แผ่เมตตา เป็น มหากุศลใหญ่ เหนือวัตถุทานทั้งปวง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พระศุภกิจ ปภัสสโร, 17 มิถุนายน 2009.

  1. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    บุคคลผู้เมตตา ย่อมหวังได้ซึ่ง อานิสงส์แห่งเมตตาเจโตวิมุติ ๑๑ ประการนั้น
    มีอรรถาธิบายโดยพิสดาร ดังต่อไปนี้

    [​IMG]๑. อานิสงส์ประการที่ ๑ ที่ว่า นอนเป็นสุข นั้น อธิบายว่า ชนทั้งหลายจำพวกที่ไม่ได้สำเร็จเมตตาเจโตวิมุติ เมื่อนอนก็ไม่นอนอยู่แต่ข้างขวาทางเดียว นอนกลิ้งกลับไปกลับมารอบตัว และนอนกรน คือขณะเมื่อหายใจเข้าทำเสียงดังอยู่โครกๆ เช่นนี้ ชื่อว่านอนเป็นทุกข์ ส่วนเมตตาวิหารีบุคคลนี้ไม่นอนเหมือนอย่างนั้น ชื่อว่า นอนเป็นสุข แม่เมื่อนอนหลับสนิทแล้วก็มีอาการเหมือนกับคนเข้าสมาบัติ

    [​IMG]๒. ประการที่ ๒ ที่ว่า ตื่นเป็นสุข นั้น อธิบายว่า ชนเหล่าอื่นที่ไม่ได้สำเร็จเมตตาเจโตวิมุตินั้น โดยเหตุที่นอนเป็นทุกข์ไม่ได้ความสุขในขณะที่หลับอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงถอดถอนหายใจใหญ่ สยิ้วหน้า บิดไปบิดมาข้างโน้นข้างนี้ ดังนี้ ชื่อว่า ตื่นเป็นทุกข์ ฉันใด ส่วนเมตตาวิหารีบุคคลนี้ ตื่นขึ้นมาไม่เป็นทุกข์อย่างนั้น ตื่นขึ้นมาอย่างสบายไม่มีอาการอันน่าเกลียด ชื่นบานเหมือนกับดอกประทุมที่กำลังแย้มบาน

    [​IMG]๓. ประการที่ ๓ ที่ว่า ไม่ฝันร้าย นั้น อธิบายว่า เมตตาวิหารีบุคคลเมื่อฝันเห็นสุบินนิมิต ก็เห็นแต่สุบินนิมิตที่ดีๆทั้งนั้น เช่นฝันว่าได้ไปไหว้พระเจดีย์ ได้ไปทำการบูชาพระรัตนตรัย หรือได้ฟังพระธรรมเทศนา ส่วนชนเหล่าอื่นที่ไม่ได้สำเร็จเมตตาเจโตวิมุติย่อมฝันเห็นนิมิตอันน่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ เช่นฝันว่า ตนถูกพวกโจรมารุมล้อมถูกพวกสุนัขป่าไล่ขบกัด หรือตกลงไปในเหว ฉันใด เมตตาวิหารีบุคคลไม่ฝันเห็นสุบินนิมิตอันเลวร้ายเช่นนั้น

    [​IMG]๔. ประการที่ ๔ ที่ว่า เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย นั้น อธิบายว่าเมตตาวิหารีบุคคลย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่เจริญใจของคนทั้งหลาย เหมือนสร้อยไข่มุกที่พาดอยู่ที่หน้าอก หรือเหมือนดอกไม้ที่ปักอยู่บนศีรษะ ย่อมเป็นที่เจริญใจของคนทั้งหลาย ฉะนั้น

    [​IMG]๕. ประการที่ ๕ ที่ว่า เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย นั้น อธิบายว่า เมตตาวิหารีบุคคลย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่เจริญใจของพวกมนุษย์ ฉันใด ก็ย่อมเป็นที่รักใคร่เป็นที่เจริญใจของอมนุษย์ ฉันนั้น เช่น พระวิสาขเถระเป็นตัวอย่าง

    [​IMG]๖. ประการที่ ๖ ที่ว่า เทวดาทั้งหลายคอยเฝ้ารักษา นั้น อธิบายว่า เทวดาทั้งหลาย ย่อมคอยเฝ้ารักษาเมตตาวิหารีบุคคลเสมือนบิดามารดาคอยเฝ้ารักษาบุตร ฉะนั้น

    [​IMG]๗. ประการที่ ๗ ที่ว่า ไฟ, ยาพิษ, หรือศัตรา ไม่กล้ำกรายในตัวของเขา นั้น อธิบายว่า ไฟไม่กล้ำกรายเข้าไปในกายของเมตตาวิหารีบุคคล เช่นอุบาสิกชื่ออุตตราเป็นตัวอย่าง หรือยาพิษไม่กำซาบเข้าไปในร่างกายของเมตตาวิหารีบุคคล เช่น พระจูฬสีวเถระผู้ชำนาญสังยุตตนิกายเป็นตัวอย่าง หรือศัสตราไม่บาดร่างกายเมตตาวิหารีบุคคล เช่นสังกิจจสามเณรเป็นตัวอย่าง เฉพาะข้อว่าศัสตราไม่บาดนี้ ควรยกเรื่องแม่โคนมมาแสดง เป็นตัวอย่างประกอบดังนี้

    ได้ยินว่า มีแม่โคนมอยู่ตัวหนึ่งกำลังยืนให้น้ำนมแก่ลูกอยู่ ขณะนั้นนายพรานคนหนึ่งตกลงใจว่า เราจักแทงมันดังนี้ แล้วได้ตวัดมือพุ่งหอกเข้าใส่ทันที แต่พอหอกนั้นจรดลำตัวแม่โคนมนั้น ก็ม้วนพับเหมือนกับใบตาล นี้ไม่ใช่เป็นด้วยกำลังแห่งอุปจารสมาธิหรือไม่ใช่ด้วยกำลังแห่งอัปปนาสมาธิเลย แต่เพราะความมีใจรักลูกอันมีกำลังรุนแรงอย่างเดียว เมตตามีอานุภาพอันยิ่งใหญ่อย่างนี้แล

    [​IMG]๘. ประการที่ ๘ ที่ว่า จิตเป็นสมาธิเร็ว นั้น อธิบายว่า เมื่อพิจารณากรรมฐาน จิตของเมตตาวิหารีบุคคลย่อมเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็วทีเดียว ไม่มีความเฉื่อยชาเลย
    [​IMG]
    [​IMG]๙. ประการที่ ๙ ที่ว่า ผิวหน้าผ่องใส นั้น อธิบายว่า ใบหน้าของเมตตาวิหารีบุคคลนี้ ย่อมมีผิวพรรณผ่องใสเหมือนลูกตาลสุกที่หล่นจากขั้วใหม่ๆ ฉะนั้น

    [​IMG]๑๐. ประการที่ ๑๐ ที่ว่า ไม่หลงทำกาลกิริยา นั้น อธิบายว่า การตาบด้วยความหลงย่อมไม่มีแก่วิหารีบุคคล คือ เมตตาวิหารีบุคคลไม่หลงทำกาลกิริยาเลย เมื่อตายเป็นเสมือนคนนอนหลับ ฉะนั้น

    [​IMG]๑๑. ประการที่ ๑๑ ที่ว่า เมื่อได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง อย่างตำก็จะบังเกิดในพรหมโลก นั้น อธิบายว่า เมตตาวิหารีบุคคลเมื่อยังไม่สามารถที่จะบรรลุถึงซึ่งพระอรหัตอันเป็นชั้นสูงยิ่งกว่าเมตตาสมาบัติ ครั้นเคลื่อนจากมนุษย์โลกนี้แล้ว ก็จะเข้าถึงพรหมโลกทันที เป็นเสมือนหลับแล้วตื่นขึ้น ฉะนี้

    อานิสงส์ทั้งหลายมีนอนเป็นสุขเป็นต้นในเมตตาภาวนานี้ ​

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  2. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    เมตตาเป็นคุรุกรรมกุศลฝ่ายบุญย่อมให้ผลก่อน

    บุพกรรมกุศลแห่งเมตตา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1g.jpg
      1g.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.4 KB
      เปิดดู:
      115
    • 1o.jpg
      1o.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      65
    • 3l.jpg
      3l.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.4 KB
      เปิดดู:
      79
    • 56.jpg
      56.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.9 KB
      เปิดดู:
      193
    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.4 KB
      เปิดดู:
      62
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.3 KB
      เปิดดู:
      69
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.2 KB
      เปิดดู:
      55
    • 15.jpg
      15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.2 KB
      เปิดดู:
      65
    • 14.jpg
      14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      93
    • 16.jpg
      16.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      78
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.5 KB
      เปิดดู:
      61
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.5 KB
      เปิดดู:
      66
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  3. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    เทียบหน่วยบุญในพุทธศาสนา

    ลำดับกุศลในทาน

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2012
  4. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    การแผ่เมตตาแก้กรรมใด้จริงหรือ

    การแก้กรรมล้างบาป..ในพุทธศาสนา

    <!-- creat picture --->




    <CENTER>[​IMG] </CENTER><CENTER></CENTER><!-- creat poll ---><!-- creat detail --->
    คัดลอกจาก..งานวิจัยของ..พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
    การแก้กรรม, ล้างบาปในพุทธศาสนาffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ชาวพุทธหลายคนมีความเชื่อฝังใจว่า การล้างบาปไม่มีในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน บุญและบาปนำมาลบล้างกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยยึดแนวคิดว่า การล้างบาปก็คือการสารภาพความผิดแล้วบาปทั้งหมดก็จะหลุดหายไปอย่างที่ทำกันในศาสนาคริสต์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าหาได้ทรงปฏิเสธการล้างบาปไม่ พระองค์กลับทรงตรัสย้ำถึงวิธีการล้างบาปที่ถูกต้อง มิใช่เพียงแค่ปากพูด หรืออาบ น้ำ[1] นั่นคือ ทรงตรัสรับรองว่า บาป สามารถล้างได้โดยการชำระล้างที่กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดบาปนั้น ๆ อีกทีหนึ่ง..ด้วยมรรคญาณ[2] ซึ่งเป็นการล้างบาปที่แท้จริง ในเรื่องนี้ปรากฏข้อความในพระคัมภีร์มากมาย
    พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ทุติยโสเจยยสูตร ปรากฏข้อความว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีกายสะอาด มีวาจาสะอาด มีใจสะอาด ไม่มีอาสวะเป็นผู้สะอาด ถึงพร้อมด้วยความสะอาดบัณฑิตทั้งหลายเรียกว่าเป็นผู้ล้างบาปได้แล้ว[3]<O:p></O:p>
    พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต โธวนสูตร[4] ปรากฏข้อความว่า ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมล้างมิจฉาทิฏฐิได้ ล้างบาปอกุศลธรรมเป็นอันมากที่เกิดขึ้นเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยได้ และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึง ความเจริญเต็มที่เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย<O:p></O:p>
    พระสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย สุตตนิบาต สภิยสูตร[5] ปรากฏข้อความว่า บุคคลผู้ชำระล้างบาปได้ทั้งหมด ทั้งภายในและภายนอก ในอายตนะทั้งหมด[6] ไม่กลับมาสู่ตัณหาและทิฏฐิ[7]ในเทวดาและมนุษย์ผู้ยังท่องเที่ยวอยู่ในกัป๓ บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า ผู้ล้างบาปได้แล้ว<O:p></O:p>
    พระสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย เถรคาถา วักกลิเถรคาถา[8] ปรากฏข้อความว่า เราได้เสวยบาป -กรรมที่เราทำไว้ในชาติอื่น ๆ แต่ปางก่อน บัดนี้ เราจะลอยบาปนั้นเสียตรงนี้ เราได้มีความเห็นอย่างนี้มาแต่เดิม เรานั้นครั้นฟังพระวาจาสุภาษิต อันเป็นบทที่ประกอบด้วยเหตุผลแล้ว ก็ได้พิจารณาเห็นเนื้อความตามความเป็นจริง ได้อย่างถ่องแท้ โดยแยบคาย ล้างบาปได้หมดแล้ว เป็นผู้ไม่มีมลทิน หมดจดสะอาด บริสุทธิ์ เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรพุทธโอรส เราก้าวลงสู่กระแสน้ำคือมรรคอันมีองค์ ๘ ลอยบาปได้หมดแล้ว จึงบรรลุวิชชา ๓ ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย เถรีคาถา ปุณณาเถรีคาถา[9] ปรากฏข้องความว่า “พราหมณ์กล่าวด้วยภาษิตเหล่านี้ว่า ฉันขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ผู้คงที่ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ขอสมาทานศีล ข้อนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ฉัน เมื่อก่อน ฉันเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระพรหม วันนี้ ฉันเป็นพราหมณ์จริง ฉันได้วิชชา ๓ มีความสวัสดี จบเวท และเป็นผู้ล้างบาปได้แล้ว”<O:p></O:p>
    พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส คุหัฏฐกสุตตนิทเทส[10] ปรากฎข้อความว่า บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาป[11]ได้แล้ว<O:p></O:p>
    <HR align=left width="33%" SIZE=1>

    [1] ดูรายละเอียด ที่มาได้ที่ ม.มู.๑๒/๗๙/๖๘<O:p></O:p>
    พระปุณณาเถรีกล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า ใครหนอช่างไม่รู้ มาบอกความนี้แก่ท่านซึ่งไม่รู้ว่า คนจะพ้นจากบาปกรรมได้ก็เพราะการอาบน้ำ ถ้าเช่นั้นพวกกบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์เหล่าอื่น ที่เที่ยวหากินอยู่ในน้ำทั้งหมดก็คงพากันไปสวรรค์แน่แท้ คนฆ่าแกะ คนฆ่าสุกร ชาวประมง พรานเนื้อ โจร เพชฌฆาต และคนที่ก่อบาปกรรมอื่นๆ แม้เหล่านั้น ก็จะพึงพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำ..ละซิ อ้างอิง..พระสุตตันตปิฏกขุททกนิกาย ปุณณาเถรีคาถา (ไทย)๒๖/๒๔๐/๕๙๔<O:p></O:p>
    [2] บทว่า นินฺหาตปาปก ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าเป็นผู้มีบาปอันล้างเสียแล้ว เพราะเป็นผู้ล้างคือ<O:p></O:p>
    ชำระบาปทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในอายตนะแม้ทั้งปวงกล่าวคือ ภายในและภายนอก ด้วยสามารถอารมณ์ภายในและภายนอก ด้วยมรรคญาณ อ้างอิง....ขุ.ม.อ. ๑๔/๑๗๓<O:p></O:p>
    [3] องฺ.ติก.(แปล) ๒๐/๑๒๒/๓๖๘<O:p></O:p>
    [4] องฺ.ทสก.(ไทย)๒๔/๑๐๗/๒๕๐<O:p></O:p>
    [5] ขุ.สุตฺต(ไทย) ๒๕/๕๒๕/๖๒๒<O:p></O:p>
    [6] (ขุ.สุ.อ. ๒/๕๒๗/๒๕๓)<O:p></O:p>
    [7] (ขุ.สุ.อ. ๒/๕๒๗/๒๕๓<O:p></O:p>
    [8] ขุ.เถร(ไทย) ๒๖/๓๔๘/๓๙๘<O:p></O:p>
    [9] ขุ.เถรี (ไทย) ๒๖/๒๕๑/๕๙๕<O:p></O:p>
    [10] ขุ.มหา(ไทย)๒๙/๑๔/๗๐ , ขุ.อิติ. ๒๕/๖๗/๒๘๒, ขุ.จู. ๓๐/๒๑/๗๗ <O:p></O:p>
    [11] ล้างบาป หมายถึงล้างบาปด้วยมัคคญาณ (ขุ.ม.อ. ๑๔/๑๗๓)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  5. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    การปฏิบัติธรรม ช่วยแก้กรรม, ล้างบาป ได้หรือไม่?

    หลายคนเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธสอนแต่เรื่องกรรมเก่า และให้ทำใจยอมจำนนอยู่กับอดีตโดยไม่คิดหาหนทางแก้ไข แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิปากของบาปกรรมต่างๆ ที่เคยทำไว้ในอดีตนั้น สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยกรรมปัจจุบัน แม้ไม่สามารถกลับไปแก้ไขลบล้างอกุศลกรรมที่เป็นต้นเหตุได้ แต่สามารถสร้างกรรมปัจจุบันเพื่อปั่นทอน/หลีกหนี/เจือจางวิปากของอกุศลกรรมนั้นให้อ่อนกำลังลงได้ คนที่ทำบาปกรรมแล้วกลับสำนึกผิด อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณงามความดีที่เคยทำมากมาย บาปกรรมที่คนเช่นนี้ทำจะไม่ปรากฏผลให้เห็น มักปรากฎแต่ผลบุญที่เขาเคยทำไว้มากมาย
    ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎก โลณผลสูตร[1] ว่า ...<O:p></O:p>
    ภิกษุทั้งหลาย ถ้ามีคนกล่าวว่า ใครทำบาปอะไรไว้ เขาก็ต้องรับผลกรรมอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การประพฤติพรหมจรรย์(การสร้างคุณงามความดี)ของเขาย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย โอกาสที่เขาจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงความพ้นทุกข์ย่อมเป็นไปไม่ได้ละซิ?
    ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ทำกรรมที่ต้องเสวยผลไว้อย่างใด ๆ เขาต้องเสวยผลของกรรมนั้น อย่างนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้ โอกาสที่เขาจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงความพ้นทุกข์ย่อมเป็นไปไม่ได้ ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็ส่งผลให้เขาไปตกนรก ส่วนคนบางคนทำบาปกรรมเเล็กน้อยเหมือนกันอย่างนั้น แต่บาปกรรมนั้นให้ผลเพียงเล็กน้อย ปรากฏแต่กุศลกรรมที่เคยทำมาให้ผล บุคคลเช่นไรเล่า? ที่ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นถึงกับส่งผลให้เขาไปตกนรกเลยทีเดียว บุคคลเช่นนี้ก็คือคนที่(ทำผิดแล้วแต่ไม่สำนึกผิด)ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา มีคุณงามความดีน้อย ไม่มียศศักดิ์บารมี ยากจนแร้นแค้น บาปกรรมที่คนแบบนี้ทำ แม้เป็นบาปกรรมเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้าสู่นรก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเช่นไรเล่าทำบาปกรรมเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาป กรรมนั้นให้ผลเล็กน้อยแต่ในชาตินี้(ไม่ส่งผลให้ถึงกับไปตกนรก) บุคคลเช่นนี้ ก็คือคนที่ทำบาป กรรมแล้ว(กลับสำนึกผิด) อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณงามความดีที่เคยทำมากมายมียศศักดิ์บารมี มีทรัพย์สมบัติมาก บาปกรรมที่คนเช่นนี้ทำมักไม่ค่อยปรากฎผลให้เห็น(มักปรากฏแต่ผลบุญที่เขาเคยทำไว้มากมาย) เปรียบเหมือนก้อนเกลือที่เราใส่ลงในขันน้ำใบน้อย เธอทั้งหลายคิดว่าน้ำผสมเกลือนั้นจะเป็นอย่างไร? น้ำผสมเกลือในขันนั้นก็จะเค็มจัดจนดื่มไม่ได้ เพราะก้อนเกลือที่ใส่ลงไปใช่ไหม? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า น้ำในขันนั้นจะเค็มจัดจนดื่มไม่ได้” <O:p></O:p>
    .“เพราะเหตุไรน้ำนั้นจึงเค็มจัดจนดื่มไม่ได้?” <O:p></O:p>
    ภิ. “เพราะในขันนั้นมีน้ำนิดเดียว น้ำจึงไม่สามารถละลายเกลือให้เจือจางหายเค็มได้พระเจ้าข้า”<O:p></O:p>
    . “ ภิกษุทั้งหลาย ก็เปรียบเหมือนกับการใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา เธอทั้งหลายคิดว่าก้อนเกลือนั้นจะทำให้แม่น้ำคงคาเค็มจนดื่มไม่ได้หรือเปล่า?” <O:p></O:p>
    ภิ. “หามิได้พระเจ้าข้า” <O:p></O:p>
    . “เป็นเช่นนั้นเพราะไร” <O:p></O:p>
    ภิ. “เพราะในแม่น้ำคงคานั้น มีห้วงน้ำมากมายมหาศาล ฉะนั้นห้วงน้ำใหญ่นั้นจึงไม่กลายเป็นน้ำเค็มเพียงเพราะผสมกับก้อนเกลือเพียงเล็กน้อย พระเจ้าข้า”
    . “ก็เหมือนกันแหละ ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็ส่งผลให้เขาไปตกนรก ส่วนคนบางคนทำบาปกรรมเล็กน้อยเหมือนกันอย่างนั้น แต่บาปกรรมนั้นให้ผลเพียงเล็กน้อย ปรากฏแต่กุศลกรรมที่เคยทำมาให้ผล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนในโลกนี้ที่ถูกจำคุกเพราะขโมยของเพียงนิดหน่อยก็มี ถูกจำคุกเพราะขโมยของมากมายมหาศาลก็มี ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ขโมยของอย่างนั้นเหมือนกันแต่ไม่ถูกจำคุกก็มี บางคนคดโกงสมบัติมหาศาลแต่ไม่ถูกจองจำก็มี บุคคลเช่นไรเล่า ถูกจำคุกเพียงเพราะขโมยของเพียงเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนขัดสนยากจนแร้นแค้น(ไม่มีเส้นสายหรือคุณงามความดีแก่สังคม) เมื่อไปเที่ยวขโมยของแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกลงโทษถึงขึ้นติดคุดได้ บุคคลเช่นไรเล่าแม้ไปขโมยของเช่นนั้นเหมือนกัน แต่กลับไม่ติดคุก(ทั้งที่ถูกจับได้) ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์สินเหลือเฟือ มีโภคะมากมาย (ช่วยเหลือสังคมมากมาย) คนเช่นนี้แม้เคยขโมยของอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เขาย่อมไม่ถูกจองจำติดคุก(...อาจเพราะเสียค่าปรับแทน)......[2]
    กรรมลบล้างไม่ได้ แต่หลีกหนีผลกรรมได้ (ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๔ หน้า ๑๑) <O:p></O:p>
    อดีตล่วงพ้นไปแล้ว การกระทำทุกอย่างที่กระทำไปด้วยเจตนา ไม่ว่าจะชั่วหรือดีก็ตาม ก็เป็นอันได้กระทำไปแล้ว และผลกรรมนั้นจะต้องย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำในที่สุด แต่เวลาที่กรรมให้ผลนั้นไม่แน่นอนว่าจะช้าหรือเร็ว จะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ถ้าหากกรรมที่ได้กระทำก่อนหน้านั้นยังให้ผลไม่หมด หรือกรรมที่กระทำในปัจจุบัน มีวิบากแรงกว่าก็จะทำให้กรรมนั้นมีผลช้า เมื่อเป็นเช่นนี้หนทางที่จะหลีกหนีผลกรรมก็พอมีทาง[9] ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กระทำเองว่า มีฝีเท้าในการหลีกหนีมากน้อยแค่ไหน มีเส้นชัยอยู่ที่อนุปาทิเสสนิพพาน(ดับขันธปรินิพพาน) ถ้าในระหว่างนี้เขามุ่งมั่นทำเฉพาะบุญกุศลอบรมสติปัญญาให้ปราดเปรื่องอยู่ตลอดเวลา จนถึงขณะจิตสุดท้าย หลังตายก็จะไปเกิดในภพดี ๆ ได้ และหากเขาทำได้เช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ไม่มัวหลงระเริงกับความสุขเล็กๆน้อย ๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลพลอยได้จากการเร่งทำบุญ เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนที่บาปจะตามมาทัน
    เปรียบเหมือน โจรผู้ร้ายที่ได้ก่อคดีอาญาไว้ แล้วหลบหนีการจับกุมได้ตลอด ๒๐ ปี มีความ สามารถในการหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่ออายุความครบ ๒๐ ปี คดีความก็เป็นอันหมดอายุไป กฎหมายไม่อาจลงโทษเขาได้อีกต่อไป บาปที่เราทำไว้ก็เช่นกัน หากเราเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว ก็ไม่อาจตามมาให้ผลได้อีกต่อไป[10] แต่โดยมากยากที่จะเป็นเช่นนั้น มักถูกวิบากกรรมตามมาทันเสียก่อน หลายคนหลายท่านพยายามวิ่งหนีเอาจิต รอดสุดชีวิต ต้องถึงกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ยกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน เข้าสู่ที่ปลอดภัยได้ <O:p></O:p>
    ตัวอย่างเช่น พระองคุลีมาลเถระ กว่าท่านจะฟันฝ่าอุปสัคเข้าสู่เส้นชัยได้ ถูกกรรมเก่าไล่กวดจับจวนเจียนจะทันอยู่แล้ว หรืออาจจะถูกกรรมเก่าจับติดชายผ้านุ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังพยายามดิ้นรนเต็มที่ ถึงกับถอดผ้านุ่งออกแล้ววิ่งล่อนจ้อนต่อไป จนเข้าสู่เส้นชัยจนได้ เมื่อเข้าสู่เส้นชัยแล้ววิปากกรรมก็มิอาจส่งผลได้อีก ไม่ต้องชดใช้กรรมใดๆ อีกต่อไป[11] กรรมที่เคยทำไว้จะกลายเป็นอโหสิกรรมไป(ดูรายละเอียดในคัมภีร์อภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ เรื่องกัมมจตุกกะ) <O:p></O:p>
    คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย เอกก-ติกนิบาต หน้า ๑๓๒ อธิบายว่า ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผลกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป นี้ชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรม ในบรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศล และอกุศล กรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล<O:p></O:p>
    พระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ท่านมีบุญบารมีมากกว่าพระองคุลีมาลหลายเท่านัก และทั้งที่สามารถเข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว แต่ท่านก็ยังถูกกรรมเก่าตามมาทันจนได้ ผู้นั้น คือ พระมหาโมคคัลลานะ[12] ผู้อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กรรมของท่านมีพลังอำนาจถึงเพียงนี้ เนื่องจากในชาติก่อนท่านได้ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในอนันตริยกรรม ๕ ประการที่จัดว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักที่สุด กรรมที่ท่านได้ทำนั้นส่งผลให้ท่านแทบเอาจิตไม่รอดทั้ง ๆ ที่ท่านสั่งสมบุญกุศลมาเป็นจำนวนมหาศาลถึงขนาดที่สามารถส่งท่านเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้านแรงบาปแทบไม่ไหว ท่านเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพานได้แล้วกรรมก็ยังตามมารังควาญอยู่ คือ ทั้งที่ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้รับสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีฤทธิ์กว่าพระอรหันต์ทั้งปวงก็ยังถูกพวกโจรทำร้ายทุบตีร่าง กายจนแหลกละเอียด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็ยังดีที่บาปตามมาทันขณะที่ท่านก้าวเข้าสู่เส้นชัยได้ครึ่งตัวแล้ว จึงทำให้ผลกรรมย่ำยีท่านได้แต่ร่างกายเท่านั้น ไม่อาจทำให้จิตท่านหวั่นไหวได้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาปได้แล้ว”[13]<O:p></O:p>
    ---------------------------------------------------------------------------------
    [1] องฺ.ทุก.(ไทย)๒๐/๑๐๑ /๓๓๖ <O:p></O:p>
    [2] องฺ.ทุก.(ไทย)๒๐/๑๐๑ /๓๓๖<O:p></O:p>
    [3] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 275 <O:p></O:p>
    [4] ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ หน้า ๑๔๗ <O:p></O:p>
    [5] ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ หน้า ๓๑๕ <O:p></O:p>
    [6] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก อัฏฐานชาดก (ไทย) ๒๗/๗๖/๒๙๗<O:p></O:p>
    [7] บุญกิริยาวัตถุ หมายถึงการบำเพ็ญบุญอันเป็นเหตุให้ได้อานิสงส์ มี ๓ อย่าง คือ ๑)ทานมัย ๒) สีลมัย ๓) ภาวนามัย (ขุ.อิติ.อ. ๒๗/๑๐๒)<O:p></O:p>
    [8] ขุ.อิติ.(ไทย) ๒๕/๒๗/๓๗๒<O:p></O:p>
    [9] ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๗๙<O:p></O:p>
    [10] ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อ ๒๑๙ หน้า ๓๖๕ <O:p></O:p>
    [11] ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ข้อ ๒๓๔ หน้า ๓๙๗<O:p></O:p>
    [12] ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๖๐ หน้า ๓๙๐<O:p></O:p>
    [13] ดูรายละเอียดใน คัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ หน้า ๗๐<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2009
  6. นุภาวัฒน์

    นุภาวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +270
    ขอบคุณครับ ขอเซฟหน่อยนะครับ อนุโมทนาสาธุครับ

    บริโภคธรรมวันละนิด เพื่อไม่ให้ติดยึดมั่นถือมั่น (ก็ต้องเจอกับกิเลสทุกวันนี่ครับ)
     
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ผมยืนยันเลยครับว่า สิ่งที่ท่าน จขกท.กล่าวมานั้นถูกต้องที่สุดเลยครับเพราะผมประสบกับตัวเอง เป็นเช่นนั้นจริงๆ
     
  8. minidog

    minidog Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +91
    แผ่เมตตาก็เหมือนกันการให้ ใจเราก็มีความสุขกับการให้
     
  9. maxyut

    maxyut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +33
    ขออนุโทนาครับ
     
  10. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    <TABLE style="WIDTH: 100%; BACKGROUND: #669966; mso-cellspacing: .7pt; mso-padding-alt: 2.25pt 2.25pt 2.25pt 2.25pt" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-BOTTOM: 2.25pt; PADDING-LEFT: 2.25pt; PADDING-RIGHT: 2.25pt; BACKGROUND: #d8e4d8; BORDER-TOP: #f0f0f0; BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 2.25pt">
    " ผลวิจัย การแผ่เมตตาประจำทำให้สมองดีขึ้นอย่างถาวร "






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    การเจริญอัปปมัญญาเมตตาภาวนา(แผ่เมตตา)เป็นประจำ ช่วยให้มองโลกในแง่ดีหลับฝันดี

    มีผลการวิจัยที่ชัดเจน อีกชิ้นหนึ่ง ทำในอเมริกาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา
    นักวิจัยอเมริกาเคยศึกษาในพระภิกษุทิเบตเกี่ยวกับเรื่องนี้เคยลงใน

    Meditation Gives Brain a Charge, Study Finds

    By Marc Kaufman
    Washington Post Staff Writer
    Monday, January 3, 2005; Page A05

    ใครสนใจไปอ่านฉบับเต็มเอาเองเพราะยาวมาก....เขาใช้วิธีเมตตาภาวนาแบบทิเบต....

    นักวิจัยท่านนี้ท่านวิเคราะห์ว่าการฝึกเมตตาภาวนาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างถาวรกับสมองด้วย.....

    เพราะเขาพบว่าในกลุ่มพระทิเบตที่ฝึกสมาธิมานานจะมีระดับเบสไลน์ของแกมม่าเวฟสูงกว่าปกติมากแม้นแต่ในขณะที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สมาธิ.....(Davidson concludes from the research that meditation not only changes the workings of the brain in the short term, but also quite possibly produces permanent changes. That finding, he said, is based on the fact that the monks had considerably more gamma wave activity than the control group even before they started meditating. A researcher at the ffice:smarttags" /><ST1:place w:st="on"><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:placeType>University of <st1:placeName w:st="on">Massachusetts</st1:placeName></ST1:place>, Jon Kabat-Zinn, came to a similar conclusion several years ago. )

    ตรงนี้อธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่มีเมตตาจิตจากการภาวนา....จะมองโลกในแง่ดี....หลับก็ฝันดี
    คลื่นแกมม่าเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ในช่วงสูงสุด ....สูงกว่าเบต้าเวฟขึ้นไป(ผมไม่ได้กล่าวถึง ใน คห ก่อนหน้านี้ )ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของสมองที่กำลังหลับ.....คลื่นแกมม่าเป็นคลื่นที่แสดงถึงทางบวกในการทำงานของสมอง
    คลื่นแกมม่าบ่งบอกการมองโลกในแง่ดี การมีเมตตา
    ส่วนคลื่นอัลฟ่าบ่งบอกการผ่อนคลายแต่ตื่นตัวมีประโยชน์ในการเรียนรู้

    สมองในขณะต่างๆจะมีคลื่นที่แตกต่างกัน เช่นคนตื่นจะเป็นแบบหนึ่ง คนนอนหลับตื้นจะเป็นแบบหนึ่ง คนนอนหลับลึกจะเป็นแบบหนึ่งคนโคม่าจะเป็นแบบหนึ่ง ...... ทีนี้ผลการวิจัยนี้มันออกมาน่าสนใจว่าคลื่นสมองของผู้เจริญเมตตาภาวนาต่อเนื่องจะมีคลื่นแกมม่าเวฟ(ความถี่สูงสุด)สูงกว่าคนปกติทั้งในขณะที่ไม่ได้เจริญสมาธิ ในขณะเจริญสมาธิ และภายหลังออกจากสมาธิแล้ว.....คลื่นแกมม่าเวฟนี้จะบ่งบอกถึงการทำงานเชิงบวกของสมอง เช่น ความสงบ ความอิ่มเอิบการมองโลกในแง่ดี.......เลยแปรได้ว่าคนที่ฝึกสมาธิเมตตาภาวนาต่อเนื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของสมองแบบถาวรในเชิงบวก
    ที่มา..washingtonpost.com/wp-dyn...-2005Jan2.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...