"ฌานโสธนชาดก" ว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ตีโฉบฉวย, 16 กันยายน 2011.

  1. ตีโฉบฉวย

    ตีโฉบฉวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +42
    ฌานโสธนชาดก

    ว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ



    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการที่พระธรรมเสนาบดีพยากรณ์ปัญหาที่พระองค์ตรัสถาม โดยย่อได้อย่างพิสดาร ณ ประตูสังกัสนคร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องอดีต ในการพยากรณ์ปัญหานั้น.

    ได้ยินว่า ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราช สมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์กำลังจะมรณภาพ ที่ชายป่า ถูกพวกอันเตวาสิกถาม ก็กล่าวว่า เนวสัญญีนาสัญญี มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ฯลฯ (เหมือนกับเรื่องใน ปโรสหัสสชาดก) พวกดาบสไม่ยอมเชื่อถ้อยคำของอันเตวาสิกผู้ใหญ่ พระโพธิสัตว์จึงมาแต่พรหมชั้นอาภัสสระ ยืนอยู่ในอากาศ กล่าวคาถานี้ ความว่า :

    "สัตว์เหล่าใดเป็นผู้มีสัญญา แม้สัตว์เหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นทุคตะ

    สัตว์เหล่าใดเป็นผู้ไม่มีสัญญา ถึงสัตว์เหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นทุคตะ

    ท่านจงละเว้นความเป็นสัญญีสัตว์ และอสัญญีสัตว์ทั้งสองนี้เสีย

    สุขอันเกิดจากสมาบัตินั้นเป็นสุขที่ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน" ดังนี้.

    อธิบายว่า หมู่สัตว์ที่มีจิตหมู่ใด เว้นท่านผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะไม่ได้สมาบัตินั้น แม้ชนเหล่านั้นจึงยังเป็นผู้ชื่อว่า ทุคตะ.

    แม้อจิตตกสัตว์ ผู้เกิดในอสัญญีภพ ก็ยังคง เป็นทุคตะอยู่เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้สมาบัตินี้นั้นแหละ.

    เธอจงเว้นเสีย ละเสีย แม้ทั้งสองอย่างนั้น คือ สัญญีภาวะ และอสัญญีภาวะ.

    ความสุขในฌาน นั้น คือที่ถึงการนับว่าเป็นสุขโดยเป็นธรรมชาติสงบระงับ ของท่านผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เป็นอนังคณะ คือปราศจากโทษ แม้เพราะความที่แห่งจิตมีอารมณ์แน่วแน่ มีกำลังเป็นสภาพ ความสุขนั้น ก็ชื่อว่า เป็นของไม่มีกิเลสเครื่องยียวน.

    พระโพธิสัตว์แสดงธรรมสรรเสริญคุณของอันเตวาสิก ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ได้กลับคืนไปยังพรหมโลก คราวนั้น ดาบสที่เหลือ ต่างพากันเชื่อฟังอันเตวาสิกผู้ใหญ่.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประชุม ชาดกว่า อันเตวาสิกผู้ใหญ่ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนท้าวมหาพรหม ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

    จบ ฌานโสธนชาดก

    http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-01-03/chadok-011404.htm
     
  2. ตีโฉบฉวย

    ตีโฉบฉวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +42
    มฆเทวชาดก - ว่าด้วยเทวทูต

    มฆเทวชาดก

    ว่าด้วยเทวทูต



    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้


    ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ ได้มีพระราชาพระนามว่า มฆเทวะ เป็นพระมหาธรรมราชาผู้ดำรงอยู่ในธรรม พระเจ้ามฆเทวะนั้นทรง ให้กาลเวลาอันยาวนานหมดสิ้นไปวันหนึ่ง ตรัสเรียกช่างกัลบกมาว่า ดูก่อน ช่างกัลบกผู้สหาย ท่านเห็นผมหงอกบนศีรษะของเราในกาลใด ท่านจงบอก แก่เราในกาลนั้น ฝ่ายช่างกัลบกก็ได้ทำให้เวลาอันยาวนานหมดสิ้นไป วันหนึ่ง เห็นพระเกศาหงอกเส้นหนึ่งในระหว่างพระเกศาทั้งหลายอันมีสีดังดอกอัญชัน ของพระราชา จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระเกศาหงอกเส้นหนึ่งปรากฏแก่พระองค์ พระราชาตรัสว่า สหาย ถ้าอย่างนั้นท่านจงถอนผมหงอกนั้นของเราเอามาวางในฝ่ามือ เมื่อพระราชาตรัสอย่างนั้น ช่างกัลบกจึงเอาแหนบทองถอนแล้วให้พระเกศาหงอกประดิษฐานอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระราชา

    ในกาลนั้น พระราชายังมีพระชนมายุเหลืออยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระราชาได้ทรงเห็นผมหงอกแล้ว ก็ทรงสำคัญประหนึ่งว่าพระยามัจจุราชมายืนอยู่ใกล้ ๆ และประหนึ่งว่าตนเองมาอยู่บรรณศาลาอันไฟติดโพลงอยู่ ฉะนั้น ได้ทรงถึงความสังเวช จึงทรงพระดำริว่า ดูก่อนมฆเทวะผู้เขลา เจ้าไม่อาจละกิเลสเหล่านี้จนตราบเท่าผมหงอกเกิดขึ้น เมื่อพระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงรำพึงถึงผมหงอกที่ปรากฏแล้ว ความเร่าร้อนภายในก็เกิดขึ้น พระเสโทในพระสรีระไหลออก จนชุ่มเครื่องทรง

    พระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงพระดำริว่า เราควรออกบวชในวันนี้แหละ จึงทรงพระราชทานบ้านชั้นดีแก่ช่างกัลบก แล้วรับสั่งให้เรียกพระโอรสพระองค์ใหญ่มาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของพ่อแล้ว พ่อเป็นคนแก่แล้ว ก็กามของมนุษย์พ่อได้บริโภคแล้ว บัดนี้ พ่อจักแสวงหากามอันเป็นทิพย์ นี้เป็นการออกบวชของพ่อ เจ้าจงครอบครองราชสมบัตินี้ ส่วนพ่อบวชแล้วจักอยู่กระทำสมณธรรมในอัมพวันอุทยานชื่อมฆเทวะ

    อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระราชา แล้วทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพอะไรเป็นเหตุแห่งการทรงผนวชของพระองค์ ? พระราชาทรงถือผมหงอก ตรัสพระคาถานี้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้เกิดแล้ว เป็นเหตุนำวัยไป เทวทูตปรากฏแล้ว นี้เป็นสมัยแห่งการบรรพชาของเรา

    พระเจ้ามฆเทวะนั้น ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วจึงสละราชสมบัติบวชเป็นฤๅษีในวันนั้นเอง ประทับอยู่ในเมฆอัมพวันนั้นนั่นแหละ เจริญพรหมวิหาร ๔ อยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ดำรงอยู่ในฌานอันไม่เสื่อม สวรรคตแล้วบังเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกนั้น ได้เป็นพระราชาพระนามว่า เนมิ ในกรุงมิถิลา นั่นแหละอีก สืบต่อวงศ์ของพระองค์ที่เสื่อมลง จึงทรงผนวชในอัมพวันนั้นนั่นแหละ เจริญพรหมวิหาร กลับไปเกิดในพรหมโลกตามเดิมอีก

    แม้พระศาสดาก็ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ออกแล้วเหมือนกัน ครั้งทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ ๔ ในเวลา จบอริยสัจ ภิกษุบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชุมชาดกว่า ช่างกัลบกในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ในบัดนี้ บุตรในครั้งนั้น ได้เป็นพระราหุลในบัดนี้ ส่วนพระเจ้ามฆเทวะได้เป็นเราตถาคตแล

    http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-01-01/chadok-010109.htm
     
  3. ตีโฉบฉวย

    ตีโฉบฉวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +42
    ปโรสหัสสชาดก - ว่าด้วยคนผู้มีปัญญา

    ปโรสหัสสชาดก

    ว่าด้วยคนผู้มีปัญญา



    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภปัญหาในปุถุชน มีบุคคลเป็นที่ ๕ ตรัสพระธรรมเทศนา นี้ ดังนี้.

    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนสรรพศิลปวิทยา ในเมืองตักกสิลา ละกามทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิดได้แล้ว อยู่ในป่าหิมพานต์ แม้บริวารของท่านก็ได้บวชเป็นดาบส ๕๐๐ รูป คราวนั้นเป็นฤดูฝน อันเตวาสิกผู้ใหญ่ของท่าน พาคณะฤๅษีประมาณครึ่งหนึ่งไปสู่ถิ่นของมนุษย์ เพื่อต้องการรสเค็ม รสเปรี้ยว

    ในกาลนั้น ประจวบเป็นสมัยที่พระโพธิสัตว์จะทำกาละ พวกอันเตวาสิกทั้งหลาย พากันถามการบรรลุคุณพิเศษกะท่าน ว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านได้คุณพิเศษชนิดไหน ? ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย แล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เพราะว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะได้อรูปสมาบัติ ก็มิได้บังเกิดในอรูปภพ เป็นสถานที่อันมิบังควร พวกอันเตวาสิกคิดกันว่า ท่านอาจารย์ไม่มีคุณพิเศษเลย ดังนี้แล้ว ไม่กระทำสักการะในป่าช้า อันเตวาสิกผู้ใหญ่กลับมาแล้ว ถามว่า ท่านอาจารย์ ไปไหน ? ครั้นทราบว่า ทำกาละเสียแล้ว จึงกล่าวว่า เออก็ พวกเธอถามถึงคุณพิเศษที่ท่านได้บรรลุกะท่านหรือเปล่า ?

    พวกเราถามแล้ว ขอรับ.

    ท่านตอบว่าอย่างไร ?

    ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย เหตุนั้นพวกเราจึงไม่ทำสักการะแก่ท่าน อันเตวาสิกผู้ใหญ่กล่าวว่า พวกเธอมิได้รู้ความหมายแห่งคำของอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ แม้ถึงอันเตวาสิกผู้ใหญ่นั้น จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกอันเตวาสิกเหล่านั้นก็ไม่ยอมเชื่อ พระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั้น ดำริว่า พวกอันธพาลไม่เชื่อถ้อยคำอันเตวาสิกผู้ใหญ่ของเรา เราต้องกระทำเหตุนี้ให้ปรากฏแก่อันเตวาสิกเหล่านั้น แล้วมาจากพรหมโลก ยืนอยู่ในอากาศ ด้วยอานุภาพอันใหญ่ เบื้องบน อาศรมบท เมื่อจะพรรณนาปัญญานุภาพของอันเตวาสิกผู้ใหญ่ กล่าวคาถานี้ ความว่า :

    "แม้จะมีผู้มาประชุมกันตั้งพันกว่า พวก

    เหล่านั้นก็ไม่มีปัญญา พึงคร่ำครวญไปตั้ง ๑๐๐ ปี

    บุรุษผู้มีปัญญารู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าว

    แล้ว ผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า" ดังนี้.

    พระโพธิสัตว์ แสดงว่า พวกเหล่านั้นที่มารวมกันอย่างนี้ ไร้ปัญญา เหมือนพวก ดาบสโง่เหล่านี้ พากันร้องไห้คร่ำครวญกันไปตั้งร้อยปี แม้ตั้งพันปี แม้ตั้งแสนปี ถึงแม้จะพากันร้องไห้ ก็ไม่พึงรู้ถึงความหมาย หรือเหตุได้เลย.

    บุรุษที่เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญา รู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าวแล้ว เหมือน อย่างอันเตวาสิกผู้ใหญ่นี้.คนเดียวเท่านั้น ดีกว่า ประเสริฐกว่าพวกคนพาลตั้งพันกว่าคน เหล่านี้

    พระมหาสัตว์ ยืนอยู่ในอากาศนั่นแหละ แสดงธรรมชี้แจง ให้คณะดาบสรู้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ไปสู่พรหมโลก ดังเดิม พวกดาบส แม้เหล่านั้น ครั้นสิ้นชีวิตต่างก็ไปเกิดใน พรหมโลก.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม ชาดกว่า อันเตวาสิกผู้ใหญ่ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนมหาพรหมได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

    จบ ปโรสหัสสชาดก

    http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-01-03/chadok-011009.htm
     
  4. ตีโฉบฉวย

    ตีโฉบฉวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +42
    พรหมทัตตชาดก - ว่าด้วยผู้ขอกับผู้ถูกขอ

    พรหมทัตตชาดก

    ว่าด้วยผู้ขอกับผู้ถูกขอ



    พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยเมืองอาฬวีประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ ทรงปรารภกุฏิการสิกขาบท จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
    เรื่องปัจจุบันมีมาแล้วใน มณิกัณฐชาดก ในหนหลังนั่นเอง แต่ในเรื่องนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกเธอมากไปด้วยการขอ มากไปด้วยการทำวิญญัติอยู่ จริงหรือ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในอดีต แม้เป็นผู้ซึ่งพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินปวารณาตนไว้นั้น ปรารถนาจะขอร่มใบไม้ และรองเท้าชั้นเดียวคู่หนึ่ง ก็ไม่ขอในท่ามกลางมหาชน เพราะกลัวหิริโอตตัปปะร้าวฉาน จึงได้กล่าวขอในที่ลับ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :


    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าปัญจาลราชครองราชสมบัติอยู่ใน อุตตรปัญจาลนคร กบิลรัฐ พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในบ้านตำบลหนึ่ง เจริญวัยแล้วไปเมืองตักกสิลาเรียนศิลปะทั้งปวง ในกาลต่อมา ได้บวชเป็นดาบส เลี้ยงชีพด้วยมูลผลาผลของป่า ด้วยการแสวงหาอยู่ในหิมวันตประเทศช้านาน เมื่อจะเที่ยวไปยังถิ่นมนุษย์เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไปยังอุตตรปัญจาลนคร อยู่ในพระราชอุทยาน

    วันรุ่งขึ้น เมื่อจะแสวงหาภิกษาจึงเข้าไปยังพระนคร ถึงประตูพระราชวัง พระราชาทรงเลื่อมใสในอาจาระของพระดาบสนั้น จึงนิมนต์ให้นั่งในท้องพระโรง ให้ฉันโภชนะอันควรแก่พระราชา ทรงอาราธนาให้อยู่ในพระราชอุทยานนั่นแหละ พระดาบสนั้นฉันอยู่ เฉพาะในพระราชมณเฑียรนั่นเองเป็นประจำ

    ครั้นเมื่อล่วงฤดูฝนแล้ว มีความประสงค์จะไปยังหิมวันตประเทศตามเดิม จึงคิดว่า เมื่อเราจะเดินทางไป ควรจะได้รองเท้าชั้นเดียวหนึ่งคู่ และร่มใบไม้หนึ่งคัน เราจักทูลขอพระราชา วันหนึ่งพระดาบสนั้น เห็นพระราชาเสด็จมายังพระราชอุทยานไหว้แล้วประทับนั่งอยู่ จึงคิดว่า จักทูลขอรองเท้าและร่ม กลับคิดอีกว่า คนเมื่อขอผู้อื่นว่า ท่านจงให้ของนี้แก่เรา ชื่อว่าย่อมร้องไห้ ฝ่ายคนอื่นผู้กล่าวว่า เราไม่มีของนั้นว่า ย่อมร้องไห้ตอบ ก็มหาชนอย่าได้เห็นเราผู้ร้องไห้ อย่าได้เห็นพระราชาร้องไห้ตอบเลย ดังนั้น เราแม้ทั้งสองร้องไห้กันอยู่ในที่ปกปิด เร้นลับจักเป็นผู้นิ่งเงียบ

    ลำดับนั้น พระดาบสจึงกราบทูลกะพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราช อาตมภาพหวังเฉพาะที่ลับ พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษถอยออกไป พระโพธิสัตว์ คิดว่า ถ้าเมื่อเราทูลขอ แล้วพระราชาไม่ประทานให้ไซร้ ไมตรีของเราก็จักแตกไป เพราะฉะนั้น เราจักไม่ทูลขอในวันนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงเสด็จไปก่อนเถิด อาตมภาพจักพูดในวันพรุ่งนี้

    ในกาลที่พระราชาเสด็จมาพระราชอุทยานในอีกวันหนึ่งพระดาบสก็กราบทูลเหมือนอย่างนั้น อีกวันหนึ่งก็กราบทูลเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ รวมความว่า เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นไม่อาจทูลขออย่างนี้เวลาได้ล่วงเลยไป ๑๒ ปี

    ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรากล่าวว่า ขอพูดกับเราในที่ลับ เมื่อบริษัทถอยออกไปแล้ว ก็ไม่อาจกล่าวคำอะไรๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะกล่าว บัดนี้กาลเวลาล่วงไปถึง ๑๒ ปี อนึ่ง พระผู้เป็น เจ้านั้น ประพฤติพรหมจรรย์มานาน ชะรอยเธอจะระอาใจ ใคร่จะหวังเฉพาะราชสมบัติกระมัง ก็เธอเมื่อไม่อาจระบุว่าต้องการราชสมบัติจึงได้นิ่ง วันนี้เราจักรู้กันละ เธอปรารถนาสิ่งใด เราจักให้สิ่งนั้น ตั้งต้นแต่ราชสมบัติไป

    พระราชานั้นเสด็จไปยังพระราชอุทยานทรงนมัสการแล้วประทับนั่ง เมื่อพระโพธิสัตว์กราบทูลว่า อาตมภาพหวังเฉพาะในที่ลับ และเมื่อบริษัทถอยออกไปแล้ว จึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นผู้ไม่อาจกราบทูลอะไรๆ ว่า ท่านกล่าวว่า หวังจะได้พูดกับข้าพเจ้าที่ลับ แม้เมื่อได้อยู่ในที่ลับแล้วท่านก็ไม่อาจกล่าวอะไร ตลอดเวลา ๑๒ ปี ที่ผ่านมา ข้าพเจ้า ขอปวารณาสิ่งทั้งปวงมีราชสมบัติเป็นต้นต่อท่าน ท่านอย่าได้กลัวภัย จงขอสิ่งที่ท่านชอบใจเถิด

    พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์จักประทานสิ่งที่อาตมภาพทูลขอหรือ พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจักให้

    พระโพธิสัตว์ทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร เมื่ออาตมภาพเดินทางไปควรจะได้รองเท้าชั้นเดียวคู่หนึ่ง กับร่มใบไม้หนึ่งคัน

    พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ สิ่งของมีประมาณเท่านี้ ท่านไม่อาจขอจนตลอดเวลา ๑๒ ปีเทียวหรือ

    พระโพธิสัตว์ ทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร

    พระราชาตรัสถามว่า ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไร ? ท่านจึงได้กระทำอย่างนี้

    พระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า มหาบพิตร คนผู้ขอว่า ท่านจงให้ของสิ่งนี้แก่เรา ชื่อว่า ร้องไห้ คนผู้กล่าวว่า เราไม่มี ชื่อว่าร้องไห้ตอบ ถ้าพระองค์ถูกอาตมภาพทูลขอ แล้วพระองค์จะไม่พระราชทานไซร้ มหาชนจงอย่าได้เห็นภาพนั้น การที่อาตมภาพขอพูดในเฉพาะที่ลับ เพื่อประโยชน์นี้ แล้วได้กล่าวคาถา ๓ คาถา เบื้องต้นว่า :

    [๕๙๐] ดูกรมหาบพิตร ผู้ขอย่อมได้ ๒ อย่าง คือ ได้ทรัพย์ หรือไม่ได้ทรัพย์

    แท้จริง การขอมีอย่างนี้เป็นธรรมดา.

    [๕๙๑] ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ในปัญจาลรัฐ บัณฑิตกล่าวถึงการขอว่า เป็น

    การร้องไห้ ผู้ใด ปฏิเสธคำขอ บัณฑิตกล่าวคำปฏิเสธของผู้นั้นว่า เป็น

    การร้องไห้ตอบ.

    [๕๙๒] ชาวปัญจาลรัฐ ผู้มาประชุมกันแล้ว อย่าได้เห็นอาตมภาพผู้กำลังร้องไห้อยู่

    หรืออย่าได้เห็นพระองค์ผู้ทรงกรรแสงตอบอยู่ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพ

    จึงปรารถนาขอเฝ้าในที่ลับ.


    พระราชาทรงเลื่อมใสในลักษณะแห่งความเคารพของพระโพธิสัตว์ เมื่อจะทรงให้พร จึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :

    [๕๙๓] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าขอถวายวัวแดงหนึ่งพันพร้อมด้วยวัวจ่าฝูง

    แก่ท่าน อันอารยชนได้ฟังคาถาอันประกอบด้วยเหตุผลของท่านแล้ว

    ทำไมจะไม่พึงให้แก่ท่านผู้เป็นอารยชนเล่า.


    ฝ่ายพระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร อาตมภาพไม่ต้องการวัตถุกาม พระองค์จงประทานสิ่งที่อาตมภาพทูลขอ แล้วรับเอารองเท้าชั้นเดียวกับร่มใบไม้ จากนั้นจึงโอวาทพระราชาว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ขอพระองค์อย่าทรงประมาท จงรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรมเถิด ทั้งที่พระราชาทรงวิงวอนอยู่นั่นแล ท่านก็ได้ไปยังหิมวันตประเทศ ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดในที่นั้นแล้ว ได้มีพรหมโลก เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนดาบส ในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล

    จบ พรหมทัตตชาดก

    http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-04/chadok-040303.htm
     
  5. ตีโฉบฉวย

    ตีโฉบฉวย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +42
    ธังกชาดก - ว่าด้วยการร้องไห้ไม่มีประโยชน

    ธังกชาดก

    ว่าด้วยการร้องไห้ไม่มีประโยชน์​




    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ อำมาตย์ผู้หนึ่งของพระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.


    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตนั้น พระญาติทั้งหลายขนานพระนามพระโพธิสัตว์นั้นว่า ฆฏกุมาร สมัยต่อมา ฆฏกุมารนั้น เรียนศิลปะในเมืองตักกสิลาแล้วครองราชสมบัติโดยธรรม อำมาตย์คนหนึ่งในภายในพระราชวังของพระราชานั้นคิดประทุษร้าย พระราชานั้นทรงทราบโดยชัดแจ้งจึงให้ขับไล่อำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น

    ครั้งนั้นพระเจ้าธังกราชครองราชสมบัติในนครสาวัตถี อำมาตย์นั้นได้ไปยังราชสำนักของพระเจ้าธังกราชนั้นยุยงท้าวเธอให้เชื่อถือคำของตน โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ แล้วให้ยึดราชสมบัติในนครพาราณสี พระเจ้าธังกราชนั้น ครั้นยึดราชสมบัติได้แล้ว ให้เอาโซ่ตรวนพันธนาการพระโพธิสัตว์ไว้ แล้วส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ พระโพธิสัตว์ทำฌานให้บังเกิดแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศ ความเร่าร้อนตั้งขึ้นในพระสรีระของพระเจ้าธังกราช ท้าวเธอจึงไปได้เห็นหน้าพระโพธิสัตว์มีสง่างามดุจแว่นทองและดอกบัวบาน เมื่อจะถามพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :

    [๗๒๒] ชนเหล่าอื่น เศร้าโศกอยู่ ร้องไห้อยู่ ชนเหล่าอื่น มีชุ่มไปด้วยน้ำตา

    พระองค์เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส ดูกรฆตราชา เพราะเหตุไร พระองค์

    จึงไม่เศร้าโศก?


    ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่เศร้าโศกแก่พระ เจ้าธังกราชนั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า :

    [๗๒๓] ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้วมาได้ไม่ หาได้นำความสุขใน

    อนาคตมาได้ไม่ ดูกรธังกราชา เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก

    ความเป็นสหายในความโศก ย่อมไม่มี.

    [๗๒๔] บุคคลเศร้าโศกอยู่ ย่อมเป็นผู้ผอมเหลือง และไม่พอใจบริโภค

    อาหาร เมื่อเขาถูกลูกศรคือความเศร้าโศกเสียบแทงแล้ว เร่าร้อนอยู่

    ศัตรูทั้งหลาย ย่อมดีใจ.

    [๗๒๕] ความฉิบหายอันความเศร้าโศกเป็นมูล จักไม่มาถึงหม่อมฉันผู้อยู่ใน

    บ้านหรือในป่า ในที่ลุ่มหรือในที่ดอน หม่อมฉันเห็นบทฌานแล้ว

    อย่างนี้.

    [๗๒๖] ตนผู้เดียวเท่านั้น สามารถจะนำกามรสทั้งปวงมาให้ได้ สหายของพระ

    ราชาพระองค์ใด ไม่สามารถจะนำมาให้ได้ ถึงสมาบัติในแผ่นดินทั้งสิ้น

    ก็จักนำความสุขมาให้แก่พระราชาพระองค์นั้นไม่ได้.


    พระเจ้าธังกราชได้สดับคาถาทั้ง ๔ คาถา ด้วยประการดังนี้แล้ว จึงขอขมาพระโพธิสัตว์แล้วมอบราชสมบัติคืน ได้เสด็จหลีกไปแล้ว ฝ่ายพระมหาสัตว์มอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลาย แล้วไปยังหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี มีฌานไม่เสื่อม ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็น ที่ไปในเบื้องหน้า.

    พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าธังกราชในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพระเจ้าฆฏราช ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

    จบ ธังกชาดก

    ธังกชาดก

    http://www.dharma-gateway.com/buddha/chadok-05/chadok-050105.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...