รักษาโรคด้วยพลังจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 17 มิถุนายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผู้กำกับ ข้อ ๒. ในยามที่ผมไม่สบาย เป็นหวัด หรือคนข้างเคียงไม่สบาย เช่นเป็นหวัดเจ็บคอ ปวดหัว ผมได้พิจารณาแยกกาย แยกรูปออกจากกัน แยกออกจากกันแล้ว ได้พบสิ่งแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในรูปกายผม คาดว่าเป็นเชื้อโรค มีรูปนิมิตลักษณะต่างๆ กัน และนึกน้อมนำเจ้าโรคนั้นไปทิ้งถังขยะบ้าง ทิ้งทะเลบ้าง สังเกตผลว่าทำให้หายเจ็บไข้ได้อย่างรวดเร็ว ผมได้รักษาลูกสาวบ้าง รักษาตนเองบ้าง รักษาคนในครอบครัวบ้าง สังเกตว่า ได้ผลดีครับ การทำอย่างนี้เป็นการฝืนกรรมลิขิตหรือไม่ครับ และจะมีโทษภายหลังหรือไม่ครับ หรือควรปล่อยให้เจ็บไข้เป็นไปตามธรรมชาติของเขาครับ

    หลวงตา ถูกต้องแล้วนี่ เป็นไปตามนิสัยนะ ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนไป แต่สำหรับรายของเรานี้ถูกต้องแล้วตามนิสัยของเรา ตามแต่จะแยกแยะไปใช้ในเวลาใด เหมาะสมกับความถนัดใจของเราก็พิจารณาได้ ถูกต้อง

    ผู้กำกับ ไม่เป็นการฝ่าฝืนกรรมลิขิตนะครับ
    หลวงตา ไม่ฝืน

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพ
    เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    วิธีชำระจิตใจ
    (คัดลอกมาบางส่วน)

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3587&CatID=2
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมนั่งสมาธิมาหลายปีแล้ว ผมเคยรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยสมาธิ เดินก็เจ็บ นั่งก็เจ็บ ไม่รู้ทำยังไงดีก็เลยนั่งสมาธิ
    ก็ได้ผลดีแต่ไม่ขอเล่าละเอียด มีเรื่องแปลกเกี่ยวกับการรับรู้ของจิดเยอะมากๆ แต่ไม่ขอเล่าเช่นกัน อนุโมทนาบุญครับ
     
  3. มหนฺตยศฺ

    มหนฺตยศฺ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +112
    กำหนดจิตเผาไปเลยได้ไหมครับ
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    หลวงตาบอกไว้ "ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนไป" ผมกำหนดเอาเองครับ จะเอาอาการเจ็บป่วยไปทิ้งที่ไหน ถ้าเหตุปัจจัยพอมันก็หายได้ ถ้าเหตุปัจจัยไม่พอก็ใช้พยายามทำให้มากขึ้น บุญบารมีแต่ละคนทำมาไม่เท่ากัน ผลย่อมได้ต่างกันครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง

    ฉะนั้น พวกเราทุกคน เมื่อมารู้สึกตัวว่า ตัวของเรายังเป็นคนไข้เพราะโรคเกิดขึ้นที่กายและใจอยู่แล้ว พึงเห็นโทษแห่งโรคนั้น ๆ แล้วพากันเยียวยารักษาด้วยการรักษาดังแสดงมาแล้ว ก็จะเป็นผู้หายจากโรค เป็นลาภอย่างยิ่งในชีวิตนี้สมกับพุทธภาษิตว่า

    "อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ฯ ดังนี้

    การสงเคาระห์ดังแสดงมานี้ เป็นการสงเคราะห์ที่ถูกต้อง แน่นอนและได้ผลสมดังเจตตนาของทุก ๆ คน เมื่อพากันเข้าใจวิธีสงเคาะห์ดังนี้แล้ว จะอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ป่า ก็พากันสงเคราะห์ได้ไม่เลือก เพื่อความหมายเสียจากโรคภัยพิบัติ อุปัทวะทั้งปวง ล่วงถึงซึ่งความสุขเกษมศานต์

    มีผู้ถามหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีว่า : ผมมีโรคประจำตัวปรากฏอาการเป็นครั้งคราว เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาปรากฏอาการในสมองคล้ายมีอะไรมาดัน เจ็บมากที่ศีรษะ ตรวจแล้วไม่ใช่เนื้องอก ไม่พบพยาธิสภาพในสมอง ผมไปรักษาตัวที่ลอนดอน แพทย์ฉีดยาให้ อาการของโรคหายไปถึงห้าปี หลังจากนั้นปรากฏอาการเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ อยู่เรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้ ตอนนี้หายมา ๔ วันแล้ว อีกหน่อยคงเป็นอีก ไม่อยากไปผ่าตัด ไม่อยากฉีดยาด้วย พยายามที่จะหัดภาวนา อยากทราบว่าจะมีวิธีแก้หรือเปล่าครับ

    หลวงปู่เทสก์: มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าหากใจของเราสงบมีพลังเพียงพอสามารถที่จะปล่อยวางไม่ยอมเข้าไปยึดในเรื่องความเจ็บปวดนั้นได้ คือ ยอมสละคล้ายว่าทิ้งเลย เป็นของน่าเบื่อหน่ายเป็นทุกข์มานาน ทิ้งเลยยอมสละในปัจจุบัน เมื่อจิตมีพลังเต็มที่หายได้เด็ดขาด

    ผู้ถาม : แนวของการปฏิบัติที่จะปล่อยวางมีอะไรบ้างครับ

    หลวงปู่ : วิธีที่จะปล่อยวางมีสองอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการต่อสู้เวทนา มันปวดตรงไหน มันเจ็บตรงไหน เวทนาเกิดขึ้นตรงไหน กำหนดเอาใจไปไว้ตรงนั้น จดจ้องเฉพาะตรงนั้น รู้อยู่สิ่งเดียวไม่ต้องให้มันแส่ส่ายไปที่อื่น พอจิตแน่วแน่ จ้องมองเฉพาะความเจ็บอยู่อย่างนั้น เพ่งพิจารณาถึงเรื่องความเจ็บอันนั้น บางครั้งบางคราวเมื่อจิตรวมสงบได้อาจจะแตกกระจายหายวับไปได้ก็มี บางทีเมื่อเราเอาจิตเข้าไปถึงตรงนั้นไปจ้องอยู่ตรงนั้น รวมวูบลงไปหายเลยก็มี หรือมิฉะนั้นเราทอดธุระอย่างที่อธิบายมาให้ฟังแล้ว อันนี้เป็นก้อนทุกข์ทรมานมานานแล้ว คราวนี้อะไรก็ทิ้งเลย เราจะกำหนดเอาใจผู้เดียว ใจผู้ที่ไปเห็นมันทุกข์ รู้สึกว่ามันทุกข์ จับเอาเฉพาะความรู้สึก ไม่ต้องไปทำความรู้สึกกับผู้ทุกข์ จับความรู้สึกผู้ที่ไปจ้องอยู่อันเดียว พอจิตอันนี้มีพลังหายได้เหมือนกัน

    ผู้ถาม : เมื่อเรารู้สึกเจ็บ ความเจ็บมันอยู่ที่สมองหรืออยู่ในใจ

    หลวงปู่ : มันพูดยาก ต่อเมื่อสงบใจจนกระทั่งมันวางหมดเสียก่อน แล้วมีใจเหลืออยู่อันหนึ่ง จึงจะรู้ว่าใจกับสมองนั้นคนละเรื่องกัน เดี๋ยวนี้มันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่ มันยังแยกกันไม่ทันออก จะพูดอันนี้มันก็ไปถูกอันนั้น จะพูดอันนั้นมันก็มาถูกอันนี้ พูดถึงใจไปถูกเซลส์ จะพูดถึงเซลส์ไปถูกใจ พูดเจ็บก็ไปถูกใจ พูดใจก็ไปถูกเจ็บ เมื่อใจมันวางหมดความเจ็บก็ไม่มี มันเหลืออันหนึ่งของมันต่างหาก มันไม่ปรากฏ จึงค่อยไปรู้ว่าใจกับสมองมันแยกคนละอัน แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่มันทำงานร่วมกัน


    ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
    004616 -
     
  6. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

    สวดมนต์รักษาโรค


    การสวดมนต์ที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันคือการทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์แผ่เมตตา สวดคาถาพาหุงมหากาฯ และสวดพระปริตรธรรม มีการวิจัยในการแพทย์ปัจจุบันจำนวนมากที่แสดงว่า การสวดมนต์ช่วยให้เกิดความสุข ความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ เช่นทำให้สุขภาพ จิตดี และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้ (Mc Collough Me Prayer and Health : Conceptual Issues ,’ Journal of psychology and Theology, 1995) ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ลารี ดอสซี ได้วิเคราะห์ผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ประมาณ ๑๐๐ เรื่อง และพบว่าในงาน วิจัยต่างๆ เหล่านี้ การสวดมนต์มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพืช และการที่แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนั้น ในงานวิจัยหลายรายเราพบว่า การสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ สมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งรัฐเทกซัสได้เจาะเลือด อาสาสมัคร 32 ราย เมื่อแยกเอาเม็ดเลือดแดงออกแล้ว ใส่สารละลายที่จะทำให้เมล็ดเลือดแดงบวมและแตกน้อยลง ผลคือ เม็ดเลือดแดงนั้นแตกช้าลง (Castleman M, Nature ‘s Cures)



    จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่า การสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราผ่อนคลายทั้งทางจิตใจและทางกาย ทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจ เช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจและทางกายมาก ด้วยเหตุนี้จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อย จึงนำการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดทางจิตร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์ (King E., Bushwick B, Beliefs and Attitudes of Hospital Inpatients about Faith Healing and Prayer) การสำรวจของ นักวิจัยหลายกลุ่มพบว่า คนอเมริกันนิยมสวดมนต์กันมากกล่าวคือ 70 % สวดมนต์ทุกวัน และ 44 % สวดมนต์เพื่อการบำบัดโรค มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า การสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงน้อยลง เช่น โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเครียด และโรคซึมเศร้า เป็นต้น แม้แต่ผู้ป่วย ที่เป็นโรคมะเร็ง จะมีอัตราตายต่ำกว่าประชากรทั่วไป (Michello Ja, ‘Spiritual and Emotional Determinants of Health,’ Journal of health,1988) นอกจากนั้น การสวดมนต์เมื่อปฏิบัติร่วมกับสมาธิยังสามารถลดปัญหาการฆ่าตัวตายและการใช้ยาเสพติดได้ (Ellison E.C., ‘Religious involvement and subjective well-begin,’ Journal of Health Social Behaviors,1991)


    การปฏิบัติสมาธิ สมาธิรักษาโรค


    การสวดมนต์ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย ปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับสมาธิและสุขภาพ มากกว่า ๒๐๐ ราย งานวิจัยต่างๆ เหล่านี้ชี้ให้เห็นผลดีของสมาธิ (หรือการมีจิตใจสงบ จิตตั้งมั่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด) ต่อการรักษาโรคทางกายอย่างชัดเจน ดังนั้น แพทย์จำนวนไม่น้อยในอเมริกาจึงนำสมาธิไปใช้รักษาโรค ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ไว้มากคือ ดร.เฮอร์เบอร์ เบนสัน ศาสตราจารย์ทางอายุรศาสตร์แห่งโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาด ศาสตราจารย์ ผู้นี้ได้ศึกษาเรื่องนี้มากว่า 30 ปี ศาสตราจารย์เบนสัน เองเคยเดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาในอินเดียและทิเบต ในงานช่วงแรก ศาสตราจารย์เบนสันได้ให้อาสาสมัครทำสมาธิ แล้ววัดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจคลื่นสมองคลื่นหัวใจ เจาะเลือดดูกรดแลคติก พบว่าคนที่จิตเป็นสมาธิ ความดันอัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลง คลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง



    การค้นพบของศาสตราจารย์เบนสันครั้งนี้ ทำให้แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่า จิตใจและร่างกายมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดกันจริง พร้อมทั้งเชื่อว่า การทำสมาธิสามารถรักษาโรคได้ เพราะสมาธิทำให้จิตใจและร่างกายผ่อนคลาย ไม่เครียด ในเวลาที่เราเครียด ความดันจะสูงขึ้น การหายใจจะเร็วขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น กล้ามเนื้อ จะตึงตัวมากขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย มากขึ้น และร่างกายใช้ออกซิเจนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความเครียดจึงทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ การทำให้เกิดการผ่อนคลาย ทำให้โรคต่างๆหายได้ งานวิจัยของศาสตราจารย์เบนสันพบว่าผู้ป่วยมาพบแพทย์ 60-90 % เป็นโรคเกี่ยวกับจิตใจมากกว่าร่างกาย การทำให้เกิดการผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิช่วยให้โรคส่วนใหญ่หายหรือดีขึ้นได้ (Benson Lt., et al Relaxation Respone, Med Clin North AM, 1977) นอกจากนั้น การปฏิบัติสมาธิยังทำให้ร่างกายหลั่งสารบีต้า แอนคอฟินด์ ซึ่งเป็นสารประเภทฝิ่นออกมาในสมอง มีผลทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกสดชื่น อิ่มเอิบและสุขสบาย



    นายแพทย์โจน คาบัท-ซิน นักวิจัยทางการแพทย์ได้พบว่า การทำสมาธิร่วมกับการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ความดันลดลงมาก ผู้ป่วยไม่ต้องกินยา หรือในกรณีที่ผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันอยู่แล้ว การใช้ยาจะลดลงมากทั้งชนิดและขนาด งานวิจัยชิ้นหนึ่ง รายงานว่า ในจำนวนอาสาสมัคร 23 ราย ที่มีค่าไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด 254มิลลิกรัม/เดซิลิตร สามารถลดลงได้ 30 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หลังการปฏิบัติได้ 11 เดือน โดยไม่ได้ควบคุมเรื่องอาหาร งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ความหนาของผนังเส้น เลือดหัวใจในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 60 ราย ลดลง หลังจากฝึกสมาธิราว 6-9 เดือน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง อาการปวดลดลง เคลื่อนไหวได้มากขึ้น มีความเครียดและอาการซึมเศร้าน้อยลง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ 58 % นอนหลับดีขึ้น และหลังการปฏิบัติได้ 6 เดือน 91% ใช้ยานอนหลับลดลงหรือหยุดยาได้ ส่วนสตรีที่มีอาการก่อนประจำเดือนอาการลดลง 57% และผู้ที่มีอาการรุนแรงอาการ จะทุเลาลง ผู้ป่วยที่หัวใจเต้นไม่ปกติ การเต้นผิดปกติ ของหัวใจจะลดลง ส่วนผู้ป่วยปวดศีรษะแบบไมเกรน อาการปวดศีรษะ และความรุนแรงจะลดลง



    งานวิจัยต่างๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า การทำสมาธิ มีผลให้เกิดการผ่อนคลายความเครียด สามารถรักษาโรคให้หายได้โดยไม่ต้องใช้ยาหรือใช้ยาน้อยลง (Zamarra J, et al., Usefulness of the Transcendental Meditation Program in the Treatment of Patients with Coronary Disease, AM J Cardinal, 1996) จิตที่เป็นสมาธิเป็นจิตที่มีพลัง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ ประโยชน์ในทาง พัฒนาสุขภาพจิตและบุคลิกภาพ คือทำให้เป็นคนมีสุขภาพจิตดี สงบ หนักแน่น ใจเย็น ไม่หงุดหงิด ไม่ฟุ้งซ่าน นุ่มนวล และมีความคิดในทางสร้างสรรค์ ในทางสุขภาพ สมาธิทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แบบที่นำมาลงใน #Rep 1 เหมาะสำหรับบุคคลที่ฝึกสมาธิมาดีพอตัว
    แต่ต้องอาศัยช่วยที่สภาวะจิตมีความเป็นทิพย์ร่วมด้วย...หลักการณ์และวิธีการตามนั้น.
    .บุคคลที่ทำแบบนี้แบบนี้จะสามารถรับพลังงานร้อนและเย็นจากธรรมชาติมา
    ช่วยเสริมกำลังตัวเองได้..และถ้ารักษาตัวเองและคนอื่นๆจะใช้กำลังสมาธิตัวเอง
    อย่างเดียว..แต่จะไม่ค่อยทนเรื่องสัมผัสจากในกรณีที่ถูกรบกวนจากภพภูมิไม่ดีที่ถูกส่ง
    มาจากบุคคลอื่นๆ.หรือพูดง่ายเครื่องป้องกันตัวยังไม่ดี.แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
    แต่จะสามารถสร้างความรำคาญได้ และน้อยคนจะไปรักษาคนอื่นๆ....

    อีกแบบคือ.กลุ่มที่ใช้ทิพยจักขุฌานแล้วไปเจรจากับเจ้ากรรมนายเวร.โดยเฉพาะ
    ที่เป็นสัตว์ตัวเล็กๆที่ส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยเรื้อรัง..และเจรจาที่โน้มไปทาง
    ให้เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมให้และอุทิศส่วนกุศลให้ในลำดับต่อมา..

    อีกแบบคือ ใช้พลังงานกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ที่มีตัวเอง..ในการดูดพิษ
    อัดธาตุและซ่อมแซมธาตุที่บกพร่องต่างๆ.ความสามารถในการรับพลังงานธรรมชาติเหมือนกลุ่มแรก
    .และ.กลุ่มนี้จะมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิอยู่เบื้องหลัง.
    .จะเป็นกลุ่มที่มีเครื่องป้องกันตัวเองจากภพภูมิไม่ดี
    และสามารถใช้ในการปราบวิญญานไม่ดีต่างๆได้..และสุดท้ายก็ให้ครูบาร์อาจารย์ปรับภพภูมิให้..
    เล่าให้ฟังเคร่าวๆประมาณนี้ครับ..​
     
  8. Kiai

    Kiai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +36
    มีการเจ็บป่วยประเภทนึงที่ตอนแรกเราไม่เข้าใจแล้วสงสัยครีับว่าทำไมต้องมาเป้นช่วงนั้นช่วงนี้ด้วย ดังนั้นสองสามหนก็เลยฝืนเอาว่าเจ็บป่วยเราก็จะปฎิบัติสิ่งที่เราต้องทำต้องไปผลปรากฎว่าเมื่อทำแล้วไปแล้วล้มเหลวทั้งหมดทั้งสิ้นซึ่งไม่ใช่ความผิดของเราคือมีคนรอจะแกล้งตั้งแต่ต้น เหมือนกับทำนองว่า ถ้าไปถ้าทำจะต้องเจออะไรบ้าง ตอนนี้ตัวเองก็เลยเข้าใจครับว่าจะเจ็บจะป่วยบางทีอย่าไปฝืน ส่วนหากเจ็บป่วยด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่โรคปัจจุบัน หากลองสวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆตั้งจิตอธิษฐานเคยลองแล้วเหมือนกันพบว่ามีบางอย่างหายป่วยได้อย่า่งประหลาด ซึ่งหมายความว่า อาการเจ็บป่วยนี่น่าจะมีหลายแบบหลายเหตุปัจจัยครับ
     
  9. Kiai

    Kiai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +36
    เรื่องดังกล่าวนั้นมีสาเหตุครับกล่าวคือตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ฐานะส่วนตัวย่ำแย่มาก และมีอุปสรรคมากมายทั้งพวกหน้าไหว้หลังหลอก หรือ ศัตรูรายรอบ ตอนนั้นพึ่งพาใครไม่ได้เลยเพราะถูกคนชั่วใส่ร้ายจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ และทำให้ทะเลาะกับครอบครัวจนเข้าหน้าใครไม่ติด ตอนนั้นปวดฟันมากเพระาฟันตัวเองแต่เดิมปกติดีแต่วันหนึ่งไปกัดในส่วนที่เป้นกระดูกหมูเข้า ทำให้ฟันกรามบิ่นหักไปเสี้ยวหนึ่ง หลังจากไปพบแพทย์ทางนั้นบอกว่าต้องใช้เงินในการรักษาครอบฟันขั้นต่ำ หนึ่งหมื่นบาท แต่ตัวเองช่วงนั้นลำบากมากไปร้องขอใครให้ช่วยก็ได้รับคำปฎิเสธ ทั้งกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพระาฟันอซี่อีกด้านนึงจะบาดลิ้นบาดปากเราเป้นแผลเลือดออกตลอด ทรมานมาก จนกระทั่งมีบางสิ่งเข้ามาเนื่องจากตอนนั้นเราทำหนังสือเรื่องหนึ่งพอดีที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ หลังจากศึกษาเรื่องนี้ไปด้วยตัวเองก็สวดมนต์และเข้าใจการทำบุญเสียใหม่ พร้อมๆกับเข้าใจสัจธรรมของสิ่งทีเ่กิดขึ้น แน่นอนว่าบางสิ่งบอกเราว่าเหตุปัจจัยเกิดจากใครและคนที่ทำให้เราเป้นเช่นนั้นเป้นใคร เขาเป้นคนที่มีบุญเกื้อหนุน แต่บาปที่เขาทำกับเราไปเรื่อยๆจะทำให้เขาย่ำแย่ในที่สุด หากพูดอะไรออกไป มันก็จะมีการสะท้อนย้อนกลับมาตลอด ซึ่งบางสิ่งที่เหนือกว่านั้นบอกว่ามันคงอยู่ได้อีกไม่นานเพระาสิ่งที่เรียกว่าการสะท้อนย้อนกลับนั้นเราได้รับทุกขเวทนา ดังนั้นมันจึงถือเป้นบาปที่เขาก่อกับเราโดยตรง มันสะท้อนกันได้ทางโลกเท่านั้นเพราะการซื้อขายกรรมมันไม่มีในโลก หลังจากถือศีล 5 สวดมนต์บ้างอาการก็ค่อยๆดีขึ้น บางครั้งรายได้ใหม่ๆที่มีมาโดนโกงโดนปิดกั้นจนและโดนแกล้งจนไม่มีอะไรกินก็มี แต่วันนั้นกลับฝันว่าได้ทานอะไรมากมายและเรารู้สึกอิ่มท้องในที่่สุด ไม่มีทีท่าว่าหิวกระหายอะไรเลยทั้งๆที่วันนั้นไม่ได้ทานอะไรเลย ในที่สุดฟันซี่ที่มีปัญหาก็กลับมาโค้งมนจนตอนนี้แม้จะมีเงินและสถาณการณ์จะคลี่คลายขึ้นมาบ้างก็ไม่ได้เจ็บปวดในส่วนของฟันซี่นั่นเลยแต่อย่างใดครับ จริงๆก็ไม่ทราบหรอกครับว่านั่นเป้นพลังจากแห่งไหน แต่ในใจเราตอบตัวเองได้ เพียงแต่ในเมื่อเราไม่รู้ชี้ขัดจริงๆว่ามาจากไหน ท่านเป้นใคร ก็คงไม่ควรจะพูดออกไปนั่นแหละครับ
     
  10. Kiai

    Kiai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +36
    ชื่อของผม อ่านว่า คิไอ้ นะครับไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำว่า ไอ หรือ อะไร สิ่งที่เลวร้ายที่มาคุกคามตัวเองนั้นหากมีอะไรที่เหมือนเพื่อนกิน อะไรที่มีดี มันจะเข้ามาร่วมด้วยแล้วบอกว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นคนทำหรือหาเรื่องมาเกี่ยวกับพวกมัน ทำนองนั้นแหละครับ แต่นานๆไปก็ไม่ได้ผล เพระาสิ่งใดที่ว่าชั่วว่าเลว นานๆไปทุกคนจะเห็นกันเอง เพระามันจะไม่มีตัวตนของมัน มันจะคอยเกาะกินและอยู่ได้ด้วยการเกาะกินสิ่งที่เราเคยมี เพื่อสุขของพวกมันในปัจุบันเท่านั้น อาจจเป็นคราวเคราะห์ที่สิ่งเลวๆเหล่านั้นคิดจะเก็บเรา บางอย่างที่เหนือกว่าก็เลยมากำหราบแต่ยับยั้งเอาไว้ เพระาเกรงว่าพลังของมันทางโลกจะกลับมาทำร้ายเราให้หนักกว่าเดิมย้อนกลับให้หนักกว่าเดิมนั่นเอง
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อยู่มาวันหนึ่งท่านพระสารีบุตรได้ป่วยเพราะโรคปวดท้องกำเริบขึ้น อันพระโมคคัลลานะถามว่า ท่านเป็นโรคนี้เคยฉันยาอะไรจึงหาย พระสารีบุตรตอบว่า โรคนี้ต้องได้ฉันข้าวมธุปายาสมีน้ำอ้อยผสมกับน้ำตาลกรวดจึงหาย ขณะนั้นเทวดาที่สิงอยู่ในถ้ำนั้นได้ยินก็ต้องการที่จะให้พระเถระได้ฉัน จึงรีบไปยังบ้านอันเป็นโคจรตามของพระเถระทั้งสองแล้วก็เข้าไปสิงในร่างของเด็ก ทำอาการให้เด็กชักดิ้นชักงอ อันบิตามารดาต้องพยายามแก้ไขทุกอย่างเด็กก็ไม่ทุเลา
    เทวดาที่สิงจึงบอกว่า “นี่ พวกท่านต้องการให้ลูกหายไหม”
    บิดามารดาตอบว่า “ข้าพเจ้าต้องการเป็นที่สุด”
    เทวดาที่สิงอยู่ในร่างเด็กก็บอกว่า “ท่านจงทำข้าวมธุปายาส มีน้ำอ้อยผสมน้ำตาลกรวดไปถวายท่านพระสารีบุตรเท่านั้นเอง บุตรของท่านก็จะหายทันที”
    อันบิดามารดาของเด็กรับว่า “เพียงเท่านั้นข้าพเจ้าทำได้ และพระเถระนี้ข้าพเจ้าก็เลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง”
    แล้วเทวดานั้นก็ออกจากร่างเด็กๆ ก็หายทันที

    รุ่งเช้าพระโมคคัลลานะออกบิณฑบาตแต่เช้า ได้ไปถึงบ้านนั้น อันเขาทั้งหลายได้ถวายอาหารแก่พระโมคคัลลานะแล้วก็ถวายข้าวมธุปายาส และขอร้องให้ไปถวายแก่พระสารีบุตร อันพระโมคคัลลานะนำมาแล้วก็น้อมเข้าไปถวาย ท่านพระสารีบุตรได้พิจารณาว่าอาหารนี้ไม่บริสุทธิ์ท่านจะนำมาทำไม
    “เพราะเหตุใด” ท่านพระโมคคัลลานะถาม
    “เพราะว่าเทวดาไปบังคับเขา” พระสารีบุตรตอบ
    ส่วนท่านพระโมคคัลลานะได้พิจารณาก็ทราบทันที แล้วพระโมคคัลลานะจึงอุทานว่า “ เราตาบอดไปเชียว”
    แล้วนำมธุปายาสนั้นไปเททิ้ง พระสารีบุตรก็กำหนดจิตให้บริสุทธิ์ หายจากโรคปวดท้องทันที

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้พูดเป็นอุบายว่า ความบริสุทธิ์ของศีลนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความผ่องใสเป็นทางให้เกิดความจริงได้ เพราะศีลมีทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด


    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
     

แชร์หน้านี้

Loading...