จิตคือพุทธะ (ถอดจากเสียงหลวงปู่ดูลย์)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 23 กันยายน 2009.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้
    เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทําลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็กทั้งนี้ เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และ เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดจิตหนึ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นตําตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล [FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]([/FONT][/FONT]ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]) [/FONT][/FONT]กับมันเข้าดูซิเราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธะภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทํ าให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทํ าเช่นนั้น เท่ากับ การใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุด
    ความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงภาวะพุทธภาวะได้เลยเขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง
    เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ คือ สิ่งที่มี
    ชีวิตทั้งหลายทั้งปวง
    นั่นเอง สิ่งๆ นี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่สําหรับการบํ าเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบํ าเพ็ญข้องวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจํ านวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจํ านวนเม็ดทรายในแม่นํ้ าคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้ว คือเป็น จิตหนึ่ง หรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบําเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอํ านวยให้ทํ าก็ทํ ามันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆ ก็แล้วกันถ้าเราไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธะ ก็ดี และถ้าเรายัง ยึดมั่นถือมั่น ต่อ
    รูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี
    และต่อวิธีการบํ าเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้วจิตหนึ่ง นั่นแหละคือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตําหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับ เปลือก พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่นการปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบําเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจํ านวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตาต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลยจิตเป็นเหมือนกับความว่างซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตกความว่างก็ไม่ได้ มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
    แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
    ถ้าเรามองดูพุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใสและรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปป์นับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่นํ้าคงคงแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะ จิตนั้นเอง คือ พุทธะ

    เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ
    จิตนี้ พวกเราจะปิดบัง จิต นั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง พวกเรายังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ ทํ านองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนําไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใดเนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่างและไม่อาจจะหายไปได้เลย จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่
    สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสําเร็จทุกอย่าง หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต
    นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคําพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคํา
    พูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ
    พฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว

    จิตนี้คือพุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจําอยู่แล้วในคนทุกคน
    สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนํ าเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุดธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่งสงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเองจงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว จิตคือพุทธะ [FONT=CordiaNew-Bold+1][FONT=CordiaNew-Bold+1](สิ่งสูงสุด[FONT=CordiaNew-Bold+1][FONT=CordiaNew-Bold+1])
    มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลายเป็นสิ่งที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ตํ่ าต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่อีกด้วย
    และแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องตํ่า
    สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่ง มันย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมดและทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธะ อยู่ตลอดเวลาถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทําความเข้าใจในจิตของเราเองนี้ได้สําเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจํ าเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลยจิตของเรานั้น ถ้าเราทําความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราจะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหนแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกําเนิด ไม่มีใครทําให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทําลายได้เลย

    ในการทํ าปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทํ าการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
    ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทําหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร
    อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้
    เราทําความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น พวกเรากําลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นมูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่าง และมูลธาตุทั้ง ๕ ของรูปกายนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด
    จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน
    ถ้าเราทําความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆเราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี้แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ปรัชญา คือการรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกําเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทํ าความเข้าใจได้
    ว่า
    ผู้กระทํ าและสิ่งที่ถูกกระทํ า คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละจะนําเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคําพูดและโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัว
    เราเอง
    สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากําลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่าง
    นั้นได้อย่างไรโดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลสปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทํ าความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าโดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุ
    อยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตํ าหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
    และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง
    แยกรูป ถอด ด้วยวิชชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิดสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือ ความ
    ว่างของจักรวาล
    เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้ จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลงจากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มี
    จิตวิญญาณ
    แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนามต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิตความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได ้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตเุป็นผลใหเ้กิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1](
    เกิด[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1])
    การเปลี่ยนแปลง บางอย่าง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น
    จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิตเมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น
    เหตุให้เกิด จิตวิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรมสัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1](
    มี[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1])[/FONT][/FONT]ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น
    เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลงมี
    กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็นเหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทํ าไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหา
    ยอม
    ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด

    ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น
    สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ
    ดังนั้น ด้วยอํ านาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะ
    เรียกว่า
    รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลายส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่าจิต จึงมี สํานักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทํางานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึก
    นึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
    เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย [FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1](
    ของ[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]) [/FONT][/FONT]ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วยชีวิตแท้[FONT=CordiaNew-Bold+1][FONT=CordiaNew-Bold+1]-[/FONT][/FONT]รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]-[/FONT][/FONT]เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]-[/FONT][/FONT]รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]-[/FONT][/FONT]รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจาก
    กรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู
    ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงละวิภวตัณหานั้น เสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน คือเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลํ าดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ
    อรูปฌานในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระ
    องค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา
    [FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1](
    เป็น[FONT=CordiaNew+1][FONT=CordiaNew+1]) [/FONT][/FONT]ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์นี่แหละ กระบวนการกระทําจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรง
    นํามาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้นพระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อน วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อ พระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิตนั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือเมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้นนี้ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือนั่นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูก
    ภาวะอื่นใดที่มาครอบงํ าอํ าพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์
    เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทํ าลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรมและหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเองนั่นแล คือ ลํ าดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นํ าฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย

    เนื้อหาจาก http://www.kanlayanatam.com
    อนุโมทนาสาธุครับ

    [/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  2. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    การเห็นอริยสัจเช่นนี้เป็นของประเสิท
    ธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่อมีผู้ปติบัติตามแล้วเห็นตาม ไตรลักษณ์ เป็นผู้ประเสิท
    อนุโมทนา
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คำว่าจิต คือ อะไร

    คำว่า "จิต" หรือ "วิญญาณ" คือสิ่งเดียวกัน ดังคำอธิบายจากหนังสือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ของ อภิธรรมมูลนิธิ ดังนี้
    จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือได้รับอารมณ์อยู่เสมอจึงเรียกว่ารู้อารมณ์ ดังบาลีที่ว่า อารมฺมณํ จินฺเตตีติ = จิตฺตํ ธรรมชาติใด ย่อมรู้อารมณ์ คือได้รับอารมณ์อยู่เสมอ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า "จิต"
    อธิบาย การรับรู้อารมณ์นี้ แบ่งการรู้ออกได้ ๓ แบบ คือ
    ๑. การรู้แบบสัญญารู้ คือการรู้โดยอาศัยการกำหนดจดจำเอาไว้ เช่น จำได้ว่า สีขาว สีดำ ผู้หญิง ผู้ชาย เป็นต้น
    ๒. การรู้แบบปัญญารู้ คือการรู้ตามความเป็นจริง เช่น รู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี สิ่งดีย่อมมีประโยชน์ สิ่งไม่ดีย่อมมีโทษ คือรู้เพื่อทำลายความเห็นผิด เรียกว่า "ปัญญารู้"
    ๓. การรู้แบบวิญญาณรู้ คือรู้ว่าได้มีการรับอารมณ์อยู่เสมอตามทวารต่างๆ ได้แก่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกถูกต้อง และรู้คิดนึก
    การรู้อารมณ์ของจิต จึงเป็นการรู้แบบวิญญาณรู้นั่นเอง เพราะคำว่า "จิต" หรือ "วิญญาณ" มีความหมายอย่างเดียวกัน ในปฏิสัมภิทาพระบาลีมหาวรรคได้แสดงไว้ว่า จิตมีชื่อต่างๆที่ใช้เรียกขานกันถึง ๑๐ ชื่อ ดังแสดงว่า
    ยํ จิตฺตํ มโน หทยํ มานสํ ปณฺฑรํ มนายตนํ มนินฺทฺริยํ วิญฺญาณํ วิญฺญาณกฺขนฺโธ ตชฺชา มโนวิญฺญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ
    อัฏฐสาลินีอรรถกถา อธิบายไว้ว่า
    ๑ ธรรมชาติใดย่อมคิด ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "จิต"
    ๒ ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า "มโน"
    ๓ จิตที่รวบรวมอารมณ์ไว้ภายในนั่นแหละชื่อว่า "หทัย"
    ๔ ธรรมชาติฉันทะ คือความพอใจที่มีอยู่ในใจนั้นชื่อว่า "มนัส"
    ๕ จิตเป็นธรรมชาตฺที่ผ่องใส จึงชื่อว่า "ปัณฑระ"
    ๖ มนะที่เป็นอายตนะ คือเครื่องต่อ จึงชื่อว่า "มนายตนะ"
    ๗ มนะที่เป็นอินทรีย์ คือครองความเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า "มนินทรีย์"
    ๘ ธรรมชาติใดที่รู้อารมณ์ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า "วิญญาณ"
    ๙ วิญญาณที่เป็นขันธ์ จึงชื่อว่า "วิญญาณขันธ์"
    ๑๐ มนะที่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่รู้อารมณ์ จึงชื่อว่า "มโนวิญญาณธาตุ"
    ลักษณาการของจิต
    จิตเป็นสังขตธรรม คือเป็นธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งโดยอำนาจแห่งปัจจัย ๔ มีกรรม จิต อุตุ และอาหาร ดังกล่าวแล้ว จิตจึงมีสภาวะที่เป็นสามัญลักษณะหรือไตรลักษณะ
    สังขตธรรมอื่น คือ เจตสิก และรูป (เว้นพระนิพพานเป็นอสังขตธรรม)ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน การที่จะใจสภาวะอันแท้จริงของจิตนั้น จะต้องพิจารณาจากวิเสสลักษณะ คือ ลักษณะพิเศษประจำตัวโดยเฉพาะของจิต ๔ ประการ ที่เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ ของจิต คือ วิชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
    ปุพฺพงฺคมรสํ มีการเป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ สนฺธานปจฺจุปฏฺฐานํ มีการเกิดขึ้นสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นอาการปรากฏ (มีอนุมานว่าชั่วลัดมือเดียว จิตเกิดดับถึงแสนโกฏิขณะ) นามรูปปทฏฺฐานํ มีนามรูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
    ในธรรมบท ภาค ๒ ได้ถึงสภาพของจิตไว้ดังนี้
    ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
    เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
    แปลว่า ชนทั้งหลายใดจักระวังจิต ซึ่งไปใกล ไปเดี่ยว ไม่มีสรีระมีคูหาเป็นที่อาศัยไว้ได้ ชนทั้งหลายนั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
    *ขอเชิญทุกท่ามาเรียนรู้เรื่องชีวิตจิตใจของเราเอง ให้เกิดศรัทธา ๔ คือ เชื่อเรื่องกรรม เชื่อผลแห่งกรรม เชื่อว่าสัตว์โลกต่างมีกรรมเป็นของๆตน เชื่อในความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อผลจะได้รู้จักชีวิตของตนดีขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง กล่าวคือ เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาได้ถูกต้อง และเป็นแผนที่ในการปฏิบัติได้โดยถูกทาง มรรคมีองค์ ๘ เพื่อผลสูงสุดคือเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้โดยไวเทอญ ขออนุโมทนา

    มาจาก �����Ը����͹�Ź� ลานธรรม
    อนุโมทนาครับ
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์



    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๑-หน้า ๕
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๖
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๘
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24

     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๑๐-๑๑
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๑๐๐
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24<!-- google_ad_section_end -->

     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๑๐๑-๑๐๒
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24<!-- google_ad_section_end -->

     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีการยัดเยียดข้อความบางส่วนว่าเป็นของหลวงปู่ดูลย์

    ท่านครับ ส่วนนี้ คัดลอกมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป หน้า ๑๐๗
    พุทธทาสภิกฺขุ แปลไทย

    ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ มีคนพยายามยัดเยียดใส่ปากหลวงปู่

    ;aa24

     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ผมขอเถอะนะ แค่นี้หลวงปู่ดูลย์ท่านก็เสียหายมากแล้ว
    อาจมีคนที่ไม่รู้เข้าใจผิดได้ มีคนลอกธรรมมาจากหนังสือคำสอนของฮวงโป
    แล้วมายัดเยียดข้อความเหล่านั้นใส่ปากหลวงปู่ดูลย์ มันน่าอายนะ

    ผมขอความกรุณาเลยนะ ว่าอย่าเอามาเผยแพร่อีกเลย เจอที่ไหนช่วยบอกต่อด้วย
    โดยปรกตินั้นหลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด
    พูดสั้นๆย่อๆ แต่แฝงความหมายไว้อย่างสมบูรณ์

    เพราะฉะนั้นอะไรที่ยาวๆ แล้วบอกว่าเป็นของหลวงปูดูลย์ ควรพิจารณามากๆหน่อย

    ;aa24
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ผมจะแสกนบางส่วนจากหนังสือฮวงโปมาให้ดูกันครับ

    คงเป็นไปไม่ได้นะครับ
    ที่ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ท่านจะพูดตรงกับหนังสือทุกตัวอักษร

    แล้วกรุณานะครับ ช่วยพูดต่อๆไปด้วยว่า บทความ จิตคือพุทธะ นี้
    ไม่ใช่คำพูดของหลวงปู่ดูลย์ทั้งหมด
    มีคนพยายามยัดปากหลวงปู่ เพียงเพื่อสนองตัณหาตนเองเท่านั้น
    และมีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลย

    [​IMG]

    ปกหนังสือ คำสอนของฮวงโป
    พุทธทาสภิกขุ แปลไทย
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ คงเป็นไปไม่ได้นะครับ
    ที่ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ท่านจะพูดตรงกับหนังสือทุกตัวอักษร


    [​IMG]
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ คงเป็นไปไม่ได้นะครับ
    ที่ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ท่านจะพูดตรงกับหนังสือทุกตัวอักษร


    [​IMG]

     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จากที่นี่
    [​IMG]

    ท่านครับ พิจารณาดีๆนะครับ ยังมีคนอุตส่าห์แอบอ้างจนได้นะครับ
    ว่าเป็นเทศนากัณฑ์สุดท้ายของท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์

    ทั้งๆที่พระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ โดยปรกตินั้นท่านเป็นผู้ไม่พูดหรือพูดน้อยที่สุด
    พูดสั้นๆย่อๆ แต่แฝงความหมายไว้อย่างสมบูรณ์

    เพราะฉะนั้นอะไรที่ยาวๆ แล้วบอกว่าเป็นของพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์
    ควรพิจารณาให้มากๆหน่อย

    คำสอนที่ถูกแอบอ้างนี้ แท้จริงแล้ว เป็นคำสอนของท่านฮวงโป
    เอามาตัดแปะเท่านั้น แล้วเพิ่มเติมคำพูดตอนหลังลงไป
    ก็ยังไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาตัดแปะอีกหรือเปล่า
    มีเห็นแว๊บๆ บางส่วนก็มีของท่านเว่ยหล่างปนเข้าไปด้วย

    ;aa24
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ให้เขาทำไปครับใครที่แอบอ้างก็ให้เขาทำไปครับ แต่ถ้าเราเชื่อว่าหลวงปู่เป็นองค์อรหันต์แล้วแม้เพียงเสี้ยวเศษของวินาทีก็เป็นไปได้ที่องค์ท่านจะมีวินิจฉัยแล้ว หากเราเคารพนับถือท่านจริงก็อย่าทำให้ท่านดูเหมือน...เลย มันบาปมากครับ และหากว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงหลวงปู่แล้วผู้แอบอ้างก็รับกรรมอันเป็นมหาอนันต์กรรม คือ การลบหลู่ดูหมิ่นคุณพระอรหันต์เจ้าครับ อนุโมทนาครับพี่ธรรมภูตที่ช่วยรักษาชื่อเสียงแทนหลวงปู่ดูลย์ แต่ยังไงๆก็พิจารณาให้ดีๆครับเพราะเสี่ยงต่อการเข้าใจที่คบาดเคลื่อนได้เช่นกัน เพราะหากแม้เป็นเพียงสิ่งที่คนมาบอกให้ท่านอ่านแล้วก็ตาม หากท่านเป็นปุถุชนคงไม่ต้องกังวลถึงการวินิจฉัยเพราะผิดพลาดแน่นอน แต่หากท่านเป็นถึงพระอริยะสงฆ์องค์อรหันต์แม้จะมีคนมาขอร้องให้ท่านอ่านก็คิดว่าควรจะผ่านการวินิจฉัยเป็นอันดีแล้ว เว้นเสียเป็นการตัดต่อหรือเลียนแบบเสียงหลวงปู่
    อนโมทนาในความหวังดีที่มีต่อหลวงปู่ครับ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ผมขอความกรุณาเลยนะครับ ว่าอย่าเอามาเผยแพร่อีกเลย
    เจอที่ไหนช่วยบอกต่อด้วย เพราะเป็นการทำลายชื่อเสียงท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์

    เฉพาะในพลังจิต ก็มีนำเสนอกันเป็นระยะๆ ตลอดมา
    เท่าที่อ่านพบมีดังนี้ครับ

    จิตคือพุทธะ (หลวงปู่ดุลย์ อตุโล) โพสเมื่อ 11/5/2007

    จิตนี้คือ พุทธโยนิอันบริสุทธิ์ โพสเมื่อ 7/3/2008

    จิตคือพุทธะ โพสเมื่อ 1/12/2008

    จิตนี้เป็นพุทธะ ไม่แตกต่างกัน โพสเมื่อ 13/5/2009

    จิต คือ พุทธะ หลวงปู่ดูลย์ โพสเมื่อ 19/10/2009

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไม่มีทางเป็นไปได้ครับ
    ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยคำสอนของคนอื่นแล้ว

    ท่านเองก็มีธรรมะของท่านในหนังสือหลวงปู่ฝากไว้
    เท่านั้นก็เข้าถึงธรรมได้แล้วครับ

    เพียงแต่มีบางคนจงใจต้องการสร้างความโด่งดังให้กับตนเอง

    ผมได้เช็คและสอบถามมาเรียบร้อยแล้วครับ
    ท่านบอกมาว่า ทุกวันนี้ ชอบเอาหลวงปู่ไปหากินกัน

    ;aa24
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    สรุปสิ่งที่ผมสงสัยคือนั่นเสียงหลวงปู่จริงๆใช่ไหมครับ ขอให้ตอบครับแล้วผมจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีกเลยครับ
     
  20. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    จิตคือพุทธะ (ถอดจากเสียงหลวงปู่ดูลย์) <<คุณเก่งได้ฟังเองหรือไม่ครับ . . .
     

แชร์หน้านี้

Loading...