Morphic Field พฤติกรรมของคนคนเดียวหรือของบางสิ่งก็ส่งผลไปทั่ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 14 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ ดร.รูเพิร์ต เชลเดรค ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ทุ่มเทศึกษาเกี่ยวกับโลกที่เรามองไม่เห็นอย่างจริงจัง และได้เปิดโฉมหน้าที่น่าตื่นเต้นแก่โลก ตอนนี้ท่านรับตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนทางด้านชีวเคมีและชีววิทยา และยังเป็นนักวิจัยแห่งราชสมาคมอังกฤษด้วย

    เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ดร.เชลเดรคได้เผยแพร่ผลงานทางวิชาการชิ้นหนึ่ง ปรากฏว่าโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในบทบรรณาธิการของนิตรสาร "Nature" ว่า "ควรเอาไปเผาทิ้ง" แนวคิดของท่านจึงเป็นที่กว่างขวัญ และก่อให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง

    ดร.เชลเดรคเสนอแนวคิดอะไร?

    ที่เราได้ยินเสมอว่า "มีหนึ่งก็ต้องมีสอง มีสองก็ต้องมีสาม" ยกตัวอย่างเช่น การหายไปอย่างลึกลับของเครื่องบิน บางครั้งก็เกิดอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะมองด้านสิงคมหรือประวัติศาสตร์ หรือมองกันในวันข้างหน้า มันจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ทำไมเรื่องราวเหล่านี้จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ดร.เชลเดรคพยายามใช้มุมมองทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้

    ปกติแล้วมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ก็คือ การจับเอา "วัตถุ"กลับไปศึกษาในแง่การเกิดปรากฏการณ์ แต่แนวคิดของ ดร.เชลเดรคกลับตรงข้ามกับแนวคิดเดิมโดยสิ้นเชิง

    ท่าคิดว่าหลังจากที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้เกิด "สนามของเหตุการณ์นั้นๆ" ขึ้น เพียงสิ่งใดมีความสอดคล้องกับสนามดังกล่าว เรื่องราวแบบเดิมๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก สิ่งที่เรียกว่า "สนาม" ในที่นี้ ไม่ใช่สนามของพลังงาน แต่มันจะคล้ายๆ กับแปลนบ้านมากกว่า

    ซึ่งนี่ถือเป็นปรากฏการณ์ "กำทอน" ชนิดหนึ่งเช่นกัน ดร.เชลเดรค เชื่อว่า ไม่เพียงแต่เสียงเท่านั้นที่เกิดการกำทอนได้ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราก็สามารถเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกันได้ เขาเรียกการเกิดปรากฏการณ์นี้ว่า "Morphic Field" หรือ "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" และเรียกเหตุการณ์แบบเดียวกันที่เกิดซ้ำ ๆ ว่า "Morphic Resonance" หรือ "การพ้องกันของรูปพรรณสัณฐาน"

    แนวคิดนี้ถูกนิตยสาร "Nature" วิจารณ์อยางไม่มีชิ้นดี ตรงกันข้ามกาลับได้รับการสนับสนุนจากนักวิทยาศาสตร์แนวใหม่เป็นอย่างดี ทำให้เกิดการแตกแยกความคิดออกเป็นสองขั้ว แนวคิดของ ดร.เชลเดรค ไม่เพียงแปลกใหม่ แต่ยังแตกต่างกับแนวคิดของบรรดานักวิทยาศาสตร์เก่า ๆ อย่างคนละขั้ว และเรื่องที่เป็นปริศนาหลายเรื่อง เมื่อใช้แนวคิดนี้ไปอธิบาย กลับสามารถอธิบายได้

    ตัวอย่างที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อย ๆ ก็คือ "ผลึกของกลีเซอรีน" กลีเซอรีนที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตระเบิด ตั้งแต่มีการค้นพบมาหลายสิบปี ไม่เคยเกิดผลึกได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งในต้นศตวรรษที่ 19 กลีเซอรีนถังหนึ่งที่ขนส่งจากกรุงเวียนนามายังกรุงลอนดอนเกิดผลึกขึ้นได้อย่างประหลาด

    หลังจากนั้นไม่นาน กลีเซอรีนที่อยู่ในที่ ๆ ห่างออกไปแสนแปดพันไมล์ก็เริ่มเป็นผลึกให้เห็น จนปัจจุบัน การที่กลีเซอรีนสามารถเป็นผลึกได้ในสภาพอุณหภูมิราวสิบเจ็ดองศาเซลเซียส กลายเป็นความรู้ธรรมดา ๆ ไปแล้ว

    ปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายได้อย่างไร?

    เราสามารถอธิบายได้ได้ด้วยเหตุผลดังนี้คือ หากเพียงเกิด "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" ของผลึกกรีเซอรีนขึ้นแล้ว กลีเซอรีนที่ไหนในโลกก็จะสามารถเกิดผลึกได้เช่นกัน

    ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดกับกลีเซอรีนเท่านั้น กับสิ่งอื่น ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงในมุมหนึ่งมุมใดของโลกมีบางสิ่งสามารถเกิดผลึก ต่อจากนั้นสิ่งเดียวกันก็จะสามารถเกิดผลึกได้เช่นกัน

    เพื่อพิสูจน์แนวคิดเรื่อง "Morphic Resonence" ของ ดร.เชลเดรคสถานีโทรทัศน์ในอังกฤษจึงได้นำเสนอการทดลองแพร่ภาพให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม

    เริ่มแรก ทางสถานีได้เตรียมภาพสองภาพให้กลุ่มตัวอย่างดู เพื่อเก็บข้อมูลว่าสามารถดูออกได้มากน้อยแค่ไหน ภาพทั้งสองดูแว่บแรกจะดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แต่จริง ๆ แล้วภาพที่หนึ่งเป็นภาพผู้หญิงสวมหมวก อีกภาพเป็นภาพผู้ชายมีหนวดเครา

    จากนั้น ทางสถานีก็เฉลยภาพผู้ชายมีเครา แต่ไม่เฉลยภาพผู้หญิงสวมหมวกให้กับผู้ชมทางบ้านจำนวนมากที่ชมรายการอยู่

    สุดท้ายก็ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยดูรายการหรือรู้ข่าวเกี่ยวกับการทดลองออกอากาศครั้งนี้เลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภาพไหนสองภาพนั้นที่ทางสถานีเฉลยคำตอบออกอากาศไปแล้ว

    ผลออกมาเป็นอย่างไร? ผลก็คือ คนที่ดูภาพที่สองออกว่าเป็นภาพผู้ชายมีเครา(ที่ทางสถานีเฉลยไปแล้ว) มีจำนวนมากกว่ามองภาพผู้หญิงสวมหมวกออก เพื่อความแม่นยำทางสถานียังได้ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างในประเทศอื่น ที่ไม่สามารถชมการถ่ายทอดได้ ผลปรากฏว่า อัตราส่วนของคนที่มองภาพผู้ชายที่มีเคราออก จะสูงกว่าก่อนอากาศมากถึง 3 เท่า

    ผลการทดลองนี้อธิบายได้ว่า หากคนจำนวนมากสามารถดูภาพออกก็จะทำให้คนอีกจำนวนหนึ่งสามารถดูภาพออกได้ง่ายขึ้น ดังนั้นสรุปได้ว่าการที่คนจำนวนมากดูภาพออกจึงเกิด "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" ในการดูภาพปริศนานี้ขึ้นมา ทำให้จำนวนคนที่ดูภาพนี้ออก เพิ่มจำนวนมากขึ้นไปด้วย

    นอกจากนี้แนวคิดของ ดร.เชลเดรค ยังสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางพันธุกรรมได้ด้วย ทำให้เรารู้ว่าเรื่องกรรมพันธุ์ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งพิเศษเฉพาะบุคคล แต่ขณะเดียวกันยังมีลักษณะของ "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" ด้วย และสิ่งที่คาร์ล กุสตาฟ จุง เรียกว่า "Synchronicity" หรือความประจวบเหมาะที่ไม่ได้เป็นเพียงความบังเอิญ รวมทั้งแนวคิดเรื่อง "จิตใต้สำนึกร่วม" และ "Archetype" หรือต้นแบบ ล้วนสามารถใช้แนวคิดนี้อธิบายได้ทั้งสิ้น

    ดร.เชลเดรคยังได้เสนอแนวคิดอีกว่า "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" จะสามารถขยายขอบเขตไปได้อย่างกว้างขวาง ก้าวช้ามข้อจำกัดของเวลาและสถานที่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเกิด "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" มันจะสามารถส่งอิทธิพลได้ยังอีกที่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
     
  2. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,040
    ใช่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  3. เจ้าโก้

    เจ้าโก้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2005
    โพสต์:
    1,223
    ค่าพลัง:
    +939
    รู้สึกตกใจผสมแปลกใจที่ได้ข่าวว่าจุดที่ผมเคยเกิดอุบัติเหตุเมื่อวัน ศุกร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว สถานที่คือ ทางเข้ากองบิน 1 นครราชสีมา มาวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ คือ 11 กุมภาพันธ์ 2548 ก็เกิดอุบัติเหตุแบบเดิมขึ้นอีก แต่คราวนี้คนที่กระเด็นลงไปนอน ไม่ใช่ผม เหตุการณ์คล้ายกันเลย คือรถเก๋งเลี้ยวตัดหน้ามอไซค์ ทำให้ผมคิดว่า ก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุรูปแบบนี้มาก่อนผมรึเปล่า หรือผมเป็นคนเริ่มรูปแบบของเหตุการณ์ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ เรื่องความประมาทของบุคคลธรรมดาที่ใครก็เป็นได้?
     
  4. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,776
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    สนาม รูปพรรณ สันฐาน มันคือ สิ่งบังเอิญ หรือ สิ่งที่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว กันแน่ หลายอย่างบนโลกที่เป็นไปได้ แต่ ก็ พยายามจะหาคำอธิบาย เชื่อมโยง อาจไม่เหลวไหลซะทีเดียว

    ส่วนตัวอย่างแบบสำรวจ ทำให้ผมนึกถึงสนามพลังจิต ครับ เช่น

    ในเหตุการณ์ สถานที่ ที่มีคนเศร้าเยอะๆ ถ้ามีคนไม่รู้อิเหน่ บังเอิญ ไปแถวนั้น บรรยากาศ มันจะเศร้า โดยที่ ไอคนนั้นไม่รู้เลยว่าเคยเกิดเหตุอะไรขึ้น

    สนามพลัง ที คนส่วนใหญ่ รู้สึก มันอาจส่งผล ต่อ คนจำนวน หนึ่งก็ได้ โดยไม่รู้ตัว

    ระบบบนโลก มันมีการปรับเปลี่ยน ตลอด ส่วนผสม อย่างหนึ่ง ในเวลาหนึ่ง อาจ ไม่เกิดผล แต่ ถ้าเมื่อเวลาผ่านไป ระบบบนโลกเปลี่ยน ส่วนผสมเหมือนเดิม ครับ แต่ อาจจะเกิดเหตุการขึ้น ปฏิกริยา ขึ้น และเกิด ต่อๆ ไป เพราะ ปัจจัยเอื้ออำนวย มันเปลี่ยน

    ผมแทนระบบบนโลก จำลอง เป็น ห้องทดลอง แช่สารตัวหนึ่งไว้ ในอุณหภูมิ ความดัน หนึ่ง เป็นเวลานาน ไม่ว่าคุณจะ เขย่า จะผสมสารตัวเดิม ขยับ มัน ยังไงก็ ไม่เกิด ปฏิกริยาครับ พอเราปรับอุณภูมิ ความดันขึ้น เป็น อีกระบบหนึ่ง สารเปลี่ยนเลย จะผสมกีครั้ง สารก็เปลี่ยน ใช่ สนาม รูปพรรณ สันฐาน ใหม

    สนาม รูปพรรณ สันฐาน เปลี่ยน คือ ระบบเปลี่ยน สิ่งเดิม จะ ไม่เหมือนเดิม

    เทียบกับทางพุทธ นะครับ ผม จะมอง เป็น ยุคพระพุทธเจ้าแต่ละยุค

    เช่น

    ยุคพระเมตไตรย
    ยุคพระสมณโคมของเรา
    ยุคสูญกัปป์ไร้ พระพุทธเจ้า

    พระอรหันต์ไงครับ ถ้าพระอรหันต์เกิดขึ้น องค์แรก องค์ ต่อๆ ไป ก็จะเกิด พอสิ้น ยุค ทำยังไง มันก็ไม่เกิด
    ลอง เปรียบเทียบระหว่าง ยุคพระเมไตรย กับ ยุคพระสมณโคดม ต่างยุค ต่างสมัยกัน เหตุการณ์ที่เกิด ย่อมแตกต่าง เช่น อายุคน อาหาร ความเป็นทิพย์

    เหตุการณ์ใด ๆ ยุคหนึ่ง ที่หนึ่ง ระบบหนึ่ง เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน ได้เพราะปัจจัยมันอำนวย จะ ไม่เกิด อีกยุค อีกระบบ เพราะ เหตุปัจจัยไม่อำนวย [b-nurse]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2005
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้มีความคิดขึ้นว่า ถ้าอย่างนี้เวลาที่คนเราทำความดีนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนมาเห็นว่าเราทำดี แต่เราก็จะเป็นต้นแบบให้คนอื่นทำความดี เช่นเดียวกันกับการกระทำที่ไม่ดีเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะทำในที่ลับ ก็จะเป็นต้นแบบให้คนทำการกระทำไม่ดี

    ก็เลยคิดมาได้ว่าถ้าอย่างนั้นถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการกระทำไม่ดี แต่เราก็ตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ภายหลังเมื่อมีคนตกอยู่ในสภาพคล้ายๆ กัน ก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องมากขึ้น

    ตัวอย่างในปัจจุบันที่น่าจะเป็นคล้าย ๆ ที่ ดร. คนนั้นว่ามา ก็คือพฤติกรรมการฆ่าตัวตายหลังๆ นี้จะเห็นว่ามีคนฆ่าตัวตายเยอะขึ้น แล้วเหตุผลที่ฆ่าตัวตายนั้นก็เป็นเรื่องคล้าย ๆ กันหมด หรือพอมีเรื่องคนเสพยาบ้าแล้วจับคนเป็นตัวประกัน พอมีคนทำ หลังๆก็มีคนเป็นอย่างนี้มากขึ้น จนบางครั้งดูข่าวก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เวลาคนเมายาบ้าเนี่ยมันจะประสาทหลอนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยเหรอ ต้องมีแต่หลอนว่ามีคนจะมาตามฆ่า
     
  6. Des

    Des เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,264
    ค่าพลัง:
    +303
    mmm interesting !!!
     
  7. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ขอบคุณค่ะ
     
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    อนุโมทนาจ๊ะ..เป็นบทความที่ดี ขอบคุณจ้าพี่เอก zip พี่แอนขุด..ตาก็เลยได้อ่าน อิอิ ชอบๆ
     
  9. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    เข้ากับนิยาม "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" มั๊ยนะ !?!(มั่วเล็กน้อยตามพี่เอกzip กระทู้นู๊น ฮ่าๆ)
     
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ใช่เด็ดดอกไม้กนะเทือนถึงดวงดาวจริงๆครับ อิอิอิ
     
  11. aonwit01

    aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    682
    ค่าพลัง:
    +1,025
    แบบนี้การสะกดจิตหมู่ก็ไม่ใช่ความฝันนะสิ
     
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    ตามความเข้าใจมันเห็นว่าไม่ใช่การสะกดจิตหมู่นะ แต่ว่าเป็นการอธิบายที่ว่าทำไมพฤติกรรมบางอย่างเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    คนที่ทำสิ่งใดหรือทำให้เกิดเหตุการณ์ใด และเมื่อภายหลังมีสิ่งที่คล้ายๆ กับตอนที่เกิดครั้งแรก(สภาวะแวดล้อมต่างๆ ) มันก็จะเกิดซ้ำอีก

    ส่วนเรื่องนี้เอามาจากหนังสือเรื่อง มหัศจรรย์แห่งน้ำ คำตอบเพื่อชีวิตที่ดีกว่า หน้า 125-128

    หลังจากที่หยิบมาเปิดอ่านอีกครั้ง ก็เจอข้อความอะไรที่อยากจะเอามาให้อ่านกันอีก

    <hr>
    นอกจากนี้ ดร. เชลเดรค ยังได้ชี้แนะข้อคิดที่มีค่าแก่ผมอย่างมาก

    "ชีวิตของเราต้องอาศัยพลังงานที่มองไม่เห็นจึงอยู่รอดมาได้ ดังนั้นหวังว่าคุณจะสนใจในทุกเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวคุณ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความใส่ใจกันและกันมีความสำคัญอย่างมาก บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ในบ้าน พ่อแม่ควรสนใจลูกก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน"

    ดังนั้นเราควรใส่ใจในทุกสิ่งและพยายามที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว พูดอีกอย่างคือ การใส่ใจด้วยความรักนั่นเอง การที่ท่านได้ทุ่มเทศึกษาอย่างลึกซึ้งถึงจิตใจมนุษย์ สิ่งที่ท่านพูดจึงจับใจยิ่งนัก

    นอกจากผลึกของน้ำที่เปิดความจริงของโลกแล้ว จากแนวคิดของดร. เชลเดรคที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ทำให้เราสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดบนโลกได้ ในเวลาเดียวกันเราก็จะพบว่า คนเราทุกคนมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน

    พระเจ้าทรงมอบพลังในการสร้างสรรค์แก่มนุษย์ แค่เพียงเรานำความสามารถนี้ออกมาใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ในพริบตา

    สำหรับคนที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ นี่เป็นกำลังใจอันใหญ่หลวงถ้ารู้ว่าพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้นั้นอยู่ในมือของเราเอง

    โลกก็คือผลของความต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่คุณทำ คนอื่นก็อาจจะกำลังทำอยู่เช่นกัน เราควรจะสร้าง "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" ที่ดีขึ้นหรือไม่? คุณอยากจะสร้างความทุกข์เป็น "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" หรืออยากสร้างโลกที่เต็มไปด้วยความรักและขอบคุณ?

    เมื่อคุณเผชิญหน้ากับน้ำ จงแสดงออกถึงความขอบคุณต่อน้ำออกมาด้วยความรักอย่างจริงใจ บนโลกนี้ที่ไหนสักแห่ง จะต้องมีคนที่รักคุณอย่างจริงใจเช่นเดียวกัน

    คุณไม่จำเป็นต้องออกไปไหนทั้งสิ้น เมื่อคุณมองเห็นน้ำในแก้วก็เหมือนกับได้เห็นโลกทั้งโลก ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด น้ำสามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกับคุณได้ พูดในความหมายกว้างก็คือ เราทุกคนในโลกนี้จงมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยรักเถิด

    มาช่วยกันทำให้ความรักและความขอบคุณครอบคลุมโลกใบนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิด "สนามของรูปพรรณสัณฐาน" ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ณ ที่นี้ไม่มีความแตกต่างเรื่องเวลาและสถานที่ มีแต่ปัจจุบัน ณ ที่นี้ เรื่องที่งดงามทั้งหลายสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2006
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    หาคำว่า morphogenetic field ก็เจอข้อมูลเหมือนกัน ในวิกิพิเดียเขียนไว้ว่า A morphogenetic field (a subset of morphic field)

    http://en.wikipedia.org/wiki/Morphic_resonance

    (อันนี้เขียนไว้ให้ตัวเองอ่าน ห่ะๆ)

    ส่วนอันนี้ไปหาข้อมูล ได้มาเพิ่มอีก ครั้งตอนที่เขียนเรื่องนี้ หาจากเวปไทยไม่มีเขียนถึง เดี๋ยวนี้ก็มีเขียนถึงบ้างเหมือนกัน อืมๆ มีการพัฒนา
    <hr>
    ทฤษฎีเรื่อง Morphic Resonance Field ของนักชีววิทยาชื่อรูเพริท เชลเดรก ที่ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์มากมาย และเข้าได้เสนอว่า สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (same species) สามารถสื่อสารกันได้ผ่านสนามพลังที่มีอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น เช่นการเปลี่ยนวิธีการขุดรูของไส้เดือนในแต่ละซีกโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันโดยที่ไส้เดือนเหล่านั้นไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือมีอีเมล์ถึงกัน หรือเรื่องของวัวควายในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาที่เรียนรู้ไม่เดินข้ามป้ายผ้าที่วาดเป็นรูปร่องอุปสรรคแบบที่สร้างขึ้นจริงสำหรับกั้นวัวควายในเกาะอังกฤษเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยที่วัวควายทั้งสองกลุ่มอยู่ต่างสถานที่ต่างเวลากันเป็นร้อยปี

    รวมถึงงานทดลองของนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เหมือนจะบอกว่า มิติของการสื่อสารระหว่างกันของสิ่งมีชีวิตนั้นมีมากกว่าเพียงสิ่งที่เห็น และสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น

    ที่มา : http://www.mohanamai.com/boardzone/show.php?Category=board&No=854
     
  14. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    อันนี้คงจะเกี่ยวกับ Morphic Field ด้วย ก็เลยเอามาให้อ่านกันดู
    <hr>
    <b>ลิงตัวที่ร้อย</b>
    วิศิษฐ์ วังวิญญู

    คำๆนี้มีการใช้ครั้งแรกในหนังสือชื่อ Lifetide ของ Lyall Watson 1979
    วัตสันได้เล่าเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นในทศวรรษ ๑๙๕๐ กับประชากรลิงญี่ปุ่น บนเกาะโกชิมะที่ห่างจากเกาะกิวชูไปทิศตะวันออก เรื่องมีอยู่ว่าในขณะที่กำลังศึกษาประชากรลิงกลุ่มนี้อยู่นั้น นักวิจัยได้เริ่มที่จะเลี้ยงฝูงลิงด้วยมันเทศ โดยการเอามันเทศใส่รถไปเทลงที่ชายหาด ปัญหาก็คือแม้ลิงจะเรียนรู้ที่จะกินอาหารต่างๆมากมายในท้องถิ่น แต่พวกมันก็ไม่เคยได้เห็นมันเทศมาก่อน และซ้ำร้ายมันเทศเหล่านั้นยังให้มาในรูปที่คลุกอยู่กับทราย วัตสันเล่าว่าลิงเหล่านี้ก็พยายามแก้ปัญหานี้อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เหมือนกับพวกไปปิกนิคแล้วถูกมดกัด อะไรอย่างนั้น และแล้วก็มีลิงตัวเมียอายุสิบแปดเดือนตัวหนึ่ง เป็นลิงฉลาดตัวหนึ่งที่นักวิจัยเรียกชื่อว่าไอโม แก้ปัญหานี้ได้ โดยเอามันเทศไปล้างในทะเล ซึ่งนอกจะสามารถล้างทรายออกได้แล้ว ยังเพิ่มรสชาติพิเศษให้แก่มันเทศอีกด้วย ไอโมก็สอนให้แม่ลิงและเพื่อนๆของเธอ อย่างช้าๆนิสัยใหม่นี้ก็ค่อยแพร่ไปในลิงกลุ่มเล็กๆ

    สิ่งที่วัตสันเล่าต่อมายังไม่มีการตีพิมพ์ เพราะว่าคณะวิจัยรู้ดีว่า ถ้าพิมพ์เผยแพร่ออกไปอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตผิดธรรมเนียมวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งที่ค้นพบมันแปลกเกินไป กล่าวคือในเช้าวันหนึ่ง เมื่อจำนวนลิงที่เรียนรู้วิธีการของไอโมเข้าถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) ทันใดนั้นในเย็นวันนั้น ลิงทุกตัวก็มาล้างมันเทศในทะเล และไม่เพียงแต่เท่านั้นแต่นักวิจัยยังรายงานว่า ลิงในเกาะเล็กเกาะน้อยและลิงในแผ่นดินใหญ่ ก็เริ่มเรียนรู้เทคนิคการล้างมันเทศของไอโมขึ้นมาในทันทีทันใดด้วย นักวิจัยไม่รู้หรอกว่ามันเป็นลิงตัวที่เท่าไร ที่เป็นจำนวนวิกฤต แต่วัตสันใส่วลีลิงตัวที่ร้อยไว้ ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า “ลิงตัวที่ร้อย”

    อ้างอิง : http://semsikkha.org/article/article/article20.doc
     
  15. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    เรื่อง Synchronicity ก็น่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ
    เพราะเมื่อมรื่นวานนี้ ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะขอข้อมูลเรื่อง Morphic Field ที่เป็นภาษาไทยเพิ่มจากคุณ zipper อยู่พอดีเลย
    พอมาวันนี้ คุณ zipper แปลมาเป็นภาษาไทยให้เรียบร้อยเลย ^^
    ว่าแต่ คุณ zipper พอจะมีข้อมูลเรื่องการทดลอง Morphic Field ที่นำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์
    หรือสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายตามที่ผู้สร้างต้องการ หรือไม่ครับ
    ผมสงสัยว่า พวกเครื่องลางของขลังต่างๆจะถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้ Morphic Field
    หากผู้ใช้ปฎิบัติตามรหัสที่ถูกต้องตามที่ผู้สร้างกำหนดไว้ เครื่องลางนั้นก็จะทำงาน
    ตัวอย่างเช่น หากเป็นพระเครื่องที่มีอนุภาพทำให้หนังเหนี่ยวฟันไม่เข้า
    พระรูปที่ทำการปลุกเสกขึ้นมา ก็จะใส่รหัสลงไปว่า หากผู้ประพฤติผิดศีล
    หรือนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม พระเครื่องนั้นก็จะไม่แสดงอนุภาพออกมา เป็นต้น
     
  16. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,228
    ค่าพลัง:
    +10,593
    :) บังเอิญยังไม่หลับไม่นอน ก็เลยบังเอิญได้หาข้อมูลเพิ่ม
    ส่วนเรื่องที่การทำลอง Morphic Field ที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างที่คุณจันทร์เจ้าว่ามานั้น เท่าที่หาดูยังไม่เจอ แต่ว่าก็ได้ไปเจอเวปของ ดร. คนที่ทำการทำลองนี้ http://www.sheldrake.org

    ซึ่งเค้าก็มีบทความเรื่องนี้และเรื่องอื่นและก็การทดลองอย่างอื่นให้อ่านเหมือนกัน บทความที่เกี่ยวกับ Morpic Field อ่านได้ที่ http://www.sheldrake.org/papers/Morphic/index.html ส่วนอันนี้เป็นบทความทั้งหมดของเค้า http://www.sheldrake.org/articlesnew/

    ส่วนอันนี้เป็นการทดลองของเค้า มีทั้งเรื่องที่ทดลองเสร็จไปแล้ว และกำลังทดลองอยู่ http://www.sheldrake.org/experiments/

    เราว่าเรื่องที่เค้าทดลองค่อนข้างจะแปลกหน่อยแฮะ เช่น การทดลองเกี่ยวกับ โทรจิต(Telepathy) เค้าเขียนไว้ว่า

    "คุณเคยมีประการณ์ที่ว่านึกถึงชื่อคนที่โทรศัพท์มาหาก่อนที่จะคุณจะรับโทรศัพท์หรือไม่? หรือว่า คุณคิดถึงใครซักคนและหลังจากนั้นก็มีอีเมล์ส่งมาถึง? พวกเราต้องการค้นหาว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือว่ามีโทรจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง

    สิ่งที่คุณต้องทำก็คือว่าเดาว่าใครจากหนึ่งในสี่คนเป็นคนส่งข้อความมาหาคุณ ตามกฏความน่าจะเป็นแล้ว จะมีโอกาสถูกประมาณ 25% แต่ว่าการทดลองของเราแสดงให้เห็นว่าบางคนนั้นทายถูกมากกว่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโทรจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณเป็นหนึ่งในพวกนี้หรือเปล่า"

    แล้วเมื่อกดลิงค์เข้าไปดู http://www.sheldrake.org/experiments/oltnew/start.html เค้าก็ยังรับคนที่เข้ามาทดลองเรื่อยๆ แฮะ ทดลอง online เลย

    หรืออีกการทดลองก็คือว่าทดลองการรู้สึกตัวเมื่อมีใครแอบมองเราอยู่ มีทั้งให้แอบมองกันจริงๆ กับให้มองผ่านรูป

    บทความของคนอื่นที่เขียนถึงเรื่อง Morphic Field http://www.sheldrake.org/articlesnew/Malek_morphic.html แต่ยังไม่ได้อ่านเลย หุหุหุ

    ดร. Sheldrake เขียนหนังสือชื่อ A New Science of Life ซึ่งก็มีเขียนถึง Morphic Field ด้วย ก็ไม่รู้ว่าได้มีแปลไทยหรือเปล่า อ้อแล้วก็หนังสือ The Presence of the Past ของเค้าด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...