Sansara & Reincarnation(สังสารวัฐและการเวียนว่ายตายเกิด)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Sgman, 17 พฤษภาคม 2010.

  1. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    Sansara & Reincarnation(สังสารวัฐและการเวียนว่ายตายเกิด) ในทางพุทธศาสนาในความคิดเห็นของเพื่อนๆ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ
    1. เป็นการเวียนว่ายตายเกิดของชาติภพในชาตินี้เท่านั้น(ไม่อธิบายถึงชาติก่อนชาติหน้า เชื่อว่าเป็นอจิณไตย ซึ่งไม่ใช่หนทางสู่การหลุดพ้น)
    2. เป็นการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ(เหมือนกับศาสนาฮินดู ต้องสะสมบุญบารมีหลากหลายภพชาติ เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพาน)
     
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    ครับผม การเวียนว่ายในภพชาตินี้ เขาเรียกว่า การเวียนว่ายทางอายตนะครับ
    เมื่อเกิดอุปาทานเกิด-ดับ ก็เท่ากับเกิด-ตาย ซึ่งเพียงวันเดียวก็ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
    อันนี้คือ การแปรผันของภูมิจิต (อันนี้สำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับปัจจุบัน)

    ส่วนการเวียนว่ายข้ามภพข้ามชาติ คือว่าก่อนตาย จิตสำนึกจะถูกทำลาย
    ตัวกำหนดจุติจิต ปฏิสนธิจิต จะเป็นภวังคจิตดวงสุดท้าย คือระลึกถึงภูมิจิตระดับไหนได้
    ถ้าทำดีไว้เยอะ โอกาสที่จะระลึกถึงภูมิจิตระดับนั้น ก็เยอะตามไปด้วย
    แต่ตัวควบคุมหลักๆเลย คือ สติ ครับ... ถ้าจิตดวงสุดท้ายเป็นแบบไหน ก็ไปแบบนั้นครับ

    คือต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าภวงัคจิตเป็นส่วนของนามที่มีก่อนรูป
    แต่จิตสำนึกมันเป็นนามที่มาจากรูป คือ สมอง...เมื่อตายมันก็ถูกทำลายไปด้วย
    ส่วนภวังคจิตมันเป็นจิตใต้สำนึกที่ไม่ได้ทำงานด้วยสมอง มันอยู่ลึกมากๆ
    เป็นจิตผู้รู้คือความรู้สึก ตัณหา โลภ โกรธ หลง... มันจะเป็นตัวนำไปปฏิสนธิครับผม
     
  3. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    การเกิดใหม่ที่คาบเกี่ยวระหว่างภพชาติไม่ใช่เรื่อนอจินไตยนะครับ
    เพราะกระบวนการณ์ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่กระบวนการของกรรมปรุงแต่ง
    อันนี้จะซับซ้อน ไม่ควรคิด แต่ควรรู้ รู้ด้วยการเห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่คิดแบบมั่วๆ

    ฮินดูเขามั่วๆครับ คนละเรื่องกับพุทธเลย
    พุทธใช้เรื่องเหตุปัจจัยครับ สำหรับการหลุดพ้นจริงๆแล้ว
    ใช้ปัญญาตัดสังโยชน์ทั้งสิบ กิเลสทั้งสิบครับผม เป็นกระบวนการที่ทำให้จิตสิ้นสภาพ
    เมื่อจิตไม่เหลือความเป็นจิต ก็จะปรุงแต่งต่อไม่ได้ ไม่เหลือภาชนะไว้รองรับ ก็เป็นอิสระ
    แต่ไม่ได้บอกว่าจิตเป็นอมตะนะครับ แต่มันเกิด-ดับ ตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงตามความคิดที่ส่งมาเรื่อยๆ จนเป็นความรู้สึกเป็นเจตนารมณ์... เรื่องนี้ซับซ้อนครับ

    ถ้าอยากปรึกษาเรื่องนี้ ก็ลองไปติดต่อ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ดูสิครับ
     
  4. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762

    ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปติเตียนศาสนาฮินดูเขาไปทำไม ในเมื่อไม่เชื่อไม่ศรัทธาเขาก็ไม่ควรไปปรามาสเขา แบบนี้เขาว่าใจมันยังสกปรกอยู่ คุณนับถือคติพุทธ ก็บอกว่าพุทธประเสริฐสุด แต่คนที่นับถือฮินดู ก็บอกว่าฮินดูประเสริฐสุด ฉันใดก็ฉันนั้น คติของใครก็บอกว่าดีกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ควรเบียดเบียนซึ่งกันและกัน


    แต่จะให้ผมวิพากษ์ โดยมองเป็นกลาง ไม่มีศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ศาสนาพุทธก็ไม่เกิด อภิปรัชญาศาสนาของพราหมณ์เป็นรากฐานให้กับศาสนาและนิกายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น พุทธ เชน วัชรยาน (ตันตระยาน)

    หลักคัมภีร์พระเวทก็ถูกต่อยอดเป็นคัมภีร์ให้กับศาสนาต่างๆ บ้างก็นำไปดัดแปลงให้เหมาะสมกับวิถีของตนตามความเชื่อของตน การที่คุณไปดูถูกดูแคลนศาสนาฮินดู ก็เท่ากับว่าคุณกำลังว่าร้ายบิดามารดาหรือบรรพบุรุษของตนเอง เขาเรียกว่า คนเนรคุณ

    ขนาดศาสนาพุทธเอง ความเชื่อก็ยังแตกต่างกันเลย เพราะต่างกันความคิด ต่างก็มีแต่ความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่งั้นศาสนาพุทธคงไม่มีมากนิกายเช่นกัน นี้ยังไม่รวมปาฏิหารย์ที่เติมใส่เข้าไปให้กับพระพุทธองค์ท่าน จนโว่นะเนี้ย

    ก่อนติเตียนผู้อื่นให้ดูจิตตัวเองเสียก่อน ทำได้หรือเปล่าในสิ่งที่พูดนะ อย่าใช้คำว่านิพพาน โมกษะ ไกรวัลยะ มาเป็นเพียงเครื่องประดับหรือเพียงแค่มโนทัศน์ที่เลิศหรู ทำได้เมื่อไร ก็จะอนุโมทนาเต็มกำลัง
     
  5. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    จริงๆแล้วฮินดูไม่เกี่ยวอะไรกับพุทธนะครับ มีแต่ฮินดูที่พยายามกลืนพุทธ
    ศาสนาที่เป็นพื้นฐานของปรัชญาตะวันออกจริงๆคือพราหมณ์นะครับ

    จริงๆแล้ว ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไม่ได้มาจากลัทธิความเชื่อไหนนะครับ
    ที่คุณบอกว่าพัฒนามาจากลัทธิความเชื่ออื่น เท่ากับคุณปรามาสพระพุทธองค์
    อย่าลืมนะครับ ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นสยัมภู ธรรมที่ตรัสรู้ไม่ได้มาจากเทวโองการ แต่เป็นโลกุตตรปัญญาญาณล้วนๆ... ไม่เหมือนพวกฤๅษีชีไพร ที่ไปเรียนวิชามาจากพรหมโลก....

    จริงๆแล้ว ฮินดูปฏิรูปมาจากพราหมณ์อีกที เปลี่ยนรูปแบบปรัชญาให้เป็นเทวนิยมสุดโต่ง
    จากที่เชื่อในปรมาตมัน พรหมัน ก็ปฏิรูปเป็นมหาเทพ 3 วาระ... จะว่าไปฮินดูไม่มีอะไรเกี่ยวกับพุทธเลย... การหลุดพ้นของศาสนาอื่นๆก็ไม่มีความเป็นโลกุตตระ.....
    แต่ผมจะไม่ว่าพราหมณ์แน่นอน เพราะศาสนาเป็นศาสนาแห่งภูมิปัญญาอีกศาสนาหนึ่ง
    แม้จะเป็นธรรมระดับโลกียะ แต่ก็ถึงระดับจิตสากล หรืออรูปภูมิ... โดยหลงเข้าใจว่าอรูปภูมิเป็นโมกษะหรือความอิสระ... แต่หารู้ไม่ว่ายังติดอยู่ที่มโนอายตนะ จึงไม่ใช่ทางหลุดพ้น

    เหตุใดผมจึงว่าฮินดูมั่ว เพราะว่าหลังจากที่สังกราจารย์พยายามปฏิรูปฮินดู โดยนำพระพุทธองค์ไปเป็นปางหนึ่งของพระวิษณุโดยไม่สมเหตุสมผลไงครับ อย่างนี้ควรแล้วที่จะพูดว่าเขามั่ว...

    ส่วนศาสนาพราหมณ์ ผมไม่ว่าหรอกครับ... ศาสนาพราหมณ์ทำประโยชน์แก่โลกมากมาย
    เช่น การค้นพบเลขศูนย์ ก็พบจากโยคี... ผมไม่ว่าผู้มีคุณหรอกครับ
    แต่ที่ผมว่าฮินดู เพราะเขาพยายามทำลายศาสนาพุทธ และปรัชญาของเขาก็*&%^จริงๆ

    ส่วนความเหมาะสมแล้ว ผมก็ไม่ควรว่าเขาหรอกครับ แต่ผมยังยึดติดอยู่
    ใครว่าทำลายศาสนาที่ผมนับถือ ผมก็ไม่พอใจ... อุปาทานยังเยอะครับ ^^
     
  6. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    ศาสนาพุทธหลายนิกายก็จริง แต่ทุกนิกายมีนัยยะเดียวกัน
    ส่วนศาสนาฮินดู ยกเทพยังไม่เหมือนกัน บ้างก็บูชาศักติ แปลงระบบความเชื่อ
    ความจริงที่ศาสนาพราหมณ์ค้นพบ ฮินดูก็เอาไปเปลี่ยนซะหมด
    จากเทพพรหมที่มีเพศบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติ ฮินดูนำศักติมาให้ท่านอีก
    เอาเข้าไป เอาเข้าไป... ผมเริ่มไม่พอใจแทนศาสนาพราหมณ์แล้วหนะสิ
    อืม เย็นไว้ เย็นไว้ ระงับไว้... ^^
     
  7. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    จะว่าไปเจตนาของผมก็ไม่ได้จะดูแคลนฮินดูหรอกครับ
    แต่ว่าผมหมั่นไส้สังกราจารย์... ยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
    ถ้าชาวฮินดูทั้งหลาย เลิกเชื่อผิดๆว่าพระพุทธองค์เป็นปางหนึ่งของพระวิษณุจะดีมากเลย
    เพราะสังกราจารย์คนเดียวที่ทำให้ฮินดูต้องแปดเปื้อน...
    ไปปลูกฝังให้คนเชื่อย่างนี้ แต่เขาเกิดเชื่อมากๆจนเป็นมิจฉาดิ่ง ก็อันตรายสุดๆ
     
  8. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ผมว่าเจตนาคุณมีแต่อคติ หลงติดกับความเชื่อผิดๆ ที่เล่าสู่กันมา
    ทุกอย่างเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งทางศาสนาที่รุนแรง
    มักนำพาหายนะมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ยิ่งถ้าเราบิดเบือนความจริง
    ก็ยิ่งทำให้ตาบอดเพราะอวิชชา

    เอาเวลาไปสร้างบารมีและปฏิบัติให้ถึงแก่นธรรมน่าจะดีกว่า
    สิ่งที่ยึดหมั่นถือมั่น ก็ไม่มีอะไรหยั่งยืน แล้วไม่ต้องไปยึด แม้แต่พระพุทธองค์
     
  9. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    อ้างอิง: อะไรคือมูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพุทธศาสนาในอินเดีย
    มูลเหตุของการเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในอินเดียมีหลายทัศนะจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อพิจารณาทัศนะเหล่านั้นแล้วก็ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น เหตุปัจจัยที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากมาตุภูมิคงเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปคล้ายนำเซาะหิน ไม่ใช้แบบน้ำเซาะทราย พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตโต) ได้กล่าวถึงสาเหตุไว้หลายประการ จึงขอนำมากล่าวโดยย่อดังนี้

    1. คณะสงฆ์อ่อนแอเสื่อมโทรมลง
    พระสงฆ์แต่เดิมปฏิบัตินตามธรรมวินัยทำให้ประชาชนทุกชนชั้นเลื่อมใส พากันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนเจริญรุ่งเรือง แต่ต่อมาในรุ่นหลังๆ หลงมัวเมาในลาภสักการะ ลืมหน้าที่ที่แท้จริง เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้
    - ติดถิ่น ติดที่ เพลิดเพลินในลาภสักการะและความสุขสบาย นึกถึงแต่เรื่องของตนเอง และปัจจัยเครื่องอาศัยของตนเอง ทอดทิ้งหน้าที่ต่อประชาชน
    - วุ่นวายอยู่กับพิธีกรรม และงานฉลองอันสนุกสนานต่างๆ จนความเขาใจเรื่องบุญกุศลแคบลงเป็นเรื่องรับเข้าหรือเอาฝ่ายเดียว
    - ศึกษาเล่าเรียนลึกซึ้งลงไปแล้ว มัวหลงเพลินกับการถกเถียงปัญหาปรัชญาประเภท อันตคาหิกทิฏฐิ จนลืมศาสนกิจสามัญในระหว่างพุทธบริษัท
    - มีความประพฤติปฏิบติย่อหย่อนลง เพราะเพลิดเพลินในความสุขสบาย และแตกสามัคคีแยกเป็นพวกเป็นนิกาย เพราะถือรั้นรังเกียจกันตกลงกันไม่ได้
    - เห็นแก่ความง่าย ตามใจตนเอง ตามใจคน ปล่อยให้เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องลึกลับอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ พอกพูนมากขึ้น ตนเองก็เพลิดเพลินมัวเมาในเรื่องเหล่านั้น และทำให้ประชาชนจมดิ่งลง แทนที่จะมีเหตุผลยิ่งขึ้น เข้มแข็ง มีปัญญาและพึ่งตนได้มากขึ้น ก็กลับอ่อนแอต้องคอยหวังพึ่งปัจจัยภายนอกมากยิ่งขึ้น และทำให้พระพุทธศาสนามีสภาพคล้ายคลึงกับศาสนาอื่นๆ มากมาย เช่น แปรรูปไปเป็น ตันตระ แบบเสื่อมโทรม จนเหมือนตันตระของฮินดู และหมดลักษณะพิเศษของตนเอง

    2. ศาสนาฮินดูต่อต้านบีบคั้น
    คำสอนของพระพุทธศาสนาขัดแย้งและทำลายความเชื่อถือเดิมในศาสนาพราหมณ์มากมายหลายอย่าง เป็นเหตุให้ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในสมัยต่อมา พยายามหาทางลิดรอนพระพุทธศาสนาโดยวิธีต่างๆ ข้อที่ควรศึกษาในเรื่องนี้มีดังนี้
    - พระพุทธศาสนาสอนว่าทุกคนมีความเสมอภาค ควรมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่จำกัดด้วย วรรณะ และให้ทุกคนศึกษาเล่าเรียนในพระธรรมวินัยเหมือนกันหมด คำสอนนี้กระทบกระเทือนฐานะของพราหมณ์ทั้งหลาย ซึ่งถือว่าตนเป็นวรรณะสูงสุด มีสิทธิพิเศษต่างๆ และเคยผูกขาดการศึกษาไว้ โดยปกติพราหมณ์เป็นคนชั้นสูง มีอำนาจและอิทธิพลมาก เช่น เป็นปุโรหิตของพระราชา เป็นต้น แต่พระพุทธศาสนาแพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป ตราบใดที่ประชาชนยังมีศรัทธามั่นคง พระสงฆ์ยังเป็นที่พึ่งของประชาชนและทำหน้าที่ต่อประชาชนอย่างถูกต้อง พวกพราหมณ์ก็ไม่กล้าทำอันตราย หรือทำก็ไม่สำเร็จ ยิ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์อยู่ด้วย พระพุทธศาสนาก็ยิ่งมั่นคง จะสังเกตเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ที่เป็นพุทธมามกะถูกพระองค์ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา อุปถัมภ์ทุกๆ ศาสนา เช่น พระเจ้าอโศก กนิษกะ หรรษวรรธนะ เป็นต้น แต่พราหมณ์จะไม่พอใจในการอุปภัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น ปุษยมิตร ทำลายวงศ์กษัตริย์พุทธขึ้นครองราชย์ แล้วกำจัดพุทธศาสนา พวกพราหมณ์ข้าราชการของพระเจ้าหรรษวรรธนะ ริษยาการทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ถึงกับวางแผนปลงพระชนม์เป็นต้น ในสมัยที่พราหมณ์ขึ้นเป็นกษัตริย์แม้จะไม่กล้ากำจัดพระพุทธศาสนา แต่ก็ทำให้พระพุทธศาสนาต้องยอมประนีประนอมคำสอนกับฮินดู จนกลายเป็นเหมือนกันและถูกกลืนไปในที่สุด
    - พวกพราหมณ์ใช้ศาสนาฮินดูเป็นหลักของลัทธิชาตินิยมโดยผนวกความเป็นคนอินเดียเข้ากับความเป็นฮินดู ซึ่งจะสังเกตเห็นว่ากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียเป็นพุทธมามกะ และมักจะเป็นเชื้อสายชนต่างชาติ ที่เห็นชัดเจนคือ พระเจ้ากนิษกะทรงเป็นชนเชื้อสายมงโกลในเผ่ากุษาณ ชาวอินเดียที่จะกำจัดราชวงศ์กุษาณในสมัยต่อมา ใช้ลัทธิชาตินิยมเป็นเครื่องรวมกำลัง และการที่กษัตริย์วงศ์นี้นับถือพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า พระพุทธศาสนาจึงถูกเพ่งมองในฐานะศาสนาของคนต่างชาติด้วย แม้ในเรื่องนี้พระเจ้าอโศกมหาราชก็เช่นกัน มีปราชญ์สันนิษฐานว่า พระองค์มีพระมารดาเป็นชนชาติกรีก พวกพราหมณได้พยายามกำจัดราชวงศ์นี้พร้อมทั้งพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกแม้จะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ไม่ปรากฏเกียรติคุณในประวัติศาสตร์ของชาวฮินดูเลย ต่อเมื่อชาวยุโรปมาขุดค้นศึกษา พระนามของพระเจ้าอโศกจึงปรากฏขึ้นมา และชาวอินเดียเองจึงพลอยยอมรับ นอกจากนี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชนเผ่ามงโกล ซึ่งย่อมไม่เป็นที่พึงพอใจของพราหมณ์
    - ปราชญ์ฮินดูพยายามนำเอาหลักการในพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงหลักธรรมของตนเองให้ออกรูปใหม่บ้าง นำไปทำตามอย่างบ้าง เพื่อให้มีกำลังเทียบเคียงกันได้ และให้ดูคล้ายคลึงเหมือนกัน กลืนกันจนไม่จำเป็นจะต้องมีพระพุทธศาสนาอยู่ต่างหาก และเมื่อฝ่ายพุทธศาสนาอ่อนแอก็กลืนได้ง่าย เช่น สังกราจารย์ นำหลักในพุทธปรัชญาไปแปลงรูปเป็นปรัชญาเวทานตะของตน และสร้างวัดฮินดู ตั้งคณะนักบวชสันยาสีเลียนแบบคณะสงฆ์ เป็นต้น แม้องค์พระพุทธเจ้าเอง ก็กลายเป็นอวตารของพระนารายณ์ไป

    3. ชนชาติมุสลิมเข้ารุกรานและทำลาย
    ในระยะที่คณะสงฆ์กำลังอ่อนแอลงนั้น ก็พอดีกองทัพชนชาติอาหรับและเตอร์กเข้ารุกรานเป็นระลอกๆ และทำลายพุทธศาสนาลงจนหมด เช่น ทำลายมหาวิทยาลัยวลภีลงในราว พ.ศ. 1350-1400 และทำลายหมดทุกแห่งใน พ.ศ. 170 เป็นต้น โดยวิธี
    - ฆ่าพระสงฆ์ เช่นที่นาลันทา นักประวัติศาสตร์มุสลิมเองบันทึกไว้ว่าพระถูกฆ่าประมาณหมื่นรูป คือไม่ให้เหลือเลยทุกแห่ง
    - ทำลายสถาบันและสิ่งก่อสร้างโดยเผาผลาญวัดวาอารามและมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทุกแห่ง บางแห่งแม้แต่ซากก็ไม่ให้เหลือ
    - เผาคัมภีร์และตำรับตำราพระพุทธศาสนา เช่น ที่หอสมุดของนาลันทาเผาอยู่แรมเดือน
    การทำลายครั้งนี้ทำให้คณะสงฆ์สลายตัว และตั้งไม่ติดอีกเลย ระบบของพระพุทธศาสนานั้นดำรงอยู่ในรูปสถาบัน ซึ่งปันเป็นพุทธบริษัท 2 ฝ่าย ปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่ายต่อกันโดยฝ่ายพระสงฆ์เป็นผู้นำในทางจิตใจ มีความเป็นอยู่และที่อยู่ต่างหากชัดเจน กำจัดได้ง่าย เมื่อหมดพระสงฆ์ หมดผู้นำ พุทธศาสนิกก็ถูกบังคับบ้าง ถูกชักจูงบ้าง กลายเป็นมุสลิมหรือฮินดูไป ฝ่ายฮินดูถึงจะถูกกำจัดพร้อมกัน แต่เพราะนักบวชฮินดูมีหลายแบบ บางพวกอยู่ตามบ้านมีครอบครัว มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากคนทั่วไป ก็เหลือรอดอยู่ได้ง่าย ขณะนั้นหลักการทั่วไปของพระพุทธศาสนากับฮินดู คล้ายคลึงกัน หรือผสมผสานกันมากแล้ว เมื่อฝ่ายฮินดูเหลืออยู่ ก็ชักไปเข้าฮินดูโดยง่ายไม่มีใครขัดขวาง วัดพุทธศาสนาที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกพราหมณ์เข้าครองกลายเป็นวัดฮินดู ชาวพุทธที่เหลือก็ถูกกลืนช้าๆ เขาสู่สังคมแห่งวรรณะของฮินดู (พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, โรงพิมพ์ธรรมสภา, 2540 (358-364)

    กรุณา กุศลาศัย ได้กล่าวถึงสาเหตุการเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาในอินเดียไว้ดังนี้
    ประวัติศาสตร์ให้บทเรียนว่า สถาบันหรือขนบธรรมเนียมใด ๆ ก็ตามซึ่งในระยะเริ่มต้น อาจจะมีคุณูปการหรือประโยชน์ต่อสังคม แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป หากสถาบันหรือขนบธรรมเนียมนั้น ๆ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลเทศะ สถาบันหรือขนบธรรมเนียมดังกล่าว อาจกลายเป็นอุปสรรคสิ่งขัดขวางต่อการเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้นได้

    ความจริงข้อนี้ ประวัติศาสตร์มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เห็นอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น การแบ่งอาชีพกันทำเพื่อทักษะและความชำนาญ (การแบ่งคนออกเป็นวรรณะในสังคมอินเดียโบราณ) การประกอบพิธีทางศาสนา การเชื่อถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) ของชาวกรีกโรมันและชาวอียิปต์โบราณ การยกย่องระบบกษัตริย์ให้เป็นสมมติเทพ การเสกคาถาอาคมและปลุกผีสางเทวดา พฤติกรรมเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสังคมในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป พฤติกรรมดังกล่าวกลับเป็นอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ที่กล่าวมานี้ฉันใด พิธีกรรมและวัตรปฏิบัติทางศาสนาจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะนำมาเปรียบเทียบได้ฉันนั้น

    1.การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์
    ในกรณีของพุทธศาสนานั้น การแยกตนไปดำรงชีวิตต่างหากของสงฆ์ เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง แห่งการอ่อนกำลังของพุทธศาสนา จริงอยู่ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้ง การที่สงฆ์แยกจากสังคมคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตต่างหาก เป็นการรักษาความมีระเบียบ ความบริสุทธิ์ผ่องใส และเป็นการส่งเสริมการศึกษาและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป สงฆ์ได้หลงลืมวัตถุประสงค์เดิมตามคำสอนของพุทธองค์ สงฆ์หันไปหมกมุ่นอยู่กับกิจธุระส่วนตัวเป็นสำคัญ สงฆ์ทอดทิ้งไม่ดูแลการศึกษา และให้การอบรมด้านศีลธรรม และสติปัญญาแก่ประชาชน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ในระยะแรก ๆ แห่งการก่อตั้งสงฆ์โดยพุทธานุมัตินั้น สงฆ์ได้บำเพ็ญกรณียกิจ ในฐานะเป็นผู้ให้การศึกษา ฝึกอบรมศีลธรรม และพัฒนาจิตวิญญาณ แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ในกาลเวลาต่อมาอุดมการณ์ด้านนี้ของสงฆ์ได้เลือนรางจางหายไป พุทธศาสนามีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการด้านวัฒนธรรมของอินเดีย และของหลายประเทศในทวีปเอเชีย พุทธศาสนาเป็นพลังดลใจในศิลปศาสตร์นานาแขนงทั่วเอเชีย แต่ในประเทศอินเดียเองด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนาได้สูญเสียฐานะความเป็นผู้นำทางศาสนา ไปอย่างน่าเสียดาย สัมฤทธิผลของศาสนาใดศาสนาหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับประชาชนผู้เป็นบริษัทบริวารของศาสนานั้นด้วย ศาสนาชิน (Jain) ซึ่งมีคำสอนและวัตรปฏิบัติคล้ายคลึงกับพุทธศาสนาอยู่หลายอย่างหลายประการ มีการจัดตั้งในสังคมฆราวาส (คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักบวช) ด้วยเหตุนี้ ศาสนาชินจึงยังคงดำรงสถานะเป็นศาสนาหนึ่ง ในประเทศอินเดียได้ตราบจนทุกวันนี้ ศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูก็เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สังคมฆราวาสกับสังคมนักบวชหาได้แยกกันไม่ ทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดในอินเดียศาสนาเดียวที่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติทางสังคม พุทธศาสนาไม่มีบทบัญญัติเป็นกิจจะลักษณะในเรื่องเกี่ยวกับการเกิด การตาย หรือการแต่งงานของพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาให้เสรีภาพในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ โดยถือว่าเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในอินเดียก็คือ มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิก ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากคนสำคัญแห่งนครสาวัตถี ได้ยกธิดาคนหัวปีชื่อมหาสุภัททา ให้แก่คหบดีแห่งเมืองอุคคนครผู้นับถือศาสนาชิน (ในภาษาบาลีมีชื่อว่า นิคัณฐนาถปุตตะ) ความมีใจกว้างหรือการให้เสรีภาพแก่ศาสนิกเช่นนี้ ในทัศนะของปราชญ์บางท่าน (เช่น นายนลินากฺษ ทัตต) เห็นว่า แม้ในระยะเริ่มแรกแห่งการก่อตั้งและเผยแผ่จะเป็นผลดีแก่พุทธศาสนา แต่ในกาลไกลแล้วเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เพราะทำให้วัตรปฏิบัติของศาสนิกหย่อนยาน เปิดโอกาสให้ผู้มีทัศนะและความเชื่อถือแปลกแยกเข้าไปปะปนและบ่อนทำลายเอกภาพ

    2. การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคมของพุทธศาสนา
    การวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางสังคม ของพุทธศาสนา ในระยะเริ่มแรกนั้น เป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนา เจริญแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความพอใจที่พุทธศาสนาให้เสรีภาพ ไม่แทรกแซงเปลี่ยนแปลงหรือเลิกล้มจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม พระพุทธองค์เป็นปัญญาชน เป็นนักคิด พระองค์มาจากราชตระกูลที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณี ตลอดจนความเชื่อถือตามระบบของสังคมอันมีพราหมณ์เป็นผู้นำมาแต่โบราณกาล ในฐานะที่เป็นปัญญาชน นักคิด พระองค์ทรงสะท้อนพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็น “นิมิต ๔” มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงโทมนัสถึงกับตัดสินพระทัยออกบรรพชา ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาวิธีที่คนเราจะได้พบอิสระจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยเหตุนี้แม้เมื่อทรงบรรพชาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงข้องเกี่ยวกับความเชื่อถือหรือจารีตประเพณีของสังคม พระองค์ทรงปล่อยให้ความเชื่อถือหรือวัตรปฏิบัตรเหล่านี้เป็นไปตามสภาพเดิม พระองค์ทรงมุ่งมั่นอยู่กับการค้นหา “สัจธรรม” ที่ทำอย่างไรคนเราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ในคำสอนของพระองค์ที่มีปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้เวไนยยนิกรเสียเวลาถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์หรือคาดคะเนในเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน) เช่น ความเห็นที่ยึดเอาที่สุด ๑๐ ประการ (อันตคาหิกทิฏฐิ) ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย เป็นต้น นายนลินากฺษ ทัตต ปราชญ์ชาวอินเดียผู้รจนาตำราหลายเล่มเกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย ได้เขียนแสดงความเห็นไว้ว่า การวางตนไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในอินเดียในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระพุทธองค์และสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณของพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นผลดีแก่การเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป และเมื่อไม่มีพระพุทธองค์ตลอดจนสานุศิษย์ผู้ปรีชาญาณเป็นผู้นำและให้แสงสว่าง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธีกรรมเก่า ๆ ของพราหมณ์ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล จึงกลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีก
    ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลามิช้ามินานหลังจากพุทธปรินิพพาน และหลังจากอัครสาวกองค์สำคัญ ๆ ผู้เปรื่องปราดได้ล่วงลับไปแล้ว ประชาชนต่างก็เริ่มลืมเลือนสารัตถะแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่างกลับไม่เชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ต่างกลับไปเชื่อถือและประพฤติปฏิบัติตามลัทธิคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคัดค้านและต้องการเปลี่ยนแปลงตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กล่าวโดยย่อก็คือ แก่นแห่งศาสนาพุทธ ได้ถูกกระพี้แห่งศาสนาพราหมณ์ ปกปิด หรือบดบังไว้ อย่างแทบจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะจากสามัญชนคนธรรมดา

    พฤติการณ์ทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศอื่นที่พุทธศาสนาได้แผ่ไปถึง เช่นในประเทศจีน ทิเบต เนปาล พม่า สยาม ลังกา ญี่ปุ่น ตลอดจนเกาหลี มองโกเลีย และอินโดนีเซีย ในทุกประเทศที่ได้กล่าวนามมานี้ เป็นความจริงที่พุทธศาสนาได้เข้าไปประดิษฐานอยู่เป็นเวลาช้านาน ทั้งได้รับความเทิดทูนสักการะอย่างสูงจากประชาชน แต่ในขณะเดียวกันอิทธิพลของวัฒนธรรม ตลอดจนลัทธิความเชื่อถือ เดิมของท้องถิ่นก็ได้เข้าไปผสมผสานปนเปกับ คำสอนอันแท้จริงของพุทธศาสนา อย่างแทบจะแยกกันไม่ออก
    กล่าวโดยย่อก็คือ “ปรมัตถธรรม” ที่พระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ได้เลือนลางจางหายจนแทบจะสูญความหมาย ในอินเดีย โดยเฉพาะแล้ว ภายในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีหลังจากพุทธศาสนา แม้ในถิ่นที่พุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองที่สุดมาแล้ว เช่นในรัฐพิหาร อุตรประเทศ และเบงกอล ก็ตาม

    3. ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของสงฆ์
    สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมอิทธิพลน่าจะได้แก่ ความตกต่ำทางภูมิปัญญาของบุคคลที่เข้ามาเป็นสมาชิกในคณะภิกษุสงฆ์ ตราบใดที่คณะสงฆ์มีสมาชิกที่ทรงความรู้ความสามารถ เป็นประทีปทางปัญญาให้แก่ปวงชน ตราบนั้นพุทธศาสนาก็อยู่ในฐานะสูงส่ง มีราชามหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนคนธรรมดาประกาศตน เป็นสมาชิกมากมาย แต่หลังจากพุทธปรินิพพานไม่นานก็ปรากฏตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ได้มีความหย่อนยานเกิดขึ้นทั้งในทางระดับภูมิปัญญา และในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ จนต้องมีการสังคายนากันเป็นระยะ ๆ ตลอดมา

    ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที (ศาสตรารฺถ) กันในเรื่องของศาสนาที่เป็นสาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลของความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้พิชิต” ปราชญ์ฝ่ายพุทธ

    4. การปรากฏของลัทธิตันตระ
    ลัทธิตันตระเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อมาของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งได้กล่าวถึงมาบ้างแล้วในตอนต้น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก มีอาทิในประเทศอินเดีย อียิปต์ ประเทศจีนยุคกลาง ในตะวันออกกลาง ยุโรป สหรัฐอเมริกา (ล่าสุดในญี่ปุ่น ได้แก่กรณีโอมชินริเกียว - Aum Shinrikyo ซึ่งได้สร้างความหายนะทั้งในชีวิตและทรัพย์สินแก่ชาวญี่ปุ่นอย่างมหาศาล) ชี้ให้เราเห็นว่า ความเชื่อลัทธิทางศาสนานั้น มีอิทธิพลอย่างมากมายต่อพฤติกรรมในชีวิตของมนุษย์ พิธีกรรมหรือวัตรปฏิบัติ อันเกิดจากความเชื่อทางศาสนามากมายหลายกรณี ซึ่งแรกเริ่มเดิมที เกิดจากเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์อันดีงาม เป็นบุญกุศล แต่พอกาลเวลาล่วงเลยไป กิเลสของคนกลับแปรเปลี่ยนให้พิธีกรรมหรือ วัตรปฏิบัติเหล่านั้น หันเหไปในทางที่เลวทรามต่ำช้าสุดที่จะพรรณา

    อุปมาที่กล่าวมานี้ฉันใด อุปไมยก็ได้แก่ลัทธิตันตระ อันเป็น วิวัฒนาการขั้นต่อมาในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อาจกล่าวได้ว่า ตันตระเป็นลัทธิความเชื่อและวัตรปฏิบัติที่นำ พุทธศาสนาไปสู่ความหายนะขั้นสุดท้ายในประเทศอินเดีย ตันตระประกอบด้วยคำสอนหลัก ๕ ประการ ที่มีชื่อว่า “๕ ม” มี (๑) มัทยะ - เหล้า (๒) มางสะ - เนื้อ (๓) มัตสยะ - ปลา (๔) มุทรา - ท่าทาง (๕) ไมถุน - การเสพสังวาสผู้ที่เชื่อในหลักคำสอนของตันตระจะต้องใช้ “๕ ม” นี้ประกอบ การบูชากราบไหว้ เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการที่จะเข้าใจว่าตันตระคือ อะไร และทำไมพุทธศาสนาในอินเดียจึงถึงซึ่งกาลอวสานด้วยตันตระ สมองของมนุษย์นั้นว่ากันว่าเป็นเลิศประเสริฐสุดในบรรดาสัตว์ ทุกชนิดที่มีให้เห็นในโลก แต่ประวัติศาสตร์ก็มีนิทัศน์อุทาหรณ์ให้เราต้องยอมรับและเชื่อว่า ก็สมองของมนุษย์นี่แหละที่ได้สร้างความชั่วช้าสามานย์ ตลอดจนความพินาศวอดวายที่เลวร้ายที่สุดให้แก่มนุษย์
    ทุกวันนี้ “ตันตระ” ก็ยังมีให้เห็นทั่ว ๆ ไปในโลก (รวมทั้งในเมืองไทยด้วย) อาจจะมีท่านผู้อ่านอยากจะทราบว่าลัทธิตันตระชั่วร้ายอย่างไร ถึงกับทำให้พุทธศาสนาปลาสนาการไปจากอินเดียอันเป็นดินแดนถิ่นที่เกิด ผู้เขียนก็ขอตอบโดยสังเขปที่สุดว่า

    ตันตระนั้นหรือคือลัทธิที่สอนให้คนเชื่อในเวทย์มนต์คาถาอาคม การทรงเจ้าเข้าผี ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอยู่ในไสยศาสตร์ ไสยเวท อันมีกำเนิดจากคัมภีร์อาถรรพเวทของพราหมณ์ และอยู่นอกเหนือวิสัย ของปุถุชนคนธรรมดา

    อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๘ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ชาวอินเดียทั้งประเทศซึ่งเดิมเคยนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ต่างก็ตกอยู่ในความครอบงำของลัทธิตันตระอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น หากชนชั้นสูงรวมทั้งชนชั้นผู้ปกครองด้วยก็เช่นเดียวกัน

    5. ชาวพุทธถูกรุกรานประหัตประหาร
    อิสลามในฐานะเป็นกำลังสำคัญทั้งในทางการเมืองและการศาสนา ได้แผ่เข้าไปในอินเดียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยเริ่มตั้งแต่ตอนต้น ของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ และภายในเวลาไม่กี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองดินแดนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกของอินเดียไว้แทบจะทั้งหมด และครองอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา

    การที่อิสลามเข้าไปมีอำนาจทางอาณาจักรและศาสนจักรในอินเดียเป็นเวลาหลายร้อยปี ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมอิสลามแผ่กระจาย และคลุมครอบชีวิตของชาวอินเดียอย่างลุ่มลึกและกว้างไกล ซึ่งอิทธิพลนี้ยังมีให้เห็นตราบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะในอินเดียภาคเหนือ
    ในส่วนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น อาจกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอิสลามเป็นมรสุมลูกสุดท้ายที่กระหน่ำให้ “พุทธนาวา” ลำนี้ก็อยู่ในสภาพ “ชำรุด” เต็มประดา ด้วยท้องนาวาถูกแมงกะพรุนตันตระกัดกิน เป็นรูรั่วน้ำไหลเข้าได้ จวนเจียนจะพลิกคว่ำอยู่แล้ว แต่ “มรสุม” ลูกสุดท้ายที่ทำให้พุทธศาสนาต้องพังพินาศไปจากแผ่นดินอินเดียนั้น แน่นอน คือ “อิสลาม”

    ผู้เขียนขอจบบทความนี้ด้วยการยืมเอาคำพรรณนาของ พระภิกษุ ดร.อานันท์ เกาศัลยายน พระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ภาษาฮินดีให้แก่ผู้เขียนตั้งแต่ชั้น ก ข ค ซึ่งปรากฏในบทเขียนของท่านชื่อ “How India Lost Buddhism?” มาเสนอท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้
    “ในขณะที่ความเสื่อมทางศีลธรรมและจิตใจกำลังมาสู่ประชาชาติอินเดียดังได้พรรณนามานี้ การแบ่งแยกถือชั้นวรรณะตามศาสนาพราหมณ์ก็กระหน่ำทำให้ชีวิตสังคมอ่อนเปลี้ยลงอย่างที่สุด และในขณะที่ความ “เร้นลับ” ของลัทธิ “ตันตระ” กำลังทำให้สมองของประชาชนหมดสมรรถภาพอยู่นั้น กองทัพอันเกรียงไกรของมุสลิมก็เคลื่อนขบวนมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คล้ายกับมรสุมใหญ่ที่กำลังพัดมาเพื่อทำความสะอาดให้แก่สิ่งโสโครกทั้งหลาย บรรดาโบสถ์วิหารและทรัพย์สมบัติเครื่องบูชาอันมีค่ายวดยิ่ง ซึ่งสะสมกันไว้ตั้งร้อย ๆ ปี ได้ถูกทำลายพินาศลงด้วยน้ำมือของพวกรุกรานมุสลิม ปฏิมาของพระโพธิสัตว์และเทพยดา ทั้งหญิงชาย ได้ถูกเหวี่ยงลงจากแท่นบูชาและเผาผลาญไม่มีเหลือ ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักรบมุสลิมผู้กระหายอำนาจและทรัพย์สมบัติเหล่านี้ “มนตร์” และพิธีกรรมต่าง ๆ ทางลัทธิ “ตันตระ” ที่เชื่อกันว่า “ขลัง” ยิ่งนักนั้นปรากฏว่าไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ บรรดา “ผู้สำเร็จ” และ “อาจารย์” องค์สำคัญ ๆ ต่างพากันยืนมือเท้างอต่อหน้ากองทัพมุสลิม ในที่สุดขณะที่พวก “ตันตระ”
    (บทความโดย กรุณา กุศลาสัย)
    http://www.asianamulet.com/content/26/1/


    ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สูญสิ้นไปจากประเทศอินเดีย เพราะสิ่งที่พระพุทธศาสนาสร้างขึ้นแล้วในประเทศอินเดีย ก็ยังคงอยู่ในประเทศอินเดีย ในรูปศิลปะ โบราณคดี วัฒนธรรมต่างๆ ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนในด้านหลักธรรมก็เป็นเครื่องปรับปรุงขัดเกลา และเป็นแบบอย่างที่ทำให้ศาสนาฮินดูซึ่งเจริญ มาถึงปัจจุบันกลายรูปไปในทางที่ประณีตขึ้น เช่น เลิกการบูชายัญ มีหลักศีลธรรมเด่นชัดขึ้น มีหลักปรัชญาที่ลึกซึ้งขึ้นด้วยวิธีดึงเอามาจากพระพุทธศาสนาเท่าที่เป็นประโยชน์แก่ตน ดังนี้ เป็นต้น
    (พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, โรงพิมพ์ธรรมสภา, 2540 (364)

    ผมมีข้อซักถาม 2 ขัอ ดังนี้

    1) ถามว่า คุณอ่านแล้ว คุณเชื่อหรือ? 2500 กว่าปี ที่มาผ่านมา คุณไปเอาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ผมดูได้ไหม?
    2) คุณอ่านแล้ว คุณเชื่ออย่างไร กับกระทู้ที่ว่านี้ : http://palungjit.org/threads/อะไร-ที่ไหน-“พระพุทธเจ้าไม่มีตัวจริง”-สำหรับคุณล่ะ-จะคิดอย่างไร.238799/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2010
  10. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    ครับผม จิตที่ไร้อคติ ย่อมเหมือนน้ำที่นิ่งและใส
    สะท้อนสรรพสิ่งตามที่เป็น... แต่ว่า สภาพของจิต
    มีธรรมชาติที่ขุ่น และวุ่นวาย เพราะสิ่งเศร้าหมอง
    ขอเพียงเฝ้าดู เมื่อมันตกตะกอน จิตที่วุ่นวายก็พลันใสขึ้นมา...

    เอาเป็นว่า ผมสำนึกผิดที่ไปว่าเพื่อนร่วมเกิด-ตายครับ ^^
    แท้จริงแล้วศาสนาำไม่ได้สร้างความขัดแย้ง หากแต่คนที่นำศาสนามาสร้างความขัดแย้ง
    แม้เขาจะปฏิรูปความเชื่อให้พระพุทธองค์เป็นปางที่เก้าของพระนารายณ์ ซึ่งไม่เป็นความจริง
    สิ่งที่เราจะทำได้คือ ชี้แจง หากเขาไม่เปลี่ยนความคิด ก็เพียงวางใจเป็นกลาง

    สาธุ... ทำให้ศรัทธาของศาสนิกชนเข้มแข็ง การปฏิรูปเพื่อที่จะกลืนศาสนาของศาสนาอื่นก็ไม่เป็นผล ในทางกลับกัน เราก็ควรขยายศรัทธาให้กว้างขวาง เพื่อนำพระสัทธรรมสู่หมู่ชนทั้งหลาย... ^^
     
  11. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    มูลเหตุที่ทำให้ศาสนาพุทธสูญจากอินเดีย ก็เพราะความอ่อนแอทางศรัทธาของศาสนิก
    จากเหตุปัจจัยข้างต้น เพราะปฏิรูปให้คล้ายฮินดูมากเกินไป... เลยโดนกลืนแทน
     
  12. SpecDum

    SpecDum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +489
  13. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    เห็นด้วยครับ อนุโมทนา
     
  14. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    **********************************************
    ระหว่างภพชาติไม่ใช่เรื่อนอจินไตยนะครับ
    เพราะกระบวนการณ์ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่กระบวนการของกรรมปรุงแต่ง
    อันนี้จะซับซ้อน ไม่ควรคิด แต่ควรรู้ รู้ด้วยการเห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่คิดแบบ
    มั่วๆ
    จิตอิสระ มีความเห็นว่า เป็นเรื่องอจินไตย หรือเรื่องที่ไม่ควรรู้หรือใส่ใจ หาต้น หาปลาย ไม่เจอ เรื่องอจินไตย คือ เรื่องที่ไม่ควรใส่ใจหรือสืบค้นมาก แค่เพียงเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการสืบต่อของ เหตุ-->ผล(เหตุ)--->ผล(เหตุ)---> ... จนไม่รู้ว่าจะหาเหตุ และ ผลไปทำไหม
    จิตอิสระ มีความเห็นว่า เมื่อมีความคิด จึงเกิดการปรุงแต่ง จึงเกิดการสร้างภพชาติ เกิดขึ้น . เมื่อตัดความคิด จึงพบจิตว่าง . ตัดคิด หมายถึงเจริญสติให้รู้เท่าทันความคิด ปล่อยวาง เลิกการปรุงแต่ง เลิกสร้างภพ ชาติ
    **************************************
    ฮินดูเขามั่วๆครับ คนละเรื่องกับพุทธเลย
    จิต อิสระ มีความเห็นว่า ไม่ควรจะต่อว่า ศาสนาอื่น . สามารถให้ข้อคิดเห็นเชิงวิชาการได้ เช่น ศาสนาฮินดู เน้นเรื่องความเชื่อ หรือศรัทธา ในเทพ ส่วนศาสนาพุทธ เน้นความหลุดพ้น จาก โลก หรือ ความคิด หรือ กิเลสที่เกิดจากความคิด . จะเป็นการสร้างกรรมให้ตัวเอง และบุคคลอื่นด้วยครับ เพราะลัทะความเชื่อของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
    ***************************************
    พุทธใช้เรื่องเหตุปัจจัยครับ สำหรับการหลุดพ้นจริงๆแล้ว
    ใช้ปัญญาตัดสังโยชน์ทั้งสิบ กิเลสทั้งสิบครับผม เป็นกระบวนการที่ทำให้จิตสิ้นสภาพ
    เมื่อจิตไม่เหลือความเป็นจิต ก็จะปรุงแต่งต่อไม่ได้ ไม่เหลือภาชนะไว้รองรับ ก็เป็นอิสระ
    แต่ไม่ได้บอกว่าจิตเป็นอมตะนะครับ แต่มันเกิด-ดับ ตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงตามความคิดที่ส่งมาเรื่อยๆ จนเป็นความรู้สึกเป็นเจตนารมณ์... เรื่องนี้ซับซ้อนครับ
    จิต อิสระมีความเห็นว่า
    ในร่างกายนี้ประกอบไปด้วย ใจ จิต วิญญาน กาย. เมื่อเกิดความมิจฉาดำริขึ้น หรือความคิดจรเกิดขึ้น เกิดการรับรู้ทางวิญญานทั้งหมด ไหลเข้ามาทางใจ ทำให้ใจ พลิกไปเป็นจิต ก่อให้ไปหาความภาพความจำ และ ปรุงแต่งเป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ และอื่นๆขึ้นมา . จิดเกิดดับตลอดเวลา แต่ใจดวงเดิม เมื่อจิตไม่ไหลออกนอกใจ กลายเป็นจิตไม่ส่งออกนอก กลายเป็นจิตประภัสสร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2010
  15. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    ศึกษาอายตนะ๖ให้ดีครับ และเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ จิต กับ เจตสิก
    ใจเป็นแค่การปรุงแต่งของจิตเท่านั้น เป็นหนึ่งในอายตนะทั้งหก
    ที่ส่งต่อมาเวทนา สู่ตัณหา สู่อุปาทาน ดังนั้นใจเป็นแค่ประตูแห่งผัสสะ
    สิ่งที่กอปรเป็นจิต จริงๆแล้วคือ เจตสิก...

    ใจดวงเดิมเป็นมิจฉาทิฏฐิ... อาตยนะหนึ่งๆ จะเป็นอมตะได้เชียวหรือ
    ถ้าใจเป็นดวงเดิม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ต้องเป็นอันเดิมสิครับ... ^^
    เรื่องของนามธรรม ว่ากันยาก ควรจะศึกษาทั้งปริยัติ และปฏิบัติให้เห็นชัด

    ปล.ใจตรงกับบาลีว่า มโน เป็นหนึ่งในทวาร(อายตนะ)หนึ่งที่ส่งผัสสะไปสู่จิต
     
  16. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    อืม กิเลสไม่ได้เกิดจากความคิดนะครับ
    แต่กิเลสฝังอยู่ในวงจรของจิต เป็นเครื่องเศร้าหมอง
    จะว่ากันตรงๆความรู้สึก ยังอยู่ลึกกว่าความคิดเสียอีก
    ความคิดทำงานในระดับจิตสำนึก แต่ความรู้สึกทำงานในระดับจิตใต้สำนึก
    และกิเลส(เครื่องเศร้าหมอง - คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าแปลว่าความอยาก ซึ่งมันไม่ใช่)
    เป็นสิ่งแฝงในจิตที่เกิด-ดับ เป็นอาวุธที่ทำให้เรายังติดในวัฏฏะ
    โดยมีอายตนะทั้งหกทำใ้ห้กระบวนการณ์สมบูรณ์ (ซึ่งกิเลสจะเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าความคิด โดยมีเหตุปัจจัยจากอุปนิสัยที่สั่งสมนับภพชาติไม่ถ้วน ทำให้จิตเป็นไปตามแนวของกิเลส ซึ่งอาวุธอีกอย่างของกิเลส คือ เจตสิก)... ซึ่งความคิดก็เป็นไปตามแนวของกิเลสนี่เองครับ วงจรอุบาทว์นี้ซับซ้อนมาก ใช้จินตามยปัญญาไม่พอแน่ครับ

    วิธีเดียวที่ทำให้เห็นวงจรอุบาทว์นี้ชัดขึ้น มีอยู่หนทางเดียว คือ ภาวนามยปัญญา...
    ตกลงนะครับ...สาธุ สวัสดี ^^
     
  17. Sgman

    Sgman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบกระทู้นะครับ
    โดยส่วนตัวของผมเองนั้นเพิ่งเริ่มศึกษาศาสนาพุทธมาไม่นานนัก
    แต่ด้วยความศรัทธาต่อหลักคำสอนในเรื่องสุญญตาและหลักไตรลักษณ์ของพุทธศาสนาเป็นอันมาก(ด้วยการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความจริงในธรรมชาติ)

    จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมต่อไป และพบคำถามว่าหากพุทธศาสนาสอนให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆเพราะทุกอย่างนั้นล้วนไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นเราหรือเป็นของเราเลย สัพพสิ่งย่อม
    หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ดวงจิตหรือสสารที่จับต้องได้ เพราะเป็นไปตามธรรมชาติของเวลาที่ไม่มีที่เริ่มต้นและสิ้นสุด เช่น หินก้อนหนึ่งย่อมต้องเคยเป็นมาทุกอย่างแล้ว--พูดถึงในระดับของอะตอมทางเคมี-- และมันก็กำลังจะเป็นทุกอย่างอีกต่อไปในอนาคต อีกนัยหนึ่งในหินก้อนนั้นมันได้เกิดจากความเป็นอนันตาของทุกสิ่งทุกอย่าง และตัวมันเองก็เป็นอนันตาด้วยที่วันนึงย่อมไม่ใช่หินก้อนเดิม)
    เหตุใดพุทธในบ้านเราถึงยึดติดกับเรื่องการเวียนว่าย
    ตายเกิดของวิญญาณ ซึ่งหมายความว่าเรายึดมั่นถือมั่นในวิญญาณว่าเป็นของเรา
    ซึ่งหากทำกรรมดีจะส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หากทำกรรมชั่วจะส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่ชั่ว หากสิ่งๆนี้เรียกว่ามีอัตตาแล้วผมคิดว่าหลักคำสอนของพุทธกับพราหมณ์ในระดับธรรมขั้นสูงๆนั้นแทบแยกกันไม่ออกเลยนะครับ เพราะต่างก็พูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดสะสมบุญบาารมีข้ามภพข้ามชาติเพื่อให้หลุดพ้นหรือนิพพานทางพุทธและเข้าสู่ปารมาตมันทางพราหมณ์
    อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่ออยากทราบความเห็นของเพื่อนๆครับ

    ปล. หากแสดงตวามคิดเห็นผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  18. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    สาธุ ขอให้คุณได้ตระหนักว่าสรรพสิ่งมีธรรมชาติแห่งการเกิด-ดับ
    รูปไม่ต่างจากความว่าง และความว่างก็ไม่ต่างจากรูป
    การเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมชาติ เป็นอย่างนั้น มีจริงแน่นอน
    แต่ว่า มันไม่ใช่สาระของพระพุทธศาสนาเลย

    อืม... ไม่ว่าสิ่งใดๆในจักรวาล ถ้ามีความเร็วเพียงสองเท่าของความเร็วแสง สิ่งนั้นๆอันเป็นรูปธรรม จะกลายเป็นพลังงาน(นามธรรม)ในทันที... (มองเข้าไปในการเกิด-ดับ) แล้วจะเห็นว่าจักรวาลล้วนเป็นความว่าง เป็นนามธรรม... มีธรรมชาติเกิด-ดับตลอดเวลา

    คือว่าดวงจิตที่ไปเกิดในภพภูมิต่างๆในทัศนะของพุทธ เห็นความเป็นอนัตตานะครับ คือมีการเกิด-ดับอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะไปเกิดใหม่ หรือในชาตินี้ จิตเกิด-ดับนับแสนนับล้านครั้งต่อวินาที(เชิงประมาณ) และตัวตนของเราในชาตินี้และชาติที่แล้ว ก็ไม่ใชาตัวตนเดียวกันด้วย
    ดังนั้น พรามหณ์มองการเกิดเป็นวิสัยจึงมีแนวคิดในอาตมัน พุทธ มองการเกิดและการดับเป็นวิสัย(กล่าวคือวิสัยที่สมบูรณ์ ครอบคลุมทั้งการเกิด การดับ หน่วงเวลาระหว่างการเกิดและการดับ) จึงเห็นเป็นอนัตตาหรือไม่ใช่ตัวตน อันนี้ต้องวิปัสสนาครับ จะเข้าใจการเกิด-ดับได้ชัดเจน แต่ว่า...ยากจริงๆ*0* เพราะวิปัสสนาไม่ใช่สมถะที่ใช้ความสงบเป็นอารมณ์เดียว(กล่าวคือไม่มองถึงการ เกิด-ดับ ทำให้เห็นแต่ความต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญญา) แต่วิปัสสนาจะมองไปที่การเกิด-ดับ ซึ่งไวมากๆ สติต้องไวเช่นกัน จึงจะจับการเกิด*ดับ และมองเห็นธรรมชาติแห่งการเกิด-ดับได้ชัดเจน...

    คุณครับ ถ้าไอน์สไตน์ได้ฝึกวิปัสสนานะครับ ทฤษฎี Grand Unified ที่เขาพยายามค้นหาจะสำเร็จไปนานแล้ว... แต่นักวิทย์ส่วนใหญ่จะได้เรื่องสมถะ จึงได้ทฤษฎีสัมพัทธภาพขึ้นมา แต่ว่าก็ดีครับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพช่วยอธิบายเรื่องอิทัปปัจจยตาได้ดีทีเดียว ^^
     
  19. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    มิจฉาทิฏฐิ 10 ประการ
    1.นตฺถิ ทินฺนํ เห็นว่าทานที่ให้ไม่มีผล
    2.นตฺถิ ยิฏฺฐํ เห็นว่าการบูชาไม่มีผล
    3.นตฺถิ หุตํ เห็นว่าการสักการะไม่มีผล
    4.นตฺถิ สุกทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก เห็นว่าไม่มีผล แห่งกรรมดี-กรรมชั่ว
    5.นตฺถิ อยํ โลโก เห็นว่าไม่มีโลกนี้
    6.นตฺถิ ปรโลโก เห็นว่าไม่มีโลกอื่นหรือชาติหน้า
    7.นตฺถิ มาตา เห็นว่าพระคุณของแม่ไม่มี
    8.นตฺถิ ปิตา เห็นว่าพระคุณของพ่อไม่มี
    9.นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา เห็นว่าไม่มีสัตว์ที่จะผุดเกิด เชื่อว่าตายแล้วสูญ
    10.นตฺถิ โลโก สมณพฺราหฺมณา สมฺมาปฎิปนฺนา เห็นว่าไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติจนบรรลุมรรผลเป็นพระอริยะ
     
  20. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,619
    ทิฏฐิ ๖๒ ความเห็นที่ผิดไปจากความจริง ช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ เป็นความลวงหลอก เป็นเครื่องกีดขวางจืต...

    (๑) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) ๔

    ๑. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ
    ๒. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์
    ๓. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์
    ๔. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

    (๒) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) ๔
    ๕. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง
    ๖. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง
    ๗. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง
    ๘. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

    (๓) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) ๔
    ๙. เห็นว่าโลกมีที่สุด
    ๑๐. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด
    ๑๑. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด
    ๑๒. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

    (๔) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) ๔
    ๑๓. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่
    ๑๔. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑
    ๑๕. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑
    ๑๖. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑ และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

    (๕) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) ๒
    ๑๗. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์
    ๑๘. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

    อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี ๕ กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น ๔๔ สำนัก
    (๑) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (๑๖)
    (๒) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (๘)
    (๓) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (๘)
    (๔) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (๗)
    (๕) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ตรงกับหลักการของลัทธิ Hedonism )
    ใน ๕ กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้วยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์ ( Substance ) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

    (๑) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) ๑๖
    ๑๙. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๐. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๑. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๒. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๓. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๔. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๕. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๖. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๗. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๘. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา
    ๒๙. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา
    ๓๐. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา
    ๓๑. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา
    ๓๒ อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา
    ๓๓. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา
    ๓๔. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
    ตนทั้ง ๑๖ ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

    (๒) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) ๘
    เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๓๕ ถึงข้อ ๔๒ ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง ๘ ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

    (๓) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) ๘
    เห็น ว่าตั้งแต่ข้อ ๔๓ ถึงข้อ ๕๐ ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง ๘ ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
    ทั้ง ๓ หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

    (๔) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ๗
    ๕๑. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์
    ๕๒. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ
    ๕๓. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ
    ๕๔. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ
    ๕๕. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ
    ๕๖. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ
    ๕๗. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    ทั้ง ๗ ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

    (๕) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) ๕
    ๕๘. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน ๕๙,๖๐,๖๑,๖๒ เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

    จบทิฏฐิ ๖๒

    ที่มา:
    http://dhumma.web1000.com/phutadhum/thiti62.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...