเชื่อว่าพวกเราสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

    เลยนำความรู้สึกดีๆมาแบ่งปันค่ะ
     
  18. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณคุณริสา และเพื่อนร่วมทีมทุกๆคนครับ

    ตัวตนของเราทั้งหลายในมิติแห่งความรัก ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
    ล้วนอวยพรให้ผู้อื่น โชดดี มีความสำเร็จ สมหวัง ราบรื่น อยู่ตลอดเวลา
    ให้ตั้งแต่ยังไม่ขอ

    เพียงแค่เราเปิดประตูรับพลังแห่งความรัก ความปราถนาดีนี้เท่านั้น
    คุณก็จะได้รับในทันที

    คุณคือผู้โชคดี
    คุณคือผู้มีความสำเร็จ
    คุณคือผู้มีความสมหวัง ราบรื่น

    อยู่ ณ ขณะนี้ และตลอดไป ในเส้นทางแห่งความถี่นี้
    เมื่อคุณเลือก คุณเชื่อ คุณจะได้รับอย่างแน่นอน
     
  19. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    รออ่าน และติดตามความคืบหน้าค่ะ;k06
     
  20. krittut t

    krittut t สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    วิธีใช้กฎแห่งแรงดึงดูด (ตอนที่ 1)

    หลายคนอาจใช้กฎแห่งแรงดึงดูดไม่ได้ผลแม้แต่ครั้งเดียว เพราะทุกครั้งหรือหลายครั้งที่คุณใช้กฎแห่งแรงดึงดูดนั้น ในขณะนั้นคุณอยู่ในอารมณ์เครียดและหรือคาดหวังและตั้งใจมากไปจนเกิดภาวะกดดัน ซึ่งกฎนี้จะทำงานได้ดีเต็มที่ก็ต่อเมื่อคุณอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ผ่อนคลายและมีความสุขหรือโล่งปลอดโปร่ง กระแสพลังงานดึงดูดในตัวคุณจะไหลได้แรงมากและสำเร็จเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นกระแสพลังงานบวกก็จะดึงดูดแต่สิ่งที่เป็นบวกหรือสิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าคุณอยู่ในอารมณ์เครียดหรือกดดันตัวเองมากไปมันจะทำให้กระแสพลังงานติดขัดและไม่ได้ผลซึ่งมันจะล้มเหลวทุกครั้งเพราะอารมณ์ความรู้สึกของคุณตอนนั้นเป็นพลังงานลบ คุณก็จะส่งพลังงานลบออกไปดึงดูดพลังงานลบจึงได้ผลลบหรือล้มเหลวเจอแต่เรื่องไม่ดี (เพราะเคล็ดลับของกฎแห่งแรงดึงดูดนั้นที่สำคัญมากที่สุดคือ ขั้นแรกคุณต้องอยู่ในสภาวะสบายๆมีความสุขและปลอดโปร่งโล่งสบาย ) กฎแห่งแรงดึงดูดคือกฎแห่งความรู้สึกนั่นเอง (ถ้าคุณเชื่อว่าจะได้มัน แต่คุณไม่รู้สึกเป็นเจ้าของมัน คุณจะไม่ได้มันเลย)<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...