ธรรมมะ จากฆารวาสผู้ทรงศีลทรงธรรม ศิษย์สายหลวงปู่ดูลย์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Somop, 18 ธันวาคม 2010.

  1. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ส้มโอ(Somop) กับ พี่เอก(คีตา)

    จะทยอยเอามาลงนะคะ อ่านเข้าใจง่ายทำง่าย ปฏิบัติง่าย

    คิดว่าสักวันหนึ่งจะชวน ท่านมาถาม ตอบ ในกระทู้นี้ กับผู้ที่ไม่เข้าใจ เพื่อนเป็น บุญ กุศล ที่ยิ่งใหญ่คือธรรมทานค่ะ

    แต่ว่า...ตอนนี้ เอาธรรมมะท่านลงก่อนนะจ๊ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  2. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ท่าน ส่งมาวันที่ 5 ธันวาคม 2553

    สุขและทุกข์

    ผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้---ปัญญาและสัญญา---ใจและจิต---จิตและตัณหา---จิตผู้รู้และจิตปรุงแต่ง---สุขและทุกข์---วิมุติและสมมุติ---บุญและบาป
    ผู้รู้-ปัญญา-ใจ-จิต-จิตผู้รู้-สุข-วิมุติ-บุญ===อย่างเดียวกันแล้วแต่จะเรียก
    สิ่งที่ถูกรู้-สัญญา-จิต-ตัณหา-จิตปรุงแต่ง-ทุกข์-สมมุติ-บาป===ก็อย่างเดียวกันเหมือนกัน

    ผู้รู้คือตัวปัญญาบางท่านเรียกว่าใจบางท่านก็เรียกว่าจิตหรือจิตผู้รู้เป็นความสุขหรือทำให้เกิดสุข
    แต่สิ่งที่ถูกรู้คือตัวสัญญาบางท่านเรียกตัณหาหริอจิตหรือจิตปรุงแต่งเป็นความทุกข์หรือทำให้เกิดทุกข์

    ถ้าอยู่กับผู้รู้ก็จะเห็นสิ่งที่ถูกรู้
    ถ้ามีตัวปัญญาก็เห็นตัวสัญญา
    ถ้ารู้จักใจก็จะรู้จักจิต
    ถ้ารู้จิตก็จะรู้จักตัวตัณหา
    ถ้ารู้จักจิตผู้รู้ก็จะเห็นจิตที่ปรุงแต่ง
    ถ้ามีความสุขก็จงเข้าใจว่าอีกไม่นานทุกข์ก็จะตามมา
    ถ้าเข้าใจวิมุติก็จะเข้าใจคำว่าสมมุติ
    ถ้าเข้าใจบุญก็จะเข้าใจบาป

    พยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่งหรือรวมจิตให้อยู่กับผู้รู้นี้แล้วจะเห็นจิตที่ปรุงแต่งแล่นออกจากจิตผู้รู้นี้
    ที่แท้แล้วทั้งสองอย่างนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่มีใครสามารถแยกออกจากกันได้เลย

    พระพุทธเจ้าท่านให้ละทั้งสองอย่างนี้แล้วจะพบกับคำว่าบรมสุขปราศจากทุกข์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  3. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ท่านส่งคำสอนมา วันที่ 7 ธันวาคม 2553 ค่ะ

    ปฏิบัติตามพระสายหลวงปู่ดูลย์

    ตามที่พระป่าสายหลวงปู่ดูลย์สอน...
    ให้ทำสมาธิรวมจิตให้เป็นหนึ่งไม่ว่าจะดูลมหายใจบริกรรมพุทโธหรือแบบไหนก็แล้วแต่
    เมื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งได้แล้วให้สังเกตุตัวผู้รู้ให้เข้าใจตัวผู้รู้ให้รู้จักตัวผู้รู้ให้วางจิตอยู่กับตัวผู้รู้
    คำถามส่วนมากก็คือตัวผู้รู้เป็นอย่างไร...
    หลวงปู่ดูลย์สอนให้สังเกตุตัวที่บริกรรมและสภาวะที่ชัดที่สุดมันเป็นความว่าง
    หลวงปู่เทสก์สอนให้ลองกลั้นหายใจสักพักหนึ่งแล้วให้สังเกตุสภาวะนั้นว่าเป็นอย่างไร
    หลวงตารุนสอนให้มองย้อนไปข้างหล้งบริเวณท้ายทอยสภาวะที่ว่างเบาสบาย
    ไม่มีอาการไหวกระเพื่อมไม่ไปหน้าไม่ไปหลังไม่มึนไม่ชาเป็นเหมือนหัวเทียนของไฟฉาย
    ถ้าเข้าใจผู้รู้แล้วก็จะเข้าใจสิ่งที่ถูกรู้หรือถ้าอยู่กับจิตผู้รู้ก็จะเห็นจิตที่ปรุงแต่งมันออกจากตรงนี้เอง
    ไปเที่ยวปรุงแต่งตามกิเลสตามตัณหาไปสร้างภพสร้างชาติ

    จริงๆแล้วจิตผู้รู้กับจิตที่ปรุงแต่งมันรวมกันอยู่เป็นสิ่งเดียวกันแต่ที่มันแล่นออกไปปรุงแต่งก็เพราะ
    กิเลสตัณหาพาไปเหมือนกับหลวงตามหาบัวท่านบอกว่ากิเลสมันจูงจมูกจนจมูกขาดหมดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
    ให้มีสติรู้เอาสติคอยควบคุมมันอย่าให้มันไปตามกิเลสตัณหา เหมือนกับฝึกม้าพยศต้องใช้แส้คอยตีมัน
    ถ้าฝึกให้เชื่องได้ก็จะเป็นม้าที่ใช้งานได้ดี หรือเหมือนกับจิตปรุงแต่งที่ต้องใช้สติคุมไว้ไม่ให้มันเที่ยวออกไปปรุงแต่ง
    และต้องสอนมันให้มันรู้ๆๆๆๆๆ รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไตรลักษณ์..มันไม่เที่ยง..มันเเปรเปลี่ยนไปตามเหตุของมัน..
    มันมีการพลัดพราก..มันมีการเกิดดับ(อนิจจัง)..การเกิดบ่อยๆมันเป็นทุกข์..การพลัดพรากจากสิ่งที่อันเป็นที่รักมันเป็นทุกข์..
    การยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรามันเป็นทุกข์(ทุกขัง)..ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่เราไม่ใช่เขา..ไม่ใช่ของเราไม่ใช่ของเขา..
    มันเป็นของธรรมชาติอย่างนั้นเอง..มันจะเกิดมันจะแตกดับมันก็เป็นของมันเอง..มันจะไปมันจะมามันก็เป็นของมันเอง..
    ทุกสิ่งทุกอย่างเราไปควมคุมมันไม่ได้(อนันตตา)..

    การที่จิตปรุงแต่งออกไปยึดไปถือว่านั้นเป็นของของเรา ออกไปตามที่ถูกกิเลสตัณหาหลอกเอา
    (จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย-สาเหตุแห่งทุกข์)(ผลของจิตส่งออกนอกเป็นทกุข์)
    การที่ทำญาณให้เห็นจิตเหมือนดั่งตาเห็นรูปก็คือเห็นจิตทั้งสองนี้และฝึกให้อยู่ในการควมคุมโดยมีสติคอยคุมไว้ตลอดเวลา
    จะเข้าจะออกก็ให้รู้ทันมัน มันจะปรุงจะแต่งก็รู้ทันมัน เท่ากับว่ามันจะไปไหนอย่างไรสติก็รู้ทันตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติ
    (จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค)(ผลของจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ)

    ตัวที่เห็นจิตผู้รู้กับจิตที่ปรุงแต่งนี่แหละตัวเรา-เป็นจิตเดิมแท้ที่ผ่องใส ใสแจ๋ว ไม่มีกิเลสตัณหาเจือปน เป็นความว่างไม่มีขอบเขต
    รวมเข้ากับธรรมชาติ ไม่มีเกิดไม่มีดับ เป็นวิมุติไม่ใช่สมมุติ (ผู้รู้น่ะจริงแต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นไม่จริง)(ผู้รู้นี้หมายถึงตัวที่รู้ผู้รู้ก่อนนี้)(หรือเป็นผู้รู้ที่ผุดขึ้นมาอีก)

    ((( ประมวลภาพ ภาพหายาก คำสอน วัตถุมงคล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จ.สุรินทร์ )))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  4. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ท่านส่งคำสอนมา วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ค่ะ

    คนที่เคยรัก ... กับคนที่ใช่กว่า‏

    ตัณหาราคะเป็นกิเลสที่มีโทษน้อยแต่คลายช้า โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากที่สุดและคลายช้าที่สุด

    ใจมันถูกกิเลสจูงจมูก ถูกกิเลสปรุงแต่งให้เข้าใจผิดๆ ถูกกิเลสหลอกล่อให้หลงผิดไป

    นานแสนนานหลายภพหลายชาติ ตัวโมหะมีโทษมากที่สุดในบรรดากิเลสทั้งหมด และคลายช้าที่สุดด้วย

    มันทำให้ใจหลงผิดไปข้ามภพข้ามชาติไม่รู้กี่กัปกี่กัลล์ กว่าใจจะเห็นตามความจริง กว่าจะรู้ว่าถูกกิเลสหลอก

    กว่าเราจะรู้ว่าใจมันไม่ใช่ของเรา กว่าจะรู้ใจถูกกิเลสปรุงแต่ง กว่าจะรู้ว่าหลงไปยึดไปถือว่าเป็นของเรา

    ได้รับทุกข์แสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกายและสัตว์นรก เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด

    สลับกันไปสลับกันมา พระพุทธเจ้าสอนว่าการเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

    บางครั้งได้รับทุกข์ยังหลงผิดคิดว่าเป็นสุขไปเสียอีก สุขเล็กๆน้อยๆไม่คุ้มกับทุกข์ที่ได้รับ กิเลสตัวโมหะนี้มันร้ายกาจมากจริงๆ

    ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงว่าใจนี้ไม่ใช่ของเรา เราก็จะไม่ไปยึดถือมัน ปล่อยมันไป มันจะเป็นไปอย่างไรก็แล้วแต่มัน

    เราก็เป็นอิสระจากมัน พ้นจากการพันธนาการจากมัน กิเลสก็เล่นงานเราไม่ได้ กิเลสตัวไหนก็เล่นงานเราไม่ได้เพราะ

    มันเล่นงานได้แค่ใจ มาไม่ถึงเรา เราก็ไม่ทุกข์ อยู่เหนือทุกข์ ใครจะด่าว่า เหยียบย่ำอย่างไรก็ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกเกลียด

    เพราะเราไม่ใช่ใจเสียแล้ว เราไม่มีใจเสียแล้ว ใจก็ไม่ใช่เราเสียแล้ว ใจก็ไม่มีเราเสียแล้ว เรากับใจอยู่คนละส่วนกันแล้ว

    เราก็ไม่รู้สึกว่าถูกกิเลสเล่นงาน ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นของของเรา มีแต่ความว่าง มีแต่รู้เฉยอยู่แค่นั้น จะไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแปด

    ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่มากระทบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขทางโลกีย์ มันเป็นโลกุตระสุขหรือบรมสุขอย่างเดียว เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง

    หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกว่า จิตหนึ่งคือพุทธะ เป็นวิมุตินอกเหนือจากนี้เป็นสมมุติทั้งหมด เป็นผู้รู้นอกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมด

    ผู้รู้น่ะจริง(วิมุติ)แต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นไม่จริง(สมมุติ) เป็นผู้รู้ ตัวรู้และสิ่งที่ถูกรู้ เป็นหนึ่งเดียวไม่มีคู่ เป็นความว่างที่ไม่มีขอบเขต

    กว้างมหาศาล ใสสะอาดผ่องแผ้ว ไม่มีสี ไม่มีแสง รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

    ((( ประมวลภาพ ภาพหายาก คำสอน วัตถุมงคล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จ.สุรินทร์ )))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  5. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ท่านส่งคำสอนมา วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ค่ะ

    .....

    ให้รู้และเข้าใจความเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพียงรู้แค่นั้นไม่ปรุงแต่งเพิ่มเติม
    จิตผู้รู้จะคิดแต่ฝ่ายกุศลไม่ปรุงแต่งไปในทางอกุศล
    จิตผู้รู้นั้นเป็นความว่าง ไม่มีการปรุงแต่ง
    จิตที่อยู่บริเวณหน้าผากเป็นจิตที่ยุ่งเหยิงเป็นจิตที่วุ่นวายเป็นจิตที่ปรุงแต่ง ภาพนิมิตต่างๆก็เกิดตรงนี้(ตัวสัญญา)
    จิตที่อยู่ข้างในบริเวณหน้าอกส่วนบนหรือบริเวณท้ายทอยนั้นแหละคือจิตผู้รู้(ตัวปัญญา)
    ทำสมาธิถึงฌาณหนึ่งรวมจิตปรุงแต่งให้เข้ามาอยู่กับจิตผู้รู้โดยการเอาสติคุมไว้แล้วใช้จิตผู้รู้สอนจิตปรุงแต่ง
    จิตสอนจิตก็คือจิตผู้รู้เอาความรู้หรือตัวปัญญามาสอนจิตปรุงแต่ง ที่เค้าเรียกว่าเดินปัญญาหรือวิปัสสนา
    สอนให้รู้สอนให้เห็นสอนให้เข้าใจความเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด
    สอนซ้ำแล้วซ้ำอีก

    ((( ประมวลภาพ ภาพหายาก คำสอน วัตถุมงคล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จ.สุรินทร์ )))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  6. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    20 พฤษจิกายน 2553 เวลา 23:01

    "ผู้เป็นใหญ่สูงสุดในโลกคือธรรม ผู้ที่มอบตนให้แก่ธรรม ให้ธรรมเป็นผู้นำในการดำเนินชีวิตย่อมไม่เสื่อมเลย มีแต่ทางเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จะดูผู้เจริญหรือเสื่อมนั้นดูได้ง่าย ผู้ที่รักธรรมนั้นเป็นผู้เจริญ แต่ผู้ชังธรรมนั้นเป็นผู้เสื่อม"

    20 พฤษจิกายน 2553 เวลา 23:09

    "อย่าเอาชีวิตตนเองไปฝากไว้กับคนอื่น ต้องรักษากาย รักษาใจของตัวเอง ไว้ให้ดีเพราะใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคน อย่างอื่นเราทิ้งได้แต่ใจสิเราทิ้งมันไม่ได้ มันอยู่กับเรามาไม่รู้กี่กัปกี่กัลล์กี่ล้านปี และมันจะยังอยู่กับเราไปอีกนาน ตราบใดที่เรายังไม่เข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นไม่มีอะไรที่สำคัญเท่ามันเลย จงรักษาดูแลให้มันผ่องใสอยู่เสมอๆ อย่าให้ขุ่นมัวนะครับ ทำใจให้สดใส หมั่นชำระกิเลสออกให้มันด้วยนะ"

    20 พฤษจิกายน 2553 เวลา 23:13

    "ถ้าไม่ยึดมั่นสิ่งใดในโลก ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่นในสิ่งทั้งปวง และการไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงนั้นเป็นยอดแห่งธรรม สิ่งใดที่คนเราเข้าไปยึดมั่นแล้วจะไม่ก่อทุกข์นั้นไม่มีเลย"

    21 พฤษจิกายน 2553 เวลา 04:08

    "อดทนต่อสิ่งที่อดทนได้ยาก,เอาชนะในสิ่งที่เอาชนะได้ยาก,ทำในสิ่งที่ทำได้ยาก ก็จะได้รับในสิ่งที่คนอื่นรับได้ยาก ได้รับในสิ่งที่คนอื่นรับได้ยากหมายถึง จะได้เห็นธรรม บรรลุธรรมได้ เข้าถึงอริยะซึ่งปุถุชนจะได้นั้นแสนยาก"

    21 พฤษจิกายน 2553 เวลา 09:55

    "การอดทนต่อคำสบประมาท คำดุด่า เหยียดหยาม ดูถูก ส่อเสียด อดทนต่อสิ่งที่พอใจและไม่พอใจคืออดทนไม่ยินดียินร้ายกับ โลกธรรมแปด มี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ นินทา ทุกข์"

    21 พฤษจิกายน 2553 เวลา 09:59

    "การเอาชนะสิ่งที่ยากนั้นคือการเอาชนะกิเลสที่อยู่ในใจ มี โลภ โกรธ หลง มานะ ทิฐิ หรือการเอาชนะใจตนเองนั่นเอง"

    21 พฤษจิกายน 2553 เวลา 16:34

    "ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยากนั้นคือ ทำใจให้เป็นเหมือนแผ่นดิน ใครจะเหยียบย่ำยังไง พื้นแผ่นดินก็ไม่เคยโกรธเกลียดเลย"

    21 พฤษจิกายน 2553 เวลา 20:26

    "ผู้มีปัญญาน้อยก็รู้ความจริงแห่งชีวิตน้อย ผู้มีปัญญามากก็รู้ความจริงแห่งชีวิตมาก"

    25 พฤษจิกายน 2553 เวลา 23:39

    "พยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่งให้ได้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ เอาสติจดจ่อไว้อย่าเผลอให้เป็นสอง ถ้าเป็นสองคือจิตส่งออกไปปรุงแต่ง ไปยึด ไปยึดสิ่งภายนอก เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั่นเอง"

    26 พฤษจิกายน 2553 เวลา 15:41

    "หลวงปู่สอนไว้ว่า ผู้รู้น่ะจริงแต่สิ่งที่ถูกรู้นั้นไม่จริง หมายถึงผู้รู้นั้นเป็นวิมุติ นอกนั้นเป็นสมมุติทั้งสิ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้รู้คือตัวปัญญา แต่จิตปรุงแต่งนั้นคือสัญญา"

    26 พฤษจิกายน 2553 เวลา 15:22

    "การรวมจิตให้เป็นหนึ่งนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักผู้รู้ การรวมนั้นก็จะรวมอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ แต่สำหรับผู้ที่รู้จักและเข้าใจผู้รู้แล้วนั้นก็จะรวมอยู่กับผู้รู้"

    ((( ประมวลภาพ ภาพหายาก คำสอน วัตถุมงคล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จ.สุรินทร์ )))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  7. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    ท่านส่งคำสอนมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 ค่ะ

    เป็นธรรมะของหลายๆอาจารย์ที่ได้ฟังมาและได้รู้มาจากตัวเองบ้าง

    "ทำเพื่อทิ้ง"เคยได้ยินมาจากหลวงพ่อวิเชียร ถ้าเป็นทางโลกก็หมายถึงทรัพย์สมบัติที่ตอนมีชีวิตอยู่ได้สร้างขึ้นมา
    แต่ตายไปก็ต้องทิ้งทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไป แต่ถ้าทางธรรมก็หมายถึง การปฎิบัติธรรมเพื่อละทิ้งกิเลสตัณหา
    และไม่ยึดติดในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแม้แต่กายและจิตก็ต้องทิ้งเหมือนกันเพื่อเข้านิพพาน

    "ติดอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น"นี่เป็นคำพูดของหลวงตารุน ถ้าเป็นทางโลกหมายถึงการติดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่
    ย่อมไม่ดีทั้งนั้น แต่ในทางธรรมนั้นหมายถึง การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆว่าเป็นของของเรา รวมไปถึงกายและจิตด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ของเราเหมือนกัน
    ถ้ายังยึดว่ากายและใจเป็นของเราแล้วก็ไม่มีทางจะไปถึงนิพพานได้เลย

    "ทำใจให้เหมือนแผ่นดิน"ก็หมายถึงความไม่รู้สึกโกรธเกลียดไม่ตอบโต้ไม่ขัดแย้งไม่รักไม่ชัง อดทนต่ออารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่พอใจ
    เสมือนกับว่าไม่มีใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ

    "สักแต่ว่า"ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินจะไม่รู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ได้เห็นก็สักแต่ว่าได้เห็นจะไม่รู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ได้ลิ้มรส ดมกลิ่นหรือสัมผัส
    ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้นนับได้ว่า จิตผู้รู้หรือจิตเดิมแท้ไม่เข้าไปร่วมกับจิตปรุงแต่ง และถ้ามีความรู้สึกเช่นนี้จริงๆก็นับว่าเป็นอริยะแล้ว

    "ทุกอย่างชั่วคราว"หมายถึงที่เราเกิดมานี้ เป็นเหมือนเรามาเพียงชั่วคราว เกิดมาแล้วก็รอวันตายจากโลกนี้ไป จึงเปรียบเสมือนว่าเรามาแค่ชั่วคราว
    รอวันตายเท่านั้นเอง

    "ปล่อยวางทุกสิ่ง"เด็กทารกแรกเกิดมานั้นร้องไห้และกำมือแน่น เหมือนกับจะบอกว่า เขาเกิดมาเพื่อที่จะมาเอาอะไรต่ออะไรไป แต่ตอนตายแบมือออก
    ก็เหมือนกับบอกให้รู้ว่าเขาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไปเลย สิ่งที่สร้างมาทั้งชีวิตต้องปล่อยทิ้งไว้บนโลก ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ร่างกายตัวเอง

    พระอริยะขั้นสูงท่านได้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งสมมุติซึ่งอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งหมด ทุกสิ่งที่มีการเกิดย่อมมีการดับ สิ่งที่เกิดมาแล้วไม่ดับนั้นไม่มี
    สิ่งที่เป็นคู่เป็นสมมุติทั้งหมด บุญบาป สุขทุกข์ กายใจ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ มีสิ่งเดียวที่ไม่เกิดและไม่ดับนั้นคือจิตเดิมแท้ซึ่งเป็นวิมุติ เป็นจิตหนึ่งหรือนิพพานนั้นเอง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2011
  8. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    คำสอนท่าน เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ครับ

    "สมาธิ ที่ถูกต้อง คือ เบา สบาย โล่ง โปร่ง ท้ายสุดว่าง
    หากผิดจากนี้ ไม่ใช่สมาธิที่ถูกต้องครับ"

    "ให้นึกคำว่า สติ สติ สติ ... แล้วจะไม่หลุดจาก
    เบา สบาย โล่ง โปร่ง
    อันนี้ที่ทำเมื่อครู่ เป็นแค่อุปจาระ ยังไม่เข้าฌานต้น เพราะ ดูแล้ว ยังสลับกับลมหายใจที่แผ่วๆอยู่
    ก่อนออกจากสมาธิ แผ่เมตตานะ เจ้าที่ เจ้ากรรม เทพเทวา เขาชอบ ฝึกแบบนี้ไม่เกิน 2 เดือน คนๆนั้นจะมีเทพมารักษา ขณะที่เราคุยกันอยู่เขาก็มาฟังด้วย ฝึกสมาธิกับเราด้วย เขาอยู่ทุดอณูอากาศได้นะ
    ส่วนหนึ่งก็รอเราออกสมาธิมาแผ่เมตตา แผ่บุญ แผ่ไปเถอะไม่หมดหรอก เหมือน เรามีเทียนเล่มหนึ่ง เขาก็มาขอต่อไฟจากเทียนเรา ไปเรื่อยๆ"

     
  9. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    ขอกราบเรียนทุกท่านครับ

    หากท่านว่าง ท่านจะเรียกผมไปนั่งสมาธิเลย แล้ว พอออกมา ท่านก็จะบอก จะสอน จากการที่ส่งจิตมาดูผม ผมจะพยายามจำมาให้ได้มากที่สุดครับ


    กระทู้ข้างต้นพิมพ์มาอ่านหลายๆรอบนะครับ
    ท่านเป็นผู้ที่ศีลครบ ละสังโยชน์3 ได้แล้ว 2ปีก่อน เห็นสภาวะนิพพานแล้ว (จริงๆท่านไม่ให้บอกใคร ผมขอน้อมจิตขอขมาท่าน เพื่อขอผู้อ่านมีกำลังใจ และทำจิตที่ถูกต้องด้วยเทอญ ขอเป็นธรรมทานด้วยเทอญ)

     
  10. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำสอนท่าน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 ค่ะ

    -มีบางเรื่องที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมในฐานนะที่เรารู้จักกัน
    -เรื่องทางโลกเรื่องการครองคู่ประคับประครองกันไปจนแก่จนเฒ่า

    -ถ้าคิดว่าฝ่ายหญิง ฝ่ายชายเป็นคนที่ดูแลได้ดีที่สุดเท่าที่เคยคบมา
    -ทั้งคู่คงจะต้องถนอมน้ำใจกันและกันให้มากๆพยายามอดทนอดกลั่นในสิ่งที่เค้าทำให้เราไม่พอใจ
    -แรกๆก็อาจจะทำได้ยากแต่ถ้าอดทนได้สักครั้งสองครั้งต่อๆไปก็คงทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
    -อยู่ด้วยกันอย่างสงบสันติสบายๆโล่งปลอดโป่งเบากายเบาใจ
    -อย่าให้ใจเร่าร้อนดิ้นรนไปตามกิเลสมันจะรู้สึกเป็นทุกข์อึดอัดกระสับกระส่านวุ่นวาย
    -อยู่อย่างมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใสบางครั้งอาจจะฝืนๆใจบ้างก็ต้องทำเพื่อความสุขของทั้งสองคนและคนรอบข้าง

    -ส่วนทางธรรมเรื่องการปฏิบัตินั้นอย่าคิดว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระนะครับมันเป็นเรื่องสำคัญมาก
    -คนปุถุชนที่มีจิตต่ำหรือมีบุญน้อยส่วนมากจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระเป็นเรื่องงมงาย
    -ถ้าศึกษาธรรมะมากขึ้นไปเรื่อยๆก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเรื่องการปฏิบัตินี้สำคัญต่อคนเรามากเลยทีเดียว
    -ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอริยะสาวกทั้งหลายท่านให้เร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลส
    -ให้ดูที่ใจให้รู้ให้เห็นกิเลสว่ายังมีตัวไหนมากน้อยแค่ไหนที่เรายังเป็นทาสมันอยู่ให้เร่งปฏิบัติเพื่อละมันให้หมดไปจากใจทีละเล็กทีละน้อย
    -และเพื่อเข้าถึงอริยะให้ได้ในชาติที่เป็นคนนี้เพราะไม่งั้นแล้วในชาติหน้าเราก็ไม่รู้จะได้มาเกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า
    -หรือไม่รู้ว่าจะได้มาเกิดเป็นคนอีกเมื่อไหร่ฉะนั้นก็ขอให้อย่าประมาทเป็นอันขาด

    -ความดีที่เราทำได้แล้วก็ทำให้ดียิ่งๆขึ้นความดีไหนที่ยังไม่ได้ทำก็ให้ทำเสียแต่บัดนี้
    -ส่วนความชั่วที่ละได้แล้วก็ละให้ได้เด็ดขาดความชั่วไหนที่ยังไม่ได้ละก็พยายามละทีละเล็กทีละน้อยและให้หมดไปในที่สุด

    -อย่าสร้างเวรสร้างกรรมกันอีกเลย
    -อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกเลย
    -อย่าทุกข์กายทุกข์ใจอีกต่อไปเลย
    -รักษากายและใจให้รอดพ้นจากทุกข์..ภัยทั้งสิ้น..เทอด<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำถาม-ตอบ ที่ได้มาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 ค่ะ

    ปุจฉา : โสดาปติมรรค กับ โสดาปติผล ต่างกันยังไง อันนี้สงสัยมานานแล้ว มรรค คือปุถุชนที่พบผู้รู้แค่นั้นหรือเปล่า

    วิสัจฉนา : โสดาปติมรรคหมายถึงคนที่กำลังปฏิบัติธรรมแบบเพื่อละกิเลสในใจอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยความจริงใจ
    แต่ยังไม่สำเร็จหรือยังไม่บรรลุโสดาบันหรือยังละสังโยชน์3ข้อแรกไม่ได้เด็ดขาด


    ส่วนโสดาบันนั้นละสังโยชน์3ข้อแรกได้เด็ดขาดแล้ว
    ไม่กลับไปปุถุชนอีก และในอนาคตได้บรรลุถึงนิพพานอย่างแน่นอนในอีกไม่เกิน7ชาติ


    ส่วนเรื่องจิตอยู่กับผู้รู้นั้นหรือไม่นั่้นคือถ้าโสดาปติมรรคนั้นแค่รู้จักและเข้าใจผู้รู้เท่านั้น
    แต่จิตของโสดาบันนั้นมีสติดีไม่ออกนอกผู้รู้

    สติสำคัญมากสำหรับผู้ปฎิบัติพระพุทธเจ้าจึงเน้นศีลข้อ5มาก ถ้าขาดศีลข้อ5แล้วข้ออื่นก็ยากที่จะรักษาได้และถ้าศีลขาดแล้วก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้มรรคผล
    เพราะศีลขาดนั้นยังตกอบายได้เหมือนกับปุถุชนทั่วๆไป
    ถึงจะปฎิบัติให้เข้มข้นอย่างไรก็ไปไม่ถึงไหนยังไม่พ้นนรกอยู่ดีแหละครับ


    ฉะนั้นคนที่รู้อย่างนี้แล้วเค้าจึงรีบเร่งปฎิบัติเพื่อละกิเลสให้หมดจากใจโดยไม่รีรอ มีคำกล่าวว่า "ถ้าคิดจะทำความดีให้ทำทันทีอย่างรีรอ
    แต่ถ้าคิดจะทำความชั่วให้ยับยั่งชั่งใจเสียก่อนให้ผัดวันประกันพรุ่งอย่ารีบทำ
    ส่วนทำดีไม่ต้องเลือกเวลาทำได้ตลอดเวลาครับ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2011
  12. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำสอนท่าน วันที่ 30 มีนาคม 2554 ค่ะ

    ผู้ที่กำลังเจอกับกิเลสตัณหาและกำลังต่อสู้กับมันอยู่ในขณะนี้

    มีข้อแนะนำคือ..

    --พยายามพิจารณาให้เห็นโทษของมันความเสียหายของมันและพิจารณาบ่อยๆ

    --พยายามตั้งสติให้มั่นไว้และคิดอย่างเดียวว่าเราจะไม่เป็นทาสของมันอีก

    --พยายามเปลี่ยนอิริยาบถหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองในขณะที่กิเลสมันเล่นงาน

    --พยายามปิดลิ้นชักหมายถึงให้อยู่กับปัจจุบันอย่างเดียวไม่ต้องคำนึงถึงอดีตและอนาคต

    --พยายามอย่าลากเส้นไปหามันหรือคิดถึงมันถ้าเกิดคิดขึ้นมาก็รีบหยุดความคิดนั้นเสีย

    --พยายามอดทนกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เป็นโทษและผิดศีลโดยตั้งใจมั่นว่าเราจะไม่ผิดศีลเพื่อให้ได้โสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผลในชาตินี้

    --พยายามเอาชนะมันให้ได้ มันไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย มันอยู่ในใจเราแค่นี้เอง

    คิดว่ามันไม่เกินความสามารถของคนได้หรอก คนอื่นเค้าทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้

    มันไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก มันอยู่ใกล้มาก อยู่ที่ตั้งใจมากแค่ไหน ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป

    ี้​
     
  13. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำสอนท่าน วันที่ 3 เมษายน 2554 ค่ะ เวลา 9:34

    รู้
    คำว่า"รู้"ในที่นี้หมายถึงรู้ความเป็นธรรมชาติของสิ่งนั้นๆยกตัวอย่างเช่น
    ในทางโลก..
    -รู้ว่าพระอาทิตย์มีความร้อนมีแสงสว่าง
    -รู้ว่าไฟมันร้อน
    -รู้ว่าน้ำทะเลมีคลื่นเป็นปรกติ
    -รู้ว่าน้ำทะเลมีความเค็ม
    -รู้ว่าดินรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง
    -รู้ว่าลมมีอยู่แตมองไม่เห็น
    -รู้ว่าคนๆนี้มีนิสัยเป็นยังไง
    -รู้ว่าสัตว์ชนิดนี้เค้าเรียกว่าอะไร

    ในทางธรรม..
    -รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความไม่แน่ไม่นอน
    -รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาแล้วก็ต้องดับสลายไป
    -รู้ว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นความทุกข์
    -รู้ว่าการพลักพลาดจากสิ่งอันเป็นที่รักพบกับสิ่งที่ไม่พอใจเป็นความทุกข์
    -รู้ว่าจิตนี้ดิ้นรนตลอดเวลา
    -รู้ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
    -รู้ว่าชาตินี้มีจริงชาติหน้ามีจริง
    -รู้ว่านรกมีจริงสวรรค์มีจริง

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่เราสามารถรู้หรือเรียนรู้ได้ ไม่เกินปัญญาของมนุษย์ แค่ให้รู้และเข้าใจความเป็นธรรมชาติของมัน เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
    ไม่ต้องไปแก้ไขมัน รู้แล้วก็วางเฉยให้มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ปล่อยวางมัน
     
  14. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำสอนท่าน วันที่ 3 เมษายน 2554 ค่ะ เวลา 10:55

    บอก
    คำว่า"บอก"ในที่นี้หมายถึงคนที่เค้ารู้แล้วบอกให้เรารู้เช่น
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วก็นำมาบอกให้พระสาวกรู้ต่อๆกันไป

    พระสาวกก็นำในสิ่งที่ท่านรู้มาบอกต่อสาธุชนทั้งหลายเพื่อได้ศึกษาเรียนรู้
    สาธุชนที่สนใจได้รู้แล้วก็นำมาบอกต่อญาติเพื่อนสนิทมิตรสหายต่อๆไป

    สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้เป็นความจริงเป็นสิ่งที่ดีๆ เพื่อให้ได้เรียนรู้และปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามธรรม
    -กายของเรานี้เป็นเพียงธุาติสี่ ดินน้ำลมไฟ เป็นของไม่สะอาด ก้าวไปหาความตายตลอดเวลา
    -กายที่ไม่มีใจครองไม่มีประโยชน์เลย ทิ้งไว้บนโลกทับถมกันซ้ำแล้วซ้ำอีกมากมาย
    -ที่ว่าดูสวยงามนั้นก็แค่ผิวหนังภายนอกเท่านั้นเองเหมือนกับโลกศพที่ประดับด้วยดอกไม้ดูสวยงามแต่ภายในบรรจุซากศพอยู่

    -ธรรมเป็นใหญ่ที่สุดในโลกแม้แต่พระพุทธเจ้ายังเคารพธรรมซึ้งท่านเป็นผู้ค้นพบเอง และท่านก็ได้บอกธรรมแก่สาวกทั้งหลาย
    -ท่านสาวกทั้งหลายก็ได้นำมาบอกต่อๆกัน พระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์จึงรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเหมืนแก้วปิรามิดที่มีสามด้าน
    -พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติรู้ลึกเข้าไปถึงแก่นซึ่งปัญญาของปุถุชนไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกับหงายกลาที่คว่ำไว้
    -เป็นการทวนกระแสความเชื่อที่เคยเชื่อต่อๆกันมา แต่ปัญญาของมนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ได้สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายภูมิสี่ไม่สามารถเรียนรู้ได้เลย
    -และท่านก็ได้บอกทางเพื่อให้พ้นจากวัฏสงสารไว้ด้วยคือมรรคมีองค์แปดให้เราได้เดินตามเพื่อพ้นจากความทุกข์เข้าถึงนิพพานได้ด้วย
    -เห็นถูกต้องตามหลักธรรม คิดดี พูดดี ทำดี อาชีพสุจริต ทำความเพียรเพื่อเผาบาปละกิเลส มีสติรู้ตัว และมีสมาธิจิตตั้งมั่นดี

    -มรรค์มีองค์แปดนี้รวมกันก็คือศีล สมาธิและปัญญา พูดถึงศีลก็ต้องเริ่มต้นจากศีลห้าและก็เลื่อนขึ้นไปตามลำดับ ถ้ารักษาศีลได้ดีสามธิก็เกิดง่าย
    -เพราะศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ คือถ้ามีศีลก็มีสมาธิมีสมาธิแล้วก็มีสติคอยคุมจิตไม่ให้จิตดิ้นรนฟุ้งซ่านปัญญาก็เกิดเพราะปัญญาก็มีสามธิเป็นพื้นฐาน
    -ปัญญานี้แหละที่เป็นตัวฆ่าอวิชชาซึ้งเป็นตัวที่ทำให้คนหลงผิดมานานแสนนานเป็นกัปเป็นกัลล์หลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น
    -ที่ว่าหลงผิดก็คือหลงยึดถือว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นของเรา หลงคิดว่ากายจิตนี้เป็นของเรา หลงคิดว่ากามราคะตัญหาเป็นความสุข หลงคิดว่ากิเลสพาไปเป็นสุข
    -หลงคิดว่าการเกิดเป็นสุข หลงคิดว่าร่างกายนี้สวยงาม สรุปก็คือหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงนั่นเอง พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง
    -แม้แต่กายและจิตนี้ก็ไม่ใช่ของเราแล้วจะมีอะไรเล่าเป็นของๆเราจริง เราเป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่รู้รวมอยู่กับความว่างที่ไม่มีอะไรเลยว่างกว้างมหาศาล
     
  15. Somop

    Somop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +15
    คำสอนท่าน วันที่ 10 เมษายน 2554 ค่ะ เวลา 10:21

    เรื่อง ความอดทน เกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติ ยังไงครับ
    -การปฏิบัติในที่นี้หมายถึงการละกิเลสในจิตใจของเรา
    -พระพุทธองค์ท่านได้บอกทางให้เราเดินตามคือมรรคมีองค์8
    -มรรคมีองค์8รวมแล้วก็คือการรักษาศีลการทำสมาธิและการเจริญปัญญา
    -ผู้ปฏิบัติต้องมีความอดทนจึงจะเดินตามทางนี้ได้
    -อดทนทั้งทางกายและทางใจ เช่น
    -อดทนต่อสู้กับทุกขเวทนาขณะปฏิบัติ อดทนต่อสู้กับกิเลสในใจที่คอยจะพาให้เราหลงไปในทางต่ำ

    สำคัญมากน้อยกว่าศีลครับ
    -ศีลเป็นทางที่เราจะต้องปฏิบัติถ้าผู้ใดไม่มีศีลหรือศีลขาด ด่างพร้อยแล้วก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปได้เลย
    -เพราะศีลเป็นฐานของสมาธิและสมาธิก็เป็นฐานของการเจริญปัญญา
    -อย่างท่านที่ศีลครบบริบูรณ์นั้นท่านเป็นผู้ดี จิตท่านไม่ตกต่ำอีกทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
    -ผู้ที่มีศีลนั้นท่านก็ต้องมีความอดทนอยู่ก่อนแล้วคืออดทนต่อกิเลสในใจที่พาเราทำผิดศีล

    แล้วที่ว่า ตายเป็นตาย ละครับ
    -ผู้ปฏิบัติอาจจะมีความท้อต่อกิเลสและต้องให้กำลังใจเพื่อต่อสู้กับกิเลสต่อไป
    -เราต้องตั้งใจว่าเราจะต่อสู้กับกิเลสในใจเราให้ได้จะไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาด
    -มันพาให้เราหลงผิดมานานแสนนานนับตั้งแต่บัดนี้เราจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป
    -เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย ถ้าเราตายตอนปฏิบัตินี้เรามีศีลครบมีสมาธิดีมีสติดีเราคงไปเกิดในที่ที่ดีกว่านี้แน่นอน

    -อดทนต่อสิ่งที่คนอื่นอดทนได้ยาก
    อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น อดทนต่ออารมณ์ที่พอใจและไม่พอใจ
    -เอาชนะในสิ่งที่คนอื่นเอาชนะได้ยาก
    เอาชนะกิเลสในใจตัวเอง โลภโกรธหลง มานะทิฐิ
    -ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก
    ทำใจให้เหมือนแผ่นดินเหมือนกับไม่มีจิตใจ
    -ก็จะได้รับในสิ่งที่คนอื่นรับได้ยาก
    ได้บรรลุธรรมได้เห็นธรรม
     
  16. Lek2010

    Lek2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8,925
    ค่าพลัง:
    +42,467
    เข้ามาอ่านจ้า
    ได้อะไรใหม่ๆก็เอามาโพสต์เพิ่มเติมนะคะ
     
  17. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    เนื่องในวันคล้ายวันเกิด‏

    ธรรมะในวันคล้ายวันเกิดปีนี้

    พูดถึงวันเกิดคือวันที่15สิงหาคมพศ.2496 นับได้58ปีเต็ม

    วันนี้เป็นวันที่15สิงหาคมพศ.2554 จริงๆแล้วมันเป็นคนละวันกัน

    แต่มันแค่คล้ายกันเท่านั้นเอง(15-สิงหาคม) ถ้าวันเกิดจริงๆนั้นมันผ่านมา58ปีแล้วเป็นอดีตไปแล้ว

    และวันที่ก็เป็นการสมมุติขึ้นเท่านั้น พูดไปไกลกว่านั้นก็ทุกๆอย่างก็เป็นการสมมุติทั้งหมด

    วันๆผ่านไป จากปัจจุบันเดี๋ยวก็กลายเป็นอดีต จากอนาคตก็กลายมาเป็นปัจจุบัน

    หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่าง

    ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ

    ขันข์ห้านี้หมายถึงกายกับใจหรือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นกองทุกข์ เกิดมาเดี๋ยวแก่เดี๋ยวเจ็บป่วยแล้วก็ตายไป

    การเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นทุกข์

    สาเหตุของความทุกข์ก็คือ การเกิด นี่เอง ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องทุกข์ ถ้าเกิดมาแล้วก็เจอแต่ทุกข์ ทุกข์ทั้งกายและใจ

    ฉะนั้นพระอริยะทั้งหลายหรือผู้รู้ทั้งหลายจึงกลัวการเกิด พยายามหนีการเกิด ไม่อยากเกิดอีกไม่ว่าจะเกิดในโลกนี้หรือโลกไหนๆก็ตาม

    ท่านเหล่านั้นจึงได้ฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เน้นการพ้นทุกข์ ด้วยการไม่ต้องมาเกิดอีก โดยปฏิบัติตามมรรค มีองค์แปด

    เพื่อเข้าถึงนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แต่ถ้าเรายังทำไม่ได้เหมือนท่านเหล่านั้นก็ให้รักษากายกับใจไว้ไห้ดี

    การรักษาการก็คือการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพ หาสิ่งที่ดีๆมีประโยชน์ให้กายนี้ เพื่อให้อยู่รอดโดยให้ทุกข์จากการเจ็บป่วยให้น้อยที่สุด

    และจะได้มีเวลาเพื่อประพฤติปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์

    ส่วนการรักษาใจนั้นก็คือ พยายยามทำจิตให้ผ่องใส ไม่ให้มัวหมอง ใจเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่ามันได้ติดตามเรามานานแสนนาน

    นับวันได้ไม่ได้เลยนานมากๆ และมันก็ยังจะติดตามเราไปอีกนานแสนนาน นับเป็นกัปป์เป็นกัลล์เป็นอสงไขยเลยทีเดียว

    ฉะนั้นเราจึงต้องดูแลรักษาใจนี้ให้ดี ให้เป็นใจที่ดี ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ อย่าให้อกุศล และกิเลสเข้ามาเล่นงานมัน ชำระกิเลสออกให้มันด้วย

    อย่าให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาครอบงำมัน จะทำให้มันมัวหมอง จิตตก พยายามทำจิตให้ผ่องใส ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธคือ ทำดี ละชั่ว ทำจิตให้ผ่องใส

    ที่เราเกิดมาแล้วนี้ ก็เจอสิ่งที่สมหวังบ้าง สิ่งที่ผิดหวังบ้าง ถูกใจเราบ้างไม่ถูกใจเราบ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง คละเคล้ากันไป ถือว่าเป็นปรกติธรรมดา

    เป็นบุญกรรมที่เราสั่งสมมาในอดีต ทุกอย่างมีเหตุมีผลของมันอยู่ในตัว สร้างเหตุไว้ดีก็ได้ผลที่ดี ฉะนั้นในเมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็พยายามทำแต่ความดีไว้

    ที่เราทั้งหลายได้มาอยู่ในครอบครัวเดียวกันนี้ก็เป็นเพราะเหตุที่เคยสร้างกันมาในอดีตชาติแล้วทั้งนั้น จึงได้มาเจอกัน ได้มารู้จักกัน ได้มาเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกๆกัน

    เมื่อได้มาเจอกันก็ขอให้ทำดีต่อกัน สร้างเหตุที่ดีๆกันไว้ ผลต่อๆไปจะได้เป็นผลที่ดี เพราะเราอยู่ด้วยกันไม่กี่ปีเอง ระยะเวลาเหลือน้อยเข้าทุกวัน ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องจากกัน

    ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่หรืออาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นก็ต่างคนต่างไป แยกกันไป ไปคนละทิศ คนละทาง คนละแห่งแล้วแต่เหตุที่ทำไว้

    นี่เป็นธรรมะสำหรับวันคล้ายวันเกิด เป็นเพียงธรรมะส่วนหนึ่งที่ศึกษามา

    ขอให้ทุกๆคน ประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน หวังสิ่งใดที่ดีๆก็ให้ได้สิ่งที่ดีๆนั้น เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม มีแต่ความสุขตลอดไป
     
  18. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    สาธุ ลูกขอกราบแทบเท้าเพื่อขอขมา และรับพรอันประเสริฐนี้ครับ
     
  19. Lek2010

    Lek2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8,925
    ค่าพลัง:
    +42,467
    เข้ามารับธรรมะและพรด้วยคนค่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...