ถามเรื่องการดูจิตของผู้อื่นโดยผ่าน เจโตปริยญาณ ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 23 ธันวาคม 2009.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,024
    คือผมเชื่ออย่างไม่สงสัยอยู่เเล้วว่า การดูจิตของผู้อื่นว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่หรือที่เราเรียกว่า เจโตปริยญาณ นั้นมีอยู่จริง ผมคาดว่าในเวปพลังจิตของเรานี่ต้องมีคนที่ได้เจโตปริยญาณมาเเล้วเเน่ๆ คือยังไงก็คงต้องมี ผมไม่ต้องการให้พวกท่านเเสดงตัวครับ ผมเเค่อยากทราบว่า ตอนที่เรารู้ว่าอีกคนหนึ่งกําลังคิดอะไรอยู่นั้น มันจะเป็นเสีียงมาบอกในหูเรา หรือเราคิดเเว่บเเรกเเล้วเป็นอย่างนั้นครับ ? คือสรุปมาเป็นเสียงมากระซิบที่ข้างหูเรา หรือใช้จิตของเราคิดเอง ? เเนะด้วยครับ อนุโมทนาครับทุกท่าน
     
  2. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ปูเสื่อรอคนแรกครับ

    ผมขอปูเสื่อรอคนแรกครับ น่าจะนึกรู้เลยนะครับ(เดาเอาครับ)

    ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

    :วัตสุธรรม
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยังไม่มีเจโต นะ
    แต่อาศัยความรู้สึกที่เกิดในใจ เป็นตัวบอก
    เช่น เข้าใกล้คนนี้ แล้วอึดอัด หงุดหงิด ไม่อยากฟังคนนี้พูด สะเทือนใจ ร้อน กระด้าง
    แต่บางคนพอเข้าใกล้แล้วมีแต่สบายใจ โล่ง เบา ยินดี ก็มี แต่จะรู้ชัดรู้ตรงถ้าใจเราเป็น
    กลาง ไม่มีอคติกับคนนั้น แต่ถ้าใจไม่เป็นกลางก็จะเป็นสัญญาพาปรุงไปตามกิเลส
    ดังนั้น การคุยกับคนที่เราไม่รู้จัก ไม่มีสัญญาเก่าผูกพันธ์ จะมีความเป็นกลางมากกว่า

    คนที่ทำให้เรารู้สึกต่างๆกันได้ เพราะเขาก็ทำเหตุไว้จำนวนหนึ่ง อาจจะมาเจตนาในใจเขา
    มีทั้งเจตนาดี และเจตนาไม่ดี หรือไม่ได้เจตนาก็มี แต่เหตุนั้นเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึกขึ้น
    ในใจเรา คนที่มีพรหมวิหาร4 มากๆ จิตมีเมตตากรุณามากๆ และมีกำลังจิตสูง เมื่อเราเข้า
    ใกล้ ก็จะมีอิทธิพลเหนี่ยวนำจิตใจเราให้คล้อยตามได้ เหมือนกับคนขี้โมโหโทโส
    ขี้หงุดหงิด มีจิตกระด้างเป็นนิจ เมื่อเราเข้าใกล้ก็เหนี่ยวนำจิตใจเราไปตามนั้น ถ้าเราขาด
    สติ เราก็จะไม่รู้ตัวและบ่มเพาะสะสมสิ่งเหล่านี้ ไว้ในใจได้แบบที่เราไม่ทันรู้ตัว จะมารู้อีกที
    ก็ตอนที่มีคนมาทักว่า พักนี้ขี้หงิดหงิดจัง หรือพักนี้อารมณ์ดีจัง เป็นต้น
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คนเรามีความรู้หลายระดับ

    ถ้าเราสังเกตุให้ดี เวลาที่เรา เห็นปัญหาใดๆ แล้วปิ๊งขึ้นมาทันใด
    เช่น มีคนถามคำุถามในเว็บนี้ เราๆท่านๆ ทั้งหลายไปตอบ มันก็ไม่ได้นึกคิดอะไร หรือไม่ได้เห็นคำตอบเป็นภาพอะไร แต่ว่า เราปิ๊งขึ้นมาทันที ตอบได้ทันที ถูกหรือไม่ถูกก็อีกเรื่องหนึ่ง

    ตัวปิ๊งขึ้นมาทันที นั่นแหละ เป็นตัวรู้ อย่างหนึ่ง เรียกว่า ญาณ
    ทีนี้ ญาณใครจะแจ่มชัด มันก็ต้องอบรมจิตนี้ให้สะอาด มันจะเห็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไป จนมันแน่ชัดได้ว่า นี่คือคิด นี่คือรู้ชัด นี่คือฟังมาพูดมา

    เจโตปริยญาณ คือ แบบนั้น คือ ปรากฎชัดในมโนขึ้นมา ทันที โดยไม่ต้องถามใคร
    ซึ่ง จะว่ามันเหมือนธรรมชาติ ก็คือธรรมชาตินั่นแหละ แต่ธรรมชาติของคนทั่วไปโดนสมมติปิดบัง แต่ธรรมชาติของจิตบริสุทธิ์กว้างไกล ฉลาดและเท่าทัน

    ลองอ่านในพระสูตร พระศาสดาจึงกล่าวว่า ทำจิตตนให้ปราศจากอุปกิเลสแล้ว น้อมจิตตนไป ก็จะรู้ชัดว่า นั่นว่านี่ ตามญาณ นั่นแหละ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เมื่อรู้จักและเข้าใจจิตตนเองจนเต็มแก่แล้ว....

    ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้จิตคนอื่น.....แต่มีคำถามหนึ่ง....จะรู้ของคนอื่นไปทำไม.....
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้เขารู้เรา เดินไม่ตกท่อ

    แต่สอดรู้สอดเห็นไปทั่ว ก็ไม่ดี อีกนั่นแหละ จะฟุ้งซ่าน เสียจริต เอาได้
     
  7. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    สาธุ อนุโมทนากับท่านด้วยใจ สาธุ
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้
    รู้แล้วก็ทิ้งไป ก็ไม่เป็นอะไร

    อย่า เวลาไปรู้มาก มันส่งจิตออกนอก มันกระทบใจ หากใครยังมีสังโยชน์ เช่น ราคะ โทสะ

    พอเวลามันไปรุ้กิเลสคน แล้วมันโมโหนะ มันทุเรสแล้วมันจะทนไม่ได้ นี่ต้องระวัง

    นอกจากนี้ ยังต้องระวังเรื่องของสังขาร คือ ความปรุงแต่งไปเอง คือ รู้จนเคยตัว พอกิเลสเข้ามา ก็หมายความ คิดคือรู้ ปรุงแต่งคือรู้ เลยพลอยเพี้ัยนไปหมด นั่นแหละ มารจะเข้าช่องนั้น

    เล่านิทานให้ฟัง วันก่อนพิจารณาธรรมอยู่ หลงไปส่งจิตออกนอก ควานหาสมุทัยข้างนอก
    ก็เพ่งไปมองนั่นมองนี่ ว่าสมุทัยมันอยู่ตรงไหน เจอหลวงปู่มั่นท่านมานั่งขวางไว้่เลย ท่านชี้ให้ดูกระดูก เราถึงหายโง่ ว่าส่งจิตออกนอก

    นี่เล่าให้ฟังสนุกๆ ไม่ได้อวด
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    การพิจารณา คือ ให้รู้่จักว่า ทุกข์ของเรามันอยู่ตรงไหน นี่สำคัญเพราะว่า เรามักจะปล่อยผ่านและไม่หาที่ตั้งแห่งทุกข์ เรียกว่า ไม่รุ้จักทุกข์ เมื่อทุกข์เกิด ไม่ว่าความกลัว ความชัง ความโง่ความหลง ความลังเล ความขี้เกียจ ความเบื่อหน่าย ความเศร้าโศก เหล่านี้ คือสภาพทุกข์

    เมื่อ เรารู้จักสภาพทุกข์ ที่เรามีในตัวเราแล้ว เราก็หาสมุทัย คือ เหตุของมัน ตัวเหตุนี้ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าปัญญาไม่พอ ไม่มีทางก้าวถึงมหาเหตุได้
    ตัวจะเสริมเพิ่มปัญญา คือ สติ สติคือตัวที่จะนำเราไปรู้จักกับ เหตุของมัน
    แต่ สติไม่ใช่ เพียงแต่ดู เพราะว่า สังขาร คือ ความปรุง มันคือเรื่องราวที่ร้อยกันอยู่ มันไม่มีสภาพเกิดดับ เช่นกับ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ แต่มันคือความหลงในเรื่องราว
    ไม่เช่นนั้นมันจะร้อยใจเราให้เรามาเป็นคนทั้งตัวทั้งตนหรอกหรือ

    สภาพสังขาร นี้ ต้องพิจารณา ตีให้แตก ว่า ทำไมสังขารหรือเรื่องราวนั่นนี้ จึงตั้งอยู่ในใจ
    ความหลงความนึกคิดต่างๆ ทำไมตั้งอยู่ ในความเป็นตัวเรา ทีนี้มันก็จะไปกระทบนั่นนี่อยู่เรื่อง แม้เรื่องราวต่างๆ ที่ผุดขึ้นในใจ มันก็คอยแต่กระทบใจเราอยู่เสมอ

    ถ้าวางได้ เราเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ ซึ่ง มันจะปรากฎ ญาณอย่างหนึ่ง ให้เห็นเรื่องราว ต่างๆ ในหัวเรา ความรู้สึกนึกคิด ความ อินไปกับละครชีวิต ดับพรึบลง กลายเป็นเอกคตาทันที นั่นแหละ มันจะเกิดเป็นปัญญาขึ้นมา เห็นแล้วว่า ความดับไปในความปรุงทั้งหลายเป็นอย่างไร นั่นแหละ เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ

    สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีทางที่จะไปมองเฉพาะจุด หรือ มองเฉพาะสิ่งที่มากระทบแล้วเรามองเฉยๆ แต่ต้องอาศัยปัญญา ที่มองสภาพรวมได้ แยกแยะได้ มีจิตตั้งมั่น บ่มอยู่ในอินทรีย์

    บางคนมันมัวแต่คิด ใจมันเจือด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันมองไม่เห็น ก็เพราะตัวหลอก คือ สังขารทุกข์ นี่แหละ
     
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณขันธ์ค่ะ ขอเพิ่มเติมนิดนึง เจโต ฯ มี ๒ แบบ พูดแบบภาษาชาวบ้านนะคะ

    ๑. เห็นสีของจิต สึของจิต สามารถรู้ได้ว่า บุคคลนั้นมีจิตเป็นอย่างไร เช่น มีสุข มีทุกข์ หรือจิตเฉย ๆ ได้แก่

    - ถ้ามีทุกข์มากจิตจะเป็นสีดำมาก
    - มีจิตกังวล เป็นสีเทารือควันบุหรี่
    - ถ้ากำลังดีใจ ปลื้มใจทางโลก จะเป็นสีแดงเลือดนก
    - ถ้าจิตเฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ จะเป็นสีขาวคล้ายก้อนเมฆ
    - จิตผู้ทรงฌาณ เป็นสีคล้ายแก้วเคลือบ
    - จิตของพระอรหันต์ คล้ายดวงดาวสุกสว่างไม่มีแกน


    ๒. รู้วาระจิต แยกออกเป็น ๓ ระดับ คือ

    - ระดับต้น คือ รู้ว่า บุคคลนั้นคิดดี หรือไม่ดีกับเรา ควรคบ หรือไม่ควรคบ เอาความรู้สึกเป็นหลัก หรือเรียกว่า sixsence ก็ได้

    - ระดับกลาง คือ เห็นภาพความรู้สึกของบุคคลนั้น และจิตรับรู้ว่า เป็นอย่างไร

    - ระดับสูง คือ เห็นภาพ และได้ยินเสียงความคิดของบุคคลนั้น ๆ ว่าคิดอย่างไรกับเรา

    ปกติไม่ว่า จะเป็นการดูสีของจิต หรือการล่วงรู้วาระจิตนั้น เราไม่สามารถจะดูผู้ที่มีภูมิธรรมสูงกว่าเราได้ค่ะ ยกเว้นการขอบารมีพระ

    แต่ว่า เราจะทราบว่าวาระจิตผู้อื่นไปเพื่อประโยชน์อันใด สู้เราดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้ห่างจากนิวรณ์ ๕ และลดละกิเลสในใจเราดีกว่า จริงมั๊ยคะ :cool::cool::cool:

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009
  11. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    เจโตปริยญาณ คือ ญาณที่แจ่มชัดปรากฎในมโน

    เกิดขึ้นจากการอบรมจิตให้สะอาด ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา



    ตัวเจโตปริยญาณนี้ เป็นสภาวะของจิตของผู้ที่มีอุปทานเบาบาง ปราศจากคติและอคติ

    เป็นญาณความรู้ ที่ไม่เกิดจากตัวอุปทานหรือตัวสังขารปรุงแต่งของกิเลส

    ปรากฏชัดในรูปนิมิต สำหรับผู้ที่สมถะภาวนา

    และปรากฏชัดเป็นความรู้ผุดขึ้นมา สำหรับผู้ที่วิปัสสนาภาวนา

    ขึ้นอยู่กับอำนาจวาสนาบารมีทีสั่งสมมาแต่ปางก่อน

    จิตเป็นผู้รู้ พิจารณาด้วยปัญญาของต้นสายปลายเหตุ ตลอดจนถึงผล

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา จึงเป็นธรรมที่ควรพิจารณาลงสู่ใจ

    ใจที่เป็นกลางวางเป็นอุเบกขาธรรม
     
  12. ปุญญานุภาพ

    ปุญญานุภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +916
    " จิตในจิต จิตรู้จิต "

    จะล่วงรู้จิตคนอื่นได้ ก้อต้องหมั่นฝึกรู้จิตตนเองก่อน เมื่อหมั่นรู้จิตตัวเองบ่อย ๆ เข้า การล่วงรู้จิตคนอื่น หรือ ( ความคิดนึก ) ของคนอื่น ถือเป็นกำไร เป็นผลพลอยได้จากการฝึก ( ฝึุกนี่หมายถึง ฝึกให้จิตรู้เท่าทัน อุบายเลห์ของกิเลส นะครับ )

    " ถามว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปรู้เรื่องของคนอื่น "

    สิ่งที่เป็นประโยชน์ ถึงไม่ได้ใช้ สิ่งนั้นก้อยังขึ้นชื่อว่าเป็น ประโยชน์อยุ่มิใช่หรือ ?

    แต่เหนืออื่นใด หมั่นดูจิตตนเองให้มากดีที่สุดครับ

    ขออนุโมทนาสาธุการครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2009
  13. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    จะรู้ขึ้นมาเองครับ เวลาสงบ ความฟุ้งซ่านของตัวเองไม่มีว่างจากความคิดอยู่
    อยู่ๆก็เกิดความไม่สงบขึ้นบ้าง มีเรื่องผุดขึ้นมาให้รู้บ้างทั้งที่เหตุปัจจัยยังไม่มีนั้นหล่ะครับ

    รู้เป็นความรู้สึกบ้าง เรื่องราวบ้าง
    ข้อความบ้างที่กำลังจะมีคนจะมาพูดด้วยบ้าง
    นี่คือแบบไม่กำหนดรู้ แม่นมาก

    แบบกำหนดรู้ต้องระวังกิเลส
     
  14. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    เจโตปริยญาณถ้าใช้ดูจิตของตนเองจะมีประโยชน์มาก จะได้รู้ว่าจิตของเรามีกิเลสอะไรอยู่ ละกิเลสได้มากน้อยเท่าไหร่ ต้องใช้กรรมฐานกองไหนให้เหมาะกับกิเลสที่มีอยู่ในเวลานั้น รู้วาระจิตของตนเองช่วยให้พ้นทุกข์ได้ แต่รู้วาระจิตคนอื่นไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ บางคนถ้ารู้วาระจิตคนอื่นแล้ว อาจจะเสียใจและไม่อยากดูจิตคนอื่นอีกก็เป็นไปได้
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กราบอนุโมทนาค่ะ
     
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,169
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,024
    กราบขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาเเนะนําครับ ตัวผมไม่ได้อยากรู้หรอกครับ ( เเต่ถ้ารู้ได้ก็ถือว่าเป็นกําไรชีวิต เเหะๆ ) ผมอยากจะรู้จิตตัวเองมากกว่าครับ ไม่อยากส่งจิตออกนอก เขาคิดอะไรก็เรื่องของเขาอยู่เเล้ว เราไปบังคับใครให้เป็นไปดั่งใจเราไม่ได้ เเต่เราบังคับควบคุมตัวเองให้เป็นอย่างที่ใจเราต้องการได้ครับ เจริญในธรรมครับทุกท่าน
     
  17. dokai

    dokai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +71
    เรื่อง เจโตปริยญาณ นั้น อย่างที่จขกท กล่าวไว้ ถูกต้องครับ ที่คุณ numsai กล่าวไว้คราว ๆ ถูกต้องครับ

    สิ่งสำคัญหรือหัวใจคือ หากเรารู้แจ่มชัดของเราได้ดีเสียก่อน ของผู้อื่น ก็ไม่เกินวิสัย กิเลส นิวรณ์ หน้าตาเหมือนกันหมด ไม่ว่าอยุ่ที่ใคร ต้องรู้ของตัวเองให้ได้ก่อน รู้จริงทุกแงมุม นั้นแหละครับ หัวใจของอภิญญานี้
    อีกประการที่สำคัญ คนโดยมากที่ปรารถนา หรือมีความสนใจมักจะ ไม่ค่อยได้ หรือได้ ก็ไม่ค่อยชัดแจ้งนัก เพราะเหตุว่า เจตนามัน ตกไปจาก ความวิเวก ซึ่ง มันก็ขัดแย้งกันในตัวเจตนา สังเกตุว่า ผู้ที่มีเจโตด้านนี้ ส่วนใหญ่ ปรกติ วิเวก เก็บตัว สันโดษ นั้นก็เป็นหัวใจสำคัญ แล้วก็ไม่ค่อยพลั่มเผื่อเพราะเค้ารุ้ชัด ในคุณและ โทษ การมีเจโตแล้วใช่ออกไปข้างนอก มีโทษมาก

    ผมเล่าเป็นตุเป็นตะ เพราะสนิทกับคนที่มีเจโตจริง ๆ ก็เลยมีข้อมูลมาเล่า
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอร่วมสนทนาคุณเกิดเป็นคน
    ข้าพเจ้าเรียกปรากฏการณ์นั้นว่า จิตส่งออกนอก ถ้ามีสติและรู้สึกตัวทัน
    ย้อนกลับมาดูใจตัวเอง คือเห็นอารมณ์ข้างนอก แล้วรู้สึกตัวว่าใจตัวเองมีปฏิกริยา
    ต่ออารมณ์ข้างนอกอย่างไร มีชอบ มีไม่ชอบ มียินดี มียินร้าย มีสนุก มีโทสะ มีภูมิใจ
    ต่างๆนาๆ บางทีก็เป็นกลางๆ เรียกว่าใจปกติ ตรงนี้ ข้าพเจ้าเรียกว่า ดูจิต หรือ รู้ผู้รู้
     
  19. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    เจโต..ยาน ๆ มันก็ เหมียน จาน UBC แหล่ะจร้าาาา

    [​IMG]



    อืม...จิง ๆ อิช้าน กะ ว่าจะ โดดร่ม
    ไม่เข้าประชุม ที่ สมาคมสูงกินลมฯ
    แร้วก้มหน้าก้มตาเขียนศีล 5 ในฮาเร็ม ให้มัน จบ ๆ แระ



    แต่ ดั๊น มาอ่านกาทู้นี้ แร้วดันมาเจอ ข้อฟาม
    ของ เจ้า กิ๊กเก่า เอ๊ย คุณพันธมิตรทางธรรม ( สมัยที่อยู่พันติ๊ป)
    เกาะเรยคิดว่า แวะเข้ามาทักทายมันซะหน่อยดีก่า อิอิ


    เออ แต่ เพื่อ ฟาม ถูกต้อง ตาม มารยา (ท ) ของสังคม
    มั่วนิ่ม ตอบคำถาม จขกท. ซะหน่อยแร้วกัน








    ไม่รู้ จ้า
    บังเอิญ ยัง บ่ มี เจโต จ้า แต่อยากจะตอบนะจ๊ะ
    ทน ๆ ฟัง เอาหน่อยระกาน

    ส่วนอ่านแร้วจะได้อะไรกลับไปมั่ง
    อันนี้ ก็ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก กุ๊ก ๆ เหอ ๆ




    แต่ เห็นด้วย (บางส่วน ) ก๊ะ เจ๊ขวัญ ที่ว่า



    ประมาณ กระทบรู้ ๆ มั้ง
    เคยอยู่ใกล้ ๆ ใคร แล้ว
    เกิดฟามรุ้สึกว่า มี อะไร บางอย่าง
    แผ่จากเขามากระทบเราจนรู้สึกได้ ไหมล่ะ
    (ทั้ง ฟามรู้สึก ขุ่นมัว ปรอดโปร่งโล่งสบาย ร้อนรุ่ม ฯลฯ น่ะ )


    ส่วน กระทบแร้ว เราจะ ปรุง ต่อไง
    อันนี้ ก็ แร้วแต่กำเก่า แต่ปางก่อน
    แระ ปัจจุบันกรรม อันแสนสั้น อิอิ


    อืม...ถ้า ตัวเรา เหมือน ทีวี
    เจโต ฯ มัน ก็เหมือน ได้รับแจก จาน UBC มาติดไว้ที่ เรือน ล่ะมั้ง
    จึง รับ สัญ( ชาต )ญาณ ได้ละเอียดกว่า
    และ หลากหลายกว่า สามัญชนคนทำมะดา


    ประมาณว่า ได้เลื่อนขั้นพัดยศ เป็นศักดินา ไงจ๊ะ
    แหม ? มันโก้ดี พิลึกเน๊าะ การมีเจโต เนี่ย อิจฉาดีไหม หว่า ?

    ตะก่อนก็เคยสงสัย อยู่ นะ ว่า ไอ้ พวกที่ มีเจโต เนี่ย
    มันจะเสียมารยาท แอบอ่านฟามคิดชาวบ้านเล่น
    เป็นงานอดิเรก ไหม น๊อออ


    แต่ก็นั่น แหล่ะนะ กะอีแค่ มี เจโตฯ
    มันไม่ได้หมายฟามว่า คน ๆ นั้น
    จะต้องมีสมบัติผู้ดี หรือ ทะลุ อะระหัน นิ อิอิ


    เมื่อ ก่อน ก็ รู้สึกว่า ถ้า มีเจโต ก็คงจะเท่ห์ ดีเน๊าะ
    เที่ยวสอดรู้สอดเห็น ความรู้สึกนึกคิดชาวบ้านได้ด้วย


    แต่ สมัย มหาลัย พอ ขี้เกียจปีนกะไดอ่านใบลาน
    เรยคว้า หนังสือแนวโลกีย์ มาอ่าน บ่อยๆ

    อาทิเช่น นรกที่สวรรค์ลืม ของหม่อมคึกฤทธิ์
    อ่าน การ์ตูน only you

    อ่านไปอ่านมาเรยชักจะเปลี่ยนใจอ่ะ

    เกิด คำถามกับตัวเองว่า

    การมี สัมผัสที่ 6 แระ สารพัดยาน เอ๊ย ญาณ
    มัน คือ กำไร ชีวิต จริงหรือ ?

    แร้วทำไม ขอทานตาบอด ที่ เยซูแห่งนาซาเรธ ช่วยรักษา
    จึงไม่ปรารถนาดวงตาแห่งการมองเห็นเล่า

    ทำไม เขาจึงอยากกลับมาตาบอดดังเดิม ?


    ทำไม การที่ ใครสักคน ล่วงรู้ ความรู้สึกของคนอื่น
    จึง ไม่ได้ มีชีวิต อยู่ อย่าง รื่นรมย์ เล่า
    ทำไม เขา จึง ไม่อยาก มี พลังวิเศษนี้


    การมี สัมผัสที่ 6 แระ สารพัดยาน เอ๊ย ญาณ
    มัน คือ กำไร ชีวิต จริงหรือ ?
    การพัฒนาศักยภาพของ ทวาร 6 ( ใจ )
    ให้เปิดรับผัสสะจากภายนอกไห้มากขึ้น
    จนเกิด ปรุงแต่ง ที่มากขึ้น
    นี่มันเรียกว่า กำไร หรือ ขาดทุน ล่ะ


    เฮ้อ สมณะโคดม เค้าสอน ให้เหล่า พุทธมามกะจ๋า
    แสวงหา กำไร หรือ การขาดทุนของชีวิต ล่ะจ๊ะ
    บัวเหล่าที่ 5 อย่าง อิฉัน
    นึกว่า ทั่นสอนให้ แสวงหา

    สมดุลของจิต และชีวต ซะอีก


    สงสัยอิช้านจะเข้าใจผิด แฮะ
    แต่ก็ แปลกใจตะหงิด ๆ นะ รู้สึกว่า
    เหล่า พุทธมามกะจ๋าหลาย ๆ คน
    ดั้นด้นกระเสือกกระสน จะตะกายหา เจโตฯ กันจริ๊ง


    เจโต นี่ มันเป็น ปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตหรือไงกันจ๊ะ
    ไม่เห็นจะน่าพิสมัย ตรงไหน เรย
    เฮ้อ ขนาด แค่ ผัสสะ จาก ทวาร ทั้ง 5
    อิฉัน ยังปรุงจนฟุ้ง ไปเรื่อย
    ไม่ค่อยจะมีปัญญา ตัด ๆ รู้ ๆ เรยนิ


    ขืนไปรู้จิตรู้ใจ ชาวบ้าน มีเจโตยาน ๆ
    มิปรุงไปเรื่อย จน ฟุ้งซ่านไปถึง ดาว อังคาร หรอกหรือ
    เด๋วอิฉันก็กลายเป็น สาวสวยสติแตก หรอกคู๊ณ


    ยี้ แค่คิดก็สยอง แร้ววววจ้าาา
    ใครอยากมีก็มีไปเหอะ ไอ้เจโตฯ เนี่ย
    ดาบสองคมนะนั่น
    ถ้ามี ไอ้เจ้าเจโตแร้ว ตามดูรู้ทันจิต ไม่เป็น
    ฟามซวยจะกระเด็นมาหานะจ๊ะ เหอ ๆ


    [​IMG]

    อันนี้ ภาพ พี่นู๋บี ก๊ะ น้องนู๋ฮาร์ทททททท เหอ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2009
  20. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ปา-กด-ตะ-กาน หม้อหุงข้าวฝาใส

    [​IMG]


    ถึง อีตาเกิดเป็นบ่าง เอ๊ย เกิด เป็น คน





    อิช้านขอปรุงแต่ง และ เรียก สมมุติบัญญัติ นี้ ว่า
    ปากดตะกาน หม้อหุงข้าวฝาใส อ่ะ อิอิ

    จะว่าไป เจโต มันก็เหมือน
    การที่เรา ก้มมอง หม้อหุงข้าวใบนึงมั้ง
    เพียงแต่ ฝาหม้อ มัน ไม่ใช่ โลหะทึบแสง
    แต่เป็น ฝาแก้วโปร่งใส เราเลยมองทะลุไป
    เห็น ถึงตับไตไส้พุง แระอะไร ๆ ที่อยู่ข้างในหม้อฯ

    สิ่งสำคัญ จึงไม่ใช่ การได้มีอภิสิทธิ์ พิเศษ
    สังเกตเห็น อะไร ๆ ในหม้อ ได้มากกว่า คนอื่นหรอกนะ
    แต่สำคัญที่ว่า เราจะ เกิดการตอบสนองอย่างไร กับสิ่งเหล่านั้น ต่างหาก


    บางคน ก้มมองหม้อหุงข้าวผ่านฝาโลหะที่ทึบ หนา
    แล้ว เกิดจินตนาการบรรเจิด
    ฟุ้งซ่านปรุงเป็นโน้น เป็นนี่
    เกิดฟามอยามรู้อยากเห็น
    ว่ามีอะไรอยู่ในหม้อหุงข้าว


    บางคน ก้มมองหม้อหุงข้าวผ่านฝาแก้วที่โปร่งใส
    แล้วก็เห็น สิ่งที่อยู่ภายใน
    เอาไปปรุงแต่งต่อตามอนุสัยและ ขันธจริต
    เกิด มานะ ขยะแขยง ปิติ และ โสมนัส ฯลฯ

    จนกลายเป็น คุณ และ โทษ กับตน


    แต่บางคนกลับทำบางสิ่งที่ ตรงข้าม
    เขามองดูหม้อหุงข้าวทั้ง 2 แบบ
    ไม่ว่าจะเห็น สิ่งที่อยู่ภายในหรือไม่
    เขาถามตัวเองว่า

    รู้แล้วได้อะไร ไม่รู้แล้วได้อะไร
    สิ่งที่อยู่ในหม้อใบนี้ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง

    เหล่า พุทธมามกะจ๋า ก็เลือกเอาเองแระกัน
    ว่า จะไปทางไหน จะก้มดูหม้อหุงข้าวผ่านฝาหม้อยังไง

    ตถตา สาธุ สาธุ๊ เหอ ๆ


    อ้อ ยินดีต้อนรับ เข้าสู่ เวบพังจิต นะจ๊ะ ไอ้เพื่อนยาก


    [​IMG]



    พนันกันป่ะ ว่า คุณน้อง ก๊ะ คุณพี่

    ใคร จะเข้าวิน ได้ใบแดงจากป๋าวี ก่อนกัน อิอิ



    นี่ ๆ ในฐานะเด็กใหม่ สมควรจะแจก อนุโมทะแนะ
    เพื่อ แสดงความคาราวะ ให้ คุณพี่ บัวเน่า ด้วยนะจ๊ะ
    พี่ญิ๋งห่ามจะได้ชื่นใจที่รู้ว่า คุณน้องเกิดคิดถึงคุณพี่แค่หนาย
    อ้อ อนุโมทะแนะ ที่ พังจิต นี่ แจกได้ไร้ลิมิต
    หลับหูหลับตาแจก ๆ ไปเหอะน่า



    พี่บัวเน่า อยากจะได้ อนุโมทะแนะ
    จาก คุณน้องเกิด มั่งอ่ะ เผื่อจิตมันจะฟู จนดูไม่ได้ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...