"หลวงปู่โง่นสัมผัสวิญญาณพระสุพรรณกัลยา"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ทิพย์มาลา, 21 พฤษภาคม 2014.

  1. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (1)

    จากหนังสือ"ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา"
    โดย หลวงปู่โง่น โสรโย
    วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร (พ.ศ. ๒๕๔๑)


    [​IMG]


    อันเรื่องราวที่กล่าวถึง พระประวัติของพระนางสุพรรณกัลยา ที่จะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องข้าพเจ้าได้สัมผัสมาจากทางฝันโดยบังเอิญ และจากเกร็ดพงศาวดารที่คนต่างชาติ คือ พม่าเขาเขียนเอาไว้ก็ไม่มากนัก น้ำหนักก็อยู่ที่เรื่อง พระนางเลี้ยงน้อง และปกครองคนไทย เอาใจใส่พวกชาติเดียวกันเท่านั้น ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ถ้าท่านไม่ทำใจให้เปิดกว้างพอ พอที่จะรับฟังเหตุผล ก็คงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น impossible หรือ unbelievable นี่หว่า แต่เรื่องนี้มันก็เป็นไปแล้ว และก็น่าเชื่อถือ เพราะหลักฐานที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ก็ได้มาปรากฏดังที่จะได้กล่าวต่อไป

    เมื่อปี พ.ศ. 2490 ประเทศสหภาพพม่า ได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก เขายกพม่าให้ปกครองตัวเอง เป็นเอกราช ข้าพเจ้าได้ถูกเชิญ (ถูกนิมนต์) จากท่านมหาปีตะโกภิกษุ ท่านเป็นพระมหาเถระที่คงแก่เรียน ทางธรรมท่านเรียนจบพระไตรปิฏก ทางโลกท่านจบมหาบัณฑิต สาขา Philosophy จากอ๊อกฟอร์ด ลอนดอน ในสมัยที่เราอยู่ร่วมกันที่ประเทศอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านอยู่ที่เมืองหงสาวดีคือเมืองพะโค อยู่ทางทิศเหนือของกรุงแรงกุน (เมืองย่างกุ้ง) ท่านได้นิมนต์ให้ข้าพเจ้าไปช่วยงานด้านประติมากรรม คือเป็นช่างเขียนฝาผนัง ซ่อมแซมรูปลายฝาผนังที่ชำรุดให้ดีขึ้น อันการปรารภเรื่องติดต่อกันในต่างประเทศ ข้าพเจ้าเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างไรก็ขอให้ได้กลับเมืองไทยก่อน

    พอมาถึงเมืองไทย ได้รับความดลใจ ในคำสั่งของตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยในทางฝัน จึงได้ออกเดินทางไป ดังที่จะกล่าวไว้ในตอนตามรอยกรรม ในระยะที่ข้าพเจ้าไปอยู่นั้นก็เกิดเรื่อง ที่พระภิกษุสงฆ์ในประเทศพม่าซึ่งประกาศไม่พอใจในนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวเรื่องสมณศักดิ์ คือเขาจะยกฐานะให้พระสงฆ์พม่ามีสมณศักดิ์เหมือนพระสงฆ์ไทย พระสงฆ์ทั่วประเทศไม่พอใจในเรื่องลาภยศ จึงก่อเหตุเดินขบวนต่อต้าน รัฐจึงจำเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ อนุโลมตามความต้องการของพระสงฆ์ทุกอย่าง เรื่องก็จบ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นมาก็มีพระสงฆ์อยู่สองประเทศ คือ พระสงฆ์พม่า และศรีลังกา

    พระคุณท่านมีอำนาจในทางการเมือง เล่นการเมืองได้ สมัครเป็นผู้แทนได้ เข้าไปนั่งประชุมในสภาได้ เพราะพระคุณท่านไม่ยี่หระที่จะยอมรับเงินรับสินบน ค่าเงินเดือน เป็นค่าจ้าง เป็นพระลูกจ้าง อันเป็นค่านิยพัต ค่าตาลปัตพัดยศจากรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นลูกจ้างจากทางรัฐ เขาไม่ยี่หระเหมือนพระสงฆ์ไทย อันเรื่องที่พระหม่องเดินขบวนก็จบลงไปแล้ว แต่ข้าพเจ้าสิ โดนข้อกล่าวหาอย่างหนักว่า ความวุ่นวายของพระสงฆ์เมียนม่าที่ผ่านมานั้นมีข้าพเจ้าอยู่เบื้องหลัง เพราะข้าพเจ้าไปเดินกับเขาด้วยและเป็นนายทุนสนับสนุนในเรื่องค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราใช้ทรัพย์ส่วนตัวไปราวห้าหมื่น แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้นมหาอำนาจตะวันตกผู้ปกครองเขายังไม่ว่า อันเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้า อังกฤษเขาไม่เอามายุ่งด้วย และผู้หลักผู้ใหญ่ของอังกฤษก็รู้จักกับเราดี เขาจึงเพียงกักสถานที่ให้เราอยู่ในบริเวณของกระท่อมของเรานั้นเอง ซึ่งก็มีเพื่อนรักคือ อ้ายเจ้าเก่ง ภาษาพม่าเขาเรียกสุนัขว่า คย คย ข้าพเจ้าก็ได้ถูกเรียกเป็น พ๊งจีคย คำว่าพระภิกษุภาษาพม่าเขาเรียกว่า พ๊งจี จึงเป็นพ๊งจีคยมาตลอด เพราะมีสุนัขเป็นเพื่อน เขากักขังบริเวณไว้สอบสวน 15 วัน และอาศัยพระสงฆ์คือพ๊งจีของพม่าช่วยไว้ ชีวิตหนอชีวิต อันการตกเป็นผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น ในชีวิตการบวชของข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวลอะไร เป็นไรเป็นกัน

    ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2482 ถูกทหารลาวจับอยู่เวียงจันทร์เมืองหลวงของลาว เขาจับในข้อหาว่าข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ไทยเข้าไปสืบความลับทางราชการ เป็นแนวที่ห้ามาจากเมืองไทย มันถามเป็นภาษาไทยว่า ท่านเป็นคนไทยหรือ ตอบมันว่าใช่ อาตมาเป็นพระสงฆ์ไทย เกิดเมืองไทย เป็นคนไทย เพราะระยะนั้นสมัยนั้นสงครามมหาเอเซียบูรพากำลังก่อตัวขึ้น อ้ายลาวไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น มันจับขังใส่คุกขี้ไก่ไว้สิบห้าวัน (มันแท้ๆ) คุกขี้ไก่คือไก่อยู่ข้างบน คนอยู่ข้างล่าง แต่ก็ยังโชคดีที่ระยะนั้นรัฐบาลไทยได้ประกาศตัวเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด ไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาจึงปล่อยออกมา เมื่อข้ามมาฝั่งไทย ตำรวจไทยเห็นเข้า ถามเป็นภาษาลาวว่า (เจ้าหัวมาแต่ไส) ตอบมันว่า อาตมามาแต่ฝั่งซ้าย สำเนียงลาวแท้ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นพระลาว มาสืบความลับจับเข้าอีก ขังไว้โรงพักสองวัน แก้ตัวออกมาได้เพราะเรามีหลักฐานทางหนังสือสุทธิ

    และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2486 สงครามเอเซียบูรพาสงบ ทหารไทยได้ตีเมืองพระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ กำปงโสม ของเขมร คณะสงฆ์ไทยจะเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศเขมร สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสโส (อ้วน) ท่านเป็นมหาสังฆนายกองค์แรกในสมัยนั้น ท่านให้ข้าพเจ้าไปด้วย เพราะเป็นคนที่พูดภาษาเขมรและภาษาฝรั่งเศสได้เพราะเขมรเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาก่อน เมื่อขบวนท่านเสด็จกลับ ข้าพเจ้ายังไม่กลับ เพราะมีธุระหลายอย่าง คือ ต้องการเรียนภาษาเขมรให้แตกฉาน จึงเดินทางเข้าไปเมืองพนมเปญ โดนทหารเขมรจับเข้าอีก ตั้งข้อหาว่าข้าพเจ้าเป็นตัวการที่นำทหารไทยไปตีเอาบ้านเอาเมืองของมัน แก้ตัวออกมาได้เพราะ อาศัยบารมีของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์

    และหลังจากนั้นมาอีกหกปี คือปี พ.ศ. 2490 โดนอ้ายหม่องพม่าจับเข้าอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จึงไม่วิตกกังวล ไม่สะทกสะท้าน ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย เพราะเรื่องอย่างนี้เคยโดนมาครั้งแล้วครั้งเล่า อันการติดคุกขี้ไก่ในประเทศลาวนั้น เท่าที่สืบดูในจำนวนพระสงฆ์ไทยก็มีอยู่สองท่าน คือตัวข้าพเจ้าเองติดก่อน ติดอยู่ถึง 15 วัน ท่านที่สองคือ พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม แต่ท่านสมชายติดทีหลัง ติดกี่วันไม่ได้ถามท่าน ติดเรื่องเดียวกัน ที่เขาถือว่าเป็นแนวที่ห้า แต่คนละวาระคนละแห่ง

    ทุกครั้งที่ถูกจับกุมคุมขังนั้น เราไปช่วยเขา เราไปทำประโยชน์ให้เขา เราขนเอาเงินทองของส่วนตัวทั้งนั้นไปช่วยเขาไปให้เขา พอเรามีเรื่องขึ้นมาจะหาใครๆช่วยเหลือไม่มีเลย นี้แหละหนา สัจจะธรรมกรรมแท้ๆ จึงได้คิดเป็นโคลงกลอนสอนใจตัวเองว่า…

    เมื่อมั่งมี ผีผอม ตอมกันแดก
    เมื่อโลงแตก ผีอ้วนชวนกันหนี
    เมื่อมั่งมีมากมาย มิตรหมายมอง
    เมื่อมัวหมอง มิตรมองเหมือนหมูหมา
    เมื่อไม่มี มวลมิตรไม่มองมา
    เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง

    จะมีก็แต่เจ้าเก่งที่แสนรู้คู่บุญ ที่ติดตามมาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมห่าง มันนอนขวางทางทำท่าตาเขม็งเบ่งใส่คนที่มันไม่ใว้ใจทุกคน จนพวกพม่ามันเรียกข้าพเจ้าว่า พ๊งจีคย (พระหมา) จึงได้ความคิดติดใจมาตลอดว่าเลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคน

    อันสถานที่ที่เขาให้อยู่และกักบริเวณ เขาก็ให้อยู่ในสถานที่เดิมคือกระท่อมที่เขาจัดสร้างให้เอง แต่ก็อากาศดีมีสถานที่อยู่กว้างขวาง ไม่ได้ถูกผูกมัดพันธนาการอะไร มันให้อยู่ในบริเวณขอบเขตที่มันกำหนดให้ เราก็สบาย ทุกๆวันมันก็ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบ สอบแล้วสอบอีก เราทำเป็นไม่ยอมพูดกับมัน เพราะมันจะบีบคั้นเอาแต่เงิน เงินลูกเดียว ถ้าเราไม่ให้มัน มันจะปล่อยให้อดข้าวตาย ก็จะเอาอะไรมาให้ มันยึดเอาไปหมดแล้ว และยังจะมาบีบเอาอะไรอีก บ้าจริงๆ เสร็จแล้วมันก็หายไป วันหลังก็เปลี่ยนคนใหม่มาเฝ้า มาสังเกตุการณ์

    ตอนนี้เอง ข้าพเจ้าจึงมาถามตัวเองว่า เอาอย่างไรกันดี เราจะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว (คนหนอคน) ยามอับจนคนเคียดแค้นชิงชัง ยามมั่งคั่ง คนประดังนอบน้อม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสบทั้งซวยโชคโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จึงได้ปรัชญาของชีวิตว่า (อันชีวิตที่ไม่เคยเจอกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่) ความโง่คือ ความที่จิตติดอยู่กับสุข ที่ติดยึดอยู่กับสุข ที่เป็นโลกียะ ผู้ฉลาดย่อมนำเอาความทุกข์ ที่ประสบมาเป็นบทเรียน

    ในบทปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้จักทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลของสมุทัยคือความสมมุติของคน ความสมมุติสังคมของโลก จึงมาพบกับหลักสัจจะธรรมข้อหนึ่งว่า ในขณะที่ชีวิตประสบกับภาวะที่วิกฤตอย่างรุนแรงนั้น ชีวิตจะมีความเข้มแข็งขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้สอนตัวเองว่า เราจงสร้างจิตตานุภาพไว้ให้มากๆ เพราะจิตตานุภาพที่เราสร้างไว้นั้นจะช่วยเหลือเราได้ในยามยาก ชีวิตที่ไม่มีการต่อสู้เป็นชีวิตที่อ่อนแอ บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรูจะเป็นคนเข้มแข็งได้ยาก เหล็กที่ผ่านการตี การทุบ ทุบจนแท่งเหล็กเป็นมีดเป็นพร้าขึ้นมา แล้วผ่านน้ำผ่านไฟมาแล้วจึงกลายเป็นเหล็กแข็งและเหนียวใช้การได้ดี

    ชีวิต เราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตใดที่ผ่านความสมบุกสมบัน ผ่านความทุกข์ความลำเค็ญ ผ่านเย็นร้อนอ่อนแข็งมาแล้ว เป็นชีวิตที่มีบทเรียนมามาก มีความรู้มาก อันความรู้มันมีอยู่สองอย่างคือ ความรู้จำ กับความรู้จริง อันความรู้จำนั้น เกิดขึ้นจากการเรียน เรียนจากครู จากตำรา รู้มาเรียนมาไม่ถึงใจเพราะไม่รู้ว่ารสชาติธาตุแท้ของชีวิตนั้นมันเป็นอย่าง ไร แต่ความรู้จริงนั้นคือรู้จากประสบการณ์ที่เกิดจากชีวิตจริงของเราเอง มันมีรสชาติธาตุแท้แห่งความทรงจำไปอีกนานเท่านานเชียวล่ะและเป็นรากฐานในการ ที่จะได้ปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเองให้เข้มแข็งขึ้นอีก

    อันการที่ข้าพเจ้าถูกอ้ายหม่องเล่นงานคราวนั้นมันเป็นผลดีที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงและเข้าใจในชีวิตของตัวเองอย่างถ่องแท้ วิธีแก้ของเราก็คือสอนและเตือนตัวเองว่า ผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ใจ ในสิ่งที่สุดทางแก้จึงตั้งอธิษฐานจิต ทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย จิตวิญญาณหลังตาย สบายกว่ามีชีวิตอยู่ จะอยู่ไปทำไม ตายดีกว่าจะได้สบาย จึงค้นคิดว่าความตายคืออะไร แล้วตอบเองว่าความตายคือ การหมดความรู้สึกนึกคิด ชีวิตอินทรีย์ขาดจากกัน หัวใจหยุดเต้น มันสมองหยุดสั่งงาน จิตวิญญาณออกจากร่าง อยู่ที่ความว่างเปล่า สักครู่จิตวิญญาณก็ลอยละล่องไปสู่ภพใหม่ นั่นแหละคือความตายที่รู้กันทั่วไป

    จึง สนใจขึ้นมาว่า อันภาวะเช่นนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ จึงอยากตั้งหน้าฝึกจิตฝึกใจให้รู้จักวิธีตายก่อนตาย อันภาวะของความตายนั้น ตามหลักของกายวิภาควิทยาว่า หัวใจหยุดเต้น ลมหายใจไม่มีคือตาย แต่เราจะยังไม่ตายอย่างนั้น เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันจะเต้นหรือไม่เต้น ก็เป็นเรื่องของมัน เรามาจับจดอยู่ที่ลมหายใจดีกว่า เที่ยวทัวร์ทางลม เอาลมเป็นไกด์ ลมหายใจเข้าหายใจออกนี้เองเป็นเครื่องจูงจิต เอาความวิกฤตของชีวิตที่กำลังประสบอยู่มาเป็นผู้สอน สอนว่า ตาย ตาย ตาย ลมหายใจเข้าก็ว่าตาย ลมออกก็ว่าตาย เป็นอุบายสะกดจิตตัวเอง ให้เข้าสู่สภาวะแห่งความหลับ (หลับทางจิต) จับเอาตัวนิมิตคือตัวฝันนั่นเองมาสร้างเป็นตัวแฝงพลังแฝงขึ้นตามคำแนะนำของ พระผู้เฒ่าหลวงปู่โลกอุดรสอนให้สมัยที่ถูกฝังตัวอยู่ในหิมะเพราะมันถล่มมา ทับที่ภูเขาหิมาลัยโน้น

    ท่านสอนเตือนว่า ตัวเรามันมีอยู่ 3 ตัวคือ ตัวจริง ตัวเป็น และ ตัวแฝง ทั้งสองตัวแรกนั้นอย่ายึดมั่นในมัน รีบสละละทิ้งให้หมด กำหนดเอาตัวแฝงคือตัวพลังภายในจิตใจเท่านั้น เพราะตัวจริงยิ่งใช้ยิ่งโทรม ส่วนตัวเป็นยิ่งใช้ยิ่งยุ่งยิ่งทุกข์ แต่ตัวแฝงพลังแฝงนั้นยิ่งใช้ยิ่งดี มีพลังจะกำบังความทุกข์ให้เกิดความปิติสุขที่ใจ เราจำคำสอนของท่านคำนี้ไว้แล้วเอาสติเป็นนายเวร คอยจ้องดูลมเข้าลมออก อย่างไม่ลดละ ทีแรกจะรู้สึกว่าอันเจ้าลมที่เข้าๆ ออกๆนั้นมันหยาบ แล้วมันจะค่อยละเอียดลงๆ แผ่วเบาลง ละเอียดลงๆ จนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดวงจิตมันจะผ่องแผ้วสงบเย็น ในดวงจิตมันจะเข้าสู่มิติหนึ่ง อีกโลกหนี่งเป็นสภาวะที่มีความสงบที่สุด ที่เรียกว่าปิติ

    ความสุขทางใจละเอียดที่สุด อันสภาวะอย่างนี้ไม่สามารถที่จะสรรหาภาษามนุษย์มาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เลย มันเป็นภาษาของจิตวิญญาณ ภาษาของโลกทิพย์ แบบรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น อันการที่ถูกเจ้าหม่องเล่นงานอย่างสาหัสสากรรจ์แบบข้าวไม่ให้ฉัน น้ำไม่ให้ดื่ม ในครั้งกระนั้นเองที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก็จะสมัครเข้าสำมะโนครัวร่วมเป็นสมาชิกของยมบาล โดยไม่คาดฝัน นึกภาวนาเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกว่า ตาย ตาย อันกลอุบายนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ไต่เต้าเข้าถึงกระแสวิญญาณของพวกโอปาติกะตลอดลอดได้ ลอดเข้าถึงด่านของทวยเทพเทวาคือ พระวิญญาณของพระสุพรรณกัลยา ตลอดได้สัมผัสกับสรรพวิญญาณต่างๆดังที่จะพรรณาต่อไป

    การทำความเพียรทางใจคราวนี้ เราเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ก็จะฉันจะดื่มได้อย่างไรเพราะไม่มีจะดื่มจะฉัน อันหนทางที่เราจะเข้าสู่โลกวิญญาณนั้น เรากรุยไว้แล้ว รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน ที่รู้ทางใจดังในระยะที่กล่าวไว้นั่นเอง ก็คือไปกับลม เที่ยวโลกวิญญาณด้วยลม หายใจให้สติคือผู้รู้ รู้ตัว จ้องลมที่เข้าๆออกๆ เมื่อมันละเอียดเข้าจริงๆ มันก็หลุดเข้าไปสู่สภาวะอันโล่งแจ้ง เห็นเป็นแสงสว่างเหมือนแก้วลูกโต โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วโตขึ้นๆอีก เห็นเป็นแสงสว่างจ้าเหมือนแก้วลูกโตๆ โตเอามากๆ แล้วลูกแก้วนั้นก็เล็กลงๆ เล็กลงแล้วก็โตขึ้นๆอีก เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วเจ้าลูกแก้วนั้นก็ลอยเข้ามา ลอยเข้ามา มาอยู่ใกล้ๆเฉพาะหน้าแล้วก็มาห่อหุ้มเอาตัวเราไว้

    อันลูกแก้วนั้นเรามีเอาไว้แล้วถือติดตัวไปเพื่อเพ่งกสิณ เพื่อจูงใจไปไหนเอาไปด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้มันอยู่ ลูกแก้วลูกนี้เราได้มาแต่ประเทศยูโกสลาเวีย ขอซื้อจากหมอดูทางลูกแก้ว และเราก็ได้เห็นอะไรๆหลายๆเรื่องกับลูกแก้วลูกนี้เอง ในขณะที่เข้าไปอยู่ในลูกแก้วเป็นเกราะหุ้มไว้ ตัวเราอยู่ข้างในแล้วมองออกไปข้างนอก จะเห็นฉากต่างๆอะไรสลับซับซ้อนและเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม บางฉากก็เห็นปราสาทราชมณเฑียรมีวัดเวียงวัง เจดีย์วิหารดูตระการตาน่าชม และบางฉากก็เห็นฝูงชนจำนวนมากเดินไปมาขวักไขว่ ในจำนวนผู้คนเหล่านั้นทุกคนรู้สึกว่า เขาจะมีแต่ความสุขสันต์กัน เพราะแต่ละคนมีแต่ความยิ้มความแย้ม หรรษาร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องยิ้มย่อง ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสีสวยสดงดงามมาก



    ธรรมนิยาย: ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (1)
     
  2. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "สัมผัสทางวิญญาณกับพระสุพรรณกัลยา"

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (2)

    [​IMG]


    ในทันใดนั้นเองสายตาทางจิตวิญญาณของเราก็มองเห็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ท่านยิ้มให้ ยิ้มแล้วยิ้มอีก แล้วเอ่ยปากว่า ท่านขาท่านชื่อโสรโย ที่เป็นพระสงฆ์หลงมาจากเมืองสยามไทยใช่ไหม ถ้าใช่ท่านไม่ต้องร้อนใจ ฉันก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกับท่าน ฉันจะหาทางช่วยท่านให้พ้นภัยเพราะท่านเคยอยู่กับฉันมาแต่ก่อน เราเคยมีบุญคุณต่อกันมานานแล้ว ท่านเคยช่วยเหลือดูแลฉันมาตลอดเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในคณะเรา เราได้พึ่งพาอาศัยท่าน เวลาจะถูกเขารังแกท่านต้องมาขัดขวางเอาไว้ ท่านหายไปไหนมา รีบมากับฉันเดี๋ยวนี้

    ทันใดนั้นเอง ท่านก็นำพาข้าพเจ้าเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่งซึ่งมีสภาวะที่สูงขึ้นไปกว่า ละเอียดกว่า ซึ่งเป็นมิติสถานเก่า ที่ซึ่งพวกเราจำนวนมากถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลยเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก แล้วสุภาพสตรีท่านนั้นก็บอกว่า ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา จำได้ไหม พวกเรามาด้วยกันจำนวนมาก ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เพราะท่านเก่งมีฝีมือเป็นนายช่าง เก่งทางสร้างอาคารบ้านเรือน ให้พวกเราอยู่ในจำนวนหมู่ของเชลยและสร้างวัดเวียงวังให้พม่าด้วย แล้วท่านก็ชี้มือให้เราดูแล้วว่า โน่นแน่ะคือหมู่บ้านที่ท่านสร้าง ก็มองเห็นหมู่บ้านที่มีกาแลไว้บนหน้าจั่วเป็นทิวแถว ทรงไทย เรียงรายกันอยู่อย่างมีระเบียบ ท่านบอกว่ายังมีอีกหลายที่ยังสร้างไม่เสร็จ โน้นน่ะวัดที่ท่านสร้างให้เขา ก็ยังไม่เสร็จอีก ท่านจึงต้องมาทำต่อในคราวนี้

    เมื่อวานนี้ท่านหายไปไหน มีใครเขาบอกว่า ท่านกลับไปช่วยพระยาตาก กู้เมืองกรุงศรีอยุธยาใช่ไหม เมื่อกลับมาวันนี้ แต่งตัวเป็นนักบวชเสียแล้ว คงจะหาวิธีหนีเอาตัวรอดละซี หนีไปทำไม ไม่คิดถึงพวกฉันหรือ เราทุกข์ยาก พลัดพรากจากบ้านเมืองมาด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน มากินข้าวกันเถอะ หลังจากนั้นสุภาพสตรีท่านนั้นก็จัดอาหารหวานคาว และท่านก็นั่งกินด้วย เราได้เห็นผู้คนที่รู้จักมักคุ้นกันจำนวนมากเข้ามาหา มาถามข่าวและพูดจาล้อเลียนกระเซ้าเย้าหยอกกันอย่างสนุกสนาน ดูแล้วแต่ละคนเขาแสดงความเคารพนับถือในท่านสุภาพสตรีคนที่นั่งกินข้าวอยู่กับเรามาก ท่านออกปากพูดว่า ฉันได้ส่งข่าวไปทางเมืองสยามไทยแล้ว ให้เขามาช่วยท่าน แล้วอีกไม่นานท่านก็จะพ้นภัย

    ขณะนั้นความรู้สึกตัวจากความหลับฝันอันเป็นสมาธิน้อยๆ ที่เป็นตัวแฝงของเราก็ตื่นขึ้น รู้สึกตัว (ตื่นจากหลับฝัน) ฝันสนุกเสียด้วย เพราะเห็นคนสวยๆ มาปลอบใจ แล้วจะไม่ให้สุขได้อย่างไรว๊า แล้วก็ลุกขึ้นเดิน เดินจงกรม กลับไปมานานพอสมควร เพื่อยืดเส้นยืดสาย หายใจให้เต็มปอด แล้วก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกพูดกันว่า พระนายช่างองค์นี้ ท่านเข้านั่งทำสมาธิได้หลายวันแล้ว นั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ยอมลุก ไม่กิน ไม่ถ่าย นึกว่าแข็งตายไปแล้ว โอ้ยอย่าพึ่งตายเลย ขี้เกียจทำศพ และจะเกิดเรื่องยุ่งด้วยเพราะเป็นพระต่างชาติ พลาดท่ารัฐบาลก็ยุ่งด้วยอีก ดูๆ แล้วมิใช่คนที่จะตายแล้วสูญเพราะเขามาเป็นนักวิชาการ เพราะท่านอภิธชะมหาอัตฐคุรุ ประมุขสงฆ์ของพม่าก็นับถือเขาด้วย ไม่แน่จริงเขาคงไม่นิมนต์เข้ามาเมืองเรา

    จาก นั้นเขาก็จัดหาอาหารมาให้ฉัน เราก็โบกมือปฏิเสธไม่รับไม่ฉัน จึงมานึกคิดหวนจิตกลับไปในความฝันที่ผ่านมา เราไปเห็นสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่งชื่อสุพรรณกัลยาที่บอกว่าเราเคยอยู่กับท่าน เราเคยช่วยท่าน เราเคยเป็นเชลย เราเคยเป็นนายช่าง สร้างบ้านให้เชลยอยู่ เราหายหน้าไปช่วยพระเจ้าตากกู้เมืองเมื่อวานนี้ และเราได้เห็นได้คุยกับสุภาพสตรีชื่อสุพรรณกัลยา แสดงความห่วงใยในเรามากๆ อยากทราบว่าสุภาพสตรีที่ชื่อสุพรรณกัลยา คือใครกันแน่ และท่านบอกว่า เราหายไปเมื่อวันวาน ไปช่วยงานพระยาตากกู้เมือง อะไรกันแน่อีกเช่นกัน อันกาลเวลาของโลกมนุษย์ห่างกับโลกวิญญาณนั้นถึงสองร้อยกับสองปี

    คือกรุงศรีแตก แตกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2112 แล้วมาเสียอีก ครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2310 อันกาลเวลามันห่างกันเหลือเกินคือห่างกันเท่ากับ หนึ่งร้อยปีต่อหนึ่งวัน แต่กาลเวลาของโลกวิญญาณนั้นมันห่างกันแค่สองวันเท่านั้นเองคือเมื่อวานนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสนใจมากอยากจะศึกษาทางโลกวิญญาณให้มันชัดเจนมากขึ้นไปอีก

    คือวันนั้นเองเป็นคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันลอยกระทงพอดี มีชาววัด ชาวบ้านละแวกนั้น เขามาจุดธูป จุดเทียนบูชาพระไว้ริมสระน้ำซึ่งไม่ห่างไกลจากที่เราอยู่ เรายึดเอาแสงสีของไฟที่ระยิบระยับกับผิวน้ำให้สะท้อนเข้ากับลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา มาเป็นอารมณ์ของจิต ติดอยู่ให้เป็นเตโชและวาโยกสิญ เป็นเครื่องจูงจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์เดียว เหนี่ยวเอาเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวันก่อนให้เกิดขึ้นในมโนทวาร

    ในกาลนั้นเอง ภาพลักษณ์ของพระนางสุพรรณกัลยา ก็มาปรากฏขึ้นในมโนทวารอีกอย่างชัดเจน ท่านเป็นสุภาพสตรีที่เลอโฉม แต่งตัวด้วยชุดไหมสีทอง แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า แต่งตัวแบบสาวพม่าในยุคนั้น ใส่ผ้านุ่งสีทอง รัดเข็มขัด มีลูกปัดที่คอสองชั้น สวมเสื้อแขนยาวคอกว้างได้สัดส่วน ประทับยืน มือขวาค้ำสะเอว มือซ้ายหย่อนลง แล้วท่านกล่าวว่า พระคุณเจ้าจะพ้นภัยแล้วแต่ท่านก็ต้องช่วยฉันเช่นกัน จะให้ท่านช่วยเรื่องอะไรเดี๋ยวจะบอกให้ เพราะฉันเองก็ถูกเขาเล่นงาน ถูกพันธนาการด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ ฉันเองชื่อสุพรรณกัลยา เป็นธิดาคนโตของพระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว เป็นชาวสยามไทย ได้ถูกกวาดต้อนมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก มาเป็นเชลยอยู่ที่เมืองหงสาวดีนี้ ดังที่ท่านทราบมาก่อนแล้ว ท่านก็ถูกเขากวาดต้อนมาด้วย เขาเกณฑ์ท่านมาเป็นช่าง สร้างบ้านให้พวกเราอยู่กัน แต่ท่านเก่ง ทำอะไรเป็นทุกอย่าง ฉันไว้ใจท่านเพราะท่านซื่อสัตย์และกตัญญู ท่านช่วยดูแลฉันและน้องๆ ตลอดพวกพ้องที่เป็นเชลยตลอดเวลา มาวันนี้ท่านแต่งตัวเป็นนักบวช คงจะมีมนต์ขลังดี ช่วยแก้ด้ายสายสิญจน์ออกจากมือและขาให้ฉันด้วย หมอผีพม่ามันผูกเอาไว้ เพื่อกันฉันจะหนี ฉันจึงหนีไปไหนมาไหนไกลๆไม่ได้ มันจะเหนี่ยวกลับทันที ถ้าหนีได้ฉันจะไปกับท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา

    ขณะนี้ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขาของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆว่า... ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ... เป่าลงไปแรงๆ แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัติคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) อันชีวิตทุกชีวิตก็คือความฝันเช่นกันและจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้วก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม

    ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด
    ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี
    จะประสพพบโชคและโศกโศกี
    ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา
    จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์
    จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า
    มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา
    เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง

    เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า ท่านขาท่านเก่งมากที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบาเท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวารก็ยังก้องกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้างของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถาของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า... ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ... คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆวันแล จำไว้เน้อ

    จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ เขาพูดกันว่าเราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี)

    พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆบอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทยคือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ

    เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่ามันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้าและเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ทั้งด้านนามธรรมและด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆและปฏิเสธอะไรง่ายๆโดยไม่ดูเหตุผล(คือคนโง่) เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ
    อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่าท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้วข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิดคือไม่ชอบเจ้า เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใดจะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้าๆ จักรๆวงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียดความชังในระบบเจ้าของพวกลิเกขึ้นมา

    เมื่อ พวกมันเลิกเล่นเลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าวกับหัวปลาทูกรอบๆกับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายาโลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจาน่าทุเรศแท้ๆ แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิดของเราตลอดเวลา ก็เพราะท่านได้นำพาให้เราได้เข้าถึงได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆมนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้วเข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทาย รูปอันเลอโฉมของท่าน

    และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆที่เป็นอดีตกาลซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆดังได้กล่าวต่อไป อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขาก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไรสิ่งนั้นก็มาถึง อันสถานบ้านเรือนที่เราดูเราเห็นด้วยตาว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไปดูภาวะการณ์ที่ท่านและเราถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น ก็เห็นว่าเราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรงเป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง

    แม้แต่พระอนุชาของท่านคือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็กจนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา และพระอนุชาทั้งสองท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปะศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่านอันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนายเป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้านสร้างเรือน เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัสด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นานเพราะภาวะการณ์ของจิตมันจะถอยออกมาอยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป

    จาก นั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆเบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนองมันก็ปองรักจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอมและตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่าขอให้ฉันได้รับอนุญาตจากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทยถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาตจะอายุสั้น เจ้าบุเรงนองมันตาฝาดด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจึงจัดแจงโยธาไพร่พลพร้อมด้วยตัว เขาและน้องชายทั้งสองของฉันและตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดนแล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือนอยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมากเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู

    มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไมเพราะปกติข้าศึกจะไม่จับเอาผู้หญิงที่ไม่พ้นนิติภาวะไปเป็นเชลย จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะน้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริงและพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มาอย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็กไว้ที่เอวข้างขวาจูงคนโตด้วยมือซ้ายตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆท่านจึงทำจำแลงแกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ก่อนออกเดินทางกลับคือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชาก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย

    และของเหล่านั้นข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยานในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้


    http://storydhamma.blogspot.com/2013/10/2.html
     
  3. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "กลับบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรก"

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (3)


    [​IMG]

    กล่าว ย้อนไปถึงการเดินทางกลับ อำลาท่านผู้บังเกิดเกล้าที่เมืองอยุธยาจำเดิม แต่ได้พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นเวลาร่วมสิบปี มีครั้งเดียวเท่านี้ที่ฉันได้กลับไปเห็นหน้าบิดามารดาตลอดทั้งพระประยูรญาติ เมื่อได้ทำพิธีอำลาท่านผู้บังเกิดเกล้าแล้ว เจ้าบุเรงนองก็พากลับและให้กลับทุกคนแม้แต่พระอนุชาของฉันเพราะเจ้าบุเรงนอง มันใช้อำนาจบาทใหญ่ พระราชบิดาของฉันจะร้องขออะไรมันก็ไม่ยอม แม้แต่ท่านจะขอกำลังทหารไทยไว้ป้องกันประเทศ มันก็ด่าว่าเอา มันบอกว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นใครที่ไหนจะใหญ่จะมีกำลังเหนือมัน มันเคี่ยวเข็ญ เย็นค่ำ ร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

    พระราชบิดาของฉันก็กลัวมันยิ่งกว่าเสือ เหลือร้ายจริงอ้ายบุเรงนอง เมื่อกลับถึงถิ่นเมืองหงสาวดีแล้ว พิธีการการอภิเษกสมรสระหว่างฉันกับเจ้าบุเรงนองก็เกิดขึ้น ฉันก็ตกเป็นของเจ้าบุเรงนองตามประเพณีของเขา แต่น้องชายของฉันสิเหงาเพราะดูกิริยาท่าทางของเขาเศร้าสร้อยหงอยเหงาจริงๆ เพราะเขาเคยอยู่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ฉันฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาด้วยมือ เลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ ฉันสงสารน้องชายที่ว้าเหว่ ฉันจึงวางเล่ห์กลอุบายกับเจ้าบุเรงนองว่า ท่านเจ้าขา อันพระอนุชาทั้งสองของฉันนั้น เขาได้เติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นแน่นรักษาตัวได้และเอาตัวรอดได้แล้ว ฉันจึงอยากจะขอร้อง ให้น้องชายทั้งสองคนกลับไปช่วยราชการของพระราชบิดาที่เมืองไทยเพราะได้รับข่าวว่า พญาละแวก คือพวกขอมได้ยาตราทัพอันเกรียงไกรมาประชิดติดแดนไทยแล้วและก็ตีได้แล้วหลายเมืองทางทิศตะวันออกของไทย ถ้าเราช้าไปจะต้องเสียใจ เพราะเมืองไทยได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพญาละแวก เราจะสูญเสียประเทศราชของเราไปอีก ฉันเชื่อแน่ว่าพระน้องยาเธอของฉันทั้งสอง เขาจะเอาชนะพญาละแวกได้เพราะไพร่พลคนไทยก็จะมีกำลังใจในอันที่จะต่อสู้กับพญาละแวกได้ เมื่อเจ้าบุเรงนองได้ฟัง มันก็เชื่ออย่างสนิทใจ มันจึงปล่อยให้เจ้าองค์ดำกับเจ้าองค์ขาวกลับเมืองไทยพร้อมด้วยบริวารอีกจำนวนหนึ่ง ท่านขาตอนที่น้องทั้งสองของฉันที่ฉันได้ทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเขามาแต่แบเบาะ มีเคราะห์กรรมอะไรหนอที่จะมาพรากให้ฉันต้องอยู่เดียวดาย

    ในขณะที่น้องชายของฉันจากไปนั้น ฉันมีความรู้สึกสังหรณ์ใจว่า จากนี้ไปภายหน้าตลอดชีวิตฉันจะไม่ได้เห็นน้องชายทั้งสองของฉันอีกแล้ว จึงได้ยินแต่สั่งคำเดียวว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ น้องทั้งสองจะจดจำคำว่า แม่ แม่ แม่ ไว้ในห้วงแห่งดวงใจตลอดไป ท่านขา ในคราวนั้นเองฉันรู้สึกว่าดวงตาดวงใจของฉันมันหลุดลอยออกจากร่าง มันทำให้จิตใจเวิ้งว้าง ว้าเหว่ ไม่มีฟ้า ไม่มีดิน ได้ยินแต่เสียงน้องสั่งว่า ไปนะแม่ ไปนะแม่ ถึงเขาจะออกเดินไปแลัวจนสุดสายตาแต่เสียงสั่งลาของน้องก็ยังก้องอยู่ในโสตประสาทของฉันไม่มีวันลืมเลือน ฉันจึงยืนขึ้นเอามือขวาค้ำสะเอว ส่งกระแสจิตให้รุนแรงว่า ไปดีเน้อน้อง ไปดีเน้อน้อง

    มัน เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งนะท่านที่พระราชบิดาของฉันสอนเอาไว้ว่า ถ้าจะอวยชัยให้พรใคร เมื่อเขาจากไป ถ้าเป็นผู้หญิงให้ใช้มือซ้าย ถ้าเป็นผู้ชายให้ใช้มือขวา ถ้าเป็นทั้งหญิงทั้งชาย ให้ใช้ทั้งสองมือ ดูแต่คราวที่พวกคณะเราจะจากท่านมา ทั้งสองครั้ง ท่านก็ใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้างของท่านค้ำสะเอว เราจึงไปมาอย่างปลอดภัย เมื่อเขากลับไปแล้ว ได้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าทัพ แล้วเปลี่ยนคำว่า หัวหน้าใหญ่ ให้เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วประกาศเป็นพระราชอาญาว่า หากมันผู้ใดมันอุตริเปลี่ยนคำเรียกแม่ทัพให้เป็นศัพท์อื่นนามอื่นขอให้บุคคล ผู้นั้นมันถึงซึ่งความวิบัติฉิบหายวายวอดเถิด

    นี่แหละท่านน้องที่กตัญญู เขาเอาชื่อแม่ที่เขารักและมีพระคุณกับเขาไปตั้งเป็นแม่ แม่ แม่ อยู่กับตัวเขาตลอดไป (กองทัพไทยเราจึงมีแม่ทัพตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา) และกาลต่อมาภายหลังเมื่อน้องชายฉันกลับไปแล้วได้ตั้งตัวเป็นแม่ทัพ ได้รวบรวมสรรพกำลังให้เกรียงไกร แล้วขับไล่กองทัพของพญาละแวกให้แตกกระเจิง แล้วรวบรวมไพร่พลของพญาละแวกเข้าเป็นกำลังเสริม ร่วมกันเล่นงานกองทัพอ้ายหม่องให้ม่องเท่งไปไม่เป็นกระบวน แต่การเอาชนะกับเจ้าหม่องนั้นล่าช้ามากๆ ส่วนน้องชายฉันเขารู้ รู้ว่าเจ้าหม่องมันส่งชายฉกรรจ์แต่งตัวปลอมตัวเป็นพระมาสืบความลับว่า จุดอ่อน จุดแข็งของกองทัพไทยอยู่ตรงไหน

    เจ้าพวกแต่งตัวเป็นพระนี้เอง คนไทยไม่รู้ว่าเป็นพระพม่าหรือพระไทย เพราะเหมือนกันหมด ดูไม่ออกว่าพระพม่าหรือพระไทย พอน้องชายทั้งสองของฉันกลับไป ก็ขอร้องให้ท่านพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่สอนคาถาปราบศึกให้ สั่งให้พระสงฆ์ไทยทั้งประเทศโกนคิ้วทิ้งให้หมด เพื่อให้คนไทยรู้ว่า พระพม่าหรือพระสงฆ์ไทย องค์ไหนไม่โกนคิ้วองค์นั้นเป็นพระหม่อง ขับออกไปจากเมืองไทยให้หมด คนไทยกำหนดรู้ รู้กันโกนคิ้วไม่โกนคิ้วนี่เอง ฉันเห็นท่านมาวันนี้ ท่านโกนคิ้วจึงรู้ว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทย พอเขาแก้ไขได้ทุกอย่างแล้วก็จะหวนกลับมาตีเอาเมืองหงสาวดีและปริมณฑลเพื่อยึดเอาตัวฉันกลับไป ท่านขา พอเจ้าบุเรงนองมันสืบรู้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มีฉันเป็นผู้วางแผน

    ในระยะนั้นก็มีความไม่สงบเกิดขึ้น เพราะตัวพระคุณเจ้าเองวางแผนให้เจ้าบุเรงนองผู้ครองความเป็นใหญ่ อันเจ้านันทบุเรงนั้นมันมักมากในกามคุณมีเมียมากนับไม่ถ้วน แต่มีคนหนี่งชื่อ สุวนันทา เป็นภรรยาคนที่สาม ชาวไทยใหญ่ เป็นคนสวย เจ้านันทบุเรงก็หลงใหลมันมาก มันอยากเป็นราชินี จึงบังคับให้สวามีวางแผนแย่งอำนาจแย่งสมบัติจากพระราชบิดามาเป็นใหญ่เสียเอง เจ้าบุเรงนองผู้บิดาจึงทรงตรอมพระทัย ในที่สุดก็ขาดใจตาย

    ดังกล่าวแล้วให้ทะเลาะกันกับเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นลูกชายเลยเกิดโรคหัวใจวายตายไปอย่างกระทันหัน มันคือเจ้ามังไชยสิงหะราช ผู้เป็นอุปราชขึ้นครองเมืองชื่อเจ้านันทบุเรง มันได้ครองราชย์เป็นใหญ่และเป็นระยะที่เขาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ความวุ่นวายมีอยู่ทั่วไป

    กอปรกับมารู้ข่าวว่า กองทัพของไทยขึ้นไปประชิดที่เมืองอังวะไว้แล้ว ไอ้เจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) จึงสั่งจับจำจองแม่เลี้ยงของมันคือฉันเอง ให้ลงโทษทัณฑ์อย่างหนัก มันสั่งให้คนจับฉัน มัดมือ มัดเท้า แล้วลงมือชก ต่อย ตบ ตี เตะ ถีบ โบยด้วยแส้หวาย โบยแล้วโบยอีก แล้วปล่อยให้ฉันอดข้าว อดน้ำ ให้ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส (มันเลวยิ่งกว่าหมา เพราะธรรมดาแล้ว หมาตัวผู้จะไม่กัดหมาตัวเมีย อันคนจำพวกที่ชอบรังแกผู้หญิง เอาเปรียบผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศเมียนั้น จึงเป็นบุคคลจำพวกที่มีสันดานเลวยิ่งกว่าหมาเสียอีก)

    ท่านขา เมื่อมันเห็นว่าฉันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันก็ฟันฉันด้วยดาบเล่มนี้ (และขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ)

    แล้วฉันก็ตายไปพร้อมกับลูกอยู่ในท้องแปดเดือน แล้วมันก็ให้หมอผีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ด้วยการผูกรัดรึงตรึงฉันด้วยไม้กางเขนตรากระสัง ให้วิญญาณของฉันไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในละแวกนี้เท่านั้น ฉันขอขอบใจท่านมากที่ท่านได้มาช่วยแก้เครื่องพันธนาการออกให้ฉัน

    อันเรื่องนี้เองก็เป็นวิบากกรรมที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องไปรับรู้รับเห็นเรื่องของเจ้าหญิงทุกอย่าง และ ท่านกล่าวว่า ในกาลต่อไปข้างหน้าฉันตั้งปณิธานไว้ว่า (ฉันจะไปอุบัติบังเกิด ช่วยบ้านเมืองในร่างสตรีเพศ เมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน แต่จะไปอุบัติในสกุลสุขุมาลย์ชาติในวงศ์สกุลกษัตริย์ไทยและจะไม่เยื่อใยใน การมีคู่ครอง) ฉันจะสร้างบารมีทำแต่ความดีให้นั่งอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งประเทศเพื่อแก้ลำ ที่คนไทยลืมฉัน

    โดยจะไม่สนใจใยดีกับการที่จะอภิเษกสมรสเลย เพราะฉันเข็ดแล้วเข็ดอีกเรื่องผู้ชาย แต่นี่ฉันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อท่านกลับไปเมืองไทยฉันจะไปด้วย ฉันจะไปช่วยงานท่าน ท่านมีธุรกิจอะไรเพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนกษัตริย์แล้ว บอกฉัน และฉันขอฝากรูปลักษณ์ของฉันที่อยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของท่าน ออกเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ที่อยากรู้อยากเห็นฉัน ให้เป็นแบบรูปธรรมขึ้นมา ให้เขาได้เห็นฉันด้วย แต่ฉันเชื่อแน่ว่า คนไทยทั้งประเทศ เขาคงจำฉันได้ไม่กี่คน เพราะประวัติจริงๆ ที่พระน้องยาเธอของฉันจารึกไว้ก็คงจะสลายหายสูญไปกับกรุงแตกครั้งหลังสุดแล้ว

    ขอให้ท่านหวนจิตคิดย้อนกลับไปดูภาวะของฉันที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นธิดาองค์ใหญ่ในวงศ์สุดท้ายของวงศ์สุโขทัย พระราชบิดาได้ไปครองเมืองอยุธยาได้รับสมญาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระสุพรรณกัลยา มีความสุขจากทรัพย์โภคาอย่างล้นเหลือ มีข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน นับว่าฉันเองได้สถิตอยู่ในมไหยสมบัติ อยู่ในดินแดนเมืองมนุษย์ มีความสุขสุดที่จะพรรณา แต่ต่อมาพม่าตีเมืองได้ ฉันกับน้องชายต้องตกเป็นเชลยที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นขี้ข้าเขา แล้วได้มาเป็นเมียบุเรงนอง แล้วถูกจำจองด้วยเครื่องพันธนาการ ฉันเองได้รับแต่ความทุกข์ทรมานทั้งกายและจิตใจตลอดมา

    จำเดิมแต่ได้พลัดพรากจากบ้านเมืองพ่อแม่มา ข้ามภูผาที่กันดาร ยังมาทุกข์ทรมานในการจำจากน้องทั้งสองอันเป็นที่รักที่สุดดุจกับว่าดวงตาดวงใจมันหลุดลอยออกไปจากร่าง สุดท้ายก็มาถูกเจ้านันทบุเรง บุตรบุญธรรมของฉันนั้นเอง เฆี่ยนตีทำโทษจนถึงแก่ความตายอย่างทรมานที่สุด ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดๆจะเหมือนฉัน แต่ฉันก็กระทำไปเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติบ้านเมือง ฉันเสียใจที่คนไทยลืมฉัน ฉันจะหาที่เกิดเป็นกุลสตรีที่ได้นั่งอยู่บนหัวใจของคนทั้งชาติโดยปราศจากการมีครอบครัว แล้วฉันก็จะเป็นคนหมดเวรภัยไปสู่สถานที่ที่ไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว แต่เรื่องนั้นจะมีขึ้นได้จริงก็ต้องพึ่งพิงอาศัยกระแสดวงใจของคนจำนวนมากช่วยค้ำจุนหนุนส่งให้

    ดังนั้นจึงอยากจะขอร้องท่าน ช่วยเอารูปลักษณ์ของฉันออกให้ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไปที่เขาอยากรู้อยากเห็นด้วย นี้แหละท่าน อันชีวิตคนเราทุกๆ คนจะคละเคล้าไปด้วยสุขและทุกข์ เสียงหัวเราะและน้ำตา เสียงสนุกเฮฮา และร้องไห้โหยหวน ชวนให้คิดว่า นี่แหละโลก นี่แหละชีวิต คิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผีไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ทุกชีวิตก็ตกเป็นทาสเพราะตกอยู่ใต้อำนาจของความปรารถนา

    ชีวิต ที่ถูกความโง่เขลาปลูกสร้างขึ้นมาแล้วก็ยึดถือหวงแหนไว้ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของกู ตัวกู ไปทุกสิ่ง ได้ครอบครองสิ่งใดแล้วก็ชื่นชมยินดี เทิดทูน และผูกติดกับสิ่งนั้นไว้ด้วยความหลงผิด หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังบ้า แบกภาระอันหนักหน่วงเอาไว้ไม่รู้จักวาง ทางออกที่ดีก็คือ การไม่เกิดแล้วก็ไม่ตาย และท่านกล่าวต่อไปว่า อันความยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่เอง ที่ทำให้คนเราโง่ ทำให้คนโง่เขลา พากันมัวเมาหลงผิดคิดว่าเป็นของตัวเองทุกอย่างไป ดวงใจมันก็ได้รับแต่ความทุกข์ แต่ฉันเองรู้สึกเสียใจมากที่บ้านเมืองของเราหลายๆแห่งได้ถูกกองทัพเจ้าพม่า มันฆ่าทารุณผู้คน ขนมาเมืองมัน จนไม่เหลืออะไร แล้วมันก็สั่งให้คนไทยจุดไฟเผาบ้านเรือนตลอดพระราชฐานวัดวาอารามที่สวยๆงามๆ ให้เหลือแต่ซากสลักหักพัง พินาศสันตะโร

    แต่ กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี ก็มีพระยาตากมากู้เอาไว้ ท่านองค์นี้มีสายตาไกล ท่านไม่ยอมเอาเมืองหลวงเก่าเป็นราชธานี ท่านกลัวว่ามวลหมู่ผีร้ายๆจะก่อกวน จึงชักชวนพวกอพยพไปตั้งราชธานีที่เมืองบางกอก แต่พวกพม่านั้นมันก็ได้รับผลกรรมตอบแทนอย่างคุ้มค่าเรียกว่า กรรมตามทัน ทำให้มันต้องรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิงอำนาจกันไม่มีเวลาสิ้นสุด แต่การรบราฆ่าฟันกันนั้น จะติหรือใส่ร้ายแต่พวกพม่าก็ไม่ได้ ส่วนมากก็คนไทยนั่นแหละเป็นไส้ศึกเป็นตัวการ ช่วยเผาผลาญบ้านเมืองตัวเองให้พินาศ เพราะจิตใจคิดอาฆาตที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จนเจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช พระราชบิดาของฉันมาเป็นมหาอุปราช ผลสุดท้ายพระราชบิดาของฉันก็ได้ครองราชแทน

    เพราะ พระเจ้ามหินทราธิราชได้มาสิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ ก็พระคุณท่านนั่นเองแหละได้รวบรวมหมู่เชลยไทยช่วยกันถวายพระเพลิงศพท่านแล้ว เอาพระอัฐิท่านมาไว้ที่โน้น อันการเกิดกุลียุค เผาผลาญบ้านเมืองในคราวนั้น ผู้ลงมือเองส่วนมากคือคนไทยเองที่เขาเคืองแค้นไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ เป็นใหญ่ผู้มีอำนาจที่หลงอำนาจ บ้ายศ หลงตัว ถือตัว

    มหาภัยยุคเข็ญมันก็ต้องเกิดดังนี้ จะหาโทษพม่าเป็นคนทำลาย ไม่ถูกหรอก ท่านจงให้ความเป็นธรรมกับเขาบ้าง ก็คนไทยนั่นแหละเป็นตัวการเผาผลาญบ้านเมืองตัวเอง เขาเผาเพราะความแค้น

    ส่วน พญาละแวก คือพวกขอม ขะแม มันก็ตัวศัตรูคู่แค้นคู่อริกับคนไทยมาตลอด จิตใจมันมืดบอดไม่เห็นบาปกรรม ที่มันทำลายล้างผลาญสังหารคนไทยนับครั้งไม่ถ้วน การที่มันกระทำนั้นเองจึงเป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกหลานของมันและมันก็เข่นฆ่า ทารุณกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ ก่อความวินาศฉิบหาย จนสูญสิ้นชาติขอม มาเป็นขะแม สิ้นขะแมมาเป็นเขมร เขมรก็รบกันเหลือแต่หัวกะโหลกกองไว้ให้ชาวโลกได้เย้ยหยัน

    นี่แหละคือผลของความบ้าอำนาจ บ้ายศ จำไว้เน้อ ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าบ้านักและอย่าลืมตัว ส่วนเมืองสยามไทย ไทยเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้คนไทยทั้งชาติตกอยู่ในยุคทั้งสิบ แบ่งเป็นยุคละยี่สิบปี คือยุคพระกาฬ พานยักษ์ รักบัณฑิต สถิตธรรม จำแขนขาด ราชโจน นนทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นตาขาว ยุคชาววิไล ขอให้ท่านดูไปก็แล้วกัน แต่ดีอย่างหนึ่งที่คนไทยไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ชอบจะเป็นมิตรกับคนทุกชาติ

    แต่เสียอย่างเดียวที่คนไทยมีนิสัยไม่ผิดกับหมาไทย คือถ้ามีใครมารังแก มันจะไม่ยอมแพ้ มันจะแห่กันเล่นงานทันที แต่ยามไม่มีใครมาเข่นฆ่าราวี มันก็ตีกันเอง คือพวกบ้าอำนาจ บ้ายศ บ้าจี้ มันนึกว่ามันดีกว่าทุกคน เมื่อถึงยุคราชโจน อาจจะมีนักปกครองปัญญาอ่อนแต่บ้าอำนาจจะเอาบ้านเอาเมืองไปขายกิน ก็อาจจะเกิดมีได้ดูไปเถอะ

    แต่กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดี คนไทยเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะเขามีพระดีหลวงพ่อดี หลวงพ่อองค์นั้นก็คือท่านผู้ประทับอยู่บนหัวใจของคนไทยทั้งชาติ คงจะเป็นพระยาธรรมมิกราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
    แต่อยากถามว่า พระคุณเจ้าจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปด้วย ไปช่วยสร้างบารมีมุณีทั้งหลาย

    ท่านจึงหาทางออกจากวัฏสงสาร ด้วยการทำความดีแก่ตนและสั่งสมให้มากที่สุดที่จะมากได้ แล้วท่านจึงตรัสถามข้าพเจ้าว่า เมื่อพระคุณเจ้าถูกจับกุมในข้อหาที่หนักๆ ทางการเมืองมาตั้งหลายครั้งหลายคราวนั้น ท่านมีทุกข์ใจมากไหม เพราะเท่าที่ฉันรู้มาว่า ท่านโดนเขาเล่นงานมาถึงสี่ครั้งแล้ว ก็ตอบท่านว่า ทุกครั้งที่อาตมาเจอกับความทุกข์ เราจะไม่ยอมแพ้มัน คือเรารู้จักวิธีฝึกให้จิตอยู่เหนือความทุกข์ ไม่ให้ความทุกข์อยู่เหนือจิต สร้างความรู้สึกนึกคิดประดิษฐ์สิ่งที่ร้ายให้เป็นสิ่งที่ดีเอาไว้ (เราเอ๋ยเรา) อดรนทนไว้เถิด นานๆไปมันจะชินไปเอง
    ผู้มีความฉลาด มีปัญญา ย่อมไม่สร้างทุกขเวทนาให้แก่ใจในสิ่งที่สุดทางแก้ ฉันก็ดี โยมก็ดี ก็มีทุกข์ไม่แพ้กัน แต่ตัวฉันนี้เองเป็นคนที่มีความขยันที่สุด ที่ฉันจะล่วงรู้อะไรได้ก็เพราะได้มาเจอท่าน

    ท่านหญิงเป็นมัคคุเทศก์อย่างวิเศษในดวงใจและดวงตาของฉันที่ได้นำพาให้ฉันกลับไปรู้ไปเห็นว่า ฉันเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ที่บอกท่านว่าเป็นคนขยันนั้นคือ ขยันเกิดแล้วก็ขยันตาย ท่านหญิงยังสบาย เสวยสุขอยู่ในทิพย์วิมานอันแสนจะสำราญอยู่ที่นี้ ที่โลกทิพย์นี่ สองสามราตรีเท่านั้นในพิภพนี้ แต่โลกมนุษย์ปาเข้าไปห้าร้อยปีแล้ว ตัวอาตมาเองได้ดับชีวีจากเมืองผีไปเมืองคน วนเวียนอยู่หลายชาติแล้ว

    แต่ชาติก่อนๆ สมัยท่าน ฉันก็ถูกจับมาเป็นเชลยเป็นขี้ข้าเขา ต่อมาอีกชาติเป็นนายทวาร เป็นขุนคลัง เขาสั่งประหาร หนีตาย ขนเอาสมบัติไปฝังดินไว้ เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กู้เมืองช่วยพระยาตาก แล้วติดตามฝรั่งไปตายที่กรุงโรม และก่อนตายก็ไปสร้างกรรม หาความร่ำรวยสร้างความมั่งมีเอาไว้ที่เมืองฝรั่ง แล้วมาเกิดเมืองไทย กลับไปเอาในสมบัติเก่า เข้าบวชในศาสนาคริสต์เป็นถึงบัณฑิตครูสอนแล้วย้อนกลับมาบวชในศาสนาพุทธที่เมืองไทย

    อะไร กันนี่สนุกเหลือเกิน เราจะมาเพลิดเพลินในเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอยู่หรือไง เป็นเพราะไอ้ตัวกิเลสตัณหาบ้าบอแท้ๆ ที่ได้จองจำนำพาให้เราต้องมาเวียนว่าย ตายเกิด เทียวไล้เทียวขื่อ

    พอมาถึงตอนนี้ท่านหญิงก็หัวเราะเพราะท่านเองก็รู้ ตระหนักดีว่า เราเป็นคนขยัน คือขยันเกิดแล้วก็ขยันตาย แต่ในโลกทิพย์ เขาอยู่กันเพียงสองวัน เพราะมันมีความสุข วันคืนก็เลยยาว จึงได้ความว่า เวลาเร็ว คือเวลาที่ต้องการ แต่เวลานาน คือเวลาที่รอคอย

    คือโลกมนุษย์นี้ร้อยปี มีเวลาเท่ากับ หนึ่งวันของโลกทิพย์ มันห่างกันเหลือเกิน เราได้สัมผัสทางฝัน คุยกับท่านหญิงจนเพลิน ท่านก็บอกว่า พระคุณเจ้าอย่าลืมนะ เรื่องฉันร้องขอคือ ให้ท่านนำเอารูปลักษณ์ที่ประจักษ์อยู่ในมโนทวารของท่าน ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนที่เขาคิดถึงฉัน ให้ฉันได้ไปช่วยเขาด้วย
    และก็รับปากท่านเพราะท่านเชื่อแน่ว่า เราทำได้

    จึงมาคิดดูว่าจะเอาอย่างไรดีกับเรื่องที่ได้ให้สัญญาท่านไว้ หากเราจะเขียนสเก็ตให้เป็นรูปร่างขึ้นมาจากกิ๊ฟ (Give) ให้ใกล้กับความจริง เราทำได้เพราะเราเป็นช่างเขียนเรียนมาจากเมืองฝรั่ง ฝั่งแม่น้ำแชร์ ที่กรุงปารีส แต่นั่นมันเกิดขึ้นจากฝีมือเรา มิใช่เงา หรือภาพจริงของท่าน ที่มาปรากฏให้เห็นอย่างจริงจัง ฝรั่งเขาถือมาก ถือว่ารูปใดที่เรารับจ้างเขียนให้ เขาไม่ได้มานั่งให้ดูในเวลาเขียน เขาจะไม่เอาเพราะเป็นรูปที่ไม่มีเงาของเขาเข้าไปติดอยู่ในมโนภาพ แล้วภาพนั้นจะไม่มีชีวิตชีวา ถือว่าไม่ขลัง

    ดังนั้น อันการสร้างรูปท่านขึ้นมา จะด้วยวิธีการอย่างใด ก็ต้องให้ได้สัมผัสทางจิตวิญญาณให้ได้



    http://storydhamma.blogspot.com/2013/10/3.html
     
  4. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (4)


    4.jpg

    อันการสัมผัสได้ด้วยทางจิตวิญญาณนั้น แบบเรารู้เองเราเห็นเองเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน คนอื่นๆ เขาไม่ได้สัมผัส เขาไม่ได้เห็น เขาก็ไม่เชื่อ จึงมาใช้ความพินิจพิเคราะห์ดูว่า เราจะทำอย่างไรหนอ เราจะเอาสิ่งที่เห็นด้วยตาใจ ให้มาเห็นด้วยตาจริง เพื่อที่จะได้สิ่งอ้างอิงให้เป็นรูปธรรม ได้ปรากฏแก่สายตาคนภายนอกได้ จึงมาค้นคิดขึ้นได้ว่า เราต้องใช้วิธีการถึงสองระบบ ได้แก่ ระบบนามธรรม คือทางจิต ไสยศาสตร์ทางจิตวิญญาณ และทางรูปธรรม คือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่กล้องถ่ายรูป จึงหากล้องถ่ายรูปมาสองตัว สองยี่ห้อ คือ กล้องโอลิมปัส Olimpus ของเยอรมัน (ตามที่มีผู้อ่านบางท่านโต้แย้งมาเรื่องกล้อง Olympus ของเยอรมัน ว่าเขียนผิด ผู้เขียนเองรู้ที่มาที่ไปของกล้องยี่ห้อนี้เพราะผู้เขียนเองอยู่เยอรมันก่อน คนค้านจะเกิดอีก คือเมื่อ พ.ศ. 2496 ทีแรกเป็นของเยอรมัน แต่ญี่ปุ่นลอกแบบมาทำ เมื่อ พ.ศ. 2497 เพราะกฎหมายลักลอบ ลอกเรียนทางปัญญาของประชาคมโลกยังไม่มีในยุคนั้น แต่กล้องที่ถ่ายนั้นเป็นของคนชาติเยอรมัน เขามาอยู่ด้วย เขาเขียนไว้ว่า MADE IN GERMANY

    เพราะเขาถือว่า ต้นตระกูลเขาออกแบบมาแล้วก็ขายลิขสิทธิ์ให้ญี่ปุ่น เรื่องก็เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าจึงเขียนอย่างนั้น ขอบอกตรงๆว่า ถ้าไม่อยากอ่านก็อย่าอ่านเลยดีกว่า ไม่ต้องเอามาอ่านให้รกสมองของตนด้วยโดยไร้เหตุผล) และกล้องโพโตลอง Potolon ของฝรั่งเศสซึ่งเป็นกล้องเก่าแก่ที่สุด มาดัดแปลงติดตั้งอันเด็บเตอร์ พ่วงเข้าใส่นาฬิกา ตั้งเวลาให้เป็นออโตเมติกให้ถ่ายได้เองทุกสิบนาที การดัดแปลงทางอิเล็คทรอนิกส์อย่างนี้เราถนัดมาก เพราะเราเรียนอิเล็คทรอนิกส์มาแล้ว แล้วจัดหาเครื่องพลีกรรมทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีเครื่องบูชามีอาหารหวานคาว ผลหมากรากไม้ และเครื่องแต่งตัวของผู้หญิงมี เครื่องขัดแป้งแต่งตัว น้ำอบน้ำหอม ผ้าถุงเสื้อนุ่ง เป็นสีทอง ดังที่เรามองเห็นจากมโนภาพทางฝัน เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์

    เสร็จแล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจในอันที่จะทำพิธีการในสถานที่ที่เราถูกกัก บริเวณ ที่เราฝันเห็นนั้นเอง เพราะตอนนั้นเราเข้าๆออกๆได้แล้ว หมดเรื่องกับผู้ต้องหา การถ่ายรูปเอาดวงวิญญาณ อันหลักการอย่างนี้ ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

    ในหลักของพระพุทธศาสนาก็มีมาในบาลีว่า... ยังกัมมังกริสสันติ กัลยานังวา ปาปะกังวา ตัสสะทายาทาภวิสสามิ... ได้ใจความว่า ไม่ว่ากรรมใดๆที่บุคคลกระทำแล้ว กรรมนั่นจะไม่หายไปไหน และจะติดตามให้ผลแก่ผู้กระทำตลอดไป ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า

    และในทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ก็มีหลักยืนยันว่า E=MC2 สสารย่อมไม่หายไปจากโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีขึ้นแล้วในโลก เมื่อถึงคราวแตกดับไปสลายตัวไป ก็จะกลายเป็นสสาร ยืนยงคงอยู่ตลอดไป (เพราะอุณหภูมิคือความร้อนรักษาไว้)

    เมื่อเราได้จัดแจงอุปกรณ์ภายนอก ทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว หันหน้ากล้องทั้งสองเข้าหาพานเครื่องเส้น ทำใจให้สงบ หันหน้าตัวเองไปแนวเดียวกับกล้องถ่ายรูป แล้วสวดคาถาว่า... เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิ ตานังอาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ เอหิวิญญานะสุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา... ภาวนาได้เจ็ดครั้งแล้วก็หยุด เอาสติตามลมเข้าออก เข้าออก เข้ารู้ ออกรู้ จนลมที่ออกๆเข้าๆมีความละเอียดลง ละเอียดลง

    ใช้ความรู้สึกอย่างแรงในขณะหายใจเข้า ดึงเอาภาพลักษณ์ของพระสุพรรณกัลยาให้มาปรากฏ แล้วจิตมันก็ว่าง อันรูปภาพของพระนางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพเห็นชัดเจน อันกล้องถ่ายทั้งสอง มันก็ทำงานตามที่กำหนดไว้ ใช้เวลาอยู่สามชั่วโมงก็หยุด เอาฟิล์มออกมาล้างดู ล้างด้วยมือเอง เพราะเราเคยเป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน ได้รูปออกมาเป็นที่น่าพอใจ ไม่ผิดอะไรกับที่เห็นในสัมผัสทางฝัน แต่รูปอื่นๆก็ติดมาบ้าง ที่ไม่รู้จักเราไม่เอามา ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า มีรูปคนอื่น ผีอื่น วิญญาณอื่นบ้างหรือเปล่า ขอตอบว่ามี โลกเมืองผีกับโลกเมืองคนมันก็มีสับสนวุ่นวายพอๆกัน แบบไทยมุงก็มี ผีมุงก็มาก มันอยากดูอยากเห็นเหมือนกัน

    เรามีพร้อมแต่ไม่เอาลงมาที่นี่ เราก็เลือกเอาเฉพาะที่เราต้องการเท่านั้น เมื่อได้ออกมาแล้วก็เก็บเอาไว้ดู อยู่มาอีกหลายสิบปี เมื่อจะทำงานอะไรที่เห็นว่าเป็นงานใหญ่และเป็นงานท้าทายเกี่ยวกับสังคม ก็ระลึกนึกถึงท่านเพราะเราถือว่าท่านเป็นเทพธิดาผู้ซึ่งเคยปวารณาอาสากับเรา ไว้ ดังงานค้นหาเสาหลักเมืองจังหวัดพิจิตร เขาคิด เขาค้นกันมานานไม่พบ เขาบอกว่าถ้าได้เสาหลักเมืองขึ้นมาจากตรงไหนก็จะขอมอบที่ดินทั้งหมดให้ทาง ราชการ เขาควานหากันหลายสมัยผู้ว่า ก็ไม่พบ พอเขามาร้องขอเราไปเดินดู นั่งดู นอนดู สองวันเจอเลย จึงได้ลงมือก่อสร้าง ศาลเสาหลักเมืองและอุทยานเมืองเก่าไว้ทุกวันนี้ แต่ปี พ.ศ. 2510 มาแล้ว และที่เสาหลักเมืองจังหวัดน่านอีกเช่นกัน ท่านก็ชี้บอกให้ว่าอยู่ตรงไหน เสาจริงที่เป็นไม้ เขาเอาไปฝังไว้ใต้โบสถ์

    และต่อมาทางราชการ กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้โรงเรียนทุกโรงเรียนต้องมีเครื่องหมายทางศาสนาไว้หน้าเสาธงและ ให้มีทั่วประเทศ ไม่เกินห้าปี ถ้าไม่รีบทำอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม้กางเขนละสิ มันง่ายดี เมื่อในโรงเรียนมีเครื่องหมายของศาสนาอื่น เด็กชาวพุทธก็ถูกกลืนหมดแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรีบร้อนจัดทำ จัดสร้างพระพุทธวิโมกข์ ขนาดหน้าตัก 19 และ 29 นิ้ว ขึ้นแจกฟรีๆโดยไม่คิดมูลค่าใดๆร่วมแสนกว่าองค์ ใช้ทุนรอนส่วนตัวหมดไปหลายล้าน โดยไม่ยอมรับบริจาคเงินทุน ไม่ยอมบอกบุญ เอาทุนเอารอนจากใครทั้งนั้น เพราะมีพร้อมแล้ว เรื่องนี้งานทั้งหมดยกให้ท่านพระสุพรรณกัลยา เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกทึ่งใจ เพราะงานคราวนี้เป็นงานท้าทายกับความสามารถที่สุดที่มนุษย์ดีๆเขาทำกันไม่ ได้ แต่เราก็ทำได้

    ทำให้สังคม สร้างให้พระพุทธศาสนา ใครจะไหว้ จะไม่นับถือ เราก็มีเครื่องคุ้มกัน กันศาสนาอื่นไม่ให้ยื่นมือเข้ามายุ่งกับนักเรียน เมื่อครบกำหนดจำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นองค์ดังที่ได้บอกพระนางท่านไว้ ก็จัดการปั้นหล่อ เราลงมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 แล้ว แต่ขณะนั้นยังมีงานเรื่องสร้างเสาศาลหลักเมืองให้จังหวัดสระแก้วกับจังหวัด พิษณุโลกอยู่ และตอนหลักเมืองจะเสร็จก็ได้ปรารภกับท่านสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกในสมัยนั้น แต่ท่านก็มีอันที่จะต้องไปรับราชการเป็นรองปลัดมหาดไทย เสียก่อน

    ท่านจึงได้เรียนบอกท่าน พลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพภาคสาม ท่านแม่ทัพก็รับปากทันที ตกลงกันว่าเราจะอัญเชิญพระรูปของท่านให้ไปประดิษฐานไว้ที่ที่ท่านจะทอดพระ เนตรเห็นน้องยาเธอทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ท่านร่ำร้องต้องการอยากจะทัศนาทอดสายตาดูน้องชายทั้งสองของท่านตลอดไปอีก นานเท่านาน ซึ่งไม่ไกลจากวังจันทร์เกษมซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน รูปหล่อนี้เราหล่อด้วยเนื้อทองเหลืองและทองแดง ส่วนมากจะเป็นทองของเก่าที่ขุดมาได้จากอยุธยาเป็นส่วนมาก แล้วลงรักปิดทองประดับด้วยอัญมณีที่เป็นสมบัติของท่านเองแต่อดีตชาติ แล้วก็ลงมือหล่อรูปบูชาขึ้นมาอีก และทำรูปเหรียญของท่านขึ้นมาอีกด้วยหลายพันเหรียญเพื่อให้ท่านแม่ทัพได้แจก จ่ายแก่ผู้เคารพนับถือในพระนางท่านอีกต่อไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมาด้วยตนเองเป็นเวลาล่วงมาได้สี่สิบห้าปีแล้ว รู้สึกว่าได้อาศัยบารมีของท่านตลอดมา เฉพาะงานที่เสี่ยงๆและท้าทาย

    ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านหนังสือนี้เข้าก็คงจะหาว่า เอาเข้าแล้วหลวงตาโง่น แกจะบ้าหรือไง ไปเลื่อมใสกับผีกับวิญญาณไม่เข้าเรื่อง ขอบอกท่านผู้อ่านอย่างตรงๆว่า อันข้าเอง ก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์อรหลอะไรนี้หว่า ในขณะที่เดินไปตกหลุมเลนโดยไม่รู้ตัวกลัวจะจมลงไปลึกกว่านั้น มีอะไรที่จะค้ำยันไว้ก็ต้องเอา หรือกำลังลอยตุ๊บป่องๆ อยู่ในท้องทะเลอันกว้างไกลจะจมตายแหล่มิตายแหล่ เห็นอะไรลอยมา ถึงจะเป็นซากศพของผีตายโหงแต่พอที่จะเกาะไว้กันตายได้ก็เอาละ ขอให้พ้นจากความตายได้ก็พอ อันเรื่องที่ข้าพเจ้าจะได้ติดต่อสัมผัสกับโลกวิญญาณ โลกลี้ลับที่กล่าวมาแล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่ได้ตั้งใจไม่ได้คิดฝันมา ก่อน แต่เรื่องบังเอิญเรื่องนี้เวลาร่วมห้าสิบปีก็ยังไม่ลืมเลือน จะลืมได้อย่างไร

    เพราะถ้าไม่ฝันไปเห็นท่านเข้า เราก็คงติดคุกอ้ายหม่องจนหัวโต ตายในที่ที่เขากักขัง ป่านนี้ก็คงจะเป็นตายโหงอยู่เมืองพะโคไปแล้ว และถ้าไม่ฝันไปเห็นเจอท่าน เราก็คงจะไม่ได้ศึกษาเรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ และก็คงโง่เง่าดักดาน คัดค้านเรื่องโลกลี้ลับตลอดมาอย่างเดิม เพราะเคยโง่มาเป็นเวลาครึ่งชีวิต และเมื่อเราจับทางที่ท่านนำพาให้รู้แล้ว จิตใจเราก็ผ่องแผ้วสงบเย็นและเห็นเหตุการณ์ต่างๆทางฝัน จึงถือว่าพระนางท่านเป็นสหาย เป็นมิตร อยู่ใกล้ชิดตลอดมา และเป็นผู้ให้ความสดชื่นอุรา ในเวลาหงอยเหงา เป็นผู้ช่วยแบ่งเบาในคราวเจอกับงานหนักๆ เป็นผู้ให้ความพิทักษ์ปกป้องในคราวเกิดอันตราย และหลายครั้งที่เจอกับอุบัติเหตุทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางรถยนต์ เราได้รอดพ้นมาได้อย่างอภินิหาร คนอื่นๆที่ประสบพร้อมกับเรา เขาเหล่านั้นก็เรียบร้อยโรงเรียนผีกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว ต้องขึ้นศาลเป็นพยานโจทก์และพยานจำเลย มาหลายครั้ง ครั้งที่ห้าและครั้งที่หก ที่ศาลจังหวัดพิจิตรนี้เอง เพราะทางศาลหาใครเป็นพยานบุคคลไม่ได้ มันตายหมด

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอดที่จะไม่นำเอาเรื่องราวของพระนางท่านมากล่าวให้ผู้สนใจ ไม่ได้ ได้ใช้ดุลยพินิจคิดว่าคงมีสาระประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนี้ก็มิใช่จะมีเจตนาที่จะชักนำให้ท่านได้หลงใหลงม งายในเรื่องผีเรื่องวิญญาณอะไรทั้งนั้น เพราะเรื่องอะไรทุกอย่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา อันอิทธิฤทธิ์ก็ดีและอภินิหารก็ดี มันไม่อยู่ที่อื่น แต่มันมีรากฐานอยู่ที่กำลังใจของแต่ละท่านแต่ละคนเท่านั้น แต่จิตใจมันจะตั้งมั่นก็ต้องมีเครื่องยึด คนที่ไม่ปฏิเสธและไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่ายๆคือคนฉลาด เพราะเขาจะต้องหาเหตุผล เท่าที่ได้ค้นคว้าทางโลกวิญญาณมามากต่อมากคือตลอดเวลาที่เป็นนักบวช ทางศาสนาพุทธร่วมหกสิบปี ได้ใช้สติปัญญา เวลาทั้งหมด ค้นแต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิญญาณ

    เพราะคำสั่งสอน ในทางพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่า... จิตเตนนิยติโลโก... โลกอันจิต ย่อมนำไปทั้งที่เป็นวิญญาณเฝ้าและวิญญาณแฝง

    แต่ก่อนอื่นที่จะเป็นจิตวิญญาณอื่นๆได้ก็ต้องฝึกหัดให้รู้ให้เห็นจิตวิญญาณ ของตัวเองเสียก่อน อันจิตวิญญาณของเรานี้ มันอยู่กับเราแต่เรามองไม่เห็นมัน ข้อสำคัญคือ ให้เห็นเราก่อน ตัวจิตตัวเราคือธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด จิตใจตัวนี้เห็นมันยาก พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นตถาคต

    อันการค้นคว้าหาจิตวิญญาณนั้น มันอยู่เลยความตายไปอีก เราจะให้พบจิตวิญญาณของเราได้ ก็ต้องกำหนดจิตกับกายให้อยู่คนละส่วน ฝึกจิตใจไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู จิตอยู่ในที่ว่าง วางแล้วมันจะสงบ มันจะหลบเข้าสู่อีกมิติหนึ่งซึ่งเป็นภะวัง ภะวังคือภพของจิต ร่างของจิต ติดอยู่กับอุปทยรูปคือรูปแฝง มันจะเป็นรูปร่างที่เบา ไม่มีใครเห็นได้นอกจากตัวเอง เรื่องนี้ขอยกไปอธิบายรายละเอียดไว้ตอนต่อไป

    แต่เรื่องราวของ พระสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องที่ท่านได้มีบุญมีพระคุณแก่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงส่วนรวมแล้ว พระนางท่านมีพระคุณอย่างเหลือหลาย เหลือที่จะบรรยายเป็นภาษามนุษย์ ทรงมีปิยคุณท่วมท้นล้นฟ้าชลาธาร ท่วมวิญญาณทวยราชทั้งชาติไทย

    เมื่อกล่าวถึงเชื้อพระวงศ์แล้ว พระนางท่านก็อยู่ในระดับ เจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ คือเป็นพระธิดาของพระมหาธรรมราชา ซึ่งต้นตระกูลของท่านก็ได้จัดสร้างพระพุทธชินราชซึ่งงามที่สุดในโลกไว้ให้ ชาวพุทธได้บูชา แต่ต่อมาก็เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของวงค์สุโขทัยที่ได้ไปครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่าเป็นพระราชธิดาของต้นตระกูลไทยพระองค์หนึ่ง ตอนที่ยังทรงพระเยาว์วัยก็ได้สถิตอยู่ในไอศูรย์สมบัติอันน่ารื่นรมย์ ประทับอยู่ในสถานที่น่าชื่นชมน่าทัศนา

    กาลต่อมาบ้านเมืองพังพินาศ พระนางท่านต้องนิราศรอนแรมไกลไปเป็นเชลยได้ใช้ชีวิตแบบทาสอยู่ใต้เบื้องบาท ผู้เป็นนาย แล้วเลี้ยงดูน้องชายทั้งสอง ได้ประคับประคองจนเติบใหญ่ขึ้นเป็นจอมไทยมหาราช คือพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ มีพระนามปรากฏขจรไกลแก่ชาวไทยทั้งประเทศ

    ผู้เป็นเหตุในพระคุณนี้คือพระนาง ท่านทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่คนไทยทั้งชาติ คือต้องยอมเสียสละความสุข ตลอดพระชนม์ชีพส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองสยามไทยทั้งประเทศ ซึ่งก็ไม่มีวีรสตรีหรือวีรบุรุษท่านใดในอดีตถึงปัจจุบันที่จะได้เสียสละ อย่างนั้น ซึ่งก็มีวีรสตรีบางท่านที่ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังได้ก่อสร้างรูปเป็น อนุสาวรีย์ไว้ แต่ท่านเหล่านั้นก็ยอมเสียสละให้เฉพาะบ้านนั้นเมืองนั้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงแคบ

    ส่วนพระนางสุพรรณกัลยานี้ ท่านยอมเสียสละพระชนม์ชีพตลอดทั้งความสุข เพื่อคนไทยทั้งชาติ และเพื่อแผ่นดินสยามไทยอันกว้างไกลทั้งประเทศ ที่เราๆท่านๆได้มีผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งได้รับความ สุขความสำราญกันทั่วหน้านี้ มิใช่เราได้มาจากพระเมตตาและการเสียสละของท่านน่ะหรือ แล้วสมควรไหมที่ชาวไทยจะลืมท่านลง ลืมกันหมดแล้วจะบอกให้ แต่ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คงไม่ลืมแน่



    http://storydhamma.blogspot.com/2013/10/4.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    “ตามรอยกรรมนำเที่ยวโลกวิญญาณ กัมมุนา วัตตะตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)”

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (5)

    5.jpg


    อันเวรกรรมที่กระทำเอาไว้จะให้ผลแน่นอน จึงขอย้อนกล่าวไปถึงบุพกรรมของผู้เขียนเพื่อเรียนเจริญพรให้ท่านผู้อ่านเรื่องย้อนรอยถอยหลังอีกนาน อันประวัติการณ์ย้อนรอยกรรมที่ไปเกี่ยวกับพระประวัติของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมา ซึ่งท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องมาแล้วนั้น อันเรื่องพื้นเพเดิมของมารดาโยมแม่ของผู้เขียนเอง มีภูมิลำเนาอยู่แถบรัฐฉานไทยใหญ่ ได้ถูกกวาดต้อนมาอยู่เขตเมืองโยนก เชียงใหม่ และแม่มาเกิดที่จังหวัดลำพูน แถวบ้านปาง อำเภอป่าซาง ส่วนตระกูลของโยมบิดาเป็นคนอยุธยา มีอาชีพรับจ้าง เป็นหัวหน้าล่องแพไม้สักให้กับบริษัทบางกอกด๊อก แล้วไปมีความสัมพันธ์ความรักกันแล้วแต่งงาน เมื่อตั้งท้องได้สามเดือนคุณโยมมารดาเข้าวัดจำศีลอุโบสถอยู่วัดบ้านปาง

    เมื่อท้องแก่ได้เก้าเดือนคุณพ่อก็ขึ้นไปรับ ล่องแพมาตามลำน้ำแม่ปิงใช้เวลาร่วมเดือนจึงมาถึงปากน้ำโพ จอดแพไว้แบบเอาแพเป็นบ้าน ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้เกิดลืมตาดูโลกในกลางสายน้ำนี้เอง ดังนั้นชีวิตเบื้องต้นของผู้เขียนจึงไม่มีบ้านเลขที่เกิด คือเกิดในแม่คือแม่น้ำและแม่จริงเป็นคนแปลกที่เกิดขึ้นมาจากสองแม่ ระหว่างแม่ปิงกับแม่น้ำน่านรวมกัน และเวลาเกิดก็เกิดโดยอุบัติเหตุคือแม่ไม่รู้ตัวว่าลูกจะออก เพราะอุ้มท้องมาได้ 11 เดือนกว่า เมื่อปวดท้องปัสสาวะแม่ก็ถ่ายปัสสาวะบนร่องแพนั่นเอง เจ้าลูกอยู่ในท้องคือผู้เขียนเองก็หลุดออกไป ตกลงในน้ำ ขณะนั้นสุนัขชื่อเจ้าเก่งเพื่อนรักของพ่อเองก็กระโจนลงไปคาบขาเอาไว้ พาว่ายน้ำขึ้นมาออกเสียงว่า อุแว๊ อุแว๊ โยมพ่อกระโดดลงไปช่วยเอาไว้ ถ้าไม่มีสุนัขชื่อเจ้าเก่งแล้ว ผู้เขียนคงจะมรณัง มรณาเป็นเยื่อปลาไปแล้ว แม่จึงสั่งไว้ว่า ให้รักหมาเลี้ยงหมา เพราะเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราเอง แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า เจ้าเก่ง ชื่อเดียวกับหมา ตกลงว่าหมากับฉันมีชื่อเดียวกัน

    เมื่ออายุได้สิบกว่าปีท่าน Dermonsh (เดียร์มองเซ) ผู้มีหุ้นใหญ่ในบริษัท และใหญ่ในทางการเมืองในด้านเอเซียตะวันออกทั้งหมด ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม แล้วนับถือศาสนาคริสต์จนเติบใหญ่อายุได้ 25 ปี

    เมื่อกลับเมืองไทย แม่ก็ขอร้องให้ถือศาสนาพุทธ ก็รู้สึกฝืนความนึกคิดเพราะติดพระคริสต์เสียแล้ว แต่นี่แม่ขอ ขอให้ไปศึกษาทางศาสนาพุทธ จึงขึ้นไปทางเหนือถิ่นเดิมของแม่ ก็รู้สึกว่าน่าศึกษาในความเป็นมาของตุ๊เจ้าองค์หนึ่งคือ ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะในชีวิตของท่าน มีแต่การต่อสู้ ท่านสู้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา วัฒนธรรม สังคม แต่ท่านก็มีแต่เรื่องถูกจับกุมคุมตัวมาสอบสวนที่กรุงเทพถึง 5 ครั้ง อันนี้เองทำให้เราน่าเลื่อมใสเพราะปฏิปทาของท่านองค์นี้จะเป็นที่ยอมรับของคำสอนทางฝ่ายคริสต์ เพราะพระคริสต์ท่านสอนว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก ผู้ได้เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อความอยู่รอดของสังคมของมวลมนุษยชาติ เป็นชีวิตที่มีค่า จึงตัดสินใจบวช

    ปีแรกในฝ่ายมหานิกายอยู่กับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ได้รับโอวาทจากท่านว่า ชีวิตที่มีค่าแก่สังคม เราต้องฆ่าตัวเอง คือฆ่าความเห็นแก่ตัว ฆ่ากิเลส ต่อไปคุณจะเป็นคนร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่คุณอย่าติดมัน ทรัพย์สมบัติคือ ตัวทุกข์ ยศคือตัวผี ผีร้าย ผีหลอก สังคมเขาหลอกใหัติดมัน สรรเสริญคือตัวมาร สุขอันเป็นโลกียะคือตัวหลุมเลนในส้วม พระอริยเจ้าท่านเบื่อหน่ายเหม็นเน่าเจ้าจงจำไว้เน้อ แต่อย่าลืมเรื่องเวรกรรมที่ทำไว้มันจะเป็นเงาตามตัว ตามสนองผล

    เมื่อปี พ.ศ. 2481 ข้าพเจ้าได้ 1 พรรษา ตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัยก็มรณภาพไปสู่อนาคามี นี้ท่านกล่าวในขณะที่ท่านจะสิ้นใจว่า อนาคามีๆผู้ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

    ตัวข้าพเจ้าเองก็เร่ร่อนรอนแรมเป็นพระธุดงค์ทรงกลด พระธุดงค์ทรงรถยนต์บ้าง ทรงรถไฟบ้าง พระธุดงค์ทรงเรือไฟ ไปทุกแห่งจนถึงธิเบตและทั่วเมืองไทย อีกใจหนึ่งนึกอยากเป็นหมอสอนศาสนาเข้าหาคริสต์อีก จึงไปเจอหลวงพ่อครูบาวัง ที่วัดบรมนิวาส เห็นท่านสั่งสอนเข้าหลักธรรมชาติประยุกต์เข้ากับวิทยาศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาก่อน พระเถระองค์นี้ มีพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จริงๆ ไม่เหมือนที่เราเห็นมามากต่อมากที่บอกแต่ปาก ส่วนจิตใจกลับไปเป็น พุทธัง เอาสะตังสะระณัง และเป็นพระที่มีตัวแฝงอยู่มากยากที่จะหาพระนักปฏิบัติสมัยนั้นเหมือนท่าน เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกียะ ท่านลดละแทบทั้งหมดมีแต่ความรู้ถึงภาวะจิตใจคนที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ เพราะข้าพเจ้าเองชอบทดสอบ ทดลอง ท่านทายความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรเป็นอะไร คิดอยู่ในใจ ท่านรู้หมด แล้วเรียกให้เข้าพบ ท่านจะแก้ไข แก้ความข้องใจ ในเรื่องเราคิดแบบธรรมชาติกับหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์และเคมีมาอธิบายให้ฟังจนหายสงสัย อันพระสงฆ์ทั่วๆไปที่ได้พบมาจะไม่มีความรู้อย่างนั้น จึงติดตามท่านไป ท่านชวนให้ยัติเป็นธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2485 ที่วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม แล้วขึ้นเขารังกา เพราะเห็นว่าปฏิปทาของพระอาจารย์วังใกล้ชิดกับตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย เพราะนิสัยท่านไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ และสุขทางโลกียะวิสัย ไม่เหมือนพระสงฆ์ไทยบางท่านที่เราเห็นมา

    ต่อมาภายหลัง เมื่อปี พ.ศ.2489 ข้าพเจ้าไปธุดงค์ทางภาคเหนืออีกหลายแห่งในเขตเมืองโยนก เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วมาปักกลดอยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า ในคืนวันหนึ่งได้ฝันนิมิตไปเห็นตุ๊เจ้าครูบาศรีวิชัย ท่านมาให้โอวาทว่า ชีวิตที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีเรื่อง เป็นชีวิตที่ไม่มีบทเรียน ชีวิตที่ไม่เคยผ่านกับความทุกข์ เป็นชีวิตที่โง่

    เราอยากจะให้คุณไปแสวงหาต้นกรรมของคุณที่เมืองอยุธยาโน่น จะได้รู้ได้สู้กับกรรมเวรที่คุณทำมาแต่อดีตชาติ จึงขึ้นรถไฟจากลำพูนถึงอยุธยา ลงจากรถไฟแล้วเดินต่อเข้าเมืองเก่าที่มีแต่วัดวาอาราม เวียงวังเก่าๆที่ชำรุดทรุดโทรมเพราะถูกเผาทำลายมาหลายครั้งจากน้ำมืออันโหดร้ายของข้าศึกในสมัยก่อน

    เราพักนอน ทำความเพียรทางจิตอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งแต่ละวันเมื่อจิตฝันไปก็เห็นแต่พวกมนุษย์มีเวรมีภัย รบราฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อีกสองวันต่อมาจึงเดินธุดงค์ข้ามทุ่งนาไปปักกลดอยู่ที่ภูเขาทอง ในคืนแรกนั้นเองฝันไปว่า ตัวเองไม่ได้เป็นพระภิกษุแต่เป็นนักรบเคยสู้รบกับข้าศึกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็แพ้เขา แล้วเราก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ต่างแดนทางทิศตะวันตก แล้วมองเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปไหน เขาทำทารุณกรรมอย่างไรกับเราและกับคณะของเรา ว่าได้รับความทุกข์ ความทรมาน อย่างแสนสาหัสสากันอย่างไร ขณะนั้นได้ยินเสียงก้องเข้ามาในโสตประสาทว่า ท่านต้องรีบไป ไปตามรอยกรรม ไม่ไปไม่ได้จะไม่มีใครแก้ไขในภาวะวิกฤตอย่างนี้

    จึงรีบไปเมืองพะโคคือเมืองหงสาวดีโน้น เพราะถ้าไม่ไป ผู้เป็นมิ่งขวัญ ดวงตา ดวงใจ ของคนไทย จะมาไม่ได้ และมีท่านองค์เดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คนไทยให้พ้นภัย

    เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา หลังจากฉันภัตตาหารแล้วก็ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2490 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนห้า ปีกุล ซึ่งมีเครื่องบริขารของพระธุดงค์ ทั้งสะพาย แบก หิ้วพะรุงพะรัง เดินรอบประทักษิณพระเจดีย์ภูเขาทอง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่เมืองวิเศษชัยชาญ ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ล่องใต้สู่เขาพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปพักค้างคืนอยู่วิเวกที่นั้น เราพักปักกลดอยู่ระหว่างเจดีย์สามองค์ ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท้องถิ่นดินแดนที่มีการรบราฆ่าฟันกันมากที่สุดในพื้นแผ่นดินสยาม เพราะในนิมิต ฝันไปเห็นผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด ตลอดสัตว์คือช้าง ม้า ก็ล้มตายกันน่าสยดสยองยิ่งนัก หากนักประวัติศาสตร์และนักธรณีวิทยาพากันมาขุดค้นหากันจริงๆก็คงจะเจอกองกระดูกของคนและสัตว์มากที่สุด และจะมากกว่าทุกๆแห่งในพื้นแผ่นดินสยามไทย แต่ในนิมิตจิตใจของเราเองก็ยังอยากจะเดินทางไปให้ถึงที่สุด

    รุ่งขึ้นวันหลังก็เดินธุดงค์ต่อแบบ เอกะจาริโก (เดินคนเดียว) ใช้เวลา 3 วัน ถึงถ้ำมะเกลือ เมืองปิล๊อก ซึ่งเคยมาก่อนแล้ว พักค้างคืนได้สองวันแล้วออกเดินทางต่อ ผ่านอำเภอไทรโยค เข้าเมืองสังขละบุรี ใช้เวลาเดินทางจากเขาพนมทวนถึงด่านเจดีย์สามองค์ใช้เวลา 7 วันแล้วพักเอาแรงอยู่ที่นั่น 7 วัน เพราะเราไปแบบไม่รีบร้อน ไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่ที่ฝันเอาไว้ว่าจะต้องไปเมืองพม่าให้ได้ตามนิมิตฝัน

    นี่แหละท่านผู้อ่าน อันคนที่ชอบเชื่อความฝัน สักวันหนึ่งจะเจอเรื่องดี แถมจะเอาชีวีไม่รอด ดังจะกล่าวต่อไป คือ ได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า มันเรื่องอะไรที่ต้องเข้าไปเมืองพม่าอันเป็นเมืองไร้ค่า ล้าหลัง ไร้อิสระภาพ ต้อง ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกเป็นร้อยๆปีเพราะความระยำอัปรีย์ของมัน ที่มาเข่นฆ่าทารุณคนอื่นแล้วเผาผลาญเมืองอโยธยาซึ่งแต่ก่อนรุ่งเรือง มั่งคั่งดังเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ มันมาเผาผลาญให้เหลือแต่ซาก เราผ่านอุทยานเมื่อไรมันดลใจให้น้ำตาไหลทุกทีเพราะความแค้น แค้นที่มันมาเข่นฆ่าราวีพี่น้องไทยให้เหลือแต่กระดูกฝังไว้ใต้พื้นพสุธา

    ที่ผ่านมาในชีวิต เราได้ไปอยู่ไปรู้ไปเห็นเมืองที่เขาเจริญรุ่งเรืองมาแล้วทุกมุมโลก คือยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เราไปเห็นมาแล้วและอยู่มาแล้ว แห่งละหลายปี นี้มันเมืองพม่าเมืองล้าหลัง เพราะคงเป็นเวรกรรมของมันแท้ๆที่ยกทัพมารังแกคนไทยละลอกแล้วละลอกอีก นี้เราจะไปทำไม ไปแล้วจะได้อะไรมา แต่เราจะไปเพราะฝัน (ก็ฝันบ้าละซิ) ฝันไปหาเหตุ ดีไม่ดีตายเอากลางทาง จึงมาคิดได้ว่า...

    นานเหลือเกินเดินทางกลางความทุกข์
    ทั้งล้มลุกคลุกคลานซมซานขวัญ
    ใจรอนๆอ่อนล้ามานิรันดร์
    เหลือแต่ฝันพอแฝง เลี้ยงแรงใจ

    จึง ตกลงว่า เอ๊า ไปก็ไปเป็นไรเป็นกัน ก็ความฝันมันจะให้ไป ไปใช้กรรมใช้เวรที่ตัวเองก่อไว้แต่ปางก่อน มันคงย้อนกลับมา เวรานุเวร มันหนีไม่พ้นต้องตามสนองไม่เร็วก็ช้า นับว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เท่าที่ฝันไปเห็นเรื่องว่า ในอดีตชาติเราเคยเป็นนักรบผู้มีฝีมือและเป็นนายช่าง เป็นหมอผี หมอยา หมอเทวดา สารพัด ยอดตลบตะแลง เมื่อแพ้สงครามสมัยพระเจ้ามหินทราธิราชครองเมืองอโยธยา เมื่อเขากวาดต้อนไป ทั้งพระประยูรญาติ เจ้าเหนือหัวคือ พระมหินทราธิราช ก็สิ้นพระชนม์ชีพที่เมืองอังวะ เราได้เป็นพิธีกรเผาพระศพท่าน แล้วก็เอาอัฐิไปฝังไว้ที่พระธาตุ เจ้าบุเรงนองจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชาซึ่งเดิมเป็นเพียงมหาอุปราชเท่า นั้นขึ้นครองราชแทน

    เจ้า หม่องกวาดต้อนเอาไป และเขาจัดเราไปอยู่ใกล้ชิดกับหน่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ที่ยังทรงเป็นทารก เขายกให้ดูแลรักษาเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยและรับภาระทุกอย่างในสิ่งที่ท่าน ต้องการ เขาจึงได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็น (ขุนอนุรักษ์ศักดิ์เสนา) มีหน้าที่ดูแลรักษาทุกๆคนที่เป็นเชลย แล้วชาตินี้ก็ต้องไปใช้กรรมนำเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกค้างอยู่ในเมืองพะโค คือเมืองหงสาวดีมาให้หมด

    และเรื่องที่จะถูกจับกุมตัวในสมณะเพศที่ผ่านมาก็เพราะเราเป็นตัวการวางแผนให้เจ้าบุเรงนอง ผู้เป็นบิดากับเจ้ามังไชยสิงหะราช (นันทบุเรง) ทะเลาะกัน ถึงกับสั่งลูกน้องเข่นฆ่ากันตายเป็นใบไม้ร่วง นึกว่าเพื่อแก้ลำมัน จนถึงกับมันต้องเปลี่ยนแผ่นดินกัน เพราะเราวางแผนแท้ๆ แล้วกรรมนั้นก็มาสนองให้เราต้องถูกจองจำเพราะโทษทัณฑ์ทางการเมืองในชาตินี้เมื่อปี 2490 อย่างแสนสาหัสแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าทวยเทพเทวาไม่มาเข้าฝันให้หันเข้าหาตัวแฝง เราก็คงแย่ แพ้เขาไปเลยหรืออาจจะถูกเก็บเงียบไปเลย ใครจะรู้
     
  6. banfh

    banfh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +144
    โมทนาครับผม มันส์..และเร้าใจดี น่าอ่านน่าติดตามครับ อยากเห็นภาพด้วยน๊า...
     
  7. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    จร้า................................:cool:
     
  8. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    “พบพระวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ ร้องขอให้เดินทางต่อไป”

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (6)


    page.jpg

    เราพักค้างอ้างแรมอยู่ที่ด่านพระเจดีย์สามองค์เป็นเวลาเจ็ดวันเพราะต้องทำความเพียรทางจิต อย่างอุกฤษฏ์แบบเอาเป็นเอาตาย เพราะใจหนึ่งอยากไปแต่อีกใจหนึ่งไม่อยากไป ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรดี แต่เราก็มีลางสังหรณ์ ในเวลาลืมตาไม่อยากไป พอเวลาหลับตาก็จะไปให้ได้ เราต้องไปใช้กรรม ไปแก้กรรม ถ้าไม่ไปจะไม่รู้จักทางแก้ แน่นอนที่สุดคือต้องไป

    ในราตรีคืนวันที่ 29 เมษายน 2490 เราตั้งใจทำความเพียรทางจิตเพื่ออุทิศบุญกุศลไปให้คุณบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า เพราะพรุ่งนี้เช้าเป็นวันศุกร์ที่ 30 เมษายนเป็นวันที่เราได้อุบัติเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลกคือวันเกิดของเรา

    รัตติกาลผ่านเข้าสองยามไปแล้วก็ปรากฏเห็นนิมิตในฝันว่า มีผู้สูงศักดิ์สองท่านแต่งตัวเป็นนักรบระดับสูงพร้อมด้วยบริวารจำนวนมากเข้ามาพบด้วยแสดงความนอบน้อมพร้อมด้วยเอ่ยปากว่า พวกกระผมโชคดีที่ได้มาพบท่าน

    เพราะ แต่กาลก่อนท่านเคยเป็นขุนอารักษ์ศักดิเสนา แต่นี้ท่านเป็นนักบวชแล้ว แต่ก่อนได้ช่วยอภิบาลดูแลพวกเราให้พ้นภัย และท่านต้องรีบไปช่วยพวกเราที่ตกยากอยู่ต่างแดน ที่เมืองหงสาวดีโน้น พวกเราจะจัดแจงให้มีคนที่เป็นนายพรานป่านำพาท่านไปโดยสวัสดิภาพท่านไม่ต้อง เป็นห่วง แล้วท่านทั้งสองก็ชี้มือให้ดูว่า ทางโน้นครับนายพรานป่าเขาจะนำท่านไปเอง ไปช่วยเหลือพวกเราที่ถูกจองจำ ตกยาก และรับรองว่าท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้เพราะเป็น บุพเพสันนิวาส เคยเป็นทาสรับใช้มาแล้วแต่ปางหลัง

    พอรุ่งสางขึ้นวันใหม่ เรามาทบทวนหวนจิตคิดถึงนิมิตฝันที่ผ่านมาเมื่อราตรีกาลคืนนั้นว่า ใครหนอที่แต่งตัวแบบจอมทัพกับบริวาร มาไหว้วานให้เราต้องเข้าไปทางตะวันตกแล้วก็ขึ้นเหนือ เพื่อช่วยคน อันท่านทั้งสองผู้สูงศักดิ์นั้นคือใครกันแน่ จะเป็นเทวดา ผี หรือคน หรือทวยเทพ เทวดา ผู้ที่เคยเป็นนักรบ แพ้เขาแล้วเป็นเชลย และเราก็ไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน จึงกำหนดจิตคิดย้อนสู่อดีตกาล จึงพอจะรู้ว่าท่านคือองค์มหาราชที่ได้กอบกู้เอาบ้านเมืองไว้ แต่เรายังไม่รู้ว่าเป็นใครอีกเช่นกัน เพราะความฝันก็คือฝันเอาจริงไม่ได้ จิตจะฝันก็เพราะจิตใต้สำนึกไม่สงบ แต่ในชั้นกามภพก็ควรจะให้มีแต่การนอนฝัน นี้เรานั่งฝันไปนี่นา แล้วจะเอาจริงอะไรเล่า แต่การนั่งฝันของเรา เราเคยเชื่อตนเอง ถึงร้อยเต็มร้อยมาแล้วเพราะได้ศึกษาเรื่องตัวฝัน ตัวแฝงมาบ้าง
     
  9. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    “นายพรานป่าที่น่าหวาดกลัวเข้ามาหา”

    เวลาอัสดงของวันนั้น เรากำลังเดินจงกรม อยู่ด้วยความสงบ เดินไปเดินมาอย่างช้า ได้ยินแต่เสียงวิหคนกกามาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว หาที่นอนตามธรรมชาติของมัน ในขณะนั้นเองเราเห็นนายพรานป่าที่น่าสะพรึงกลัวเพราะบนหัวแกโพกผ้าสีแดง มือทั้งสองถือปืนยาว แบกปืนโบราณ ใช้เหล็กนกนับหิน คงเป็นปืนที่ใช้ล่าเนื้อ สะพายย่ามใบใหญ่ ด้านหลังมีมีดเล่มใหญ่ ใส่ฝัก ออกปากทักคำเดียวว่า พระคุณท่าน แล้วแกก็คุกเข่า เอาปืนวางไว้ข้างๆ ถอดมีดอีโต้ออกมาจากเอวข้างหลัง แล้วยกมือไหว้แบบโบราณ คือ ยกมือขึ้นใส่เกล้าบนหัว แล้วกราบลงสามครั้ง แล้วออกปากว่า พระคุณท่าน ผมชื่อ หิรัญพนาสูร ผมมาตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ ให้มาเป็นอารักขาพาเป็นมัคคุเทศก์ ช่วยป้องกันเหตุร้ายที่จะมากล้ำกรายทำร้ายท่าน

    ในขณะที่ท่านจะเดินทางสู่แดนอันตรายและเรียบผ่านป่าเขาลำเนาไพรไปทางทิศตะวันตกแล้ววกขึ้นไปทางเหนือ ที่ท่านจะต้องลัดเลาะเข้าไปในเขตทุรกันดาร ผ่านมนุษย์หลายเผ่า หลายชาติ หลายศาสนา แม้แต่พวกคนเงาะ คนป่าก็มีไม่น้อย เจ้าเหนือหัวให้ข้าไปด้วย ดูแลเพื่อจะได้ช่วยแก้ไขภาวะวิกฤตที่พี่น้องของพระองค์ท่าน ยังตกติดค้างอยู่ต่างแดน เป็นเชลยยังติดอยู่

    ท่านจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 1 เดือน ผมจะไปด้วยเพื่อช่วยนำบอกทางและป้องกันอันตราย ไม่ไปไม่ได้ คอขาดแน่ เจ้าเหนือหัวสั่งมา ผมจะรับอาสาไปส่งและกลับพร้อมท่าน ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า โยมจะพาฉันไปไหนหละ ก็ไปตามทางที่เจ้าเหนือหัวสั่งนั่นแหละ ผมจะนำพาท่านไปเอง เราก็ตอบเขาว่า มันจะเหมาะหรือ คุณโยม ฉันเป็นนักบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ จะไปด้วยกันกับท่านที่เป็นนายพรานป่าผู้มีอาวุธอยู่ในมือ ในพระวินัยสงฆ์ก็ห้ามพูดคุยกับบุคคลผู้มีศัสตราวุธในมือนะโยม ถ้าฝ่าฝืน อาตมาก็เป็นอาบัติ และฉันเองบวชเข้ามาก็มิใช่เป็นพระนักรบอย่างคนอื่นๆเขา

    พอแกได้ฟังแล้วก็ท่างงๆ แล้วออกปากถามว่า พระนักรบ เป็นอย่างไรพระคุณท่าน เออคุณโยม พระนักรบก็คือ พวกรบกวนชาวบ้านนะซิโยม ได้แก่ นักบวชที่ชอบขอ ที่ชอบเรี่ยไรไม่รู้จักพอ ขอตะบันยันเต

    คือเมื่อหลายวันมาแล้ว ฉันเดินธุดงค์ มาหยุดพักตามห้างไร่ห้างนา ได้อาศัยเอาเป็นที่บรรเทาความร้อน ได้ถามชาวบ้านเขาว่า เป็นอย่างไรบ้างโยม ข้าวนาข้าวไร่ มีพอใช้พอกินตลอดปีหรือเปล่า เขาตอบว่า เออถ้าปีไหน หนูไม่กัด วัดไม่ขูด ก็พอกินเจ้าข้า พออาตมาได้ฟังเขาตอบอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกอายตัวเองและอายแทนพระนักรบ คือรบกวนชาวบ้านด้วย ดังนั้นจึงไม่อยากจะรบกวนใคร คราวนี้ถ้าคุณโยมไปกับฉัน ครอบครัวโยมจะลำบากอีก อาตมากับโยมไปด้วยกันได้ แต่จะพูดด้วยกันไม่ได้ ถ้าหาไม่ อาตมาก็เป็นอาบัติ อาตมาขอทีเถอะ คุณโยมอย่าไปเลย ถึงเจ้าเหนือหัวท่านตรัสถามหรือทำโทษโยม ก็ต้องกราบเรียนท่านอย่างที่อาตมากล่าวมานี้ ขอบใจนะคุณโยม

    เราคุยสนทนากันจนตะวันลับขอบฟ้า แล้วแกก็อำลาไป ก่อนไปนายพรานยกสองมือขึ้นแบบประนมมือขึ้นเหนือศีรษะ กราบ 3 ครั้ง แล้วบอกว่า ผมขอถวายหัวกับพระคุณเจ้า เอามือทั้งสองถอดผ้าแดงที่พันหัวแกอยู่ถวายให้แล้วบอกว่าเอาไว้ป้องกันตัว เมื่อนายพรานจากไปแล้ว เราเอาผ้านั้นมาคลี่ดู เห็นเป็นผ้ายันต์เขียนด้วยอักษรไทยเหนือ ในคำนำบอกว่าเป็นพระคาถาที่พระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ พร้อมด้วยทหารหาญ ในการกู้บ้านกู้เมือง เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ภาวนาบ่อยๆ เนืองนิจจะพิชิตหมู่ไพรี ไล่ความอัปรีย์ จัญไรได้หมด ข้าพเจ้าอ่านแล้ว ก็พับเอาไว้อย่างเดิม เพราะคาถานี้ข้าพเจ้าเองสวดทุกเช้าเย็น

    และตอนกลางคืนคือ วันศุกร์ที่ 30 เมษายนนั่นเอง นายพรานคนนั้นก็กลับมาอีก มาคราวนี้แกนำเอาแท่งเงิน แท่งทองคำมาให้จำนวนมาก บอกว่ากลัวท่านจะลำบากในการเดินทาง เมื่อท่านอดอยากก็ขายเงินแท้ๆ ทองคำแท้ๆ เพื่อประทังชีพในการเดินทาง เพราะทางเปลี่ยว ต้องข้ามเขาลงห้วย ลำบาก ก็ปฏิเสธแกไปว่า ไม่หรอกโยม ขอบใจมากที่เป็นห่วง ขอให้คุณโยมเอากลับไปเถิด อาตมาไม่เอาติดตัวไป ไม่ว่าทรัพย์สมบัติชนิดใด ที่เขาสมมุติว่ามีค่า สิ่งนั้นจะนำทุกข์มาให้ทุกอย่าง อาตมาเอง มาแสวงหาทรัพย์ภายใน คือ อริยทรัพย์ ส่วนทรัพย์ภายนอกคือ ข้าวของเงินทอง ที่จะต้องใช้จ่ายเพื่อความสุขของชีวิตทางโลกนั้น อาตมาไม่ถือเงินทองไปด้วยเลย มีก็แต่เสื้อผ้าที่จะนำไปให้คนจน อาตมาจึงขอขอบใจเจตนาดีของคุณโยมอย่างมาก

    เมื่อเราไม่ยอมรับ แกก็กลับไป และก่อนไปแกถวายไม้เท้าไว้หนึ่งท่อน แกบอกว่าป้องกันได้สารพัด อันตัวหนอน ตัวทาก มันชุกชุม มันรุมกัน ไต่ขึ้นขา มาดูดกินเลือด ตัวมันคล้ายตัวปลิง ปลิงบกเราเรียกทาก หากมันเกาะ เอาไม้นี้แตะเข้า มันจะหลุดไป และกันภัยได้ทุกอย่างเลย อันไม้เท้าที่แกให้นั้น บัดนี้เรายังรักษาและถือประจำอยู่ จึงนึกในใจว่า ผู้ชายนายพรานคนนี้เป็นใครกันแน่ แต่ที่แกบอกว่าชื่อหิรัญพนาสูรนั้น คือใครกันแน่และแกอยู่ที่ไหน เราก็ลืมถามแกด้วย เมื่อพิเคราะห์ดู ก็คงจะเป็นเจ้าป่าคือท้าวหิรัญ ซึ่งมีรูปปั้นหล่ออยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎนั้นเอง จึงมาเชื่อมั่นว่า คิดดี พูดดี ทำดี ผีช่วย เราจึงมีรูปท้าวหิรัญไว้ดูเป็นขวัญตามาทุกวันนี้
     
  10. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "ได้เทพสุนัขแสนรู้เป็นเพื่อนใจ"

    ในตลอดรัตติกาลคืนนั้น เรามุ่งมั่นทำความเพียรทางจิต แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ขบฉันอะไร มาได้สองวันแล้ว แต่ก็ไม่หิวไม่เหนื่อย เพราะตั้งใจว่าอีกสองวันข้างหน้าก็จะออกเดินทางต่อไป หรือถ้าจะอยู่ไปอีก คงไม่ได้แน่ คนชักจะรู้ว่ามีพระปฏิบัติมาพำนักอยู่แล้วก็จะเฮโลหลั่งไหลมาหา ขอของดี ของขลัง ฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้ยุ่งอีก

    พอรุ่งสางแดดอ่อนๆตอนเช้า มองเข้าไปทางชายป่าเห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งวิ่งตามทางอันเป็นที่ที่นายพรานหิรัญ ออกมานั่นเอง มันวิ่งมาหาข้าพเจ้าอย่างรีบร้อน พอมาถึง มันก็ทำกิริยาท่าทางเหมือนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน แสดงความเป็นมิตร ชิดชอบ มันแสดงความดีใจ ทำเสียงครึ่งเห่าครึ่งร้อง ใช้ลิ้นเลียแข้ง เลียขา เลียหน้า เลียหัว และเลียไปทั่วตัว เราก็ไม่ว่า ไม่ห้ามมัน เพราะนิสัยเรารักหมาอยู่แล้วและรักมากกว่าคนเสียอีก เพราะชีวิตเราอยู่มาได้เพราะหมา แต่ตอนเล็กๆยังเป็นเด็ก โยมแม่เล่าให้ฟังว่า เอ็งต้องรักหมา เลี้ยงหมาเน้อ เพราะหมามันมี บุญคุณกับเอ็ง ตั้งแต่วันแรกเกิดคือวันแม่คลอดเอ็งออกมา แต่แม่ฝันไปว่า มีพญากาเผือกกาขาวบินมาจับบ่าแม่ หลายครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่เคยเห็น

    แต่เจ้าอยู่ในท้องแม่นาน แม่ไม่รู้ตัว เพราะอุ้มท้องมาได้สิบสองเดือน มีคนอื่นเขาถามแม่ว่า นี่มันจะสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ในท้องของแม่หรืออย่างไร ทำไมไม่ออกมาสักที แม่ก็ตอบเขาว่า มันก็ดิ้นทุกๆวัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่ก็ชอบกลนะลูก ตอนแกอยู่ในท้องนั้น แม่สุขภาพดี เงินทองไหลมาเทมา แม่ค้าขายอะไร มีคนรักและเมตตา คนซื้อของเกือบทุกราย ไม่เอาเงินทอน แม่จึงเก็บหอมรอมริบไว้ได้หลายสิบชั่ง แม่ออกไปนั่งปัสสาวะบนแพ เพราะบ้านเราเป็นเรือนแพอยู่บนกระแสน้ำสองสายมารวมกัน แม่น้ำปิงกับแม่น้ำน่าน ที่ปากน้ำโพนี่เอง ขณะที่น้ำปัสสาวะมันไหลออก แกก็ออกไปด้วย ตกลงไปในน้ำ จุ๋มไปเลยโดยไม่รู้ตัว ขณะนั้นสุนัขคู่ใจของพ่อเจ้า ชื่ออ้ายเก่ง มันกระโจนลงไปคาบขาเจ้าขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงเจ้า ร้องอุแว้ อุแว้ อยู่ในปากหมา พ่อเจ้ากระโจนมารับเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจึงมีแผลเป็นอยู่ที่โคนขาข้างขวา เพราะรอยแผลจากเขี้ยวหมาอ้ายเก่งนั้นเอง มันเก่งสมชื่อ ถ้าไม่มีมัน ลูกก็จมน้ำตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่ารังเกียจหมานะ ให้ถือว่าหมาช่วยชีวิตเจ้าไว้ หมาหนึ่ง อีกาหนึ่ง ลูกต้องรักมัน

    อันสุนัขตัวที่วิ่งมาหาแล้วเลียแข้งขา หน้าตานั้นเป็นพันธุ์ใหญ่ ดูแล้วคงจะเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง เกรดเดน กับรอดไวเล่อร์ เพราะความโตของมันนั้นเองหมาชาวบ้านจึงไม่กล้าแหยม เพราะมันใหญ่โต สูงเกือบเพียงสะเอว แต่ไม่ดุร้ายซึ่งเว้นไว้แต่มีใครมาวุ่นวายกับเจ้าของมัน ในเรื่องไม่ชอบมาพากล มันจะเข้ามาขวาง ทำตาเขม็งใส่ แล้วคำรามหื่อๆใส่ทันที แล้วก็นอนขวางไว้ ทำสายตาไม่เป็นมิตรกับเขาเลย

    เราพามันอยู่ที่นั่นต่ออีกสองวัน ก็ออกเดินทางต่อ ทำการประทักษิณบูชาพระธาตุเจดีย์ พระแม่ธรณี แล้วอธิษฐานว่า ถ้าสุนัขคือเจ้าเก่งที่ข้าตั้งชื่อให้ใหม่นี้ มันมีชีวิตจิตวิญญาณของนายพรานป่าที่ใช้ให้มา โดยท่านมี เจตนาดีกับเรา สิงอยู่ในจิตวิญญาณของเจ้าเก่งนี่แล้ว ให้มันนำพาช่วยอารักขาให้เราไปถูกเส้นทางที่ท่านนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ได้ผ่านมาสมัยก่อนเถิด และอย่าเกิดอุปสรรคใดๆในการเดินทางเลย อันความอธิษฐานก็สมความตั้งใจ เจ้าหมาแสนรู้คู่ใจนำพาออกเดินทางข้ามภูเขาตะนาวศรี ขึ้นภูผาที่สูงชั้น ซึ่งก็ดูเป็นรูปทางเก่าสมัยโบราณท่านเดินผ่าน หรืออาจจะเป็นแนวทางยกทัพมาเพื่อมาติดต่อค้าขายหรือรบรากัน หลังจากตกเป็นเมืองขึ้นกันสมัยโบราณ

    เจ้าเก่ง สุนัขแสนรู้ มันเดินและวิ่งออกหน้า เพื่อตรวจตราดูความปลอดภัยในการเดินทางของเรา ถ้าเห็นว่า ไม่น่าไว้ใจ มันก็รีบกลับมาเตือน ยืนขวางทางเอาไว้ บางแห่งต้องเดินผ่านป่าลึก ใช้เวลาเป็นวันๆจึงจะถึงบ้านคน เมื่อเราเหนื่อยเมื่อยล้า มันจะเข้ามาหา เดินวนไปวนมาอยู่รอบๆตัวเรา บางแห่งเรานอนพักเอาแรงกลางวัน มันจะเข้ามาหา แล้วเกลือกกลั้วไสไปมาด้วยปลายคาง มันชำเลืองมอบรักด้วยสายตา มันเห็นว่าเราเปล่าเปลี่ยวและว้าเหว่ มันเดินเร่ทำเริงร่าเข้ามาหา มันส่งรักประจักษ์จิตด้วยสายตา ให้เราได้รู้ว่า ตัวข้ายังมีมัน (คือเจ้าเก่ง)

    เราเดินผ่านป่า เข้าป่า พวกสัตว์ป่าก็มาก จึงได้ยินแต่เสียงวิหคนกร้องอยู่ทั่วไป เสียงจักจั่น เรไร ไก่ขันสนั่นดง ผ่านไพรพงดงใหญ่ไกลจากบ้าน จิตเบิกบานวิเวกใจในไพรสณฑ์ ผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าต่างๆเช่น กระเหรี่ยง แม้ว มอญ เหย้า ขมุ มูเซอ ไทยใหญ่ กระทั่งเจอคนป่าที่เขาเรียกว่า เงาะป่า ตัวเตี้ย ตัวเล็ก ผมหยิก และผ่านโขลงช้าง สัตว์ป่านานาชนิด เดินข้ามเขาลงห้วยลงเหว ลูกแล้วลูกอีก

    คน ชาวเขาแต่ละกลุ่ม เขาจะนับถือลัทธิศาสนาต่างๆกัน เช่นพวกแม้ว เหย้า ขมุ เขานับถือผี วิญญาณของบรรพบุรุษ จะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เป็นการแสดงความจงรักภักดี เราเชียร์เขาว่าดีเพราะได้กตัญญูต่อผู้มีบุญคุณ บางพวกนับถือผีฟ้า ผีแถน ก็โอเคกับเขาว่า ผีฟ้าเขาอยู่สูง เขาอยู่บนฟ้า เขาให้ความสุข เพราะให้ฝนตกลงมา ให้พสุธาชุ่มชื่น ส่วนพวกนับถือคริสต์ก็สรรเสริญเขาว่า พระผู้ให้กำเนิดของคริสต์นั้นคือพระเป็นเจ้า พระยะโฮวา ผู้ทรงมีเมตตา แก่สัตว์โลก และเป็นผู้สร้างโลก มาให้เราได้อาศัยดีแล้ว พระคริสต์ท่านเป็นพระนักเสียสละ อันพวกนับถือศาสนาอิสลามก็อนุโมทนาในคำสอนของพระคำภีร์อัลเลาะ ท่านสอนนักสอนหนาว่า การใส่ร้าย ป้ายสี ติฉิน นินทาคนอื่น เป็นบาปหนัก ตกนรกหมกไหม้ และอย่างอื่น ท่านไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ออกเงินตกดอกเบี้ยไม่ได้ เล่นแชร์เล่นหวยไม่ได้ รับสินบนไม่ได้ ผิดคำสอนของพระเป็นเจ้า บาปหนักอีกเช่นกัน ให้ทุกคนต้องถือศีลบวช บวชเพื่อถือศีลอด ให้อดข้าว อดน้ำ ไม่ดื่มไม่กินอะไรเลย ให้รู้ว่าความอดอยากโหยหิว ไม่มีอันจะกินนั้นก็เป็นเช่นกันกับคนอื่น จะได้เสียสละ สงเคราะห์ผู้อื่นที่ตกยาก นับว่าคำสอนของพระอัลเลาะในคำภีร์อัลกุระอ่านนั้นประเสริฐแท้ ที่สอนให้มนุษย์โลกอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ส่วนพวกนับถือผีป่า ผีฟ้า ผีแถน ตลอดสารพัดผี ตามประเพณีและลัทธิของชุมชนเผ่าต่างๆนั้นก็อนุโมทนาตามเขา เราไม่ห้าม แถมยังยกยอเขาอีกว่า คบกับผี บูชาผี ดีกว่าคบกับคนพวกเนรคุณ เพราะผีเชื่อง่าย สอนง่าย กินง่าย ดูแต่เราเอาแกลบ เปลือกข้าว ใส่กระบอกใส่ไหแล้วบอกว่าเป็นสุรา มันยังเชื่อ เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปม้า รูปช้าง รูปคน ไปเซ่นไหว้มัน มันก็เอา รวมความว่าพวกผี พวกวิญญาณ เทวดา เป็นพวกที่ซื่อสัตย์ น่ารัก น่าเอ็นดู คบง่าย จึงให้กราบไหว้ไปเถอะ จะได้มีที่พึ่งทางใจ

    บางแห่งก็พบกับพวกนับถือพระศิวะ (ศิวลึงค์) ก็เชียร์เขาว่าดี ถ้าคนเราไม่มีอ้ายเจ้านี่ โลกมนุษย์ก็จะไม่มี และบางที่บางแห่งก็ต้องโง่ ว่าเขามีวิธีการอย่างไรเขาจึงพากันปลุกเสกเจ้าปลัดขิกนี้ให้ลอยน้ำ วิ่งไล่กันได้ เขาก็สอนให้ แต่ต้องยกครูให้เขา คิดเป็นเงินไทยหนึ่งเฟื้องคือสิบสองสตางค์ บางแห่งเขานับถือเจ้าแม่กาลี (คืออีเป๋อ) ก็ทำการศึกษากับเขาไป โดยทำตัวเป็นคนใบ้ก็ได้ โง่ก็เป็น โดยถือคติว่า (โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็น จะฉลาดยาก) เราไปแบบเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เข้าเมืองคนงามก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว หัวเราะและยิ้มเอาไว้จะได้ปลอดภัย

    การเดินทางข้ามเทือกเขาตะนาวศรีอันสลับซับซ้อนลูกแล้วลูกเล่า ใช้เวลาถึงห้าวัน จึงถึงเมืองทานบยูซายัด (Thanbyuzat) อยู่ตอนเหนือของเมืองตะนาวศรี เลียบชายฝั่งทะเลอันดามัน อีกสามวันถึงเมืองมูดอน (Mudon) จากเมืองมูดอน ถึงเมืองมะละแหม่งใช้เวลา 5 วัน (ที่เมืองมะละแหม่งนี้เองมีพระธาตุอินทร์ แขวนตั้งอยู่) แต่ภาษาอังกฤษเขาเขียนว่า (Moulmein)

    เราพักอยู่ที่เมืองมะละแหม่ง 10 วันเพื่อพิสูจน์ค้นคว้าด้านวิญญาณ ประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าอุทุมพรมาสวรรคตที่นี้ จากมะละแหม่งตามสายน้ำสาละวินร่วมกับแม่น้ำสโตงอีกสองวันถึงเมืองบาอัน (Pa An) จากบาอัน ข้ามแม่น้ำสาละวินไปเมืองท่าทอง (Thaton) แต่ต้องเปลี่ยนแผนเพราะจะเข้าไปเมืองพะโค เป็นอ่าวปากน้ำ มีอาวุธของข้าศึกมหาเอเซียยังไม่ยกกลับ จึงต้องขึ้นเหนือ Pequ (เมืองพะโค คือเมืองหงสาวดี) ที่เรา จะต้องไปนั้นเอง อันชื่อเมืองต่างๆในประวัติศาสตร์ของชาติเมียนม่าแต่เก่าก่อนนั้น ฝรั่งมันเปลี่ยนชื่อใหม่หมด ให้ใกล้กับภาษาของมัน แต่บางทีไม่ถนัดทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เราจะอ่านไม่ออกเช่นเมืองมะละแหม่ง มันเรียกว่า moulmein คือถ้ามันเอาตัว น. หนูเป็นตัวงองู ดูๆแล้วน่าขัน ดังนั้นท่านที่จะไปเมืองเมียนม่าในยุคนั้น ต้องอ่านได้ทั้ง ภาษาไทยใหญ่ พม่า รามัญ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงเอาตัวรอด เมื่อไปถึงเมืองพะโคคือ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็ได้พบเพื่อนเก่าทั้ง 4 ชาติ ที่เคยตกทุกข์ได้ยากจากแดนไกลคือทวีปยุโรปมาด้วยกัน

    คือ ท่านมหาคุรุปิตะโก พระพม่า ท่านคุนูกุรูเถรา จากศรีลังกา ท่านอะมะราตะนันท จากเนปาล และข้าพเจ้า แบบสี่เกลอเก่า อภิทะชะมหาอัตตะคุรุ การเข้าไปอยู่ เขาให้เราอยู่แบบอิสระ เขาต้องการให้เราไปช่วยบูรณะของเก่าให้เหมือนเดิม ตรงนั้นเท่าที่สืบรู้ก็คือคุ้มหรือหมู่บ้านของพวกเชลยที่เป็นคนไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปและไม่ไกลกับวัด มีบริเวณเดียวกัน ที่กว้างขวางเป็นร้อยๆไร่ รอบกำแพงอันเก่าๆเราช่วยปลูกต้นมะพร้าวเต็มหมด จึงเป็นเครื่องบดบังเป็นหลังคาไปในตัว เราเองก็ชอบอย่างนั้นเพราะวิเวกดี มีพระสงฆ์ของศรีลังกา เนปาล และอินเดียมาอยู่รวมกัน 4 รูป ซึ่งก็เคยรู้จักมักคุ้นกันมา เมื่อ 10 ปีมาแล้วที่ยุโรปซึ่งเป็นพระคงแก่เรียนและชอบเป็นนักสัญจรรอบโลกกันมาทั้งนั้น ในสมัยนั้นมหาอำนาจเริ่มยกให้สหภาพพม่าเป็นอิสระแล้ว แต่เจ้าของผู้เป็นเมืองขึ้นของพม่าคือ อังกฤษ เขาก็ยังมีอำนาจดูแลอยู่ แบบเป็นที่ปรึกษา และข้าหลวงใหญ่ก็รักพวกเราดี

    ยัง มีชาวต่างประเทศชาวยุโรปอยู่ดูแลเป็นส่วนมาก จึงเป็นการสะดวกสบายที่เราสี่สหายได้เคยรู้จักกับเขาไว้ก่อนตอนที่อยู่ต่าง แดน พวกเราจึงขอสถานที่ อยู่พักอาศัยได้ตามความต้องการ เขาจึงจัดให้อยู่อย่างอิสระแบบพระต่างแดน อันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้นก็รู้สึกว่าจะเป็นวังเวียงเก่า เท่าที่สืบดูก็เป็นสถานที่ของเจ้าบุเรงนอง หรืออะไรดูไม่ออก เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มีปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และอีกข้างติดกันก็เป็นที่ของนันทบุเรง แต่ก็ถูกทำลายไปด้วยกาลเวลาและภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเราจึงร่วมกันปลูกต้นมะพร้าวรอบๆบริเวณได้สี่ร้อยเก้าสิบต้นเป็นที่ระลึก แต่ก็น่าเสียใจเมื่อเรากลับไปคราวหลังเมื่อปี 2510 เจ้าหม่องตัดทิ้งหมดเพื่อสร้างวังใหม่ ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือแล้ว

    เมื่อเราได้สถานที่อยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีจดหมายถึงคุณเกษม ล่ำซำ ที่เราเคยรักกันและได้ทำบัญชีการเงินไว้ให้เขาส่งไปให้จำนวน 5 แสนบาทเป็นเงินของส่วนตัว เรามารับที่เมืองแรงกูนเพราะอยู่ทางใต้ของเมืองพะโค ลงไปประมาณ 50 กิโลเมตร อันการเดินธุดงค์แสวงธรรมตามรอยกรรมก็เป็นอันจบลงเท่านี้ และยังมีกรรมเก่าๆที่เราสร้างไว้ ทำไว้ จะตามมาสนองอีก โปรดอ่านต่อไป
     
  11. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "พบอาคันตุกะพระมหามิตรเดิม"

    เมื่อเราได้ที่อยู่อาศัยแบบต่างแดนแล้วและท่านได้จัดสร้างอาศรมอันกระทัดรัดชั่วคราวโดยเอาต้นหมาก ต้นตาลเป็นเสา เอาใบตองมุงหลังคา กั้นฝาด้วยเสื่อลำแพนให้คนละหลัง ยาว 5 ศอกกว้าง 4 ศอก พออยู่กันอย่างสบายๆแบบสมณะ นับว่าเป็นอาศรมหลังน้อยๆแต่มันให้ความสุขทางใจอย่างเหลือหลาย ยิ่งกว่าเวียงวัง อันกว้างใหญ่ไพศาลแสนสง่างามของพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก เราอยู่รวมกับสหธรรมิก ต่างชาติกันแต่ก็รักกันฉันพี่น้อง เพราะมีพรรษาที่บวชมาพร้อมกันคือได้แค่ 10 พรรษาเท่านั้น

    ท่านมหาคุรุปิตะโก เจ้าของบ้านท่านกรุณาได้นำเที่ยวแสวงบุญไปนมัสการสถานที่สำคัญๆทั่วทุกแห่งในประเทศพม่า แต่ท่านอะมะราตะนันท พระเนปาล สังขารท่านไม่แข็งแรงจึงอยู่เฝ้าอาศรมเป็นเพื่อนเจ้าเก่งหมาคู่บารมีของเรา

    การเดินทางโดยรถไฟ รถยนต์ เรือ ใช้เวลา 15 วันก็กลับ นับว่าได้ไปอภิวาทกราบไหว้สิ่งศักดิ์แทบทุกแห่งในพม่าในยุคก่อนนั้น พม่าเขามีสองเมืองหลวงคือ เมืองย่างกุ้ง (แรงกูน) เป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ เมืองมันฑะเล คือ เมืองอังวะ เป็นเมืองหลวงของพม่าเหนือ และรัฐเชียงตุงเป็นเอกของรัฐฉาน การเดินทางคราวนั้นข้าพเจ้าถวายค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง พอกาลเวลาจะเข้าพรรษาคือเพ็ญตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม 2491 เป็นวันเข้าพรรษา ตุ๊เจ้าทั้งสององค์คือ ท่านอะมะรานันทะ ท่านเป็นรองเจ้าคณะใหญ่ในเนปาล ท่านได้ถูกรัฐบาลประเทศท่าน นิมนต์ให้กลับ ส่วนท่านมหาเถระ ที่ศรีลังกาเขาก็นิมนต์ให้กลับ เพราะท่านทั้งสองเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิระดับชาติ

    ท่านกลับก่อน 5 วัน เหลือแต่เราคนเดียวเปลี่ยวเอกามีหมาแสนรู้เป็นคู่ใจ ส่วนท่านผู้นิมนต์เราไปคือท่านคุรุปิตะโก ก็ถูกเรียกตัว นิมนต์ไปเป็นอาจารย์สอนวิชาอยู่ที่อ๊อกฟอร์ด เมืองแคนดี้ เราอยู่คนเดียวก็เที่ยวบริจาค ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ยากไร้ สงเคราะห์คนจน ทั้งใกล้และไกล เขาเข้าใจว่าเป็นเทพเจ้าผู้ใจบุญ ทั้งนี้เพราะระยะนั้นเป็นระยะที่เราผู้หนึ่ง ที่มีเหลือใช้เหลือกิน

    เงินใกล้จะหมดอีกแล้วก็ให้ส่งจากเมืองไทย สามครั้งเป็นเงิน 1 ล้านบาท

    ไป ช่วยเหลือวัดวาอารามทั่วไปแต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิมเพราะ ความเก่าแก่คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปีและแถมยังถูกทำลายด้วยภัย สงครามอีกอย่างเหลือคณานับเพราะเป็นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่กี่ปีจึงมีคนหลายชาติตกค้างอยู่จำนวนมาก ของดีๆงามๆจึงเหลือแต่ซาก ที่ยังเหลือจริงๆก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา ผู้คนก็อดอยากยากแค้น เศรษฐกิจก็ตกต่ำ คนว่างงาน แต่พวกโจรพวกอันธพาลไม่ค่อยมีเพราะเขานับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด เราจึงได้คนงานช่วยปลูกต้นไม้ผลคือต้นมะพร้าวได้มาก ค่าจ้างแรงงานก็ไม่เกินวันละ 5 บาท (คิดเป็นเงินไทย)

    ดังนั้นการเข้าไปอยู่ของเราจึงสะดวกมีแต่คนรักนับถือเพราะเราเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเขาให้พ้นภัยคือความอดอยากหิวโหย แต่เราก็มั่นใจว่าอันสถานที่เขาจัดให้เราอยู่นั้นไม่ผิดกับสถานที่เราตั้งความหวังเอาไว้ เพราะมันรู้สึกสังหรณ์ใจว่า เคยเป็นสถานที่ที่เราและพวกพ้องเคยมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เหลือวิสัยที่จะทำให้ได้ดีอย่างเดิมเพราะความเก่าแก่คร่ำคร่าที่ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปีและแถมยังถูกทำลายด้วยภัยสงครามอีก อย่างเหลือคณานับ เพราะเป็นสมัยหลังสงครามที่สอง

    เมื่อ เพื่อนสหธรรมิกทั้งสองท่านได้กลับภูมิลำเนาของท่าน ยังเหลือแต่ท่านมหาคุรุปิฏะโก ซึ่งท่านต้องอยู่ทำงานทางคณะสงฆ์อยู่ที่กรุงแรงกุน เหลือแต่เราคนเดียวเปลี่ยวเอกาเหลืออยู่แต่หมาคู่ใจเท่านั้น แต่ก็ยังได้รับการดูแล เยี่ยมเยียนจากนักบวช นักบุญชาวพม่าตลอดมา และในระยะนั้นถึงพม่าจะได้รับอิสระแต่ก็ต้องพึ่งพามหาประเทศผู้เป็นนายอยู่ อย่างเคยเพราะพึ่งเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองไปหมาดๆ ทุกๆ ชาติแม้แต่ไทยเราก็ยังย่ำแย่ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ทุกข์ระทมกันไปทั้งเอเซีย

    ดังนั้น ผู้ที่จะสร้างมิตรได้ดีที่สุดก็คือผู้มีเงินที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงอยู่ในขั้นที่หามิตรสหายพวกพ้องได้มาก ผู้ตกยากจึงยื่นมือรับเพราะเรามีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางพระพุทธศาสนาในเมืองนี้ชื่อ Dhammayancy Phocho ของเขายังมีสภาพเหมือนเดิมและยังสวยงามอร่ามตา น่าสักการะอยู่ทุกวันนี้

    และมีอีกอย่างที่คนต่างชาติเขายกย่องว่าเรามีเสน่ห์กับสัตว์ปีกคืออีกา พอตื่นเช้าขึ้นมามันจะพากันโผผินบินมาขอกิน บางทีมันจับหัวจับบ่าส่งเสียงร้องเกรียวกราวไปหมด ไม่ว่าไปที่ไหน ณ เมืองใด ข้าพเจ้ามีนิสัยเข้าได้กับอีกา ตื่นเช้าขึ้นมาก่อนออกเดินทางก็ต้องทำบุญเลี้ยงอีกาทุกวัน แล้วมันจะบินออกหน้าไปส่ง แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ที่บริเวณวัดจำนวนมาก หากผู้ใดไปนั่งอยู่นานๆมันจะมาขับไล่ ถ้าไม่ไปก็โดนแย่ง ขโมยเอาของให้ได้ ยิ่งคราวไปอยู่เมืองพะโค ยิ่งมากใหญ่ ค่าอาหารกาสมัยนั้นวันละไม่ต่ำร้อยบาท ดังนั้นคนพม่าและคนต่างชาติคือภาษาพม่าเขาเรียกเราว่า ตั่งข่าแก ตั่งข่าแปลว่าพระ ต่างชาติมันจึงตั้งชื่อว่า ตุ๊เจ้ากา ถือเป็นพระที่น่าอัศจรรย์ ที่เรียกอีกามากินอาหารในมือได้ หายาก นอกจากอีกาแล้ว ยังมีนกป่าที่รู้ภาษาของเขา เรียกมันบินมาเป็นร้อยๆ แต่ละวัน เช้าเย็นต้องเลี้ยงข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว และผักต่างๆ ก็ต้องซื้อมาเตรียมไว้ คติภาษาจีนบอกว่า อีกาเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่องและไม่มีใครจะสามารถเรียกอีกามากินข้าวในมือได้ เมื่อเขาเห็นเราเรียกได้ทำได้จริงซึ่งฝืนคำพังเพย เขาจึงเลื่อมใสว่า หาไม่มีอีกแล้ว

    ในคืนวันหนึ่ง เท่าที่จดบันทึกเอาไว้คือเวลาเที่ยงคืน วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2491 ทางจันทรคติ คือเป็นวันเพ็ญ เห็นดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า ได้มองเห็นพระภิกษุผู้เฒ่าเดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ที่เราทำไว้ แสงไฟเทียนหลายเล่มที่เราจุดไว้สว่างไสวรอบบริเวณ ทั้งนี้เพราะจิตนิจสัยของเราชอบแสงไฟ ชอบมองไฟ เพ่งไฟ เอาไฟเป็นอารมณ์ ซึ่งภาษาสมณะเขาเรียก พวกเพ่งเตโชกสิณ และเพ่งมองแสงไฟ แสงเดือน ในน้ำ (เงาไฟเงาเดือน) ในน้ำเป็นอารมณ์ มันจะถึงให้จิตสงบได้ง่ายในอารมณ์เดียว

    เมื่อ พระผู้เฒ่าที่น่าเคารพท่านนั่งลงแล้ว ข้าพเจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการ เรียนถามท่านเป็นภาษาสมณะว่า... ขะมะนิยังภันเต... ท่านตอบทันที... คะมะนิยังอาวุโส (คำนี้เป็นภาษาพระ ท่านถามกันเป็นภาษามคธ)... ตามธรรมเนียม ท่านถามถึงสารทุกข์สุกดิบตลอดทั้งการจำจากพลัดบ้านพลัดเมืองมา ผ่านภูเขาเลากา ป่าพงดงดอนอันกันดาร อันการเมืองนี้บ้านนี้สถานที่นี้ คุณประสงค์จะมาใช้กรรม ใช้เวร และช่วยเหลือผู้อื่นสัตว์อื่นนั้น คุณทำได้ทุกอย่างในทางที่เห็นเป็นรูปธรรมคือคุณเสียสละทุนทรัพย์ภายนอกไปมาก แล้ว ผลตอบแทนก็คือได้มิตรภาพทั้งที่เป็นคนและสัตว์จำนวนมาก ยากที่มนุษย์อื่นๆเขาจะทำได้ เลี้ยงได้ เป็นเพื่อนกับมันได้ คืออีกา เรามาเห็นเข้า รู้สึกประทับใจในพลังจิตเมตตาธรรมของคุณ แต่ขอเตือนว่า ตราบใดที่จิตใจเรายังมองไม่เห็นตัวตนของตนเองทั้งสามตัวแล้ว จิตก็จะยังมืดบอดอยู่

    อันคนเราแต่ละคน มีตนมีตัวอยู่สามชั้น สามตัว คือ...
    หนึ่งตัวจริง ที่ได้มาจากบิดามารดาผู้สร้างมา
    สองตัวเป็น
    สามตัวแฝง อันเป็นตัวลึกลับที่อิงแอบแนบซ้อนอยู่กับวิญญาณของทุกๆคนนั้น อันตัวนี้สำคัญมาก หากคุณค้นพบและเอาออกมาใช้ได้แล้ว เท่ากับได้ที่พึ่งอันประเสริฐที่สุดที่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาก็ค้นหาได้ เพราะมัน อยู่ในจิตวิญญาณของเรานี้เอง แต่คนเราลืม จะใช้ก็แต่ตัวจริง คือตัวตนที่มีรูป กาย แขน ขา ตีน มือ หู ตา จมูก ลิ้น รวมกันเป็นร่างกายนี้ เราใช้งานมันทุกวัน และมันก็รีบใช้ตามแต่ความนึก ความคิด จิตใจจะสั่งให้ทำ

    ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น อันตัวนี้เราได้มาจากการที่เขาสมมุติให้เป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพระ เป็นชี เป็นสตรีบุรุษ เป็นอะไรต่อมิอะไรสารพัด ตามแต่สังคมเขาจะให้เป็น อันตัวเป็นที่กล่าวมานี้ เราได้มาจากสังคม ได้มาจากคนอื่น ผู้อื่น เขาสมมุติให้

    ส่วนตัวที่สามคือ ตัวแฝง ร่างแฝงนี้เองที่จะมาเตือนคุณให้รีบค้นคว้าหาให้พบให้เร็วที่สุด เพราะมันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอิงแอบแนบชิด ติดอยู่กับจิตวิญญาณของท่านเอง อันตัวแฝงนี้ เราจะรู้เอง เห็นเอง เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเท่านั้น
    ถ้าท่านหาไม่พบตัวแฝงนี้แล้วท่านจะลำบากเพราะกรรมเก่าจะมาตามสนองท่านในไม่ช้านี้ แต่ขอบอกว่าท่านยังค้นคว้าไม่เจอแน่ จะเจอได้ก็เมื่อชีวิตเผชิญกับความวิกฤตอย่างรุนแรงเท่านั้น

    นี่เรามาเตือน เตือนคนใจบุญ เตือนคนที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้สังคม ผมลาล่ะ ขัดข้องอะไรส่งใจถึงเรา เราชื่อโลกุตโล-เถโรคุณ เอาชื่อนี้ขึ้นก่อน แล้วก็ใช้คำพระอุปัชฌาย์เรียกนาค ก็จะพบกันได้ทุกเมื่อ ลาล่ะ สวัสดี

    เสร็จแล้วพระเถระผู้เฒ่าก็หายไปในความมืดท่ามกลางแสงจันทร์และแสงประทีปนั้นเอง เราจึงมาคิด เคยพบท่านที่เมืองซาปังโก ระหว่างเมืองยางเซะต่อกับเมืองลาละที่ประเทศทิเบต ท่านได้เทศน์ให้ฟังขณะที่เราถูกขังตัวด้วยน้ำแข็งที่ภูเขาหิมาลัย เมื่อ พ.ศ. 2484 ครั้งที่สองท่านมาบอกที่พักอาศัยคือถ้ำชัยมงคลกับท่านอาจารย์วัง บนเขาลังกาประเทศไทย เมื่อปี 2485
     
  12. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "ก่อนกลับเมืองไทยยังมีจิตอาลัยเมืองพม่า"

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (7)


    [​IMG]

    อัน ประเทศเมียนม่าที่ข้าได้คาดเอาไว้ว่าเราจะไปทำไมเพราะความเจริญทั้งทาง เศรษฐกิจ สังคม มันต่ำต้อยด้อยพัฒนาที่สุด และมนุษย์เมืองนี้ สมัยโบราณมันเป็นพาลเกเรเข้าไปเข่นฆ่าทารุณคนไทยให้ล้มตายไปเป็นจำนวนมากนับ ไม่ถ้วน แล้วยังเผาผลาญบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองให้ย่อยยับ ดังที่เราได้คิดเอาไว้และที่ได้เห็นมา เมื่อเราผ่านเมืองอยุธยาทีไรน้ำตามันจะไหลทุกทีเพราะความแค้น จึงไม่มีแก่ใจในอันที่อยากจะไปรู้อยากจะไปดู อยากจะไปเห็นมันไอ้เจ้าหม่อง เพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ

    แต่ก็เป็นเพราะบุพกรรมที่เราทำที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติ ที่มีอำนาจลึกลับเหนือจิตใจ บังคับให้เราต้องมา แต่การมาของเรา เรามาด้วยความฝันทางมโนภาพ ฝันความคิดเห็น อาจจะเป็นเวรกรรมที่เรามองย้อนอดีตไม่เห็น จึงจำเป็นต้องไปตามคำร้องขอ ของทวยเทพเทวดา ให้ข้าต้องผ่านป่าดงมาด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัส แบบเสี่ยงตายเอาดาบหน้า ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าถึง 40 วัน รวมเวลาพักเอาแรงถึง 50 วัน เมื่อมาถึง และได้สัมผัสทางจิตวิญญาณทางฝันแล้ว จึงได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาของกรุงอโยธยา

    แต่ครั้งแรกนั้น มีเหตุมาจากลูกน้องลูกแถวของผู้มีอำนาจสูงสุดของคนไทยเอง ที่ไม่เอาตาดูหูฟัง ความทุกข์ร้อนความเห็นของประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจบริวาร ผู้ใกล้ชิดผู้บริหารชั้นสูงใช้อำนาจไม่เป็นธรรม บ้าอำนาจ บ้ายศ เห็นตัวเองเป็นเทวดา นึกว่าเจ้าเหนือหัวให้อำนาจ เห็นชาวประชาเป็นสัตว์ดิรัจฉานเดินดิน ใครจะไม่มีใช้ไม่มีกิน ข้าไม่รู้ ขอให้กูและพวกพ้องมีความสุขก็พอแล้ว ประชาชนไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครก็หันไปเป็นไส้ศึกให้คนต่างชาติเข้ามาอาละวาดแย่งชิงเข่นฆ่ากันแบบ เกลือเป็นหนอน

    พม่าก็ดี มอญก็ดี เขาเข้ามาตีมาเข่นฆ่า เฉพาะพวกบ้าอำนาจ ของพวกลูกแถว แล้วกวาดต้อนไปเป็นจำเลย ส่วนผู้ที่เคยรับใช้เขา เขาก็เอาไปด้วย ก็สมน้ำหน้าแล้วที่พวกบ้ายศบ้ายอ พวกชอบประจบสอพลอ คนเขาไม่พอใจก็ยกพวกมา เผาบ้านเผาเมือง ตลอดเวียงวังให้พินาศ ก็คนไทยนี้เอง ซึ่งไม่ผิดกับสมัยพฤษภาทมิฬ เขาเผาเพราะความแค้น แค้นให้พวกหยิ่งยะโส มัวเมาในอำนาจ ไม่ให้มีนิวาสตนที่อยู่ต่อไป ก็คนไทยนี้เองช่วยกันเผา ตัวเราเองยังต้องโหมโรงกับเขาไปด้วย เขาจึงเห็นว่าเป็นคนดีมีไมตรีช่วยเหลือกัน แล้วมันก็เอาไปด้วย ไปช่วยทรมาน พวกบ้ายศบ้าอย่างจะได้หายไปจากโลกมนุษย์

    ผลสุดท้าย เจ้าเหนือหัวของไทยคือพระมหินทราธิราช พอหมดอำนาจวาสนาประกอบกับโรคโรคามาประดัง สังขารสู้ไม่ไหว ก็ไปสิ้นใจสวรรคตที่เขตเมืองอังวะนี้เอง จึงน่าสงสารท่าน บ้านเมืองจะฉิบหายเพราะบริวารแท้ๆ

    อันคนชาวพม่าจริงๆนั้น เขาใจบุญเป็นชาวพุทธเต็มร้อย จุดเด่นที่สุดของเขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางพระพุทธศาสนา เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัตถุที่สวยๆงามๆตั้งแต่สมัยอดีตก็ยังไม่ทรุดโทรมเลย หลายๆเมืองที่มีพระธาตุเจดีย์ ทุกที่ทุกสถาน เขาช่วยกันอภิบาลปกป้องไว้อย่างดี เช่นเจดีย์ชเวดากอง เดิมชื่อกุรุงตะเล เป็นของพวกมอญสร้างไว้ก่อน อันศัพย์คำว่าตะเล ตะเล แปลว่า ภูเขา ซึ่งไม่ผิดกันเลยกับภาษาสิงหล ที่เขาตั้งชื่อว่ามหินตะเล เพราะเป็นสถานที่ พระเจ้าเทวานัมปิ พบกับพระมหินทเถระที่นั้น จึงได้ตั้งชื่อว่ามะหินตะเล

    ส่วนกรุงตะเลที่ประเทศพม่าก็มาจากศัพท์เดียวกัน

    ส่วนพะโคซึ่งก่อนชื่อเมืองหงสาวดีนั้นก็มี Dhammayangi Temble เป็นภาษาอังกฤษ แต่ชาวเมืองเขาเรียก ธรรมะย่านจี Demmagangi ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ใหญ่โตน่าสักการะ และยังมีพระพุทธรูปสร้างด้วยหินอ่อนหลายพันองค์ตั้งเรียงรายกันน่าเลื่อมใสไม่มีใครแตะต้อง

    ส่วนเมืองอังวะคือบ้านทะเลปัจจุบันก็มีพระเจดีย์มากที่สุด และอีกแห่งคือพระธาตุสัมพุทธรูป ห้าแสนแปดหมื่น สองพันห้าร้อย ห้าสิบเจ็ดองค์ ซึ่งมีพระพุทธรูปหินอ่อนองค์ใหญ่ ประทับอยู่ถึงแปดหมื่นสี่พันองค์ รูปพระอรหันต์อีกห้าพันองค์ พระเจดีย์เล็กหุ้มทองสองพันกว่าองค์ ก็ยังทรงประดิษฐานอยู่อย่างดีและอย่างเดิม ไม่มีใครเคลื่อนย้ายแตะต้อง พระสวยๆอย่างนั้นถ้าเป็นเมืองไทย เมืองพุทธแต่สำมโนครัว แต่ส่วนตัวนั้น หัวขโมยพระไปขาย พระพุทธรูปเหล่านั้นคงไม่เหลือแล้ว ขนเอาไปขายหมด

    พม่าเขาถือว่าการค้าขาย ถ้าขายพระเป็นสินค้าถือว่าเป็นบาปหนักเท่ากับขายพ่อกิน

    และมีถิ่นอื่นๆอีกทั้งเขตพม่า เขาจะมีสิ่งสักการะบูชาคือพระธาตุเจดีย์ ตั้งเป็นศรีสง่าน่าเลื่อมใสไปทุกแห่งหน ไม่มีใครกล้าขุดค้นทำลายเหมือนเมืองไทยเลย

    แล้วยังจะเห็นว่า พม่าร้ายได้อย่างไร

    แต่ที่มันรบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันเกี่ยวกับความบ้าอำนาจของคนมีกิเลสหนาเท่านั้น แม้แต่เขมรก็ถืออำนาจอีก ส่วนเมืองไทยเรา เรามีหลักชัยอันยิ่งใหญ่คือองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศธรรมนิราช ตั้งอยู่บนดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ถ้าไม่มีพระองค์แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คิดเอาเถิด

    นี้ข้าพเจ้าผู้เขียนเขียนขึ้นมา เพราะได้ไปเห็นมากับตาไปได้ยินมากับหู ไปอยู่กับพม่ามา นานไปได้รับความสุขสำราญทางจิตใจได้รับความผ่องใสทางปัญญาที่รู้เรียนมาจากของจริง จึงเชียร์ว่าพม่าเขาดี ข้าพเจ้าเข้าไปทุกที่ ได้รับการแซ่ซ้องสาธุการถึงกับหามแห่ไม่ให้เหยียบดินเลยเพราะเราเข้าไปมีแต่ให้กับให้ ช่วยกับช่วย ช่วยเขาด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนคนไทยหน้าไหว้หลังหลอก ขอบอกว่าเขาดีกว่าเราในด้านศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม

    ส่วนเรื่องวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวพม่านั้น เขายังยึดมั่นถือมั่นในจริยธรรมอันดีงามของเขา มาแต่บุพกาลนั้น ไม่ต้องพูดถึง เขายังถือประเพณีอันดีงามของเขาไว้ ทุกคนมีระเบียบวินัย มีนิสัยสมถะไม่ชอบความฟู่ฟ่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนไทย ใจรักธรรม ถึงวันพระจะพากันมาถือศีล นั่งวิปัสสนา หาความสุขทางใจ คุกตะรางมีไม่กี่แห่งทั่วประเทศ แต่มีไว้ขังนักโทษทางการเมืองเป็นส่วนมาก สังคมเขาอยู่แบบเรียบง่าย เขาถือว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วก็กระเสือกกระสนหามาทำไม คนจัญไรที่เป็นภัยต่อส่วนรวมคือคนที่มีแล้วไม่รู้จักพอ ทรัพยากรของชาติของแผ่นดินเขามีมากกว่าเมืองไทยหลายเท่าเช่น แร่ น้ำมัน ป่าไม้ ถ่านหิน พลอย เขามีมาก แต่เขาหาใช้หาขายเอง ไม่ยอมให้ต่างชาติไปลงทุน เพราะจะไปทำลายของเขา

    ส่วนด้านศาสนาเขาเคร่งครัดที่สุด นักบวชของเขาเป็นผู้นำ ไม่ให้เห่อเหิมในลาภยศ พระเขาไม่เอาเลย เพราะพระระดับผู้บริหาร เขาจะมีการเลือกตั้งกันทุกห้าปี ทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาสถึงมหานายะกะ เพราะเขาไม่มีกาวตราช้างติดก้นเอาไว้เหมือนพระสงฆ์ไทย การเอารัดเอาเปรียบกันเป็นบาปหนัก เขาจึงอยู่แบบสมถะที่น่าคบ น่ารัก น่านับถือ ไม่เหมือนคนไทยที่นับถือพระพรหมสี่หน้า พม่าก็เหมือนกัน แต่ผิดกันด้วยการนับถือ คือตัวพระพรหมท่านมีเพียงสี่หน้า ชาวพม่าก็พากันเลื่อมใส

    แต่ชาวไทยทั้งบุรุษและสีกามีมากกว่าร้อยหน้าพันหน้า มากกว่าพรหม จึงขอสรุปว่า ด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมของชาวพม่าเขาดีกว่าเรา

    แต่เมื่อเข้าไปถึงครั้งแรกนั้นได้ประสบทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งชื่นชมเศร้าโศก หัวเราะและน้ำตา อับเฉาเบาปัญญา ทั้งแสงเจิดจ้าแห่งดวงธรรม มีคละเคล้ากันมาตลอดเวลา

    ถ้าสถานบ้านเมืองนี้แหละและสถานที่เราอาศัยอยู่นี้มิใช่ที่เราเคยมีส่วนทั้งทางสร้างสรรค์มาแต่อดีตชาติ ทวยเทพเทวาอารักษ์ทั้งหลายคงไม่เอื้ออำนวยให้เราได้รู้แจ้งในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นเป็นแน่ ดังนั้นวันนี้เป็นวันศุภมงคลอันล้ำเลิศของชีวิตข้า จึงขออำลาเทวาฟ้าดินทุกถิ่นฐาน ภูมิเทวสถานทั่วขอบเขตขัณฑสีมา ขออำลาท่านมเหศักดิ์ผู้พิทักษ์บ้านเมือง ขออำลาท่านผู้ช่วยประเทืองปัญญามาแนะนำแนวทาง การเข้าถึงตัวแฝงตัวลึกลับดับความมืดบอดทางปัญญาคือหลวงปู่พระครูโลกอุดร ที่มาสั่งสอนให้ด้วยความเมตตา และขออำลารุกขเทวดา ตลอดชาวประชาที่มาอุดหนุนดูแลให้ความอบอุ่นมาตลอด ทั้งเจ้าบุญนายคุณทุกประเภท ลาทั้งผู้มาก่อเหตุให้วุ่นวาย ขอขอบใจและบอกว่าถ้าพวกท่านไม่ทำอย่างนั้นข้าก็คงจะไม่มีบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า จึงขออุทิศกุศลทุกอย่างที่ข้าได้ทำมาให้ท่านมีส่วนทั่วหน้ากัน

    ข้าขอลาหมู่พฤกษาที่อาศัย จะเลือนลับนับปีแต่นี้ไป จะมิได้มาพึ่งเย็นอีกเช่นเคย เรามาอยู่สู้ทุกข์เป็นสุขเลิศ ให้ใจเกิดความว่างจนวางเฉย ขอแผ่นฟ้าแผ่นดินถิ่นที่เคย เทพไท้เอ๋ยข้าขอตั้งคำสั่งลา ส่วนความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณที่ข้าได้รับปฏิญาณกับท่านยอดสตรีศรีพระสุพรรณกัลยานั้น ขออัญเชิญท่านกลับไปด้วยทั้งหมดเพราะได้รับรู้ทั้งด้านนามธรรมคือ พระรูปอันโสภิตที่สถิตในดวงใจของข้า พร้อมด้วยพระรูปอันไฉไลโสภาน่าสักการะของท่านที่ข้าได้ทำพิธีกรรมถ่ายรูปเอาไว้ ก็ขออัญเชิญกลับไปด้วย และท่านก็เล่าให้ฟังทางจิตวิญญาณว่าคนไทยที่เป็นเชลยผู้แข็งแรง ถูกเขาส่งเขาไล่ให้ขึ้นไปเป็นสายสืบตามลุ่มแม่น้ำสาละวินตั้งแต่เหนือจรดใต้ แล้วเขาก็ล้มตายไปหมด

    ท่าน ถึงอยากจะให้ขึ้นไปทางเหนือ ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินทั้งสองฝั่ง เพื่อบอกเล่าและอวยทานอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้รับรู้แล้วอนุโมทนาส่วนบุญ แล้วจะได้นำพาให้เขาได้กลับเมืองสยามไทย

    อันคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นทหารหาญของไทยมาแล้วทั้งนั้นแต่เขาได้ถูกเป็นเชลยต้องไปสังเวยชีวิตให้กับปัจจามิตรด้วยความที่น่าสงสาร และบางคนเขาก็กลับไปเกิดได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็มีบางคนก็ยังตกทุกข์ได้ยาก ฉันจึงอยากจะไปอวยทานให้เขา เมื่อเขาได้รับรู้แล้วเขาจะได้ดีใจและได้กลับไปกับเรา เพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป

    และพระนางท่านอยากจะไปทัศนาภาวนาอธิษฐานจิตให้พระน้องยาเธอที่พระนางทรงรักทรงโปรดมากคือ พระนเรศวรมหาราช สวรรคตที่เมืองหางหรือเมืองฮาง เมืองงอย เขตรัฐฉานของพม่าด้วย ซึ่งมีนครเชียงตุงเป็นราชธานี

    ดัง นั้นข้าพเจ้าจึงรีบเปลี่ยนแผนการเดินทางกลับทันที เพราะครั้งแรกตั้งใจว่าจะกลับทางปากน้ำสะโตงข้ามแม่น้ำสาละวินแล้วเข้ามะละ แหม่งขึ้นเขาตะนาวศรีข้ามบันจะคีรีบรรพตผ่านเมืองแครงแสนหวีตัดตรงเข้า จังหวัดตาก เส้นทางก็ไม่ลำบากเพราะต้องผ่านดอย ภูฝอยลม ภูเขากล้า ภูม้าเก้าศอก ภูรเม็งภูร ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็ถึงฝั่งน้ำเมยซึ่งติดกับฝั่งไทยในเขตจังหวัดตาก แต่ต้องกลับเปลี่ยนแผนใหม่ไปตามพระประสงค์ของพระนางท่านที่จะไปร่ำลาและแจก ทาน ก็ต้องยอมเชื่อ เพราะการเชื่อเทวดา เราจะได้สร้างบารมีทานต่อท่าน เพื่ออุทิศให้บริวารเก่าของท่าน ตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน เอาเข้าแล้วข้าหนักเหมือนจะให้แบกโลกอีกแล้ว แต่พอออกจากแขวงเมืองพะโค ต้องใช้ขบวนช้างบรรทุกของ เราต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งของที่ท่านต้องการไปแจกทานคือ เสื้อหนาว ผ้าห่มหนาว ยารักษาโรค และสิ่งของสารพัด ใช้เงินไปจำนวนแสนห้าหมื่นบาท สมัยนั้นไม่น้อยเลย

    ค่าจ้างค่าพาหนะและเงินที่จะไปแจกอีกจำนวนไม่น้อย คราวนี้ต้องเข้าปากน้ำสาละวิน ทวนกระแสน้ำขึ้นเหนือ ใช้เวลาทั้งหมดในการเดินทางสามสิบห้าวัน ก่อนกลับข้าพเจ้าได้จ่ายเงินซื้อสิ่งของที่จะนำไปแจกทานแก่คนยากจนตลอดทาง แต่สิ่งของที่ท่านประสงค์นั้น ไม่ให้ลืมนั้นคือ พระรูปที่เราทำพิธีถ่ายเอาไว้ และสิ่งที่เหลืออยู่ในโอ่งที่เราขุดได้หลายชิ้นคือ ตะว้าแปลว่าฟัน คือฟันของท่าน ยังมีอยู่หลายซี่ ภาษาพม่า แลกแต ภาษาไทยแปลว่า เล็บมือ ได้มาด้วย โป้งต่อ แปลว่า รูปภาพที่เราถ่าย ซินตุ๊ต่อ แปลว่า รูปวิเศษ คือสิ่งที่ท่านเคารพ ปะตีเซ๊ก แปลว่า ลูกประคำทำด้วยนิลสีดำเพราะท่านเกิดวันเสาร์ คือพระรูปของพระนางสุพรรณกัลยาพร้อมด้วยพระสรีระที่เหลืออยู่ พอเก็บได้ในโอ่งใหญ่ที่เขาฝังไว้ทั้งสองใบ ตลอดทั้งเครื่องบูชา เครื่องประดับอันล้ำค่าของท่านทุกอย่าง

    ข้าพเจ้าขออัญเชิญกลับไปพร้อมกันหมด เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นคือ จู่ๆแดดจ้าเวลาเที่ยง ฝนกลางแดดก็เทลงมาอย่างหนัก สักประเดี๋ยวก็หยุด มวลมนุษย์ชาวพม่าเขาสาธุกันทั่วหน้า ก่อนออกเดินทางก็จุดธูปเทียนร้อยแปดเล่มบูชาพระแม่ธรณีรอบสถานที่ที่เราเคยอาศัยแห่งละแปดเล่ม ปักไว้กับพระแม่ธรณี แล้วจึงออกเดินทางโดยขบวนนำส่งอย่างล้นหลาม เขาพากันหามมาส่งอย่างเอิกเกริก และได้อัญเชิญพระอัฐิและกำไรแขนของพระนางท่าน ที่ท่านรักและเคารพที่สุดคือรูปพระแม่อุมาที่เป็นทองคำ แต่เทวรูปองค์ที่เป็นทองคำนั้นตอนหลังข้าพเจ้าได้นำไปฝากไว้กับเจ้าคุณพระวิมลเมธี เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก เอาไปฝากไว้เฉยๆไม่ได้บอกว่าให้เป็นของใคร ภายหลังต่อมาท่านเจ้าคุณใหญ่ถึงแก่มรณะภาพ ทางวัดก็เลยยึดเป็นสมบัติของวัดทับคล้อไปเลย อย่างนี้มันยุติธรรมไหม
     
  13. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    เทวรูปพระอุมาทองคำ

    [​IMG]

    ใน ปัจจุบัน ทางวัดมันเห็นแก่ได้ มันจะเอาลูกเดียวหรือมันเอาไปขายกินเสียแล้วใครจะไปรู้ แต่เราก็พอมีสักขีพยานอยู่คือพระมหาสำเนียงเท่านั้นที่เป็นคนแบกไปถวายฝาก ไว้และจะยังยืนยันว่าเป็นของฝากไว้เฉยๆมิใช่ของท่านผู้รับฝากและของวัดแม้ แต่ประการใด

    เอาองค์ท่านมัดรัดติดตัวเรา เดินทางไปลงเรือที่ปากน้ำสาละวิน หันหลังใส่ทิศทักษิณผินหน้าขึ้นเหนือทวนกระแสน้ำ จากแขวงเมืองชาวบุน (Schawnon) (หรือชาวนัน ซึ่งเป็นเมืองอังวะแต่ก่อนมา) จากชาวบุนถึงทาดอง (Thadon) ใช้เวลา 10 วัน เพราะต้องแวะตามฝั่งแจกทานไปด้วย ส่วนมากเป็นผ้าห่มกันหนาว เสื้อผ้า และยารักษาโรคดังกล่าวมา จากทาดองถึงลอยกอ (Loikon) หรือบอละเก (Bolake) อันเมืองบอละเกนี้เองเป็นที่สวรรคตของพระเจ้ามหินตราธิราช ผู้ครองเมืองอยุธยา แต่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย จากนั้นจึงแต่งตั้งให้ พระมหาธรรมราชา เป็นพระอุปราชครองราชแทน และพระมเหสีและพระประยูรญาติหลายพระองค์ก็เพราะไข้ป่าและโรคผิดอากาศ

    จากบอละเกถึงเมืองนาย (Noitow) ใช้เวลา 10 วัน จากเมือง NOITOW (เมืองนาย) ถึงเมือง HANDITOW (เมืองหาง) ใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดวัน แบบค่ำไหนนอนนั่น พร้อมด้วยขบวนหาบส่งของ อันเมืองหางนี้ปัจจุบันชาวบ้านเขาเรียก เมืองฮาง หรือเมืองงอย ท่านสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2150 พระชนมายุได้ 50 พระชันษา เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี เป็นสถานที่พระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคตเพราะโรคไข้ป่าและโรคฝีดาษ อันเมืองนี้เป็นเมืองอิสระอยู่ในหุบเขาซึ่งเป็นแหล่งปลูกและผลิตฝิ่นที่มากที่สุดดีที่สุดในโลก ซึ่งโลกภายนอกไม่สามารถที่จะไปถึงได้ในปัจจุบัน

    ขบวนเราพักผ่อนอยู่ที่นี่ห้าวันเพื่อทำบุญอุทิศถวายพระองค์ท่าน และก็มีพระเจดีย์เล็กๆที่ไทยใหญ่เขาสร้างครอบที่ฝังพระศพท่านไว้ด้วย

    เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป จะเข้าเขตแดนไทยต้องไปตามทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมาทางตอนใต้ (เทือกเขาถนนธงชัย อันเทือกเขานี้ ต่อจากเหนือสุดของรัฐฉาน ผ่านพม่าตอนเหนือ เขตภูฐานถึงเขาตะนาวศรี คิดดูแล้วจะเป็นฝีมือของธรรมชาติมาสร้างเขาทั้งสองลูกนี้ได้ยาวเหยียดครึ่งทวีปเอเซีย) ทั้งเรือทั้งคนขนส่งเรามากมาย สุดทางเมื่อไหร่มอบเรือให้เขาพร้อมด้วยเงินค่าแรงงาน ตามที่เขาต้องการ เรือพายทวนกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวกราก เห็นบ้านคนต้องจอด เขาประกาศว่าเจ้าตนบุญ มาโปรดเราแล้ว เราก็แจกของจนหมด ถึงเมืองที่เจริญหน่อยก็ซื้อเพิ่มเติมอีก ตอนหลังมาเรื่องเรือจ้างต้องเลิก เราจัดซื้อของและจ้างเรือเป็นรายวัน ให้เขาเรียกค่าจ้างตามชอบใจไม่เคยต่อเขาเลย เรามีแต่ให้กับให้ จำสุภาษิตว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ขอ

    พอออกจากเมืองปันเข้าเมืองทน ต้องใช้ขบวนหาบต่อ ขนของกันขึ้นเขาลงห้วย ลูกแล้วลูกเล่า อากาศก็เย็นเพราะเป็นฤดูหนาว ขบวนหาบและแบกของต้องเดินป่าผ่านดงกลางพงลึก จิตรำลึกถึงคนึงหลัง ตอนเรานั่งภาวนาหาตัวแฝง ที่หลวงปู่โลกอุดรสอนแสดง ให้รู้แจ้งประจักษ์จิตอนิจจัง ตามโอวาทของพ่อโลกอุดรสอนไว้

    ท่านให้รู้ตัวจริง ตัวเป็น ตัวแฝง ไว้ในใจตน จงแยะแยกตนตัวจริง กับตัวเป็นออกให้หมด

    แล้วกำหนด ที่ผู้รู้ เป็นครูสอน
    สอนให้รู้ อยู่คู่กับ ดับนิวรณ์
    อย่าให้จิตโยกคลอน ผ่อนอารมณ์ ข่มจิตใจ
    เมื่อจิตเผลอไป ใจก็กลุ้ม รุมกิเลส
    ชักหาเหตุ รักชัง ฟังไม่ไหว

    ท่านสอนไว้อย่างไรก็เป็นจริงทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม อันทางรูปธรรมนั้นคือ เราโดนใส่ความว่าเป็นพระตัวการก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงในวงการสงฆ์ของพระพม่า เพราะเราออกค่าใช้จ่ายถวายพระสงฆ์ทั้งหมดที่ไปเดินขบวน จึงเจอเรื่องหนัก ถูกกักขังบริเวณและโดนสอบสวนทุกวัน ส่วนด้านนามธรรมนั้นคือการค้นหาตัวแฝง รูปแฝงออกมาใช้ได้ผล ก็หลุดพ้นออกมาได้

    และตัวแฝงนี้เองที่ได้ใช้ให้ไปค้นคว้าเรื่องโลกวิญญาณ จนได้ไปพบพระวิญญาณของท่านผู้มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมืองสมัยนั้นคือพระวิญญาณของนางสุพรรณกัลยา และสถานที่เขาฝังพระเจ้าเหนือหัวของกรุงศรีอยุธยาคือพระมหินทราธิราช พร้อมด้วยพระประยูรญาติของพระองค์ เราได้ค้นเอาสมบัติและสิ่งหวงแหนของท่านมาสักการะไว้แล้ว ตลอดทั้งได้แก้ไขทางไสยศาสตร์เวทมนต์กลคาถาให้ท่านได้หลุดพ้นจากการผูกมัดด้วยภัยเวรแล้วเชิญวิญญาณท่านเดินทางกลับ อันกิจธุระเรื่องแก้เวรแก้กรรมของเราและท่านผู้มีพระคุณต่อคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้มาหมดแล้ว จิตใจก็ผ่องแผ้ว ด้วยสมความปรารถนา

    จึงมาคิดในใจว่า ก็พระมหาเถระทั้งประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายๆท่าน ทำไมดวงจิตของพระนางท่านตลอดทั้งทวยเทพเทวาฟ้าดินจึงไม่ไปสัมผัสให้ต้องเดินทางเข้าไปช่วยบ้าง ส่วนข้าพเจ้าเองก็เป็นพระภิกษุสับปะลังเคในทัศนะของพระสงฆ์องค์อื่นๆ ท่านทำไมจึงผูกพันหรือนิมนต์ให้ไปช่วย จะเอาผู้อื่นไม่ได้หรือ ภายหลังจึงมานึกได้ว่าอันคนที่จะไปช่วยท่านได้นั้น มันต้องเป็นคนบ้าหลายระดับ คือหนึ่งบ้าไม่กลัวความลำบากยากเข็ญ ไม่กลัวตาย เพราะเคยตายมาแล้วหลายครั้งจากอุบัติเหตุดังจะกล่าวไว้ข้างหน้านี้ เพราะขณะที่ตายโดยมีสตินั้น เราได้ฝึกหัดตายก่อนตายมาแล้วว่า ขณะที่จิตมันไม่สัมผัสกับตัวจริง และตัวเป็นนั้นมันมีอาการอย่างไร

    อันภาวะของภวังคจิตกับวิถีจิตนั้นมันจะมีอาการอย่างไร แล้วจับเอาตัวเองมาสร้างเป็นตัวแฝง จึงไม่กลัวตาย บ้าไม่กลัวตาย ยิ่งตายบ่อยยิ่งดี และบ้าไม่กลัวคนทุกรูปแบบ ในทางที่ถูกต้อง อย่างที่สอง ต้องบ้าระดับเห็นเงินเห็นทอง เป็นของส่วนกลางมิใช่ของเราเอง และเราก็มั่งมีร่ำรวยเหลือใช้แล้ว จึงเห็นว่าเงินคือตัวภัยร้าย เป็นไฟเผากิเลสให้อยากได้มากๆ แต่นี้เราพร้อมและมีพร้อมที่จะให้เพราะพื้นเพเดิมมีเหลือใช้เหลือกิน บ้าประเภทที่สาม คือบ้าแบบเดนผีและเดนคน เดนมนุษย์และทั้งผีทั้งมนุษย์เขาไม่ต้องการ คือจะตายไปเมืองผี ผีก็ไม่รับ เพราะเคยมีอุบัติเหตุทางเครื่องบินตกในต่างประเทศมาแล้ว ผู้โดยสารตายหมดเหลือแต่เราคนเดียว เพราะผีมันไม่ยอมรับ มันบอกว่ากลับไปได้ผีไม่เอา และเคยประสบอุบัติเหตุทั้งทางน้ำทางบก ไม่ตายสักที และบ้าประเภทที่ไม่แคร์กับลาภยศ สรรเสริญ ไม่เพลิดเพลินในอามิสสุข

    เราบวชมาแสวงหาทุกข์อย่างเดียว ถือว่าทุกข์คือบทเรียนบทรู้ของชีวิต จึงยึดเอาประสบการณ์ของชีวิตมาเป็นบทเรียน และบ้าประเภทที่สี่ คือบ้าหนังเหนียว ปืนยิงไม่เข้าและไม่ตาย (ถ้าลูกปืนไม่ถูก) ห้าบ้าประเภทเป็นคนทำอะไรทำจริง แบบบ้าระห่ำ ทำไม่เสร็จไม่หยุดไม่ยอมเลิก ดูแต่สร้างพระพุทธรูปแจก แจก แจกฟรีๆไปเป็นแสนองค์ ยังไม่ยอมเลิก แบบบ้าไม่กลัวฉิบหาย ขอบอกว่าข้ามันครบครันในเรื่องบ้า บ้าระดับโลกมนุษย์และโลกผี ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายมิใช่ของเรา เป็นของแผ่นดิน ของส่วนกลาง ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง เกิดมาจากท้องแม่ก็มาแต่ตัวเปลือยเปล่าล่อนจ่อน ผ้าผ่อนสักชิ้นก็ไม่มี แถมยังหลุดจากท้องแม่ตกลงไปในน้ำ ถ้าหมาไม่ช่วยไว้ก็เรียบร้อยโรงเรียนตาย ตายไปแล้ว ร้อนใจพาไปนรกก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเองทวยเทพเทวาเห็นพระโง่นองค์นี้แหละที่บ้าหนักกว่าผีกว่าคน จึงดลบันดาลให้ต้องไปต่อสู้ และก็คงจะเป็นบุพกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน จึงย้อนมาสนองผล

    เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ขบวนพวกเราไปพบถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งในระหว่างต่อเขตแดนพม่ากับไทย เป็นถ้ำใหญ่ที่กว้างขวางน่าอยู่ และภายในถ้ำมีแต่หินสีเขียวเป็นหยกอย่างดีที่มีค่ามากๆ (รู้สึกจะเป็นแหล่งหยกที่ดีที่สุด มากที่สุดในโลก เพราะหินทุกก้อนทั้งเขาเป็นหยกทั้งนั้น จึงพากันนั่งพักเอาแรง) ขณะนั้นเองเจ้าเก่งหมาคู่บุญของเรา ล้มลงนอนยาวหายใจระรวยๆลิ้นห้อย น้ำลายไหล เอาอย่างไรกันว๊า จึงเอาปรอทวัดความร้อนสอดเข้าปากก็ปกติ หัวใจเต้นปกติ ช่วยกันพยุงให้มันลุกมันก็ไม่ยอม จึงประกาศร้องขอให้พวกขบวนหาบว่า หยุดพักกลางถ้ำนี้เอง เราห่วงเพื่อนตายของเราคือเจ้าเก่ง ถึงหายาสมุนไพรแถวนั้นคือเถาหมาว้อ กำลังเสือโคร่ง กรุงเขมา เถาวัลย์เขียว มาต้มให้กินเป็นยาแก้ร้อนใน ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เพราะเรื่องยาแผนโบราณ การสมุนไพร เราเรียนมาและช่วยรักษาตัวเองและผู้อื่นได้ผลมาแล้ว นี้เป็นหมา อาหารของมันก็มังสะภักษ์ไม่ต่างกับคน ผลที่มันจะหายมีแน่ พวกลูกหาบลูกจ้างทุกคนดีใจเพราะเขาจะได้พักผ่อนได้ค่าจ้างรายวัน

    จึงจัดที่พักนอนให้เราในคูหาใหญ่นั้นเอง อยู่ใกล้ๆกับเจ้าเก่ง ลูกหาบเขาเป็นคนดี รักเรามากหากพวกนั้นเป็นคนไทยมันคงจะร่วมใจกันทุบหัวไปแล้ว เขาจัดแจงที่พักของเขาอีกคูหาหนึ่ง แล้วก่อไฟไว้ให้สองสามจุด เพื่อเป็นแสงสว่างดับความมืดในเวลากลางคืน ภายนอกถ้ำมีผาสูงชัน...

    ได้ยินเสียงวิหคนกร้องก้องในไพร เสียงเรไรไก่ขันสนั่นดง
    เสียงลิงค่างบ่างชะนีร้องโหวกโหวย เสียงโอ๋ยๆบนกิ่งไม้มีเหลือหลาย
    เสียงผัวๆตัวเมียที่โยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง

    โอ้... น่าเวทนา เจ้าชะนีเรียกหาผัว เหมือนตัวเราเรียกเจ้าเก่งที่เจ็บป่วยให้ได้หาย เก่งเพื่อนตายจงได้หายจากโรคา ไท้เทวาจงช่วยขัดกำจัดภัย

    ในคืนวันนั้นตอนดึก เห็นพระสงฆ์ไทยใหญ่รูปร่างสูงโปร่งน่าเคารพ ท่านเดินผ่านแสงไฟเข้ามานั่งบนแท่นหินหยกในถ้ำติดกับที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ท่าทางท่านสังวรแบบสมณะเต็มร้อย ท่านออกปากถามข่าวว่า... ขะมะนิยัง อาวุโส... เราก็ตอบภาษาพระว่า ขะมะนิยัง ภันเต...
    ท่านก็ยิ้มรับแล้วบอกว่าในชีวิตของคุณ คุณคงจำได้ว่าท่านกับผมพบกันมาแล้วสามสี่ห้าครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว

    ผมจะสนับสนุนแต่คนที่ทำความดีแล้วไม่หวังผลตอบแทน คุณจำจากบ้านเมืองมาคราวนี้ คุณได้ทำประโยชน์มาก และได้รู้ได้เห็นได้ศึกษาหาความรู้ทางตัวแฝงได้ดี ยากที่บุคคลธรรมดาสามัญจะทำได้ เพราะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแบบเดนตาย และยังได้บริจาคทานแก่คนที่ตกยาก ใช้เงินส่วนตัวไปแล้วหลายล้านบาท แล้วยังช่วยผู้มีพระคุณต่อประเทศชาตินั่นคือพระนางสุพรรณกัลยา ที่ได้มีส่วนสัมพันธ์ทางบุญคุณกับท่าน พร้อมด้วยพระธิดาทั้งสองพระองค์มาด้วย

    คุณรู้หรือเปล่าว่าพระนางท่านมีพระธิดาองค์แรกเป็นทารก เขาปล่อยให้อดตายไปก่อนแม่ แล้วเขาจับยัดใส่ไหลูกเล็กฝังไว้ ก่อนที่คุณขุดค้นเอานี่เองและเรียกเอาวิญญาณมาด้วย ส่วนคนที่อยู่ในท้องได้แปดเดือนถูกฆ่าตายทั้งกลมด้วยน้ำมือของเจ้ามังสะไชยสิงหะราชหรือนันทบุเรง ไปพร้อมกับแม่ที่เรียกว่าพระนางตายทั้งกลม

    ท่านช่วยทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณ เอามาหมด

    และทั้งหมดนั้น เขาจะกลับมาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านในอนาคต และจะเป็นผู้ชายทั้งสองคน เป็นผู้มีบุญมาก มาเกิดในสกุลทุกข์ยาก แต่เขาจะเกิดมาช่วยสังคม ท่านดูไปก็แล้วกัน คนพี่เขาจะมีชื่อว่าสุริยัน คนที่สองชื่อว่าบุญชุ่ม อีกประมาณสักสามสิบปีข้างหน้า ท่านจะเห็นหน้าเขาและเขาจะรักและเคารพท่านเหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ท่านดูไปก็แล้วกัน สักวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะมาหาท่านเอง และแต่ละคนเขาก็จะเวียนว่ายตายเกิดเหมือนท่านเอง เพราะรีบมาสร้างบารมีไม่ยินดีในทิพยสมบัติ อย่างผู้อื่นเขานิยมกัน

    ก่อนมาเกิดในชาติปัจจุบัน เจ้าสุริยัน เป็นผู้กอบกู้เอาเมืองถลางเขตปักษ์ใต้ เขาจึงเกิดเมืองใต้ ส่วนเจ้าบุญช่วย (บุญชุ่ม) เขาเกิดมาเป็นเจ้าตนบุญ ผู้โด่งดังในภาคเหนือ คือพระอุปัชฌายะของคุณเอง ต่างคนต่างเป็นครูเป็นศิษย์กันมาตลอด แล้วให้คุณภาวนาว่า... ปุพเพวะสันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะหิเตนะวา เอวันตัง ฉายะเตเปมัง อุปะรังวายะโถทะเก... ถ้าผู้มีจิตสร้างจิตให้เป็นตัวแฝงได้ ภาวนาคาถานี้ จะรู้ชัดเจนว่าชาติปางก่อนย้อนไปไม่เกิน 5 ชาติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง จำไว้นี้เป็นคำเตือนของหลวงพ่อโลกอุดร

    จากนั้นท่านก็แนะนำเรื่อง การรักษาตัวจริง คือร่างกายด้วยการกินการนอน การทำงานให้สมดุลย์อย่าใช้มันมาก ส่วนตัวเป็น ให้ลดละทิ้งให้เด็ดขาด อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวเป็น คือตัวเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรต่อมิอะไร ตามวิสัยที่โลกเขาสมมุติกัน อันตัวเป็นนี่เอง คือสมุทัย จะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เพราะไปยึดติดมัน อันคนส่วนมากชอบยึดติดอยู่กับตัวเป็นนี้เอง มันจึงทุกข์

    ส่วนตัวแฝง ตัวทิพย์ ที่เรารู้เราเห็นมานั้นแหละให้สร้างมันขึ้นมา ติดตาตรึงใจไว้ตลอดเวลาได้ยิ่งดี อันตัวแฝงนี้ ยิ่งใช้งานยิ่งมีพลังที่จะช่วยตัวเองและคนอื่นได้

    ส่วนตัวเป็น ยิ่งนำออกมาใช้ยิ่งยุ่งทั้งแก่ตัวเองและสังคม

    ส่วนตัวจริงนั้น ยิ่งใช้งานยิ่งเสื่อมโทรม แก่ง่ายตายเร็ว อันตัวที่จะช่วยให้ตัวจริงได้มีอายุยืนยาวไม่แก่เร็วตายเร็วได้ ก็อาศัยตัวที่สามคือตัวแฝงนี้เอง

    จงจำเอาไว้ และผมขออวยพรให้ท่านได้ทำประโยชน์ให้สังคมไปนานๆ และขอเตือนกรรมที่ท่านทำเอาไว้ คือไปยิงปืนขู่ข้าศึกให้ผิดใจกับพวกนางสนมนางในนั้น เขาไม่พอใจ จึงร้องขอเจ้าเหนือหัวให้ประหารชีวิต แต่ท่านคิดทัน หลบหนีออกเวลากลางคืน ขนสมบัติไปด้วย ไปฝังเอาไว้ ที่ไม่ไกลจากวัดที่เมืองอยุธยา ที่พระพนรัตน์ไปเกิด

    อันสมเด็จพระพนรัตน์นั้นคือท่านขรัวโต (สมเด็จโต พรหมรังสี) อันวีรกษัตริย์ตั้งแต่อดีตนั้น ท่านได้สืบสันติวงศ์ทางบุญกุศลกันมาตลอดคือ พ่อขุนราม ก็มาอุบัติในวงศ์จักรี องค์ที่ 5 คือ พระปิยะมหาราช

    คุณอย่าลืมว่า วงศ์กษัตริย์ในเมืองสยามไทยนั้นท่านมีการสืบสันตะติกันมาหลายชาติหลายภพ ซึ่งแต่ละท่านทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองที่คนส่วนมากยอมรับนับถือเอามากๆ ท่านเหล่านั้นก็กลับมาเป็นกำลังของชาติ ในยุคปัจจุบันคือ ระดับเจ้า ระดับขุนพล ขุนทัพ แม่ทัพ ในยุคนี้สมัยนี้ทั้งนั้น

    ส่วนลูกชายบุญธรรมของท่านทั้งสองคนนั้น เขามีตัวแฝงมาแต่กำเนิด เขาเลี้ยงตัวได้ และท่านเองก็รักเขาจริงๆเหมือนลูกในไส้ และเขาทั้งสองจะเกิดมาสนองกรรมไว้ชาตินี้เท่านั้น แล้วก็จะทำจิตให้ถึงพระอนาคามี ไม่มาเกิดอีกแล้ว ผมขอฝากไว้ด้วยเพราะเขาจะช่วยสังคมและคนทั่วไปตลอดชีวิตของเขา และเขาก็ปราศจากคู่ครอง ท่านดูเองก็แล้วกัน ผมไปละ ลาก่อน พบกันใหม่ที่เทือกเขาหิมาลัยในอีกไม่นานนัก เพราะท่านจะต้องตามถนอมรัก ลูกคนที่สอง ซึ่งอยู่ที่หิมาลัยประเทศ

    ในเวลาที่ข้าพเจ้านั่งฟังมันเป็นอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ครึ่งฟื้นครึ่งฝัน และก็ฝันดีด้วยช่วยให้เรามีกำลังใจ คิดอีกอย่างว่าก็ทำไมหนอ พระสุพรรณกัลยา ท่านไม่บอกเราในเรื่องนี้ นี่เราเอาพระวิญญาณของทั้งสามแม่ลูกมาด้วย ดีเหมือนกัน เราจะได้สัมผัสกับแม่ม่ายลูกสอง ตอนนั้นรุ่งอรุณเวลาฟ้าสางพอดี เจ้าเก่งหมาคู่บารมี มันลุกออกวิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน เป็นเพราะเราเอายาสมุนไพรกรอกปากและยาปะคบให้มันจึงหายหรืออะไรชอบกล มันร่าเริงเข้ามาหา ส่อสายตาฝากความรักประจักษ์จิต ดีกว่ามิตรที่เป็นคนล้นเหลือหลาย จึงมานึกว่า ถ้าไอ้เจัาเก่งมันไม่ทำอาการป่วย เราพร้อมคณะก็ผ่านด่านดงพงป่าเหล่านี้ไปแล้ว และก็จะไม่เจอท่านผู้มีปัญญา ผู้มีบุญมาโปรดเราอย่างนี้เลย นี่เจ้าเก่งมันเป็นหมาแสนรู้ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเพื่อนของมันคือข้าพเจ้า แต่ตัวข้าพเจ้าสิโง่และโง่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก เพราะไม่รู้ล่วงหน้า อะไรจะเกิดขึ้น ตกลงเรายอมแพ้หมา ยอมให้หมาที่ฉลาดกว่าเรา เข้าตำราว่า โง่ไม่เป็นเป็นใหญ่ยาก โง่ไม่เป็นฉลาดไม่ได้เลย

    การเดินทางต่อ เราข้ามภูเขาหลวงที่ขวางกั้นพม่าตอนบนกับไทยตอนเหนือ ได้ใช้เวลาอีกสิบห้าวัน ออกช่องทางบ่อเบี้ย เพราะต้องเดินอ้อมขุนเขาที่สูงชัน จากเหนือล่องใต้ จากเมืองปันเมืองทนล่องใต้ออกเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พวกขบวนหาบส่งเขาก็ลากลับบ้านเมืองของเขา เราจึงโทรเลขถึงเจ้าทิพย์วรรณและนายพันเอกประภาส จารุเสถียร ผู้ที่เคยเคารพนับถือกันมาตลอด ท่านจึงส่งรถสองคันขึ้นไปรับกลับเชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2493 ส่วนสิ่งของต่างๆจำนวน 3 หาบ เราฝากไว้กับบ้านเจ้าทิพย์วรรณเพราะไว้ใจท่านมากและท่านก็เป็นเจ้า ระดับเจ้าฟ้าหญิงแห่งนครเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพพม่า ซึ่งก็เป็นสายญาติผู้ใหญ่ของโยมมารดาของเราเอง ส่วนข้าพเจ้ากับเจ้าเก่งก็เข้าป่าแสวงหาวิเวกพร้อมด้วยพระรูปของพระสุพรรณกัลยา และท่านสั่งว่ารูปพระน้องยาเธอของท่านคือพระนเรศวรมหาราช ก็ให้หล่อไว้พร้อมกัน

    ท่านสั่งว่าอีกในไม่ช้า พม่าเขาจะมีพระรูปของเจ้าบุเรงนอง ไว้ใกล้ชิดติดแดนไทยในภาคเหนือของประเทศเพราะเขาถือว่า ผู้เอาชัยชนะไทยได้ มีเจ้าบุเรงนองพระองค์เดียวเท่านั้น เขาจึงจะสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ใกล้เขตแดนไทย
    และแล้วขอให้ท่านอัญเชิญพระรูปของพระนเรศวร ไปประทับไว้ฝั่งไทยให้หันหน้าใส่กัน อย่าให้ห่างกันเกินกว่า 1,000 วา ให้สองเสด็จได้ทัศนาเจริญสัมพันธมิตรไมตรีต่อกัน และไทยกับพม่าก็จะเป็นเสมือนแผ่นดินเดียวกัน ทางจิตใจ และจะได้เจริญสิริวิไลทั้งสองประเทศ

    เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วคือ จู่ๆ เมื่อปี 2540 นี้เองพม่าก็สร้างอนุสาวรีย์ของเจ้าบุเรงนองขึ้นไว้ที่ท่าขี้เหล็กระยะติดชิดกับฝั่งแม่สาย หันหน้ามาทางฝั่งไทย ใครๆไประยะนี้ก็จะเห็นเจ้าบุเรงนอง ข้าพเจ้าจึงจะอัญเชิญพระบรมรูป ของพระนเรศวรไปประทับไว้ที่ฝั่งไทย ให้อยู่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องให้ไกลกันเกินกว่าสองพันเมตร ที่อำเภอแม่สาย หันพระพักต์ไปทางพม่า ให้ทั้งสองพระองค์ได้หันหน้าใส่กันอีก เรื่องก็นับว่าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ที่พระนางท่านบอกไว้เมื่อ 50 ปีก่อนโน้น จึงนับว่าความฝันเป็นความจริงขึ้นมาจนได้


    เพราะพระรูปข้าพเจ้าได้หล่อไว้ก่อนแล้ว เป็นพระรูปขนาดเท่าตัวพระองค์จริง เพราะข้าพเจ้าเชื่อความฝันของตัวเอง จึงลงมือปั้นหล่อไว้ก่อน ขณะนี้พระรูปก็อยู่ที่ข้างกระท่อมของข้าพเจ้าเอง พร้อมที่จะอัญเชิญไปได้ทุกเมื่อ ขอบอกว่าอันพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระสุพรรณกัลยาพร้อมด้วยทาริกาทั้งสองนั้นตกเป็นของคนไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2491 และได้เดินทางถึงแผ่นดินไทยเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2493 และได้ทำการหล่อรูปของพระนางท่านเมื่อ พ.ศ. 2535 ปิดมาเป็นความลับแต่แรกเริ่ม ครบห้าสิบปี

    และได้เจอกับกุลสตรี บุตรสาวของท่านเมื่อปี 2520 คนแรกที่งานวางศิลาฤกษ์อาคารร่วมกับสมเด็จพระญาณสังวร ตอนนั้นพระองค์ท่านยังไม่ได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เจ้าหมอสุริยัน เขาเป็นเจ้าพิธีพราหมณ์ มีคนนับถือเขามาก เขาเข้ามาขอมอบตัวเป็นลูกบุญธรรมตลอดชีวิต และเมื่อเขาบวชเป็นบรรพชิตคือเป็นพระภิกษุ จากสมเด็จพระญาณสังวร และครั้งที่สองบวชที่วัดสระเกตุ เขาบวชวันนั้นเสร็จเขาก็ไปอยู่กับข้าพเจ้าตลอด ลูกคนนั้นคือคุณสุริยัน อริสังวโร หมอหยองที่คุณรู้จักทุกวันนี้ ส่วนคนที่สองคือ เจ้าบุญชุ่ม เขารู้จักกับข้าพเจ้าตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเณร ตอนที่เขาเป็นสามเณรนั่นซิเอาเรื่องมาให้เราแทบจะบ้าตาย เรื่องเขาเป็นสามเณรรูปหล่อ ข้อปฏิบัติเคร่งครัด คนก็นับถือมาก อยากจะไปอยู่หิมาลัยประเทศ คือเขตตอนเหนือประเทศเนปาล ข้าพเจ้าเองกับคุณโยมประดิษฐ์ วิชาพานิช คุณเม่ง นายช่างภาพ คุณบุญไชย ใครอีกบ้างก็จำไม่ได้ นำขึ้นเครื่องบินเหินฟ้า พำนักปฏิบัติภาวนา ไปหิมาลัย เอาไปฝากไว้กับพระอมริตตะเถระ เจ้าคณะใหญ่ประเทศเนปาล ท่านสมภาร และเป็นประมุขของสงฆ์ ก็ยอมรับลูกบุญธรรมของเรา เพราะก่อนเราเคยพบกันที่พม่า พอออกพรรษา ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์ วิชาพาณิชย์ คุณวิภาวรรณ หมอพิลาทั้งครอบครัว พากันไปเยี่ยมไปทอดผ้าป่า ถวายค่าอาหาร แล้วเดินทางต่อไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองนั้นประเทศนั้น

    ตอนขึ้นไปทางเหนือติดแดนจีนคือเมืองยาลัมและอเวเลสต์เชิงเขาหิมาลัยนั้น ตรงนั้นเขาเล่าว่าเป็นเวียงวังบ้านเกิดให้กำเนิดของหลวงปู่พระครูโลกอุดร ชื่อจริงของท่านคือ พระอุตระ น้องชายชื่อพระโสณะ ที่มีกล่าวในอนุพุทธประวัติ ที่ท่านถูกส่งเป็นสมณะฑูตไทย เดินทางมาให้กำเนิดพุทธศาสนาเผยแพร่ในแดนสุวรรณภูมิ คือแดนทอง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว และเขมร โดยเฉพาะคนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอมที่คนผู้ละโมบโลภหลงเอาชื่อท่านมาขายกินกัน

    ในสังคมไทยหารู้ไม่ว่า หลวงปู่โลกอุดรเกิดที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป ในคราวนั้นเราไปกันหลายคนเพื่อนมัสการโบราณสถานที่นั่นและทั่วหิมาลัยประเทศ จึงขอบอกตรงๆว่า หลวงพ่อโลกอุดร คือพระอภิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ ท่านจะเสด็จโปรดทุกแห่ง แต่แห่งใดมีจิตใจเป็นพระนักรบคือรบกวนชาวบ้านเพื่อแสวงหาลาภผล ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระ ท่านไม่เอาด้วย และไม่ปรากฏให้เห็นเลย ท่านจะช่วยแต่ผู้ที่เสียสละ มีแต่ให้กับให้ และช่วยคนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ และต้องได้ตัวในคือตัวแฝงด้วย และตัวแฝงเอาออกมาใช้ได้ด้วย อันเจ้ากูที่หนาด้วยกิเลสหาทางร่ำรวยฉวยโอกาสนั้นเมินเสียเถิดอย่าหลอกเขาต่อไปเลย

    บ้านช่องของท่านอยู่ที่เมืองอุตระยาลัมอเวอเลสต์ เขตติดต่อกับแดนจีน เชิงเขาหิมาลัยโน้น

    ตอนไปคราวนั้น เราได้พำนักแสวงบุญไปชมไปนมัสการสถานที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งเกือบทั่วหิมาลัยประเทศ การไปเที่ยวที่นั่นวันนั้นเมื่อพากันชมสถานที่ที่พระผู้มีบุญมาเกิด พวกเราก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นเอง สามเณรเจ้าบุญชุ่มก็ลองภูมิข้าพเจ้าว่า พ่อครับ หนังสือในแผ่นหินป้ายใหญ่ๆนี้ ลองอ่านซิหลวงพ่อ เราก็อ่านดังๆให้ทุกคนได้ยิน หนังสือนั้นเขียนเป็นอักษรฮินดีและกูต๊าฟ มีประมาณ 30 แถว แล้วกำลังจะแปลให้ลูกศิษย์ฟัง ประเดี๋ยวนั่นเองแทนที่จะเป็นน้ำไหลออกมาอย่างเจ้าบุญชุ่มบอก แต่เป็นพระสงฆ์รูปร่างใหญ่เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น ซึ่งก็มีรั้วทองแดงสูง 2 เมตร กั้นไว้ ท่านเดินออกมาได้เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านเดินยิ้มออกมา จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า... จะมะนิยังอาวุโส... เราก็ตอบท่านว่า ขะมะนิยังภันเต (เป็นภาษาพระสงฆ์ท่านถามข่าวคราวกันตามธรรมเนียม)... ถ้าแปลเป็นไทยให้ตรงๆว่า ท่านยังทนไหวหรือ (หรือท่านยังไม่ตายหรือ) แล้วก็ขอถ่ายรูปรวมกัน ข้าพเจ้ายืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย พระอาคันตุกะยืนขวา วันนั้นมือกล้องถ่ายหลายท่านร่วมกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็จากกัน พวกโยมๆก็อยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร ทำไมจึงแสดงความสนิทสนมกับอีตาโง่นมากนัก ขนาดจับมือถือแขนหยอกล้อกัน ถึงกับเอามือลูบหัวโล้นอีตาโง่นได้

    แต่ ท่านหัวล้านใสในสายตาท่านคมสงบเสงี่ยม พระหัวล้านกับพระหัวโล้น เจอกันมันแท้ๆแต่รูปถ่ายที่ออกมารูปท่านกลายเป็นพระแขก มีผ้าพันหัวเอาไว้มิใช่หัวล้านสักหน่อย พวกโยมๆจึงฮือฮาถามว่าทำไมถึงเป็นไปอย่างงี้ เราก็ตอบเขาว่าก็ฝากพนักที่เป็นก้อนหินป้ายนั้นแหละเป็นที่อยู่ของหลวงปู่ โลกอุดรเกิดถิ่นกำเนิดของท่านอยู่ ณ ที่นี้ องค์ที่ท่านจำแลงรูปออกมาจากก้อนหินนี้คือหลวงพ่อโลกอุดร ท่านเป็นพระอริยเจ้าระดับอภิสมารกายคือกายทิพย์ จะปลอมแปลงตัวให้เป็นอย่างไรก็ได้ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเข้ามาที่นี่มิใช่ที่ราบเรียบ แต่เราเดินมาอย่างสบายขึ้นเขาหิมาลัยมาได้อย่างไม่รู้ว่ามันสูงชัน ดูโน้นซิโยม หิมะที่ปกคลุมเขาอเวอเลสต์ ขาวโพลนไปหมด แต่ขากลับเราก็จะเดินสบายเพราะต้องเดินลงได้อานิสงส์มาก ทุกคนก้าวหน้าร่ำรวยสบายแล้ว รูปนั้นถ่ายด้วยกล้องโพโลรอย รูปจะออกมาให้เห็นทันที แต่ที่ถ่ายด้วยกล้องอย่างดีนั้น วันหลังเอาฟิลม์จากกล้องอย่างดี มาล้างดูจะเป็นอย่างไร และเมื่อล้างดูแล้วก็เป็นเหมือนกันหมด ดังที่เห็นในภาพนี้เอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของท่าน ขอให้คิดเอง แต่ผู้เขียนเชื่อเต็มร้อย เพราะเราถ่ายในสถานที่เกิดของท่าน


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "เกร็ดย้อนรอยประวัติศาสตร์ และ พงศาวดารพระตำนานของพระสุพรรณกัลยา"

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (8)


    ดัง ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำปรารภเบื้องต้นนั้นว่า อันการได้มาซึ่งพระประวัติ เรื่องราวอันเป็นตำนานที่เป็นทั้งแบบรูปธรรม และนามธรรมของพระตำนานพระสุพรรณกัลยานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะในประวัติศาสตร์ และพงศาวดาร ก็กล่าวไว้เพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เรื่องที่เป็นความจริงหรือใกล้ความจริงของวีรสตรีท่านนี้ จึงเกือบจะหายจากความรู้สึกนึกคิดความทรงจำของคนไทยไปแล้ว แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดจากความฝันอันเป็นอารมณ์ที่ธรรมชาติสร้างมา และบุญกรรมบาปเวรที่มีอยู่ก่อน เป็นผลสะท้อนย้อนมาให้ผู้เขียนไปตามความฝัน เพื่อไปแก้กรรมและสร้างกรรมต่ออีก จึงได้ใช้ความพยายามบุกป่าฝ่าดงมุ่งตรงต่อเมืองเมียนม่าด้วยเท้าเปล่า โดยมิได้อาศัยยานพาหนะใดๆทั้งนั้น

    ด้น ดั้นเดินธุดงค์ไปอย่างเดียวดายแทบจะถึงปางตายเอาชีวิตไม่รอดและได้ไป เจอมรสุมของชีวิตทุกรูปแบบ ใช้เวลานานถึงสองปีกว่าๆในสถานที่ที่จะต้องการไป เพื่อศึกษาหาความจริงจากอารมณ์ฝัน เราไปแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วเรื่องอะไรถึงต้องไปและก็ได้กล่าวตอบแล้วในตอนต้น อันยอดปรารถนาของเราก็เพื่ออยากสัมผัสทางจิตวิญญาณ เมื่อได้รับรู้ทางจิตวิญญาณแล้วก็ค้นคว้าให้จิตวิญญาณที่เป็นนามธรรมนั้นให้ เป็นรูปธรรมขึ้นมา คือพระฉายาลักษณ์จากกล้อง ถ่ายรูปออกมาจนได้ และก็ได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าทางตำนานจากตำรับตำราของเขาที่เขาเก็บเอาไว้ใน หอสมุด

    บังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆเมื่อปี พ.ศ. 2229 ที่เขาไม่เอาใจใส่แล้ว มาศึกษาดู ก็ไปพบหนังสือซึ่งเป็นลายพระหัตถ์ของพระนางเองที่เขียนเอาไว้หลายตอน ผู้เขียนจึงได้ตัดทอนที่เป็นอักษรพม่าสมัยโบราณ เอามาลงไว้ดังต่อไปนี้

    อักษรหนังสือนี้ เป็นอักษรโบราณนานมาแล้ว ซึ่งไม่ต่างกับอักษรไทยในสมัยอยุธยา ผู้เขียนจึงแปลออกมาได้ความว่า

    "ข้าชื่อ สุพรรณกัลยา ข้าเกิดวันเสาร์ ปีมะเส็ง 2098 เป็นลูกสาวของ พระมหาธรรมราชา มีน้องชายสองคน คือ เจ้าดำ เจ้าขาว เมื่อแพ้ศึก ข้ากับน้องชายพร้อมด้วยเจ้าเหนือหัวคือพระมหินทราธิราช แต่ท่านมาถึงเกตทูเบิน เมืองมนต์ (มอญ) ท่านเสียชีวิตลง เขาจึงสั่งให้พ่อของข้า เป็นมหาอุปราช เป็นผู้ครองราชกรุงอโยธยา ข้าพร้อมกับไพร่พลและน้อง เพราะน้องข้าไม่ยอม จึงให้ข้ามาด้วย เราช่วยเลี้ยงเขาจนโต ข้าจากบ้านเมืองมา เมื่อวันพุธ เดือนสี่ ปีมะเมีย พุทธศักราช 2112 ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงมัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่เหลือเกิน"

    "ข้าได้เป็นแม่เลี้ยงน้องตั้งแต่อายุ 14 ปี ข้ากลับมาลาพ่อแม่เมื่ออายุ 19 ปี เมื่อปี 2119 ข้าได้แต่งงาน ข้าได้เลี้ยงน้อง ก่อนแต่งงานข้าได้กลับอยุธยา แล้วกลับไป แล้วให้น้องทั้งสองกลับมาช่วยพ่อกู้บ้านกู้เมืองที่อยุธยา ข้าคิดถึงบ้าน ข้าถูกจองจำด้วยเวทมนต์"

    เมื่อใช้ความพินิจพิจารณาดูด้วยเหตุผลและเนื้อเรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่า ตัวพระนางเองเมื่ออายุได้ 14 ปี และน้องชายคนโตคือ เจ้าองค์ดำอายุ 12 ปี เจ้าองค์ขาวอายุ 10 ปี ก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย เหตุที่ตัวพระนางจะไป เพราะน้องชายทั้งสองไม่ยอมไปถ้าพี่สาวไม่ไปด้วย ก็ผิดกับพระตำนานและประวัติศาสตร์ว่า พระนเรศวรมีอายุ 3 ปี ส่วนพระเอกาทศรถก็คงปีกว่าๆเท่านั้น และเจ้าบุเรงนองจะเอาไปทำไมเพราะเล็กเหลือเกิน เดินไม่ไหวแถมยังเป็นภาระในการเลี้ยงดูอีก และจะเอาน้ำนมที่ไหนให้กินเพราะสมัยนั้นไม่มีนมเทียม นมสำเร็จรูป ที่จะให้เด็กเล็กๆดื่มได้อย่างสมัยนี้ ฟังดูแล้วมันไกลจากความเป็นจริง แต่นี้พระองค์ดำมีพระชนมายุถึง 10 ปี เดินได้สบาย


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2014
  15. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา"

    ข้าพเจ้าผู้เขียนได้บันทึกเอาไว้เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่ท่านทำและท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงความเป็นมาของท่านและต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดาคือ พระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าเชื้อสายต้นตระกูลของพระนางท่านนั้นมีกำเนิดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดามาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสายพระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้และได้บันทึกไว้มีดังนี้

    เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชย์เมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชาของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติโดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรักราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามาจะตีกรุงศรีอยุธยาโดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติและอำนาจวาสนาอย่างเดียวกัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้นที่บ้านป่าถ่าน

    ต่างองค์ต่างก็ฟันกันด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชายกกองทัพมากวาดต้อนเอาผู้คนเป็นจำนวนมากจากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็นไพร่พลของอ้ายขะแม (เขมร) สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชาในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน ในระยะที่เจ้าสามพระยาตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมรอยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติที่พลับพลานั้นเอง เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้วก็กวาดต้อนเอาไพร่พลและสิ่งของที่มีค่ากลับมากรุง ศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชาครองเมืองกัมพูชาแทน พวกขอมในระยะนั้นเป็นเมืองขึ้นคือประเทศราชของไทยจึงย้ายเมืองหลวงจากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญตลอดทุกวันนี้ ส่วนพระอินทราธิราชก็อยู่ครองเขมรไม่นานนักก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์

    ส่วนพระบรมไตรโลกนาถได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบและอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่เมืองพิษณุโลกแล้วก็ได้รับการต้อนรับจากอาณาประชาราษฎร์อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี และเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขตทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับอยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษาพระประวัติและพระราชประเพณีของวีรบุรุษแบบกรุงสุโขทัยในอดีต และในเวลานั้นก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการเก่าๆในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำให้ความรู้เพิ่มเติมอีกและได้ทรงเลือกประเพณีเก่าๆและใหม่ๆมาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูกอย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราชและทรงเลือกปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษหลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุของบรรพบุรุษและเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน

    อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน และในสมัยของพระองค์ท่านก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัยยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อและไพร่พลเมื่อปี พ.ศ. 1999 เมื่อปีนั้นเองพระองค์ก็ทรงเสด็จกลับเพื่อรับเป็นรัชทายาทไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เองก็เกิดยุ่งกันขึ้นทางเหนืออีกเพราะพระองค์ทรงปกครองแบบพ่อปกครองลูกมิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆเป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆมีเจ้าเมืองปกครองกันเองแบบเจ้าเมืองเจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกันเพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์

    ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลกก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรีสวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เพราะเวลานั้นเมืองเชียงใหม่มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาเพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไปกวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราชจะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมาของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือมันยุ่งกันนัก จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบายย้ายพระองค์เองขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลกเสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทยอยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน

    ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงามไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และวัดอื่นๆอีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูตไปอาราธนานิมนต์พระผู้ทรงแตกฉานในพระไตรปิฏกจากทวีปลังกามาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เองก็ทรงอุปสมบทประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้วก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่งเป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่านผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระแตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือนถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุดก็ฆ่าลูกชายของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลนาถเห็นเป็นโอกาสดีจึงยกทัพขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญาเป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสีเชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ องค์ที่หนึ่ง พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ในการรบที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อนแล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทนพระราชบิดา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองเหนือคือเมืองพิษณุโลก ส่วนกรุงศรีอยุธยาก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน อันวีรกรรมผลงานของพระรามาธิบดีองค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีกเมื่อปี 2050 พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบและได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้นในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระบรมไตรโลกนาถและพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวงวัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง

    วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอกเอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุดอำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว อันเจ้าทั้งหลายต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทางที่จะแสวงหาอำนาจความเป็นใหญ่ใส่ตัวและพวกของตัว ผู้ที่ใฝ่และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชย์คือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 พระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราชซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชย์อยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราชได้ครองเมืองนี้เองได้สู้รบกับกองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอูสู้ไทยไม่ได้ ถอยกลับ เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อนที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ก่อเรื่องให้บ้านเมืองต้อง เดือดร้อนไปทุกหัวระแหงเพราะความร้ายกาจของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัดของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป

    ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายในและภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติประสบภัยอันใหญ่หลวงถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อนและเป็นผู้กอบกู้ชาติไทยให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนาแต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาให้ขึ้นครองราชแทน แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆที่ตัวเองมีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเองชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชย์แทนแล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชย์ต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง จึงวางแผนฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเองด้วยให้กินยาพิษเมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราชย์อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชายของเจ้าแก้วฟ้าแทน

    ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้วกลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใครที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรมของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจและท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผนทูลเชิญเจ้าเหนือหัวคือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือ ไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน ให้อาณาประชาราษฎร์ได้ยลโฉมอภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้างออกพ้นนอกกำแพงเมืองถึงตรงคลองสระบัว ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรูเสี้ยนหนามของแผ่นดินให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ดของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติรักบ้านเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจในผู้มีอำนาจ วาสนาบารมีมากๆว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรีบารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไปบรรลัยลูกเดียว

    เมื่อชาวกรุงศรีอยุธยาช่วยกันกำจัดตัวเสี้ยนหนามของชาติ คือเจ้าขุนวรวงศา กับศรีสุดาจันทร์ได้สำเร็จแล้ว ก็พร้อมกันไปทูลเชิญ หลวงพ่อพระเฑียรราชา ให้ลาผนวช (คือให้สึก ลาเพศจากสมณะ ให้ขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 2091 เหตุ ที่ท่านจะหนีบวชเพื่อพึ่งผ้ากาสาวพัสตร์ก็เพราะทนการปองร้าย การจองล้างจองผลาญ พาลหาเรื่องใส่ความ จากพี่สะใภ้คืออีแม่นางศรีสุดาจันทร์ไม่ไหว จึงไม่สนใจรับราชสมบัติใดๆทั้งนั้น แต่คราวนี้พระองค์ท่านต้องรับหน้าที่ไม่มีทางปฏิเสธได้เพราะเหตุที่ชาวประชา ข้าราชการทั้งหมดในเมืองสยามไทยฝากความหวังไว้กับท่านให้ครองราช จึงได้อภิเษกให้เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้อภิเษกสมรสกับพระศรีสุริโยทัย เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้เสวยราชแล้วก็ปูนบำเหน็จให้ผู้ทำความดีช่วย เหลือบ้านเมือง ผู้กำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินทุกคน คือ ท่านขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งอดีตเป็นเจ้ากรมตำรวจ ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมือง และพื้นเพเดิม ตระกูลเดิมของท่าน ก็เป็นรัชทายาท เชื้อสายของวงศ์พระร่วง และเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดกับพระไชยราชาธิราช ผู้เป็นพระบิดาของเจ้าแก้วฟ้า (พระยอดฟ้า) ผู้เป็นพี่ยาเธอของพระเฑียรราชา จึงสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช แล้วเลื่อนเป็น พระมหาธรรมราชา แล้วทรงมอบพระราชธิดาองค์ใหญ่ คือ พระวิสุทธิกษัตรี ให้ไปเป็นพระชายา แล้วให้ไปครองเมืองพิษณุโลก ก็ทั้งสองท่านนี้เองเป็นผู้ให้กำเนิด คือพระราชบิดา และราชมารดา ของพระนางสุพรรณกัลยา กับเจ้าองค์ดำ และเจ้าองค์ขาว แล้วต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ากลียุค พม่าบุกทำลาย พระเจ้าตาของพระนางคือพระมหาจักรพรรดิ จึงทรงเรียกตัว กรีฑาทัพลงมาช่วยที่อยุธยา

    อันพระเจ้าตาของท่านคือ พระมหาจักรพรรดิ กับพระเจ้ายาย คือ พระศรีสุริโยทัย ได้ให้กำเนิด พระราชโอรสสองพระองค์ พระราชธิดาสามพระองค์ ซึ่งมีรายนามดังนี้คือ

    1. พระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาท
    2. พระวิสุทธิกษัตริย์ คือ พระมารดาของพระนางเอง กับเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว
    3. พระบรมดิลก
    4. พระเทพกษัตรี
    5. พระมหินทราธิราช ซึ่งได้ครองราช แทนพระจักรพรรดิ

    องค์ที่หนึ่ง พระองค์แรกเป็นชาย ชื่อพระราเมศวรเป็นผู้เข้มแข็ง กล้าหาญชาญชัย มีความรักชาติ รักพี่รักน้อง รักแผ่นดิน รักเกียรติภูมิ ได้ตำแหน่งรัชทายาท มีความองอาจ คู่พระทัยในพระมหาจักรพรรดิ เมื่อแพ้สงครามก็ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกัน พร้อมด้วยพระเจ้าองค์ดำ และองค์ขาว เมื่อแพ้สงคราม เราทั้งสาม ก็ถูกพระเจ้าบุเรงนอง ขอเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม เขานำไปไว้ที่เมืองหงสาวดีเช่นกัน องค์ที่สามคือ พระบรมดิลก ที่สิ้นพระชนม์บนหลังช้าง เหมือนพระมารดาคือ พระศรีสุริโยทัย แต่พงศาวดารไทยไม่ได้กล่าวถึงเลย เท่ากับเป็นวีรสตรีที่สาบสูญไปอีกองค์ ขาดจากความทรงจำของไทยไม่ผิดกับฉัน องค์ที่สี่คือ พระเทพกษัตรี ท่านองค์นี้นับว่า เป็นราชธิดาที่น่าสงสาร ในชีวิตของท่านต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนรอนแรมไปอยู่ต่างแดน เพราะในการเสียกรุงครั้งนั้น เจ้าศรีสัตนาคนหุต ฉุดเอาไปทำเมียเสียเอาดื้อๆ องค์ที่ห้าคือ พระมหินทราธิราช ผู้ครองอำนาจต่อจากพระมหาจักรพรรดิ แล้วเมื่อเสียกรุงครั้งแรกปี พ.ศ. 2112 เจ้าบุเรงนองจับเอาไปเป็นเชลยและให้อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา พอเดินทางไปถึงเมืองสระถุงใกล้กับเมืองอังวะ พระมหินทราเกิดความไม่ยำเกรงต่อบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดี บุเรงนองเกิดพิโรธ โกรธแค้นจึงสั่งประหารด้วยดาบแล้วโยนศพลงแม่น้ำสะโตง ก็พระคุณท่านยังลงไปงมเอาศพขึ้นมาทำฌาปนกิจให้ท่าน ฝังไว้ตรงไหนท่านรู้เองตอนท่านกลับ ก็อย่าลืมขุดเอาอัฐิธาตุกลับไปด้วยนะ ส่วนขบวนของพระเจ้าลุงของฉันคือ พระราเมศวรนั้น เขาไล่เอาไปเป็นทัพหน้าอยู่ทางเหนือ เมื่อท่านกลับ กรุณาไปเชิญเอางาช้างเผือกไปด้วยเพราะช้างเผือกนั้นมีงาแฝดข้างหนึ่ง เป็นสีดำ หรืองาช้างดำ เล่มเล็กๆ ใครมีไว้เป็นมงคลแก่ตัว

    ส่วนฉันเองพร้อมด้วยน้อง พอเห็นเขาประหารพระเจ้าอา คือพระมหินทราธิราช ต่อหน้าต่อตาก็พากันเกิดปริวิตกอย่างมากว่าสักวันหนึ่ง เรื่องตายแบบนี้ก็ต้องถึงเราแน่ แต่ก็มีท่านเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะเป็นผู้ทัดทานเอาไว้ในคราวที่พวกฉันจะถูกรังแก แต่ไม่รู้ว่าท่านมีอะไรดีอยู่ในตัวทำให้บุเรงนองต้องกลัวและเกรงใจท่านเอามากๆ คงจะเป็นเพราะท่านเป็นหมอ หมอยาสมุนไพร ได้ช่วยรักษาให้บุเรงนองหายจากโรค พ้นจากความตายได้หลายครั้ง และบุเรงนองเป็นโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน เนื้อตัวเกรอะกรัง ด้วยน้ำหนองไหลไม่ขาด ท่านฉลาด หายาตามป่ามาอาบ ทา ให้หายทุกครั้ง และเขาถูกช้างเหยียบจะตายเอา ท่านชี้มือบอกให้ช้างหยุด ช้างก็หยุด เขาไม่ตายเพราะท่าน ดังนั้นเจ้าบุเรงนองจึงเกรงใจท่าน และรักท่าน

    และท่านก็ได้กราบทูลเขาว่า กุมารทั้งสองคนพร้อมด้วยกุมารีอีกคนหนึ่ง คือตัวฉันกับน้องๆ นั้น เจ้าเหนือหัวทรงขอกับพระมหาธรรมราชา มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าเหนือหัวต้องรักษาสัจจะให้รักเขาเหมือนลูกและทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ ถ้าหากไม่แล้วข้าพเจ้าจะยอมตาย แล้วปล่อยให้ท่านทรมานด้วยโรคตลอดไปและจะตายเอาเร็วด้วยนะ ดังนั้นเขาจึงรักฉันกับน้องๆเหมือนลูกจริงๆ แต่ก็ไม่ขาดจากสายตาท่านที่จะต้องดูแลทุกข์สุขในการเดินทาง บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ห้อยโหนปีนเหว ใช้เวลารวมเดือนกว่าๆ พวกเราทรมานมาก ไม่รู้ว่ามีกรรมมีเวรอะไรแต่ชาติปางก่อน มันจึงย้อนมาสนองเราเอาชาตินี้ ขอให้ท่านจงช่วยแก้กรรมให้ด้วยหรืออาจจะเป็นเวรกรรมที่พระบิดาของฉันทำกับแม่นางศรีสุดาจันทร์ก็ได้ อันการที่ฉันได้เล่าเรื่องราวถึงสกุลรุนชาติสายญาติต้นตระกูลเดิมของฉันก็มีเท่านี้

    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดีก็ยกกองทัพเข้ามารุกรานด้วยได้ระแคะระคายว่า กรุงศรีอยุธยา เกิดการแย่งราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าหงสาวดีจึงให้เกณฑ์พม่า สมทบกับมอญและไทยใหญ่ ให้มาชุมนุมทัพพร้อมกันที่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงยกมากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2091 อันที่จริงกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่ว่าไม่เคยสงคราม แต่สงครามที่ได้ทำมาในครั้งก่อนๆนั้น นอกพระราชอาณาเขต ไม่เหมือนกับครั้งนี้ เพราะในสมัยก่อน พระไชยราชาธิราชก็ได้ต่อสู้ฟาดฟันกับพม่าคือพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ให้ป่นปี้หนีหายไปไม่เป็นขบวนมาแล้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีศึกใหญ่เข้ามาประชิดประเทศ ยึดดินแดนส่วนสำคัญของไทยเป็นสมรภูมิ แต่เนื่องด้วยกำลังรี้พลและเสบียงอาหารของไทยในระหว่างนั้นยังสมบูรณ์อยู่

    ด้วยเมื่อกำจัดขุนวรวงศา และท้าวศรีสุดาจันทร์ แต่นั้นมาบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงบมิได้เกิดการจราจลถึงกับรบราฆ่าฟันกันมากมาย เมื่อได้ข่าวพระเจ้าหงสาวดียกกองทัพใหญ่เข้ามาประชิดพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ทรงมีบัญชาให้พระมหาธรรมราชา ยกกองทัพเมืองเหนือลงมาช่วย และทรงส่งกองทัพใหญ่ออกไปตั้งรักษาเมืองสุพรรณบุรี เป็นที่มั่นคอยรับหน้าข้าศึก และเตรียมการป้องกันพระนครศรีอยุธยาไว้ก่อน แต่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดีมีกำลังใหญ่หลวง กองทัพไทยที่ยกออกไปตั้งรับรักษาเมืองสุพรรณบุรีจึงสู้ไม่ได้ จำต้องทิ้งเมือง ถอยกลับมายังกรุงศรีอยุธยา การถอยในครั้งนี้เป็นการถอยแบบถอยท่าเดียว มิใช่เป็นการถอยพลางสู้พลางหรือหาที่มั่นแห่งใดแห่งหนึ่งรับข้าศึกเป็นระยะๆไป แต่เป็นการกลับถอยหนีเข้ากำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาอย่างเดียว

    ส่วน ทางกรุงศรีอยุธยาเล่า แทนที่จะส่งกองทัพออกไปช่วยกองทัพสุพรรณบุรี กลับเฉยเสีย ปล่อยให้กองทัพของเจ้าหงสาวดีรุกไล่ถึงชานพระนคร ขณะนั้นถ้าหากกองทัพไทยจะยกกองทัพออกไปต่อต้านข้าศึกก็อาจจะได้เปรียบกว่า ทหารพม่าอยู่บ้าง เพราะกองทัพไทยในกรุง ยังสดชื่นอยู่ ส่วนกองทัพพม่า ยกกองทัพรอนแรมมาย่อมจะเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ถ้าหากทางกรุงศรีอยุธยาจะยกเข้าโจมตีทันทีเมื่อกองทัพพม่ามาถึง ก็คงจะได้ชัยชนะบ้าง แต่ทางกรุงศรีอยุธยากับนิ่งเฉยเสียเพราะยังไม่ได้ฤกษ์จากโหร ปล่อยเวลาให้ข้าศึกได้พักผ่อนและกินอาหารให้อิ่มมีกำลังก่อน จึงได้ฤกษ์จากโหร

    และในช่วงนี้เองที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องบันทึกการสูญเสีย สมเด็จพระศรีสุริโยทัย อัครมเหสี ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไป อย่างน่าเศร้าสลด กล่าวคือ กองทัพพม่ายกทัพเข้ามาตั้งค่ายที่ชานพระนครเป็นที่มั่น เมื่อวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 แล้วพอรุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ใคร่จะทรงทราบกำลังของกองทัพข้าศึกว่าจะเข้มแข็งประการใด จึงลอบเสด็จยกกองทัพหลวงออกไป ครั้งนั้นสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหมสีขอเสด็จตามไปด้วย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็โปรดอนุญาตให้แต่งพระองค์เป็นชายอย่างมหาอุปราช ต่างองค์ต่างทรงพระคชาธารหรือช้างศึก ออกไปพร้อมกันกับพระราชโอรสทั้งสองคือ พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช กองทัพของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงออกไปปะทะกับ กองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นกองทัพหน้าของพระเจ้าหงสาวดี ความตั้งพระทัยเดิมว่าจะออกไปดูลาดเลาข้าศึกนั้นกลายเป็นการทำยุทธหัตถีเข้าโดยฉับพลัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เข้าชนช้างกับพระเจ้าแปร ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียที ก็แล่นหนีข้าศึก เจัาแปรได้ทีก็ขับช้างไล่ตามมาไม่ยับยั้ง

    สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระอัครมเหสีที่ตามเสด็จมา ทรงเกรงว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จะเป็นอันตราย ก็ไสช้างทรงตรงเข้ามาขวางกั้นพระสวามี พระเจ้าแปรสำคัญว่าเป็นชาย ก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระอังศาขาด ซบพระเศียรทิวงคตอยู่บนคอช้าง ขณะนั้น พระราเมศวร กับพระมหินทราทรงเห็นเหตุการณ์ ก็ขับช้างทรงเข้าช่วย ขวางกั้นข้าศึกไว้อย่างหนักหน่วง จนข้าศึกถอยทัพ จึงได้พระศพสมเด็จพระชนนีมา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ถอยทัพกลับคืนเข้าในพระนคร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อทรงถอยทัพกลับคืนเข้าพระนครแล้วก็ใหัรักษาพระนครไว้ให้มั่น คอยกองทัพเมืองเหนือของพระมหาธรรมราชาที่จะยกมาถึง จึงจะตีทัพข้าศึก กระหนาบทั้งสองด้านให้พร้อมกัน ส่วนพระศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนั้น ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ที่สวนหลวง ภายหลังได้ทรงมีบัญชาให้สร้างพระเมรุพระราชทานเพลิงศพที่ในสวนหลวงต่อเขตวัดสบสวรรค์ แล้วทรงสร้างพระอารามขึ้นตรงพระเมรุ มีพระเจดีย์ใหญ่เป็นสำคัญ ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้คือ วัดสวนหลวงสบสวรรค์
     
  16. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    "ถ้อยแถลงท้ายเรื่อง"

    ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย (9)


    ท่านผู้อ่านโปรดทราบ ในเนื้อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ส่วนมากก็ได้กล่าวไว้ที่เรื่องนั้นๆที่ได้มาจากฝัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระของบุคคลบางจำพวก ซึ่งก็เกือบจะร้อยทั้งร้อยไม่ค่อยจะเชื่อ คือหากจะมีตำรากล่าวไในมหาสุบินนิมิตสูตร ซี่งเป็นนิมิตความฝันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลายๆที่กล่าวไว้ในศาสนาต่างๆว่า พระผู้เป็นเจ้า God มาเข้าฝันก็ดี หรือเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้าย พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระสุบิน (ฝันว่า) บรรดาทวยเทพเทวา มาห้ามไม่ให้อยู่ที่เดิม คือไม่ให้ทรงสร้างเมืองหลวงขึ้นที่เดิมคือกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงทรงยาตราทัพ ไปตั้งที่บางกอก คือก่อนนั้นชื่อบางกอกและข้างวัดมะกอก จึงขอบอกว่า เรื่องฝัน มีมานาน หลายร้อย หลายพันปีแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องจริงตอนหลัง

    แต่เรื่องที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้ คือตัวของคน คือตัวจริง เห็นก็รู้ คือรู้จักว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ส่วนตัวที่สอง คือตัวเป็น คือเป็นโน่น เป็นนี่ เขาเป็นอะไร เป็นใคร ตัวนี้รู้ จึงจะเห็น ส่วนตัวที่สาม คือตัวแฝง ซึ่งเป็นตัวนามธรรมล้วนๆเป็นเรื่องที่ผู้อ่านสนใจมาก จึงทำให้หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกแจกไม่ทัน และก็ทำให้ผู้เขียนเองตลอดทั้งโรงพิมพ์ด้วยจะบ้าเอา เพราะการขอมาไม่ขาดสายวันละหลายสิบราย เพราะพิมพ์ออกแจกฟรี พิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดีราคาแพงๆ ยังมาแจกฟรีได้ไม่หมดตัวให้รู้ไป ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเองตระหนักดีว่า เราเป็นพระ เป็นนักบวช เราต้องเป็นผู้ให้ มิใช่ผู้เอา ถือว่าการทำอะไร ถ้าหวังความร่ำรวย หวังผลกำไร มิใช่วิสัยของสมณะ เพราะ ผู้เขียนเป็นพระนักให้ ที่ได้กล่าวมาแล้ว มิใช่พระนักรบ คือรบกวนชาวบ้าน รบมาได้ไม่รู้จักพอ (ไม่รู้จักเอือม เป็นทาสของตัณหา)

    อันเรื่องตัวแฝงนั้นก็คือการแยกตัวรูปธรรม คือตัวจริง กับตัวเป็น นี้ออกให้เป็นสองภาค หลายท่านอาจไม่รู้ไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องวิเศษวิโส ของคนระดับอรหันต์หรือผู้ถอดจิตได้ แต่ความจริงนั้น จิตกับกาย มันถอดออกจากกันได้ในเวลาที่กายสงบไม่ต้องทำอะไร ส่วนจิตใจก็อยู่ในภาวะที่สงบจากอารมณ์ภายนอกเช่นกัน อย่างเรานอนฝัน ก็จะฝันในขณะที่กายมันนอนหลับสบายแล้วกายก็หลับ จิตก็ฝัน มันจะฝันไปตามเรื่อง เรื่องเหตุที่จะให้ฝันนั้น ได้กล่าวไว้แล้ว และอีกเรื่องๆที่สอง ผู้เขียนเอามากล่าวเป็นเรื่องราวไว้ในที่นี้ เอามาจากอาการที่กายสงบอยู่สบายๆในที่สงัด ทางกายที่เรียกว่า กายวิเวก ส่วนจิตก็อยู่ในภาวะที่สงบ เรียกว่า จิตวิเวก คือ ทำสมาธิ จะเป็นชั้นไหนก็ได้ทั้งนั้น อันดวงจิตนี้เองมันจะกลายเป็นสสารที่มีอยู่แล้วในบริเวณนั้น ที่มันมีอยู่ก่อน หลายสิบ หลายร้อย หลายพันปี มันจะไม่หายไปไหน ในทางวิทยาศาสตร์ก็มีหลักว่า E=mc2 (สสารย่อมไม่หายไปจากโลก) อันสสารของใหม่ คือ ตัวจิตวิญญาณของเรา พอมันคลุกเคล้ากับสสารเก่าที่มีอยู่แล้ว มันก็แสดงให้เป็นรูป ให้เห็นในฝันด้วยสายตา และเป็นเสียง ให้เราได้ยินทางโสตประสาท (ทางหู) ในจิตใต้สำนึก ก็เป็นฝันอีกเช่นกัน

    ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วก็กรุณาอย่าหาว่า เป็นเรื่องเหลือวิสัยเลย โปรดให้ท่านเข้าไปอยู่ที่สงบ สงัด ทั้งกายและใจ ในสถานที่สงบสงัดดังกล่าวมาแล้ว ความรู้สึกนึกคิด ในจิตใจของเรา เบื้องต้นมันจะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่ง มันจะสร้างความรู้สึกนึกคิด อยากเห็น อยากได้ความสงบ อยากพบกับความรับผิดชอบ ชั่วดี อีกฝ่ายหนึ่ง มันอยากจะคลุกคลีกับธุลี คือกิเลสตัณหา ทั้งสองฝ่ายในดวงจิตเรา มันโอเคลงรอยกันได้ ตอนนี้สมาธิจิต คือ จิตเป็นหนึ่ง รวมเข้ากับสสาร ที่มีอยู่บริเวณนั้น มันจะเกิดเป็นแสงสว่างทางจิต วิญญาณ ความมืดมน ที่ทำให้จิตวิญญาณ มันหายไป อันสิ่งใดๆ ในอดีตกาลมันจะผ่านเข้ามา ให้รู้ได้ทางจิต มีนักปราชญ์ทางจิตวิญญาณหลายท่าน ได้เขียนไว้ อย่างท่านพุทธทาสท่านพูด ท่านคุยอยู่คนเดียว กับก้อนหิน ที่เป็นรูปอวโลกเตศวร ท่านหลวงวิจิตรวาทการ ท่านนั่งคุยอยู่คนเดียวกับพระนารายณ์ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช สนทนากับพระประธาน ท่านสมภารกร่าง คุยกับพระพุทธรูปทั้งวัน ในเรื่องไผ่แดง และตัวผู้เขียนเอง นั่งคุยกับกอไผ่ แต่ข้างในเป็นเสาหลักเมืองโบราณ จนได้ขุดค้นขึ้นมา และได้สร้างไว้ให้ชาวพิจิตร

    ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจว่า อันตัวแฝง วิญญาณแฝง มันมีอยู่ในดวงจิตของท่านแล้ว คืออยู่ในดวงจิตของทุกๆคน แต่คนเราส่วนมาก มองข้ามไป ไม่นำออกมาใช้ มันจึงเกิดทุกข์ เพราะจิตวิญญาณ มันโดนขัง ฝังลึกอยู่กับโลภ โกรธ หลง สารพัด จงหาทางฝึกหัดกันบ้าง เพื่อเป็นเรือนที่พัก เป็นวิมานของจิตใจ แล้วใจจะได้รับความสุข ความสว่างเหินห่างจากทุกข์ภัย
     
  17. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    972
    ค่าพลัง:
    +3,331
    อ่านรวดเดียวเลย... amazing!!!

    บางคำสอนของหลวงปู่ก็ขออนุญาตจดไว้ค่ะ
     
  18. ดาวพุธ

    ดาวพุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +483
    ขอบคุณ คุณทิพย์มาลา มากครับที่ นำเรื่องนี้มาลงไว้คับ
     
  19. rukmac

    rukmac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +377
    กรุณาพิมพ์มาให้อ่าน ขอบคุณครับ
     
  20. ทิพย์มาลา

    ทิพย์มาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +764
    ไม่ได้พิมพ์เองค่ะ ก็อปมาจากเว็บนี้ค่ะ...ธรรมนิยาย: ตำนานพระสุพรรณกัลยา ในย้อนรอยกรรมของหลวงปู่โง่น โสรโย
     

แชร์หน้านี้

Loading...