บทแผ่เมตตาโดยไม่มีประมาณ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 18 พฤศจิกายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อะหัง อะเวโร โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ปราศจากเวร )

    อัพยาปัชโฌ โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีโฆ โหมิ ( ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    มะมะ มาตาปิตุ ( ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า )

    อาจาริยา จะ ญาติมิตตา ( จะ ครูอาจารย์ และญาติมิตร )

    สะพราหมะจาริโน จะ ( ผู้ประพฤติธรรมทั้งปวง )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

    อิมัสมิง อาราเม สัพเพ โยคิโน ขอให้ท่านโยคี ( ผู้ทรงสมาธิ) ทั้งปวงในเขตนี้ )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    อิมัสมิง อาราเม สัพเพ ภิกขู ( ขอพระภิกษทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในเขตนี้ )

    สามะเณรา จะ ( และสามเณร )

    อุปาสะกา อุปาสิกายา จะ ( ทั้งอุบาสกและ อุบาสิกา )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    อัมหากัง จะตุปัจจายะทายะกา ( ขอทายกทายิกา ผู้ให้ปัจจัย๔ แก่พวกเราทั้งหลาย )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    อัมหากัง อารักขา เทวาตา ( ขอเทวดาผู้อารักขาเราทั้งหลาย )

    อิมัสมิง วิหาเร ( ในวิหารแห่งนี้ )

    อิมัสมิง อาวาเส ( ในอาวาสแห่งนี้ )

    อิมัสมิง อาราเม ( ในอารามแห่งนี้ )

    อารักขา เทวาตา ( ขอเทวาผู้รักษาสถานที่เหล่านี้ )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย )

    สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย )

    สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย )

    สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย )

    สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ เทวา ( ขอเทวาทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง )

    สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย ทั้งปวง )

    อะเวรา โหนตุ ( จงปราศจากเวร )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( จงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน)

    อะนีฆา โหนตุ ( จงปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ )

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ( ขอให้ท่านจงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ )

    ยถา ลัทธาสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา )

    กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น )

    ปุรถิมายะ ทิสายะ ( ขอสัตว์ทั้งปวง ในทิศบูรพา ( ทิศตะวันออก )

    ปัจฉิมายะ ทิสายะ ( ในทิศปัจฉิม ( ทิศตะวันตก )

    อุตตรายะ ทิสายะ ( ในทิศอุดร ( ทิศเหนือ )

    ทักขิณายะ ทิสายะ ( ในทิศทักษิณ ( ทิศใต้ )

    ปุรถิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศอาคเนย์ ( ทิศตะวันออกเฉียงใต้ )

    ปัจฉิมายะ อนุทิสายะ ( ในทิศพายัพ ( ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ )

    อุตตระ อนุทิสายะ ( ในทิศอิสาน ( ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ )

    ทักขิณายะ อนุทิสายะ ( ในทิศหรดี ( ตะวันตกเฉียงใต้ )

    เหฎฐิมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องล่าง )

    อุปาริมายะ ทิสายะ ( ในทิศเบื้องบน )

    สัพเพ สัตตา ( ขอสัตว์ทั้งหลาย )

    สัพเพ ปาณา ( ขอสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย )

    สัพเพ ภูตา ( ขอภูติทั้งหลาย )

    สัพเพ ปุคคะลา ( ขอบุคคลทั้งหลาย )

    สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา ( ขอผู้มีอัตภาพทั้งหลาย )

    สัพพา อิตถีโย ( ขอสตรีทั้งหลาย )

    สัพเพ ปุริสา ( ขอบุรุษทั้งหลาย )

    สัพเพ อริยา ( ขอพระอริยเจ้าทั้งหลาย )

    สัพเพ อนริยา ( ขอผู้ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย )

    สัพเพ เทวา ( ขอเทวา ทั้งหลาย )

    สัพเพ มนุสสา ( ขอมนุษย์ทั้งหลาย )

    สัพเพ วินิปาติกา ( ขอสัตว์วินิปาติกะทั้งหลาย )

    อะเวรา โหนตุ ( อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย )

    อัพยาปัชฌา โหนตุ ( อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย )

    อะนีฆา โหนตุ ( อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย )

    สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ ( จงมีความสุข บริหารตนให้พ้นจากทกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ )

    ทุกขา มุจจันตุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายจงปราศจากความทุกข์ )

    ยถา ลัทธา สัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ( จงอย่าพลัดพรากจากสมบัติที่ได้มา )

    กัมมัสสะกา ( ตนย่อมเป็นเจ้าของกรรมนั้น )

    อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( และสัตว์ที่อยู่สูงขึ้นไปจนถึงภวัคคภูมิ )

    อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรก )

    สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล )

    เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี )

    อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงปราศจากการพยาบาทเบียดเบียน )

    นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ และอุปัทวันตราย )

    อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ที่อยูสูงขึ้นไปถึงภวัคคภูมิ )

    อโธ ยาวะ อวิจจิโต ( และสัตว์อยู่เบื้องล่างในอเวจีมหานรก )

    สมันตา จักกะวาเลสุ ( สัตว์ทั้งหลายในจักรวาล )

    เย สัตตา อุทักเขจารา ( ขอสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในน้ำ )

    อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย )

    นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย )

    อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ ( ขอสัตว์ในโลกธาตุอื่น ที่อยูเบื้องบนคือภวัคคภูมิลงมา )

    อโธ ยาวะ อวิจิโต ( ตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นไป )

    สมันตา จักกะวาเฬสุ ( ขอสัตว์ทั้งหลายในจักรวาลโดยรอบๆ )

    เย สัตตา ปถวิจารา ( ไม่ว่าสัตว์ใดที่อุบัติบนพื้นปฐพี )

    อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ ( ขอจงอย่าได้เบียดเบียนใครเลย อย่าได้มีเวรกับใครเลย )

    นิทุกขา จะ นุปัททวา ( ปราศจากทุกข์ ปราศจากอุปัทวันตราย ทั้งสิ้นเทอญฯ )

    http://www.mindcyber.com/home/index.php?news=404
     
  2. chanin

    chanin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,331
  3. 0..0

    0..0 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +779

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Metta.mp3
      ขนาดไฟล์:
      4.2 MB
      เปิดดู:
      4,796
  4. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,068
    ค่าพลัง:
    +7,066
    ขออนุญาตนำไปสวดเลยนะคะ อิอิ โมทนาไม่มีประมาณเช่นกันค่า
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE class=tborder id=post915752 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] 14-01-2008, 05:26 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ฐาณัฏฐ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_915752", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:55 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2008
    ข้อความ: 1,242 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 315 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,583 ครั้ง ใน 1,032 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 404 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_915752 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->" เมตตา แผ่ให้ได้ผล "
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย
    เรื่อง "วิธีทำบุญให้ได้ผลที่สุด" (ตอนที่ ๕ การแผ่เมตตา)
    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์

    ข้อปฏิบัติประการหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ของผู้ที่ปฏิบัติธรรม หลังจากการสวดมนต์ภาวนา และปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้ว คือ "การสวดแผ่เมตตา" ซึ่งมีบทสวดเป็นภาษาบาลีที่อ่านเป็นไทยได้ว่า "สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ" แปลเป็นไทยได้ว่า "สัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น จงอย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด จงอย่าพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอย่ามีความลำบาก จงอย่ามีความเดือดร้อน จงอย่ามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย"

    การสวดแผ่เมตตานี้เป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่งจัดอยู่ในประเภท "การทำทาน" ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๒ และเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้เจตสิกของท่านผู้นั้นได้รับการฝึกและพัฒนาเกิดเป็น "อัปปมัญญาเจตสิก" ที่เฝ้าคอยกระตุ้นจิตให้ระลึก มีอารมณ์มีความสงสารเห็นใจผู้ที่กำลังได้รับทุกข์เวทนา มีความอยากที่จะช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ หรือ กำลังจะได้รับ ไม่นิ่งดูดายต่อทุกข์ของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เขาได้รับทุกข์กาย ทุกข์ใจ อยู่เป็นประจำ "อัปปมัญญาเจตสิก" นี้เป็นเจตสิกหนึ่งในกลุ่ม "โสภณเจตสิก" ซึ่งเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลที่คอยกระตุ้นให้จิตเป็นกุศลระลึกแนบแน่นอยู่กับความดีงาม ปราศจากความเร่าร้อน ตั้งอยู่ในศีลธรรม เว้นจากการกระทำบาป ทุจริตต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถประหาร "โลภเจตสิก" ที่คอยกระตุ้นให้จิตมีตัณหาอารมณ์มีความกระหายทะเยอทะยาน อยากได้อยากเป็น ได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้เกิดกุศลเจตนาขึ้น ตั้งใจประกอบแต่กุศลกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว

    คำว่า "เมตตา" หมายถึง ไมตรี ความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ความใส่ใจ หรือต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง

    การแสดงความเมตตา หรือ การแผ่เมตตานี้ เป็นธรรมชาติ หรือคุณสมบัติพื้นฐานของจิตมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนที่เป็นโรคทางจิต คลุ้มคลั่งจนไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตนได้ หรือ มีจิตโหดเหี้ยมที่สุดจนไม่อาจจะสมมุตินามของผู้นั้นได้ว่า เป็นมนุษย์ จะต้องมีการแสดงความเมตตาออกทางจิตอยู่เป็นประจำ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกิเลสสันดานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เจ้าตัวมิได้สังเกตจดจำไว้เท่านั้น อาทิ วันไหนที่มีอารมณ์ดี เจ้าตัวจะยินดีพอใจที่จะกล่าวทักทายปราศรัยกับเพื่อนบ้าน หยอกล้อกับสัตว์เลี้ยงมากเป็นพิเศษ หรือ บางครั้ง ขับรถจะไปทำงาน เปิดวิทยุในรถรับฟังสถานีวิทยุกระจายเสียง จส.๑๐๐ หรือ สวพ.๙๑ ได้ทราบข่าว รถบัสแสวงบุญประสบอุบัติเหตุตกเหวระหว่างเดินทาง มีผู้โดยสารบาดเจ็บ ล้มตายเป็นเรือนร้อย "อัปปมัญญาเจตสิก" ก็จะกระตุ้นให้จิตเกิดความรู้สึกสลดใจ สมเพช สงสารในทุกข์เวทนาของบุคคลเหล่านั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

    ธรรมชาติของจิตในเรื่องความเมตตานี้ หากกล่าวในเชิงอุปมา ก็เปรียบได้กับต้นไม้ผล หรือต้นไม้ดอก ซึ่งต่อไปจะเรียกวา "ต้นเมตตา" ที่ได้เจริญเติบโตขึ้นมาโดยธรรมชาติ ปราศจากเจ้าของที่หมั่นเฝ้าดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ย รดน้ำ เมื่อถึงฤดูกาล ต้นเมตตาก็จะให้ผล หรือให้ดอก ผลิบานสุกงอม แล้วก็ร่วงหล่นลงดินเป็นอาหารของนก กา กระรอก หรือสัตว์อื่นๆ โดยที่ มิได้บังเกิดประโยชน์แก่เจ้าของต้นเมตตานั้นแต่อย่างใด เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ผลผลิตจากต้นเมตตาไม่ว่าจะเป็นดอก หรือผลนี้ ย่อมจะไม่สมบูรณ์ได้ทัดเทียมกับต้นเมตตาที่เจ้าของเอาใจใส่ หมั่นดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ย รดน้ำ อยู่เป็นประจำ เมื่อใดก็ตาม ที่เจ้าของได้เอาใจใส่รดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ต้นเมตตานั้นย่อมจะเจริญเติบใหญ่ มีลำต้นอวบใหญ่แข็งแรง มีรากแก้วงอกยาวฝังลึกลงไปในดิน ยึดแน่นจนยากที่จะโค่นล้มได้ ดอก หรือผลของต้นเมตตาก็จะมีขนาดใหญ่ มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี หรือ รส จัดเป็นผลผลิตที่อำนวยประโยชน์ให้แก่เจ้าของได้อย่างแท้จริง

    จึงกล่าวได้ว่า "เมตตา" นี้เป็นหลักธรรมประจำใจของแต่ละบุคคล และเป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน หรือ ที่เรียกว่า "สารณียธรรม" ซึ่งสามารถแสดงออกได้ทั้งทางกาย คือ "เมตตากายกรรม" ได้แก่ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อเห็นคนยืนตากแดดรอจะข้ามถนน เราหยุดรถให้เขาข้ามถนน การแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน เช่น เมื่อมีคนหยุดรถให้เราข้ามถนน เราแสดงกิริยาขอบคุณ เคารพในน้ำใจดีของเขาด้วยการน้อมศีรษะ ส่งยิ้มให้ เป็นต้น ทางวาจา คือ "เมตตาวจีกรรม" ได้แก่ การมีวาจาที่อ่อนหวานสุภาพ สอบถามสารทุกข์สุกดิบ บอกแจ้งแนะนำ กล่าวคำตักเตือนด้วยความหวังดี และจริงใจ และทางความคิดต่อกัน คือ "เมตตามโนกรรม" ได้แก่ การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสาร มีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำประโยชน์ให้มีความสุข

    เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ย่อมเป็นการยืนยันว่า การแสดงความเมตตาไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจา หรือ ทางใจนั้น มิใช่เป็นข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากลำบากเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตของมนุษย์อยู่แล้ว เพียงแต่เราให้ความสนใจหมั่นทำนุบำรุง ฝึกฝน บริหาร เฝ้ากระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกว่า จะต้องถือปฏิบัติเป็นกิจประจำวันเพื่อให้เป็นนิสัยที่จะขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการ ตื่นนอนในตอนเช้า จะต้องเข้าห้องน้ำ ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ ฯลฯ "อัปปมัญญาเจตสิก" ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ยากที่จะลบล้างให้หมดสิ้นไป เช่นเดียวกับการตอกตะปูลงไปในเนื้อไม้ ตอกวันแรก ตะปูจะฝังลงไปในเนื้อไม้เพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นการยากที่จะถอนดึงตะปูนั้นออก ต่อมาในวันรุ่งขึ้น และวันถัดไป เมื่อเราตอกซ้ำเป็นประจำทุกๆ วัน ตะปูจะฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ทุกที จนกระทั่ง ไม่สามารถถอนดึงเอาออกได้โดยกรรมวิธีธรรมดา

    "เมตตา" เป็นส่วนหนึ่งของ "พรหมวิหาร ๔" ซึ่งประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมยึดมั่นถือปฏิบัติอยู่ในหลัก "พรหมวิหาร ๔" เป็นประจำ จึงถือได้ว่า จิตของผู้นั้นได้รับการพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยของพรหม เพราะคำว่า "วิหาร" แปลว่า "ที่อยู่อาศัย" คำว่า "พรหม" ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น มิได้หมายความถึง พระพรหมซึ่งเป็นเทพเจ้าชั้นสูงที่สำคัญยิ่งพระองค์หนึ่งตามหลักศาสนาฮินดูพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ที่สร้างโลก จึงได้มีการนิยมสร้างรูปปั้น รูปหล่อแทนพระองค์ของท่าน แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ตามสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อเคารพสักการะบูชาเป็นที่พึ่งทางใจ แต่มีความหมายว่า "ท่านผู้เป็นใหญ่" ท่านผู้เป็นใหญ่ในที่นี้ หมายถึง ผู้ประเสริฐ คือ ผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่ หรือ ยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรมความดีงาม

    ความหมายของคำว่า "พรหมวิหาร ๔" นี้ ตรงกับคำศัพท์บาลีว่า "อัปปมัญญา ๔" และคำว่า "อัปปมัญญาเจตสิก" ที่ปรากฏอยู่ในพระอภิธรรม ซึ่งผมได้กล่าวถึงข้างต้น ก็คือ "ธรรมชาติที่กระตุ้นให้จิตมีความรู้สึกเมตตา สงสาร เห็นใจ อยากจะช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ที่กำลังได้รับทุกข์อยู่ หรือที่จะได้รับทุกข์ในภายภาคหน้า ให้มีความสุขโดยทั่วถ้วนหน้า ความรู้สึกนี้สามารถแผ่กระจายไปถึงมนุษย์สัตว์ทั้งหลายทุกหนทุกแห่งอย่างสม่ำเสมอทั่วกัน ไม่มีประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต" การที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสมมุติบัญญัติคำว่า "พรหม" ขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อความหมายของสัจจธรรมที่เกี่ยวข้องไว้หลายประการ อาทิ พรหมจรรย์ พรหมกาย รูปพรหม อรูปพรหม นั้น แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์ที่จะทรง หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หรือสวนกระแสความเลื่อมใส เชื่อมั่นในลัทธิศาสนาดั้งเดิมที่มีอยู่ในท้องถิ่น การเสด็จจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศอินเดียเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงเป็นไปได้ด้วยดี

    การสวดแผ่เมตตาจึงเป็นการปฏิบัติในลักษณะ "เมตตามโนกรรม" ซึ่งจะบังเกิดเป็นอานิสงส์แก่ผู้ปฏิบัติดังที่ได้แสดงไว้ใน อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ดังนี้

    การมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าสร้างวิหารทานถวายสงฆ์

    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕ มีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย

    การที่มีจิตเจริญด้วยเมตตาแม้เพียงเวลาชั่วสูดของหอมมีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕

    อย่างไรก็ตาม หากการสวดแผ่เมตตา รวมทั้งการสวดมนต์ ไม่ว่า จะเป็นบทสวดมนต์ "อิติปิโส ภควา...." ซึ่งเป็นบทสวดมนต์ที่พุทธศาสนิกชนทุกท่านรู้จักดีเพราะต้องสวดบทนี้กันมาตั้งแต่เริ่มเรียนหนังสือ หรือจะเป็นบทสวดพระคาถา "ชินปัญชร" ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และการสวดพระคาถาของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ เป็นการสวดในลักษณะท่องจำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ย่อมจะไม่บังเกิดประโยชน์ ไม่บังเกิดความขลังตามที่ผู้สวดได้ตั้งจิตปรารถนาไว้ เว้นแต่ว่า ในระหว่างที่ทำการสวดภาวนานั้น ผู้สวดได้ตั้งสติกระตุ้นให้จิตเกาะติด หรือน้อมดิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว คือ มีความเมตตาระลึกไปถึงผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ โดยไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง แม้แต่ผู้ที่เคยเป็นศัตรู ผู้ที่เคยอิจฉาริษยา หรือมีเจตนาร้ายอื่นๆ แก่เรา ที่กำลังประสบความทุกข์เวทนาอยู่ เช่น ผู้ที่ต้องมีส่วนร่วมได้รับเคราะห์กรรมจากวิกฤติปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ ต้องแปรสภาพจากจากผู้ที่เคยมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีเงินเดือน มีรายได้ฐานะดี มาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง คนขายของข้างถนน แล้วตั้งอธิษฐานจิตขอให้เขาเหล่านั้นพ้นทุกข์ หรือผ่อนบรรเทาทุกข์ กลับมามีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

    การบริกรรมภาวนานี้ จึงน้อมนำให้จิตเข้าไปสู่ภาวะให้พุ่งดิ่งเข้าสู่สิ่งที่ศรัทธาเลื่อมใส เชื่อถือ นิยมชื่นชอบ และด้วยแรงศรัทธานี้เองจะเพิ่มพลังให้จิตพุ่งแล่นไปในทางเดียวด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็งมั่นคงและมั่นใจ เปี่ยมล้นด้วยความเพียร มีความปิติปราโมทย์ แล้วตามมาด้วยความสงบนิ่งบังเกิดเป็นสมาธิขึ้น อานิสงส์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจึงจะเกิดขึ้น และเมื่อได้ถือปฏิบัติในลักษณะนี้เป็นประจำ จนเป็นนิสัย เจตสิกของผู้ปฏิบัติย่อมได้รับการบริหาร ได้รับการพัฒนาเป็นโสภณเจตสิกที่คอยเฝ้ากระตุ้นเตือนจิตให้ใฝ่แต่กุศลอยู่อย่างสม่ำเสมอ มีความมั่นคง ไม่เสื่อมถอยให้อกุศลเจตสิกฉวยโอกาสเข้ามาแทรกแซงได้ ดังเช่นข้ออุปมาเรื่องการตอกตะปูลงในเนื้อไม้ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น และบังเกิดผลเป็นบารมีที่เรียกว่า ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะได้ทรงปฏิสนธิมาเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะ แล้วได้ตรัสรู้ในที่สุด

    เรียบเรียง ณ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๑

    *********************

    เอกสารอ้างอิง
    ๑. หนังสือ "พุทธธรรม", พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุต.โต) มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    ๒. "เจตสิกปรมัตถ์", ขุนสรรพกิจโกศล (โกวิท ปัทมะสุคนธ์), มูลนิธิปริญญาธรรม

    ที่มาตามลิ้งค์.....
    http://www.dabos.or.th/tm5.html

    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE class=tborder id=post915978 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 14-01-2008, 09:27 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #3 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ฐาณัฏฐ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_915978", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 03:55 PM
    วันที่สมัคร: Jan 2008
    ข้อความ: 1,242 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 315 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 3,583 ครั้ง ใน 1,032 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 404 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_915978 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->วันนี้คุณแผ่เมตตารึยัง....

    อานิสงค์การแผ่เมตตา
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน เมตตานิสังสสูตร ว่าผู้ที่เจริญเมตตาอยู่เป็นนิจจะได้รับอานิสงค์ ๑๑ ประการ คือ
    1. จะหลับอยู่ก็เป็นสุข
    2. จะตื่นอยู่ก็เป็นสุข
    3. จะไม่ฝันร้ายและลามก
    4. เป็นที่รักใคร่ของหมู่มนุษย์
    5. เป็นที่รักใคร่ของอมนุษย์ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
    6. เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา
    7. ย่อมล่วงพ้นจากไฟ ยาพิษ ศัสตราวุธและภยันตรายทั้งปวง
    8. ทำให้จิตตั้งมั่นเจริญสมาธิได้รวดเร็ว
    9. หน้าตาอิ่มเอิบจิตใจเบิกบาน ผิวพรรณผ่องใส
    10. ทำให้มีสติมั่นคงไม่หลงใหลในเวลาจะสิ้นใจ
    11. เมื่อสิ้นชีวิตแล้วแม้จะเกิดอีกก็เกิดในที่ดี มีสวรรค์ หรือพรหมโลก เป็นต้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. L.sooksun.E

    L.sooksun.E Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +50
    มาแผ่เมตตากันเถอะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...