Subliminal Messages การซ่อนข้อความหรือความหมายในที่ต่างๆ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 21 พฤศจิกายน 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=L7GKviQylkA&feature=related"]Final Fantasy - New Divide AMV (Linkin Park) - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2012
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=9OMaMnJTZ7Q&feature=related]Final Fantasy 7 Linkin Park - Numb - YouTube[/ame]
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XV30-5E6Png&feature=related]This Is War - 30 Seconds to Mars - Final Fantasy Music Video - YouTube[/ame]
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZAoWUkFawzc&feature=related]Final Fantasy 7: Hand of Sorrow (Within Temptation) - YouTube[/ame]
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=29ZagQLr4Xc]Within Temptation-See who I am - YouTube[/ame]
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0YbhB_A_8fM]Within Temptation~ Ice Queen (lyrics) - YouTube[/ame]
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=j0Zt_2BlWQA]Evanescence~ Imaginary (lyrics) - YouTube[/ame]
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    <iframe width="640" height="360" src="http://www.youtube.com/embed/bQ7RaOMHb5I?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <object style="height: 390px; width: 640px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Ev8JGqDO8nk?version=3&feature=player_embedded"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/Ev8JGqDO8nk?version=3&feature=player_embedded" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="360"></object>
    http://palungjit.org/threads/ไม่รู้ว่ามีใครเห็น-planet-x-หรือยัง.253139/page-223
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    วิทิตนันท์ โรจนพานิช ศรัทธาสูงเสียดฟ้า

    โดย : อนันต์ ลือประดิษฐ์
    [​IMG]

    คนไทยคนแรกที่พิชิตเอฟเวอเรสต์สานต่อโปรเจ็คท์ 'เซเวน ซัมมิตส์' ซึ่งเป็นการปีนสู่ยอดเขาสูงสุด 7 แห่ง ภารกิจใกล้จะเสร็จสิ้นในเร็ววันนี้


    เดิมชื่อของ หนึ่ง วิทิตนันท์ โรจนพานิช เป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิง ในฐานะคนเขียนบท ผู้กำกับอิสระ และครูสอนการแสดง
    แต่ในวันนี้ หลังประสบความสำเร็จจากการพิชิต 'เอฟเวอเรสต์' ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ด้วยเป้าหมายที่สูงขึ้น นั่นคือการปีนเขาสู่ยอดเขาที่สูงสุดของทวีปต่างๆ ในอีก 6 ยอดเขาที่เหลือ
    งานนี้นับว่ามีความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่แค่มีงบประมาณก็ทำได้ หากยังต้องการขนาดของหัวใจ ความเชื่อมั่น และพลังศรัทธาขนาดมหึมาของนักปีนเขาเป็นที่ตั้ง
    ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้มีชื่อคนไทย ปรากฏอยู่ในทำเนียบผู้พิชิต 'เซเวน ซัมมิตส์' และเพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา แม้หลายต่อหลายครั้งของการเดินทาง ต้องอยู่ในจุดเสี่ยงและภาวะวิกฤติเพียงใดก็ตาม แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้หนุ่มคนนี้ท้อถอย หรือหยุดยั้งการเดินทางของเขา
    และนี่คือคำบอกเล่าของนักเดินทาง ผู้มีศรัทธาสูงเสียดฟ้าคนนี้
    เห็นใครๆ นิยมใช้คำว่าพิชิตยอดเขา คุณคิดว่าคำๆ นี้เหมาะสมหรือไม่
    ฝรั่งเรียกว่า conquer แต่โดยส่วนตัวลึกๆ ผมไม่ค่อยชอบนะ เพราะมนุษย์พิชิตธรรมชาติไม่ได้หรอก เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ผมก็พอเข้าใจ อย่างเวลาฝรั่งเขาลุยขึ้นไปกว่าจะถึง แล้วพอไปยืนตรงจุดนั้น ผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน แต่ผมดีใจที่ภูเขายอมให้ผมขึ้นมานะ รู้สึกขอบคุณ แต่ฝรั่งจะบอกว่าเขาชนะ ... โดยมุมมองของผม มันคือการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา แต่ไม่ได้ซีเรียสนะ จะใช้คำว่าพิชิตก็ได้
    ความคืบหน้าของ เซเวน ซัมมิทส์ ?
    ผ่านไป 5 ซัมมิตแล้วครับ ก็มี เอฟเวอเรสต์ (Everest) มี คีรีมานจาโร (Kirimanjaro) มี อคอนคากัว (Aconcagua) มี วินสัน แมสซีฟ (Vinson Massif) และมี คาร์เซนส์ซ ปิรามิด (Carstensz Pyramid)
    ที่ยังไม่สำเร็จ ก็มี เอลบรุส (Elbrus) และ เดนาลี (Denali) ซึ่ง เอลบรุส สูงที่สุดในยุโรป จริงๆ ไปมาแล้ว เกือบจะถึงอยู่แล้ว แต่ตากล้องที่ไปด้วยกันเกิดอุบัติเหตุหัวเข่าพลิก เลยตัดสินใจลงมาทั้งทีม ต้องกลับไปใหม่ ส่วน เดนาลี เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อันนั้นจะประมาณเดือนมิถุนายนครับ
    จริงๆ ผมเริ่มที่ ยอดเอฟเวอเรสต์ เมื่อปี 2551 แล้วเว้นไป 4 ปี พอมาถึงปี 2554-55 นี่ก็ตะลุยอีก 6 ยอดแบบด่วนมากเลย เป้าหมายคือภายในเวลา 8 เดือน เรียกว่าต้องปีนเกือบทุกเดือน
    หลายคนสงสัยว่าคุณทำได้อย่างไร
    ยากครับ แต่ผมทำด้วยความเชื่อมั่น มีพลังศรัทธา และมีวิธีที่จะหล่อเลี้ยง ... อย่างสถิติมีอยู่ว่า ในโลกนี้มีคนปีนเอฟเวอเรสต์ 2 พันกว่าคน แต่ เซเวน ซัมมิตส์ ร้อยเจ็บสิบกว่าคน น้อยลงไปอีก พอเห็นตัวเลขนี้ ผมอยากเห็นคนไทยทำได้ ไม่ได้หมายถึงตัวผมนะครับ

    การทำสิ่งนี้ เพื่อถวายพระเจ้าอยู่หัวแล้วในวาระที่ท่านเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา ตัวเลขมัน 12 7 84 พอดี อีกอย่างหนึ่ง คือถ้ามีชื่อคนไทยไปทำสิ่งดีๆ ผมว่าเป็นของขวัญที่ดี และผมอยากมีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ถ้าผมสามารถทำสิ่งนี้ได้ ผมคงนอนตายตาหลับ เป็นการช่วยเหลือให้ประเทศดีขึ้นในวิธีของผม


    พอคิดได้แบบนี้แล้ว ผมต้องทำให้ได้ ถ้าจะต้องตาย ก็ลองดูล่ะกัน

    ระหว่างทาง เคยคิดจะเปลี่ยนใจหรือไม่


    เชื่อมั้ย ตอนไปปีนเอฟเวอเรสต์ ตอนนั้นผมหาสปอนเซอร์อยู่ 5 ปี ผมท้อแท้มากเลยนะ แต่ความท้อแท้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ ดังนั้น ถ้าเราเดินข้ามถนนโดยที่ไม่มีรถเลย เราก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่ความกลัวมันทำให้ความกล้าอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้น ผมรู้สึกว่าความท้อแท้นั้น คืออีกด้านหนึ่งของความศรัทธา

    ตอนที่หาสปอนเซอร์ จนได้สปอนเซอร์ จนได้วิธีการที่จะไป พอตอนจะไปปีนเอฟเวอเรสต์ ผมไม่มีความรู้สึกท้อแท้เลยนะ มีแต่ความตื่นเต้น สนุก และมีความหวัง เพราะมันผ่านความท้อแท้มาแล้ว คิดดู 5 ปีสำหรับการหาสปอนเซอร์ มันเหนื่อยมาก พอได้ปีนจริงๆ มันเลยตื่นเต้น
    แต่พอมาถึง เซเวน ซัมมิตส์ ทุกอย่างมันดูสะดวกขึ้น คราวนี้ ตอนไปปีน มันแปลก คราวนี้มันยาก เอ๊ะ ! ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ ผมกลับจากแอนตาร์กติกา 28 มกราคม พอ 6 กุมภาฯ ผมไปปีนอคอนคากัวอีกแล้ว คือผมมีเวลาพักแค่ 5-6 วัน หลายคนถามว่าไม่เหนื่อยหรือ ผมบอกว่าไม่เหนื่อยหรอก แต่พอปีนจริงๆ เหนื่อยมาก เพราะเราไม่ได้พัก เหนื่อยแบบเลือดตาแทบกระเด็น รู้สึกล้าไปทั้งตัว เพราะผมต้องออกตั้งแต่ตอนตี 4 มันมีแว้บเหมือนกัน แต่เราต้องรู้ทันตัวเอง ต้องเตรียมตัวมาก่อนว่า คอยดูนะ เดี๋ยวจะมีช่วงท้อแท้ ต้องหาอะไร ผมจะมีเขียนอะไรไว้ในกระดาษก่อนเลยว่า จะเปิดอ่านตอนที่ไม่มีแรงจะเดิน ก็เปิดดู เขียนอะไรไว้ โห ! น้ำตาไหล
    คือทุกอย่างต้องเตรียมไว้ก่อน ร้องเพลง หรืออะไรก็ตาม ต้องหาวิธีการเยียวยาตัวเองให้ไปให้ได้ และการเยียวยาที่ตรงจุดที่สุด ก็คือตัวเรานั่นแหละ
    คุณชอบกีฬาผจญภัยอย่างการดำน้ำเป็นพื้นฐาน แต่สำหรับการปีนเขา คุณเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
    ก่อนที่ผมตัดสินใจไปปีน ไม่มีการฝึกฝนใดๆ ทั้งสิ้น ผมกล้าพูดได้เลยว่า ภูเขาที่สูงที่สุดในชีวิต ก่อนผมไปปีนเอฟเวอเรสต์ คือภูเขาทองวัดสระเกศ อย่าง ภูกระดึง ไม่เคยครับ จน ณ ปัจจุบันนี้ ผมยังไม่เคยไปเลย เพื่อนผมบอกว่า อย่าไปปีนภูกระดึงเลย ไปปีนเอฟเวอเรสต์มาแล้ว มันจะได้เป็นแผลในใจ (หัวเราะ) ก็ยังไม่เคยไปครับ

    พอเริ่มต้นว่าจะไปปีนเอฟเวอเรสต์ ผมเริ่มศึกษาหาข้อมูล รู้ว่าภูเขาลูกนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Killer Mountains คือ 10 คน ตาย 1 คน คือ 10 เปอร์เซนต์ตายขาขึ้น และ 6 คน ตาย 1 คน ตอนขาลง แล้วตายทุกปี ดังนั้น เราอาจจะเป็นหนึ่งในคนตาย งั้นทำอย่างไร ไม่ให้เราตาย ก็ศึกษาหาข้อมุล โดยรีเสิร์ช 2 ทาง อย่างที่หนึ่ง ศึกษาหาข้อมุลให้เราฮึกเหิม รีเสิร์ชที่ 2 คือ การเซฟตัวเอง ทำอย่างไร จึงจะไปให้ถึง

    จากนั้นเริ่มกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความคงทนและแข็งแกร่งทางด้านกล้ามเนื้อ เริ่มออกสตาร์ท วิ่ง แบกของหนัก สร้างกล้ามเนื้อ stamina ทั้งหลาย
    หลังจากผ่านยอดเขาสูงสุดมาหลายต่อหลายยอด คุณเรียนรู้อะไรบ้าง
    มากเลยครับ ปีนเขาแต่ละลูก มันเจออุปสรรคหลายแบบ สถานการณ์ที่เวลาเปลี่ยนไป มันมีปัจจัยต่างๆ มากขึ้น ตอนผมไปปีนเอฟเวอเรสต์เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ วิชาที่ได้ติดตัวมาคือ ถ้าคนเราปรารถนาจะประสบความสำเร็จ บางทีเราต้องทุ่มสุดตัว และแลกกับความเป็นความตาย เรายอมพลีทุกอย่างในชีวิต

    ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า วันนี้ผมจะตายแล้วล่ะ และผมคงไม่ได้กลับมา ตอนนั้นทำให้มีความรู้สึกกล้า และอยากจะไป พอปีนไปหลายๆ ที่ อย่างล่าสุดคื ออคอนคากัว ทริปนี้ ผมรู้สึกเหงามาก ไปแค่ 4-5 วัน แต่คิดถึงบ้าน ทั้งที่ตอนปีนเอฟเวอเรสต์ เขาบอกว่า ความคิดถึงบ้านเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเลิก แล้วตอนนั้น ผมก็คิดว่า จริงหรือ ผมไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย ตอนผมปีนอคอนคากัว ผม sentimental มาก ตอนพัก ผมเดินคนเดียว บางทีน้ำตาไหลเลย ตอนนี้แม่ทำอะไรอยู่ แล้วทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วย

    มีคำตอบหรือไม่ ว่าเป็นเพราะอะไร

    ปกติผมจะมีตากล้องไปด้วยคนหนึ่ง แต่คราวนี้เขาไปไม่ได้ ทุกอย่างมันเตรียมพร้อม เลยทำให้เกิดความยุ่งยากที่จะต้องถ่ายเอง การเดินทางต้องเตรียมตัวเองทั้งหมด แทนที่จะทำกันสองคน มันก็เริ่มหงุดหงิด แล้วเดินทางไปกับกลุ่มนักปีนเขา ซึ่งกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยคุยกัน เมาเทนไกด์ก็ไม่คุยกับเรา ทุกอย่างต่างคนต่างอยู่ ผมเลยรู้สึกมันไม่ค่อยเป็นทีม อาจจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม อาจจะเป็นเพราะอากาศแปรปรวน พยากรณ์อากาศแต่ละวัน ก็แย่ทุกวันเลย แล้วจะไปได้เหรอ ปัญหามันทบๆ เข้ามา แล้วเราไม่มีเพื่อนคู่คิด เลยรู้สึกเหงา แปลกมาก
    เคยรู้สึกเฉียดความตายหลายครั้ง ?

    คือทุกครั้งที่ไปปีนภูเขา มันมีความตายรออยู่ตรงหน้าตลอดเวลา อย่าหลงเดินไปหามันเท่านั้นเอง


    ถามว่ากลัวมั้ย ผมตอบว่าไม่กลัว ต้องถามต่อว่า แล้วทำไมถึงไม่กลัว ผมจะบอกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสติ เราจะไม่ค่อยกลัว อย่างผมขึ้นไปบนสันเขา มันสันจริงๆ เนื้อที่ๆ เราเหยียบยืนอยู่ มันไม่ถึงเมตรนึง เพราะมันเป็นยอดปิระมิด ฝั่งซ้ายเป็นเหว ลงไปพันกว่า(เมตร) ขวาก็ลงไปพันกว่า เวลาลมพัดมาแรงๆ เซได้ แต่ห้ามร่วง ทำเอาบางคนกลัวไปเลย แต่ผมจะมีสติ ผมจะอยู่กับการก้าวเท้าของผม กวาดน้ำแข็ง ย่ำไปข้างหน้า พอมันปรับตัวได้สัก 3-4 นาที มันจะเริ่มไปได้ อย่างตามช่องเขา 300-400 เมตร แป๊บเดียวครับ มันถูกบังคับให้ใช้สติ

    แต่ที่คาร์เซนส์ซ ปิรามิด ไม่ใช่ธรรมชาติอย่างเดียว แต่มีเรื่องคนกินคนด้วย ?

    โห ! เหมือนนิยายนะครับ คือไปปีนเขาแล้ว ปีนเสร้จแล้ว ลูกหาบของเรา ซึ่งอดีตเป็นนักนิยมกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน ก็ผลุนผลันถือมีดเข้ามา ขอ 1 ชีวิต ไปแลกกับชีวิตของหลานเขา ที่เชื่อว่าตาย เพราะหินตกใส่หัว แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เขาอ้างว่าเป็นเพราะเราเป็นสาเหตุ


    คือการไปที่คาร์เซนส์ซ ปิรามิด การเดินทางเริ่มจากกรุงเทพฯ ไปบาหลี แล้วไปต่อที่เมืองทิมิกา แล้วก็นั่งเครื่องต่อไปที่ซูกาปา แล้วเดินเท้า ผ่านป่าดงดิบที่ดิบจริงๆ 6 วันของการฝ่าป่าที่เป็นเส้นทางเทรคกิ้งที่โหดที่สุดในโลก วันหนึ่งฝนตกวันละ 20 ชั่วโมง ทุกอย่างเป็นโคลนถึงหัวเข่า วันแรก ลูกหาบทำกระเป๋าใหญ่ของผมที่กันน้ำขาด แล้วน้ำฝนลงในกระเป๋าผมหมดเลย เสื้อผ้าผมเปียก ผมนอนในน้ำสองวันกว่า ใส่เสื้อผ้าที่เป็นน้ำ ทุกอย่างเป็นน้ำหมด โอเค ! นอน แล้วเสี่ยงเอาว่า จะปอดบวมรึเปล่า แล้วเราหนีคนป่าไปพึ่งเหมืองทองที่อยู่ใกล้ ๆ เขาก็ไม่ยอมให้เราผ่าน แถมที่นั่น ก็มีคนงานสไตรค์ซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกันอีก เรียกว่ากว่าจะหนีรอดออกมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น


    10 คนที่เป็นนักปีนเขา ทุกคนต่างช่วยกันแบ่งหน้าที่ ทำอย่างไรเราจะรอด ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ เป็นทีมที่ดีมาก มีสติ แล้วไม่มีใครเสียขวัญเลย

    ก่อนหน้านี้ มีความสนใจเรื่องสติ เรื่องสมาธิเป็นทุนเดิม ?


    ผมเป็นคนสนใจเรื่องปรัชญาศาสนาทั้งหลาย ตอนเด็กก็อ่านหนังสือเยอะ พุทธ อิสลาม คริสต์ ผมเคยขอให้สิทธิชนยุคสุดท้ายมาสอนที่บ้าน เพราะอยากรู้ ทีนี้ ผมเป็นคนชอบนึกถึงความตายตลอดเวลา เป็นประจำ บางคืนตื่นขึ้นมา มองเพดาน เอ ! ฉันจะมีจุดจบอย่างไร แล้วการจบสิ้นจริงๆ จะอยู่ตรงไหน ผมเป็นคนเชื่อเรื่อง reincarnation การเวียนว่ายตายเกิด เอ ! ฉันต้องมาเกิดอีกหรือเนี่ย ทำให้อยากค้นหา แล้วเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนา ผมจะสบายใจ

    เริ่มจากตรงนั้นก่อน ต่อมาก็ค่อยๆ ไปนั่งสมาธิ แต่นิสัยส่วนตัว ผมชอบทำเอง ผมไม่ค่อยเชื่อใคร หลวงพ่อบอกให้ท่องยุบหนอ-พองหนอ ผมถามไม่ยุบหนอ-พองหนอได้มั้ย ผมหนึ่ง-สองได้มั้ย ผมก็ทะเลาะกับพระตลอดวเลา หลวงพ่อท่านก็รำคาญมาก อย่ามาเลย โยมอยู่ที่บ้านเถอะ
    เพราะเราไม่ได้อยู่บนสันเขาอย่างนั้น คนส่วนใหญ่จึงใช้ชีวิตแบบไม่ต้องมีสติมากนัก ?
    ผมว่าอันนั้นเป็นหลักใหญ่ทีเดียว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น คือการที่ผมไปสันเขา เพราะผมเลือกจะไป ผมมีเป้าหมาย ผมมีความฝัน และผมอยากทำให้ได้ แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยไปอยู่บนสันเขาความกว้างไม่ถึง 1 เมตร บางทีคนกลุ่มหนึ่ง เขาไม่ได้เลือก และอีกกลุ่มหนึ่งที่แย่กว่า คือไม่รู้ว่าชีวิตเขาเลือกได้ อันนี้ยิ่งน่าตกใจกว่า
    แล้วคุณมองความงดงามระหว่างเส้นทางอย่างไร ?

    ความงามมี 2 สถานะ สถานะที่หนึ่ง เป็นความงามโดยกายภาพ แน่นอนว่าเวลาเราขึ้นไปบนภูเขาสูง เห็นวิว เห็นความสลับซับซ้อน ช่วงเวลาเช้าเย็น หากมองจะเห็นว่ามันสวยงามมาก จากจักษุประสาทของเรา แต่งามอีกนัยยะหนึ่ง คือเมื่อเราทำความสำเร็จจากการต่อสู้ เหนื่อยยาก ลำบากมา อย่าง 2 เดือนที่ไปปีนเขา วันสุดท้ายบนยอด นั่นคือเมื่อ 2 เดือนก่อนที่เราอยากจะมา หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แบบนั้นก็งามมาก มันเป็นพลังบางอย่าง มันสว่างไสว โล่ง ปิติ มากเลย

    บางคนบอกว่า หากบรรลุภารกิจแล้ว อาจนำมาซึ่งความว่างเปล่า ?
    ก็มีคนถามผมนะ ขึ้นไปถึงบนยอดเอฟเวอเรสต์แล้วมีอะไร ผมตอบว่า ไม่มีอะไรเลย

    ความรู้สึกผมคือ ถ้าเรามีจิตแสวงหา ข้องแวะกับความท้าทายตลอดเวลา แล้วมันยังไม่ค้นพบจุดว่างตรงนั้น แน่นอนว่า มันไม่มีวันจบ มันก็จะค้นหาไปเรื่อยๆ คือไม่รู้จะพอเสียที แต่อีกแบบคือ หาให้รู้จักพอ


    กรณีของผม ผมเริ่มเห็นแล้วว่า ผมทำเพื่ออีก 2 ลูกนี้ ผมจะเลิกแล้วล่ะ ถ้าจะไปอีก คงไปแบบสนุกๆ อันตรายน้อยลง หรือทำอย่างอื่นบ้าง เพราะผมประกาศอยู่เสมอว่า ผมไม่ใช่นักปีนเขา (หัวเราะ) คือผมปีนเขาโดยความศรัทธาที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ แล้วผมไม่ใช่นักปีนเขาเพราะจิตวิญญาณ ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้


    แต่ก็ไม่แน่ เพราะพออย่างล่าสุดที่ไป อคอนคากัว 10 กว่าคน เหลือแค่ 4 คน แต่ถึงจริงๆ มีผมคนเดียว นอกนั้นนับว่า ไม่ถึงก็ได้ แล้วทุกคนก็บอกว่า ผม born to be ทุกคนจะเห็นว่าทุกวัน ผมมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ในวันสุดท้าย ผมกลับอยู่บนยอดเป็นคนแรก ผมว่านั่นอาจจะเป็นเพราะแรงขับ

    ประสบการณ์จากการทำหนัง เขียนบท จนถึงศิลปะการแสดง มีส่วนช่วยในโครงการนี้อย่างไร

    มีส่วนช่วยอย่างมาก อย่างการเดินทาง ผมจะเดินทางเป็นพล็อตหนังเลยนะครับ มี introductionแบบนี้ นี่คือ conflict หยิบกล้องมาถ่าย ตามด้วย conflict จะมี effect อะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้ว result เป็นอย่างไร เนื่องจากได้เรียนศิลปะมา แล้วได้ทำงานด้านบันเทิง เป็นครูสอนการแสดงด้วย ทำให้เราสามารถปรับตัวกับผู้คนได้ ต้องบอกว่า เลือกที่จะกัดกินข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา เลือกจะข้องแวะในสิ่งที่ควรจะข้องแวะ เลือกประเด็น ไม่งั้นมันจะกระจัดกระจาย หรือไม่เราก็ไม่รับเอาอะไรเลย

    หลังจากโครงการนี้เสร็จสิ้น ?

    ความฝันของผม ผมอยากขับเครื่องเล็กบินรอบโลก เครื่องบินแบบอัลตราไลท์ จุดท้าทายคือผมจะข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคได้อย่างไร ส่วนใหญ่ตายนะครับ และมีคนที่ผมรู้จักก็เสียชีวิตที่เวียดนามจากเครื่องบินเล็ก เพราะโดนพายุ
    ใจจริง ผมคิดเป็นภาพไว้แล้วว่า ผมจะติดธงไทยไว้ตรงหางเครื่องบิน

    มุมมองที่คุณสะท้อนออก บ่งบอกว่าชาตินิยม ?

    มากเลย ผมเป็นคนรักชาตินะครับ ผมตายเพื่อชาติได้เสมอ และผมก็มีวิธีของผม ผมคงไม่ออกไปโวยวาย หรือไปอยู่ในม็อบ ผมมีวิธีของผมเองที่จะเรียกร้อง แต่ถามว่าผมชาตินิยมไหม แน่นอนครับ ผมรักประเทศไทย

    การที่เราตีกรอบความเป็นชาตินิยม นี่ดูคับแคบไปหรือไม่ เดี๋ยวนี้หลายคนกำลังพูดถึงความเป็นสากล

    ผมว่าคนนั้นโกหกครับ ไม่จริง universal ไม่มีครับ คือพูดเอาภาพ อยากหล่อ อย่างเพื่อนผม เป็น american-born chinese เขาบอกตลอดเวลาว่าเขาเป็นอเมริกัน แต่ผมบอกว่า แกมันตัวเหลืองตาตี่นะ แกมันจีน คือจิตวิญญาณคุณอาจจะอเมริกัน อาจจะพูดภาษาอังกฤษ พูดจีนไม่ได้ แต่รูปพรรณสัณฐาน ดีเอ็นเอคุณ มันเปลี่ยนไม่ได้ ยังไงโดยกายภาพ คุณเป็นอยู่แล้ว


    ต้องบอกว่า ชาตินิยมกับการบ้าคลั่งชาติ ไม่เหมือนกัน ในเมื่อเรารู้บุญคุณของแผ่นดินที่เราเกิด สร้างเราขึ้นมาเป็นคน การเข้าใจและต้องการจะทำอะไรเพื่อคืน ในฐานะความเป็นคนที่มีความกตัญญู นี่คือชาตินิยมของผม นี่คือเรื่องดีงาม แต่เรื่องจะลุกขึ้นมา ใครมาแตะต้องธงไทยไม่ได้ หรือตะกร้อแพ้ แต่คนเชียร์ไม่แพ้ ผมว่าอย่างนั้น คือความบ้าคลั่ง โง่เขลา


    ชาตินิยมในมุมของผม คือมนุษย์ต้องมี identity แต่เรื่องของความรู้หรือจิตใจที่เปิดกว้างเป็น universal อันนั้นไม่เถียง อันนั้นควรจะมี


    ผมมองว่าชาตินิยมเป็นความสวยงามนะ ประทับใจมากตอนปีนเอฟเวอเรสต์ มีฝรั่งมาถาม เป็นพวกที่ปีนได้อยู่บนนั้นสัก 20 กว่าคน ทุกคนก็เหนื่อยและพักกันตรงนั้น ก็มีคนอินเดียอยู่ด้วย ฝรั่งถามว่ารูปใคร ผมยังไม่ทันตอบเลย คนอินเดียพูดออกมาว่า This is the King of Thailand ผมน้ำตาไหลเลย เขารู้ได้ยังไง


    ตอนผมไปปีนอคอนคากัว ก็มีคุยกับฝรั่งผู้หญิงคนหนึ่ง แลกเปลี่ยนว่าแต่ละคนเคยปีนที่ไหนบ้าง ผมพยายามไม่บอกใครว่า ผมปีนเอฟเวอเรสต์มาแล้ว เพราะไม่รู้ว่าใครจะคิดอย่างไร แล้วผมเอารูปให้ดู พอฝรั่งเห็นก็บอกว่า King Bhumipol ผมก็ เฮ้ย ! แล้วพูดชัดมาก รู้ได้ยังไง เธอตอบว่า โอ้ย ! ฉันมาอยู่เมืองไทย 3 เดือน มาเที่ยว ชอบมากเลย และฝรั่งคนนี้ก็เป็น well educated เขาก็บอกคนอื่นๆ เลยนะ He is the great great king ผมเลยอยากลองของว่า great ยังไง เขาก็เล่าเป็นฉากๆ โครงการพระราชดำริเอย น่ารักมาก


    แต่มีฝรั่งคนหนึ่งเขาหัวเราะ อ๋อ ! ยูจะไปถือรูปคิงบนยอดเขาเหรอ แต่เชื่อมั้ย ขณะที่หลายคนไปไม่ไหว เดี้ยง ยอมแพ้ มีผมดุ่ยๆ อยู่คนเดียว ลมจะแรงยังไง ไม่สน ไกด์บอกหยุด อย่าไป ไม่สน มันจะถึงอยู่แล้ว ไอ้พวกที่ไม่รู้สึก ร้องไห้ ลงมาก็มานั่งคุยกัน แรงศรัทธาของยูมากขนาดนั้นเหรอ ก็มาคุยว่าในหลวงทรงทำอะไรบ้าง เขาก็ร้องไห้แล้วขอโทษ


    แบบนี้ ไอ้ความเป็น identity ปัจเจกลักษณะของชาติ คือความงาม มันไม่ใช่ความบ้าคลั่ง แปลกแยกหรือแตกต่าง ในกลุ่มคนต่างชาติเหล่านั้น เขารู้สึกและเข้าใจในความเป็นอัตลักษณ์ของเรา ตัวตนของเรา และนี่คือหนึ่งในความเป็น universal เมื่อ varities create unity

    คุณมองการเรียนรู้และบทบาทของครูอย่างไร

    ความแปลกประหลาดของผม คือผมชอบเรียนรู้เองส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเจอครูดี ก็แสวงหาครู นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งก็คือ ใครจะมาเป็นครูผมต้องเจ๋ง นั่นตอนเด็กๆ นะ แต่ตอนนี้ ทุกคนเป็นครูผมหมด หลายคนที่ผมกำลังเรียนรู้อยู่


    การที่ผมเรียนรู้เอง เพราะเมื่อก่อนไม่มีโอกาส อย่างตอนเด็กๆ ผมเรียนศิลปะ จะไปเรียนติวก็แพงจังเลย ไม่มีตังค์หรอก มันมีข้อจำกัดหลายอย่าง ครอบครัวไม่มีอะไรสนับสนุนในตอนนั้น แล้วผมจะทำอย่างไร ผมจะสอบเอนทรานซ์เข้าศิลปากร เข้าศิลปกรรมจุฬาฯ แต่ผมก็ไม่มีสตังค์ไปเรียนติว ก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปบ้านครู ไปกราบ ขอเรียนได้มั้ย นี่คือวิธีของผม ถ้าครูไม่ให้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีของผมแล้ว เช่น ซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วพยายามทำความเข้าใจ

    ในอีกด้านหนึ่ง ผมเป็นคนบูชาครูมากๆ ตอนไปปีนเขา มีวลีหนึ่งในเพลงประกอบละครโบราณมาก 'ทิมมวยไทย' คนที่แต่งคือ พี่ปรัชญ์ สุวรรณศร ซึ่งผมสนิทกับพี่ตึ๋งมาก แกเป็นครูของผมคนหนึ่ง วันหนึ่งแกให้ของขวัญวันเกิด บอกว่า หนึ่ง พี่ไม่มีของขวัญจะให้นะ แต่มีคำๆ หนึ่ง แกจงจำไว้ นี่คือของขวัญจากพี่ ไม่ว่าจะไปไหน จะโต อายุเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องจำไว้คือ จงเป็นตัวจริง โอ้ ! คำนี้ ผมคิดเป็นสิบๆ ปี อะไรคือตัวจริง
    หลังจากนั้นเกือบ 20 ปี ผมถึงเข้าใจ ตัวจริงคือตัวเราที่ทำเต็มที่ จนรู้ว่าเราคือใคร พี่ตึ๋งเขียนไว้ในทิมมวยไทยว่า "ศิษย์มีครู รู้หน้าที่ รู้ภักดี รู้วินัย เก่งมาแต่ไหน ไม่ถอยลอย" ผมปีนเขา ผมใช้คำนี้ตลอด ผมจะเอะอะโวยวาย แล้วมีพลัง ลมมา ผมก็บอกว่ามาเลย (ส่งเสียงกึ่งตะโกน) กูมีครูนะ คือเราจะไม่ยอมแพ้
    ด้วยเรื่องราวและประสบการณ์ คุณพอจะมีคำแนะนำคนรุ่นใหม่อย่างไร
    ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ การทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มีอุปสรรคเสมอ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอให้อุปสรรรคมาถึง ไปหามันเลย แล้วไม่ต้องกลัวมัน เพราะอุปสรรคเป็นเหมือนข้อสอบ เหมือนไม้เรียว เป็นยาชูกำลัง ต้องสู้ อย่าหวาดหวั่น แล้วต้องมีสติ

    อาจารย์ท่านหนึ่งสอนผมว่า 3 สิ่งที่เธอต้องทำในชีวิต หนึ่ง -อย่าเบียดเบียนใคร สอง-จงดำรงชีวิตด้วยคุณธรรม รู้จักแบ่งปัน และ สาม-ทำอย่างเต็มประสก เมื่อง้างคันธนูแล้ว ง้างเต็มที่ แล้วก็ปล่อย เมื่อไม่ถูกเป้า หมายความว่าเล็งไม่ดี ก็ต้องเอาใหม่

    ถ้าใครคิดว่าผมพอจะมีประโยชน์บ้าง ถ้าเด็กรุ่นใหม่เต็มที่กับประเด็นเหล่านี้ จะประสบความสำเร็จแน่ๆ
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อายุบวร นครลังกา

    โดย : นิภาพร ทับหุ่น
    [​IMG]
    ฉันกำลังยืนมองพุทธศาสนิกชนที่พากันหลั่งไหลมาสักการะพระเขี้ยวแก้ว ในเมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ผู้คนเหล่านี้มี "ศรัทธา" เป็นที่ตั้ง

    แม้จะรู้ดีว่า ไม่มีใครหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดมากำหนดชะตาชีวิตของพวกเขาได้ แต่...
    การเดินทางมาบูชา "พระทันตธาตุ" สักครั้งในชีวิต ก็ช่วยเติมพลังให้กับพุทธศาสนิกชนทุกคนได้ดี และฉันก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้...ประเทศศรีลังกา

    1.


    วิชาภูมิศาสตร์ สอนให้เรารู้ว่า ศรีลังกาเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับหยดน้ำสีเขียว จนบางคนเรียกว่า เกาะมรกต วิชาสังคมศาสตร์ สอนให้เราเห็นอกเห็นใจประเทศอาณานิคม ที่ต้องทุกข์ตรมอยู่กับสงครามระหว่างชนชาติสิงหลและชนชาติทมิฬมาเป็นเวลานาน แต่ในที่สุด "กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม" ก็ถูกปราบปรามจนได้


    วิชาภาษาไทย สอนให้เรารู้จัก "รามเกียรติ์" มหากาพย์แห่งวรรณคดีที่มี "กลุงลงกา" หรือ ศรีลังกา เป็นฉากสำคัญ ส่วนวิชาพุทธศาสนานั้น ก็สอนให้เรารู้ว่า ศรีลังกามีความเจริญด้านพุทธศาสนากระทั่งมี "ลัทธิลังกาวงศ์" เผยแผ่มาถึงสยามประเทศ


    แม้จะเป็นชื่อที่ซ่อนอยู่ในทุกรายวิชา แต่พอมีโอกาสได้มาเยือนศรีลังกาจริงๆ ฉันกลับพบว่า ความรู้ที่มีนั้นช่างน้อยนิดเสียจริง


    ใครๆ ก็รู้ว่า ศรีลังกาเป็นเมืองพุทธไม่ต่างจากประเทศไทย โดยประชากรเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ในศรีลังกานับถือพุทธศาสนา แต่กว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในปี 2515 ได้ ศรีลังกาต้องเผชิญกับภาวะกดดันหลายทาง ทั้งจากประเทศเจ้าอาณานิคมที่พยายามจะเปลี่ยนคนลังกาให้ไปนับถือศาสนาคริสต์ หรือชาวทมิฬที่นับถือฮินดูเป็นศาสนาประจำชาติ ถึงขนาดเปิดศึกสงครามระหว่างกัน แต่จนแล้วจนรอด ศรีลังกาก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง และกำลังเร่งฟื้นฟูประเทศเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กลับคืนมา


    ระยะทาง 30 กิโลเมตร จากสนามบินบันดราไนยเก ในเมืองเนกอมโบ ถึงเมืองหลวงโคลอมโบ เราใช้เวลาไปกว่า 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะสภาพถนนที่นี่ทั้งเล็กและแคบ กอปรกับข้อบังคับที่ว่า รถใหญ่(เรานั่งรถบัส) ห้ามแซงขวา ทำให้การเดินทางของเราล่าช้ากว่าที่คิด


    เมื่อมีเวลาบนรถเหลือเฟือ พี่เอ หรือ ฉัตตริน เพียรธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซี แอนด์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ที่เป็นไกด์นำเที่ยวในครั้งนี้ก็ถือโอกาสเล่าถึงศรีลังกาให้ฟังโดยย่อ


    พี่เอ ว่า ศรีลังกามีชื่อเรียกมากมาย คนไทยอาจจะคุ้นหูในชื่อ เมืองลังกา หรือเมืองลงกา ตามวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ที่เคยร่ำเรียนมา ส่วน "ซีลอน" (Ceylon) นั้นก็มีที่มาจากประเทศผู้ล่าอาณานิคมที่ตั้งให้ และใช้เป็นชื่อทางราชการมานาน จนกระทั่งปี 2515 จึงเปลี่ยนมาใช้ "ศรีลังกา" เป็นการถาวร


    ส่วน โคลอมโบ(Colombo) ก็เป็นเมืองหลวงที่เจ้าอาณานิคมทั้งหลายแต่งตั้งให้เหมือนกัน ทว่า ปัจจุบัน เมืองหลวงล่าสุดของศรีลังกานั้น คือ โกเต หรือศรีชัยยะวันทนะปุระ ที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร โดยชาวลังกามีความเห็นร่วมกันว่า โคลอมโบไม่ใช่เมืองหลวงที่สถาปนาโดยชาวศรีลังกา อย่ากระนั้นเลย เราย้ายไปตั้งเมืองหลวงที่กษัตริย์ของเราเคยสถาปนากันเถิด ว่าแล้วเมืองหลวงก็เปลี่ยนไป แต่สถานทูตหรือสถานที่สำคัญหลายๆ แห่งก็ยังอยู่โคลอมโบ


    โคลอมโบ เป็นเมืองท่าชายฝั่ง ดังนั้นจึงเหมือนเป็นชุมทางของพ่อค้าที่มาค้าขายกับศรีลังกา ซึ่งสินค้ายอดนิยมของศรีลังกายุคโบราณคือ เครื่องเทศ โดยเฉพาะกานพลู เพราะเป็นที่ต้องการมากที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมี ไพลิน ซึ่งเป็นรัตนชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนบางครั้งหลายคนมักเรียกดินแดนแถบนี้ว่า รัตนบุรี


    "เมื่อก่อนพ่อค้าพลอยในไทยก็มาซื้อพลอยที่นี่ไปเจียระไนที่เมืองจันท์ เขามาซื้อจากปากเหมืองราคาถูกๆ เอาไปหุงและเจียระไน ราคาก็จะแพงขึ้นอีกเป็น 10 เท่า ตอนนั้นคนไทยมาเยอะจนมีการสร้างคาสิโน โรงแรม ไว้รองรับคนไทย ทางสมาคมพ่อค้าพลอยของศรีลังกาเห็นท่าไม่ดีเลยให้ซื้อผ่านสมาคม เพื่อควบคุมการกดราคาจากพ่อค้าต่างชาติ ตอนนี้เลยเห็นคนไทยน้อยลง" พี่เอ บอก

    2.

    ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเคยเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์กับพระอาจารย์ในวัด แต่เดี๋ยวนี้ฉันไม่เห็นการเรียนการสอนแบบนั้นแล้ว หรืออาจจะยังมีอยู่บ้าง แต่เห็นน้อยมากก็เท่านั้น


    ที่ศรีลังกา วัดคงคาราม (Gangaramaya Temple) ถือเป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์แห่งแรกในศรีลังกา และปัจจุบันลูกศิษย์ลูกหาก็ยังแต่งชุดขาวเข้าไปเรียนธรรมะกับพระอาจารย์อยู่ตลอด จนฉันคิดถึงเมืองไทยไม่ได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเรา กำลังลืมรากเหง้าทางจิตใจที่ควรพัฒนาไปด้วยหรือเปล่า


    วัดคงคาราม เป็นวัดพุทธนิกายสยามวงศ์ ภายในมีพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่งดงามมากองค์หนึ่ง รายรอบไปด้วยพระสาวกอย่าง พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พร้อมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ดูละลานตา
    พี่เอพาเราเดินอ้อมไปด้านหลัง พบต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ เป็น 1 ใน 13 ต้นที่แยกหน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ในเมืองอนุราธปุระ มีชาวลังกาผิวเข้มยืนถือภาชนะใส่น้ำกำลังเดินวนรอบต้นศรีมหาโพธิ์นั้น เป็นการรดน้ำขอพรเพื่อความร่มเย็นของชีวิต พอเห็นแบบนั้นฉันก็ลองทำตาม เดินถือหม้อน้ำและท่องบทสวดอิติปิโสภะคะวาไปพลาง เพียง 3 รอบเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าใจสงบขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ(จริงๆ)


    "จะบอกว่าความบันเทิงของวัยรุ่นลังกาก็คือการมาเดินสวดมนต์รดน้ำต้นศรีมหาโพธิ์นี่แหละ" พี่เอ บอก
    ฉันเดินไปที่ "วิหารกลางน้ำ" ซึ่งอยู่ห่างจากตัววัดคงคามาประมาณ 200 เมตร ที่นี่มีพระพุทธรูปศิลปะไทยๆ อยู่รายรอบวิหาร สอบถามพี่เอ ได้ความว่า เป็นพระพุทธรูปจากเมืองไทยที่มีคนไทยนำมาถวาย


    สังเกตว่าด้านหน้าวิหารมีหินสลักรูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่ คล้ายพรมผืนโต ไกด์กิติมศักดิ์คนเดิม บอกว่า นี่คือหินแกะสลักรูปพระจันทร์ครึ่งดวง หรือ มูนศโตน (Moonstone) ซึ่งภายในประกอบด้วยภาพซ้อนกัน 4 ชั้น ชั้นแรกเป็นรูป ช้าง ม้า วัว ควาย อันหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสิ่งมีชีวิต ชั้นที่ 2 คือลายดอกไม้ อันหมายถึงเครื่องร้อยรัดไม่ให้หลุดพ้นจากสังสารวัตรได้ ชั้นถัดไปเป็นรูปหงส์ สัตว์ในตำนานที่เป็นตัวแทนความสำเร็จ เพราะหงส์สามารถแยกเนื้อนมออกจากน้ำนมได้ เสมือนคนดีที่แยกความดีออกจากความชั่วได้ จนนำมาซึ่งชั้นที่ 4 ดอกบัวที่อยู่ตรงกลาง อันหมายถึง นิพพาน


    ส่วนรูปปั้นมนุษย์ถือหม้อน้ำและช่อมะพร้าวที่อยู่ข้างบันได เรียกว่า มนุษยนาค เป็นทวารบาลที่เป็นสัญลักษณ์แทนความอุดมสมบูรณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นผู้ให้พรกับทุกคนที่เดินเข้าวัดว่าให้มีความอุดมสมบูรณ์


    อีกวัดในโคลอมโบที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ วัดเกลลาณียะราชมหาวิหาร (Kelaniya Raja Mahavihara) หรือ วัดกัลยาณี วัดที่พระสงฆ์จากสุโขทัยเคยมาร่ำเรียนพุทธศาสนา แต่ก่อนศึกษาพระทุกรูปต้องสึกและทำการบวชใหม่ เป็นการเริ่มต้นนับพรรษาที่มีศีลเสมอกัน


    วัดกัลยาณี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเกลลาณียะ แม่น้ำสายประวัติศาสตร์ของชาวศรีลังกา หากใครเคยดูหนังเรื่อง "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ที่เคยโด่งดังฉายไปทั่วโลกเมื่อ 40 ปี ก่อน จะบอกให้รู้ว่า สถานที่ถ่ายทำอยู่ที่ต้นแม่น้ำเกลานียะ ประเทศศรีลังกานี่เอง หาใช่เมืองกาญจนบุรีที่เมืองไทยไม่


    กลับมาที่วัดนี้ ทันทีที่ฉันเดินเท้าเปล่าเข้าไปถึงลานทรายใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ มีประชาชนชาวลังกาหลายร้อยคนทำพิธีเดินวนรอบต้นโพธิ์เพื่อรดน้ำขอพร บ้างก็นั่งสวดมนต์ภาวนา บ้างก็เข้าไปในพระอุโบสถเพื่อถวายดอกไม้เครื่องบูชา ฉันเห็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่กับครอบครัวริมกำแพงวัด ประเมินอายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบ แต่เธอสามารถท่องบทสวดภาษาบาลีได้อย่างคล่องแคล่ว นับว่าพุทธศาสนาซึมลึกเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนลังกาตั้งแต่แบเบาะกันเลยทีเดียว


    ภายในพระอุโบสถวัดนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวในพุทธประวัติ แต่ภาพที่ประทับใจทุกคนเมื่อมาเยือนและเป็นภาพที่ปรากฏอยู่ในโปสการ์ดทั่วไปก็คือ ภาพพระทันตกุมาร ทรงนำพระนางเหมาลาเทวี เสด็จหนีภัยจากอินเดียสู่ศรีลังกา โดยพระนางทรงซ่อนพระเขี้ยวแก้วไว้ในมวยผม ปรากฏรัศมีแผ่ให้เห็นอยู่เหนือพระเศียร จนกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของพระเขี้ยวแก้วเมื่อ 1,700 ปีก่อน


    นอกจากนี้ ด้านข้างพระอุโบสถยังมีเจดีย์ขาวขนาดใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมแบบคว่ำ ซึ่งเป็นทรงที่นิยมกันมากในอินเดียสมัยโบราณ พี่เอ บอกว่า วัดในศรีลังกานั้น ไม่จำเป็นต้องมีโบสถ์ วิหาร หรือศาสนสถานอื่นใด ขอเพียงแค่มีเจดีย์และต้นศรีมหาโพธิ์ เท่านั้นก็เรียกว่าวัดได้แล้ว

    3.


    แคนดี้ (Kandy) เป็นอีกเมืองหนึ่งของศรีลังกาที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องด้วยเป็นสถานที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยตั้งอยู่ในผอบที่อยู่ในเจดีย์ครอบ 7 ชั้น ภายในวัดพระเขี้ยวแก้ว (Temple of the Tooth Relic)หรือ วัดดาลาดา มาลิกาวา (Dalada Maligawa) ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสายแคนดี้


    พระเขี้ยวแก้ว เป็นพระทันตธาตุ(ฟันเขี้ยวเบื้องล่างซ้าย) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธในลังกาให้ความเคารพว่าเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง พี่เอ ว่า พระเขี้ยวแก้วศรีลังกาอยู่ที่นี่มา 1,700 ปีแล้ว และจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงต่างๆ ตามเมืองหลวงที่กษัตริย์ในยุคนั้นๆ ปกครอง


    ด้วยว่ามีความสำคัญขนาดนี้ พระเขี้ยวแก้วจึงถูกดูแลโดยบุคคลสำคัญ 3 ท่าน คือ พระสังฆราชฝ่ายคามวาสี พระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และนิลเม ประธานฝ่ายฆราวาส ซึ่งทั้ง 3 จะถือกุญแจท่านละ 1 ดอก เมื่อครบ 3 ดอกจึงจะสามารถเปิดเจดีย์ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วได้ นับเป็นการรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมทีเดียว


    สำหรับหอพระเขี้ยวแก้ว ไม่อนุญาตให้บุคคลเข้าไป แต่สามารถนมัสการได้จากด้านหน้า โดยจะเปิดประตูหอเป็นเวลา คือ 05.30 น. 09.30 น. และ 17.30 น. ทุกวัน


    ชาวลังกาเชื่อว่า หากได้มีโอกาสมาไหว้พระเขี้ยวแก้วแล้วจะถือเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต วันนี้ฉันและเพื่อนๆ ชาวไทยสวมใส่ชุดขาวมาเต็มยศ ในมือถือดอกบัวบานสีม่วง แซมด้วยดอกพุด 4-5 ดอก พร้อมด้วยธูป เทียน ที่จะนำไปถวายพระที่อยู่ด้านใน แต่ก่อนเข้าไปทุกคนต้องถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าประวัดเสียก่อน


    เมื่อก้าวเข้าไปภายในวัดเราพบนักดนตรีที่ประโคมตี "มังคละเภรี" ซึ่งเป็นกลองที่ตีเพื่อให้เกิดความมงคล ขับไล่สิ่งชั่วร้าย โดยมังคละเภรีพัฒนามาจากกลองที่ใช้ออกรบ เมื่อประจัญหน้าข้าศึกจะตีกลองเพื่อสร้างความฮึกเหิม เพราะฉะนั้นถ้ามีความชั่วร้ายหรือความเป็นอัปมงคลใดๆ ต้องขู่ด้วยมังคละเภรี แล้วจึงทำพิธีมงคลต่อไป ส่วนถ้าใครทนฟังเสียงมังคละเภรีไม่ได้ ก็ให้พิจารณาตัวเองว่าเป็น "สิ่งชั่วร้าย" อย่างที่คนลังกาว่าไว้หรือเปล่า


    หลังจากเบียดเสียดกับพุทธศาสนิกชนเพื่อเข้าไปถวายดอกไม้ในมุมต่างๆ ของวัดแล้ว จุดสุดท้ายที่เราต้องใช้ความอดทนอย่างสูงสุดนั่นก็คือ หอพระเขี้ยวแก้ว ที่บอกว่าต้องใช้ความอดทนไม่ได้หมายถึง รำคาญผู้คนที่มากมายราวกับมด แต่หมายถึงแถวมนุษย์ที่ต่อกันยาวเหยียดไปจนถึงประตูด้านหน้า เพื่อรอคอยเวลาการเปิดหอพระเขี้ยวแก้วให้ผู้คนได้ไปกราบไหว้ด้านหน้านั่นเอง เราจึงยืนอดทนอยู่ตรงนั้นกันนานเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว


    ได้มาเห็นแรงศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาของชาวลังกาแล้วรู้สึกอิ่มใจ แต่ "ศรัทธา" ที่ฉันเห็นไม่ใช่ความงมงาย ทว่า มันหมายถึงการใช้ชีวิตทุกๆ วันอย่างมีสติ


    การเดินทาง
    สายการบินแอร์เอเชีย เปิดเส้นทางกรุงเทพฯ - โคลอมโบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพุทธศาสนิกชนที่ปรารถนาจะเดินทางไปแสวงบุญ ณ ประเทศศรีลังกา โดยให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ในราคาสุดพิเศษ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่www.airasia.com


    ส่วนการเดินทางในศรีลังกามีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รถสามล้อจากอินเดีย ที่เรียกว่า ตุ๊กตุ๊ก ราคาถูก จ่ายตามมิเตอร์ โดยเริ่มต้นกิโลเมตรแรกคิด 50 รูปี กิโลเมตรต่อไป คิด 30 รูปี ต้องเตรียมเงินให้พอดี เพราะที่นี่เขาไม่นิยมทอนเศษสตางค์


    สำหรับรสบัส ไม่ค่อยแนะนำเพราะดูจากสภาพแล้วเก่าคร่ำครึมาก ก็อาจจะใช้บริการได้ แต่ไม่มีคันไหนติดเครื่องปรับอากาศเลย รถไฟที่นี่น่าจะพอใช้ได้ เพราะราคาไม่แพง แต่คนก็ออกจะแออัดเล็กน้อย หากเดินทางมาเองอาจต้องใช้บริการรถเช่า มีราคาเหมารวมคนขับและน้ำมัน(แก๊ส) วันหนึ่งก็ราวๆ 100 ดอลล่าร์สหรัฐ


    ศรีลังกาใช้เงินสกุล รูปีศรีลังกา แต่ว่าในเมืองไทยไม่มีแลกเงินสกุลนี้ ต้องแลกเป,ยนเงินไทยเป็นดอลล่าร์สหรัฐ แล้วไปแลกเป็นเงินรูปีกลับอีกทีเมื่อไปถึงศรีลังกา สามารถแลกได้ทั้งธนาคาร โรงแรมที่พัก และสนามบิน

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ปิดไม่ทันแว้ววว^^
    Massive SUN SPHERE 2012!!! - YouTube
    <IFRAME height=315 src="http://www.youtube.com/embed/bOAA6BVVEes" frameBorder=0 width=560 allowfullscreen></IFRAME>
    <IFRAME height=315 src="http://www.youtube.com/embed/Ev8JGqDO8nk" frameBorder=0 width=560 allowfullscreen></IFRAME>

    http://palungjit.org/threads/สถานีถ่ายทอดสัญญาเซตาร์-ภาคตามล่าหา-px.297203/page-208
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  13. blank123

    blank123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +229

    [​IMG]


    อ่ะแฮ่มมมม คืนนี้ ตอบ จ.ม. แควน ๆ
    ใน บล็อกสุมหัวนินทาชาวบ้าน เสร็จแระจร้าาาา
    เรยแวะเอา ยำไส้ตันมาหั้ย อิหม่ามี๊
    เอาไว้ กินแกล้มก๊ะ ไข่เจียว แก้เลี่ยนนนนน ฮ่ะ เหอ...เหอ....


    [​IMG]
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอบใจ จ้า แม่นางเทียวเสี้ยม
    เข้าไปอ่านที่บล๊อคสุมหัวฯ แระ
    อ่านไปน้ำตาไหลไป ด้วยความซาบซึ้งในน้ำยำและความเผ็ดในตัวอักษรของแม่นางยิ่งนัก
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นิทานเซน : เณรจะไปไหน?

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 มีนาคม 2555 10:43 น.

    <变与不变>

    ยังมีอารามเซนสองแห่งตั้งอยู่ใกล้กัน ยามที่เณรน้อยจากอารามหลังแรกจะเดินไปตลาดจะต้องผ่านอารามหลังที่สองซึ่งมีเณรน้อยอีกผู้หนึ่งที่มักจะออกมาล้อเลียนเป็นประจำ

    วันหนึ่ง เณรน้อยจากอารามหลังที่หนึ่งออกเดินไปตลาดเหมือนเช่นเคย เณรจากอารามหลังที่สองจึงออกมาร้องถามว่า "ท่านจะไปไหน?"

    "เท้าไปที่ใด เราก็ไปที่นั่น" เณรจากอารามหลังแรกตอบ

    เมื่อได้ฟังคำตอบ เณรจากอารามหลังที่สองก็อับจนถ้อยคำ บ่ายวันนั้นเขาจึงกลับไปขอให้อาจารย์ของตนแนะนำ

    หลังจากได้ฟังเรื่องราว อาจารย์จึงแนะว่า "วันรุ่งขึ้น หากเขาตอบเจ้าเช่นเดิม เจ้าก็จงถามกลับไปว่า 'หากไม่มีเท้า แล้วท่านจะไปไหนได้เล่า' รับรองว่าเณรผู้นั้นต้องหมดคำโต้ตอบแน่"

    [​IMG]

    ภาพจาก bbs.guoxue.com


    วันรุ่งขึ้น เณรจากอารามหลังที่สองจึงได้ไปดักรอที่เดิม เมื่อเณรจากอารามหลังที่หนึ่งเดินผ่านมา เขาจึงรีบเอ่ยถามว่า "วันนี้ท่านจะไปไหน?" จากนั้นเตรียมโต้ตอบด้วยคำที่อาจารย์เสี้ยมสอนมาอย่างดี

    ปรากฏว่าเณรผู้ไปตลาดกลับตอบว่า "ลมไปที่ใด เราก็ไปที่นั้น"

    ได้ยินดังนั้น เณรจากอารามหลังที่สองรู้สึกผิดคาด จึงไม่อาจตอบอะไรได้อีก ตกบ่ายได้แต่กลับไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เช่นเดิม"

    คราวนี้อาจารย์เริ่มไม่พอใจ ตำหนิศิษย์ว่า "เจ้าช่างโง่งมนัก เหตุใดไม่ถามกลับไปว่า 'แล้วถ้าไม่มีลมพัด ท่านจะไปที่ใด' แล้วถ้าคราวหน้าเณรผู้นั้นเปลี่ยนถ้อยคำเป็นเรื่องใด เจ้าก็จงใช้ถ้อยคำนั้นตอบกลับ เช่น 'น้ำไหลไปไหน เราก็ไปที่นั้น' เจ้าก็จงถามไปว่า 'ถ้าไม่มีน้ำ ท่านจะไปอย่างไร' เข้าใจหรือไม่?"

    ได้ฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ เณรน้อยจากอารามหลังที่สองยินดียิ่งนัก หมายมั่นปั้นมือว่าคราวหน้าต้องทำให้เณรจากอารามหลังแรกอับจนถ้อยคำให้จงได้
    วันรุ่งขึ้น เมื่อเณรซื้อผักเดินผ่านมา เณรจากอารามหลังที่สองก็ร้องถามด้วยความกระหยิ่มใจว่า "วันนี้ เณรน้อยท่านจะไปที่ไหน?"

    มิคาด เณรน้อยจากอารามหลังที่หนึ่ง ตอบกลับสั้นๆ ว่า "เราจะไปซื้อผักที่ตลาด" จากนั้นจึงเดินผ่านไป ทิ้งให้เณรจากอารามหลังที่สองยืนนิ่งอึ้งตะลึงงันกับคำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อน



    ปัญญาเซน : ความเปลี่ยนแปลงคือไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่ไม่รู้จักพลิกแพลงมักอับจนด้วยปัญญา

    China - Manager Online -
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นิทานสอนใจ : น้ำกับทิฐิ

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 มีนาคม 2555 08:14 น. Share78

    [​IMG]
    ขอบคุณภาพประกอบจาก dhammaforever.com


    นานมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ทิฐิ เขาเป็นคนที่มีนิสัยอวดดื้อถือดี ไม่ต่างจากชื่อ เพราะเมื่อได้ลองเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว ทิฐิคนนี้ก็จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน และจะไม่ยอมรับฟังข้อคิดเห็นที่ผิดไปจากความเชื่อเดิมโดยเด็ดขาด แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเอาจริงเอาจัง และเคร่งครัดกับชีวิต แต่บางครั้งเขาก็ดื้อรั้นมากเกินไปจนขาดเหตุผล และทำให้สูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

    กล่าวสำหรับทิฐิ เขาไม่ใช่คนร่ำรวย ดังนั้นจึงต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย กระทั่งมีฐานะขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทิฐิจึงคิดที่จะหยุดพักตัวเองจากการงาน แล้วเดินทางไปเรื่อย ๆ เพื่อเที่ยวชมโลกกว้าง เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ทิฐิจึงจัดการฝากบ้านไว้กับญาติพี่น้อง แล้วเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

    ทิฐิเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ชมนั่นแลนี่ และพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในที่เหล่านั้นมากมาย การท่องโลกกว้างของทิฐิน่าจะทำให้เขามีความรู้ดี ๆ หรือเกิดทัศนคติใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนกล่าวคำซึ่งผิดไปจากความรู้หรือความเชื่อมั่นเดิมของเขา ทิฐิก็จะรีบกล่าวแก่คน ๆ นั้นทันทีว่า

    "นั่นไม่ถูกเลยนะ ที่จริงแล้วมันต้องเป็นดังที่ข้ารู้มาต่างหาก"

    สิ่งนี้เองทำให้การเดินทางไปทั่วโลกของเขา แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้นในชีวิตของเขาเลย

    กระทั่งวันหนึ่งทิฐิได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนแห่งทะเลทรายอันแสนแห้งแล้ง และไร้ผู้คนสัญจร เขาหลงทางอยู่ในดินแดนแห่งนั้นสามวันสามคืน จนกระทั่งอาหาร และน้ำดื่มร่อยหรอและหมดลงในที่สุด ทิฐิจึงเดินต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงนอนบนผืนทรายอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง

    แต่ทิฐิยังไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงขนาดไหน แต่เขาก็รวบรวมพลังใจของตนเฝ้ากล่าวคำภาวนาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเขาด้วย

    "ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดเมตตาข้า ผู้ซึ่งไม่เคยเบียดเบียนใคร ขอทรงประทานน้ำมาให้ข้าได้รักษาชีวิตของตนเองไว้ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ยังดี" แล้วในตอนนั้นเอง ทิฐิก็เห็นชายแปลกหน้าชาวเยอรมันคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขา ทิฐิดีใจสุดจะกล่าว แล้วรีบพูดขึ้นทันทีว่า

    "โอ...ท่านผู้เป็นความหวังของข้า โปรดแบ่งน้ำของท่านให้ข้าดื่มด้วยเถิด"

    ชายคนนั้นยื่นถุงหนังสีน้ำตาลในมือให้แก่ทิฐิ แล้วกล่าวว่า

    "นี่คือ วาสซ่าร์ จงดื่มเสียสิ"

    แต่ทิฐิไม่อยากได้วาสซ่าร์ เขาอยากได้น้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะรับถุงหนังสีน้ำตาลจากชายแปลกหน้าคนนั้น ชายคนนั้นจึงเดินจากไป

    ทิฐิภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง คราวนี้มีชายชาวจีนคนหนึ่งเดินถือถุงหนังสีแดงเข้ามายื่นให้แก่ทิฐิ

    "นี่คือ น้ำ ใช่หรือไม่" ทิฐิถามชายชาวจีน

    "นี่คือ ซือจุ้ย จงดื่มเสียสิ" ชายชาวจีนตอบ

    ทิฐิรู้สึกไม่พอใจ ตอนนี้เขากระหายน้ำมากเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมชายผู้นี้จึงนำซือจุ้ย มามอบให้แก่เขาเล่า ทิฐิจึงปฏิเสธถุงหนังสีแดงของชายชาวจีน ชายชาวจีนจึงเดินจากไป

    ทิฐิเริ่มภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก และครั้งนี้มีผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งมาปรากฏกายตรงหน้าของเขาในแทบจะทันที

    "เธอผู้มีใจเมตตา ขอน้ำให้ข้าดื่มหน่อยเถิด" ทิฐิพึมพำคำอ้อนวอนออกจากริมฝีปากที่แห้งผาก

    "นี่คือ ปานี จงดื่มเสียสิ" หญิงชาวอินเดียกล่าวพร้อมกับยื่นถุงหนังสีเขียวให้กับทิฐิ แต่นั่นทำให้ทิฐิโกรธมาก เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยกแขนปัดถุงหนังสีเขียวให้พ้นหน้า แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า

    "ข้าไม่เอาของ ๆ เจ้า ข้าจะตายเพราะขาดน้ำอยู่แล้ว ข้าต้องการน้ำเท่านั้น!"

    หญิงอินเดียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เดินจากไปอีกคน ทิฐิเฝ้าอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีใครนำอะไรมายื่นให้เขาอีกแล้ว

    จิตของทิฐิกำลังหลุดลอยออกจากร่างที่ใกล้แตกดับ แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ๆ หนนึ่งก็ดังแว่ว ๆ ให้ได้ยินว่า

    "ทิฐิคนถือดีเอ๋ย เราช่วยเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยให้โอกาสตนเองเลย หากเจ้าเปิดใจให้กว้าง และยอมรับในข้อดีของสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียบ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในถุงหนังทั้งสามนั้น ต่างก็เป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์ทั้งสิ้น"

    เมื่อสิ้นเสียงแว่วนั้น ทิฐิคนถือดีก็สิ้นลมหายใจทันที

    บทสรุปของผู้แต่ง

    เรื่องราวของทิฐินั้น สอนให้เราเปิดตาตนเองให้กว้าง แล้วมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยสายตา และหัวใจที่ไร้อคติ หากปิดกั้นหัวใจ และสายตาเอาไว้ ก็อาจพลาดสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบางครั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก็อาจจะไม่หวนกลับมาหาอีกแล้ว

    หรืออีกนัยหนึ่ง นิทานเรื่องนี้กำลังบอกทุกคนซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน แต่กำลังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน จงอย่าลืมว่าศาสนาทุกศาสนานั้นถือกำเนิดขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะให้มีคนดี ๆ อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก แม้คำสอนบางประการจะแตกต่างกัน แม้เสียงสวดมนต์จะเป็นคนละเสียง และธรรมเนียมปฏิบัติก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย แต่เราทุกคนล้วนได้รับการปลูกฝังให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนกัน

    ดังนั้นขอให้เปิดใจตัวเองให้กว้าง และเคารพในคำสอนของศาสนาอื่น ๆ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น อาจจะนำคำสอนชองเขามาประยุกต์ใช้กับตัวเองบ้าง ถ้าพบว่ามันเข้ากันได้ดีกับการดำเนินชีวิต ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน หากจะนำคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ ในเมื่อทุกศาสนาล้วนหมายมั่นที่จะพิชิตยอดเขาเดียวกัน นั่นคือ "ยอดเขาแห่งความดี ความรัก และความเมตตา"

    ///////////////

    ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

    Life & Family - Manager Online -
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=rWKRVI4V3ns&feature=related]Final Fantasy 13: Hurricane (30 Seconds to Mars - This is War) - YouTube[/ame]
     
  18. เด็กแวนซ์

    เด็กแวนซ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +35
    You and I just have a dream
    To find our love a place, where we can hide away
    You and I were just made
    To love each other now, forever and a day
    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/hBYYLw9WXcY?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/hBYYLw9WXcY?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CxlbnHHxciY]Sonata Arctica Letter to Dana (Lyrics) - YouTube[/ame]
     
  20. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,946
    ค่าพลัง:
    +3,301
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...