พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.komchadluek.net/2007/10/05/s001_158931.php?news_id=158931


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>รู้ทันกฎหมาย-นินทากาเล</TD></TR><TR><TD vAlign=top>3 ตุลาคม 2550 18:31 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] "ประเภทที่เธอว่ามาฉันก็ด่ากลับไป สาดความเลวร้ายของอีกฝ่ายใส่กันผ่านหูบุคคลที่สามเมื่อไร ก็อาจกลายเป็นว่าหมิ่นประมาทด้วยกันทั้งสองฝ่าย รับข้อหาไปพร้อมหน้าพร้อมตา"
    เขาว่าปากพาไปให้อับจนได้คนเราพูดได้พูดไป ห้ามกันไม่ค่อยจะได้ ยิ่งพูดเรื่องที่ไม่ดีทั้งหลายของคนอื่นยิ่งลื่นไหล คนรับฟังก็ไม่รู้เป็นอย่างไร รู้แล้วก็อยากเผยแพร่ต่อไปให้ทราบทั่วๆ กัน

    การนำเรื่องของคนอื่นมาพูดเรียกแบบลูกทุ่งว่า นินทา อย่าคิดว่ามันไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหินอย่างที่มีสุภาษิตคิดกันขึ้นมา เพราะว่ามันช้ำทั้งคนพูดและคนที่ถูกพูดถึงเลยทีเดียว
    เรื่องคนอื่นที่ดีๆไม่ค่อยมีใครต่อว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายเรื่องลับก็ตรงกันข้าม
    การนินทาแปลว่าคนที่ถูกกล่าวถึงไม่รู้แต่ความลับไม่มีในโลก เกิดดวงตก มีคนนำไปบอกให้ทราบเมื่อไร เขาเอาเรื่องทางอาญาได้ในข้อหา หมิ่นประมาท
    ต่อให้ยังไม่เกิดความเสียหายอะไรแค่พูดไป คนอาจไม่เชื่อก็ได้ ก็อย่าได้ใจ เพราะเพียงแค่ "น่าจะ" เกิดความเสียหาย ก็เอาเรื่องกันได้แล้วเมื่อคิดว่าฟังแล้วคนอาจไม่เชื่อได้ ก็มีความหมายว่าอาจมีคนเชื่อได้เหมือนกัน
    คนที่เสียหายก็ไม่ใช่แค่คนที่กล่าวถึงหากไปพาดพิงหรือเกี่ยวกับใครในเรื่องที่นินทาไว้ แล้วน่าจะเกิดความเสียหายกับเขาได้ คนนั้นก็เป็น โจทก์เล่นงานคนพูดได้เหมือนกัน
    เรื่องนินทาไม่จำกัดว่าพูดถึงใครแม้กระทั่งหมายถึงคนที่ตายไปแล้วก็ตามที เช่น หาว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะหนีความผิดที่ไปเป็นชู้กับภรรยาคนอื่น แบบนี้มีเสียหาย
    แม้คนตายจะไม่ได้ยินหรือรับรู้แต่คนที่อยู่ก็อาจเสียหายได้ไม่ว่าจะเป็นสามีของหญิงที่เป็นชู้กับคนตายหรือภรรยาของคนที่ฆ่าตัวตาย หรือลูกๆ ของคนตาย ก็กลายเป็นผู้เสียหายกันถ้วนหน้า
    จะพูดจะจาจึงต้องระวังคำเอาไว้ต่อให้บอกว่าไม่ได้นินทา แต่ปากพล่อยปล่อยให้ปากพ่นถ้อยคำที่ทำให้คนอื่นเขาเสียหาย ก็จะได้ตำแหน่ง จำเลยไปเต็มๆ
    ประเภทที่เธอว่ามาฉันก็ด่ากลับไปสาดความเลวร้ายของอีกฝ่ายใส่กันผ่านหู บุคคลที่สามเมื่อไรก็อาจกลายเป็นว่าหมิ่นประมาทด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายรับข้อหาไปพร้อมหน้าพร้อมตา
    แบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือทีวีที่มีนักข่าวเป็นตัวเดินเรื่อง เที่ยวไปถามทางโน้นที ทางนี้ที จนมีน้ำโหจากแต่ละฝ่าย มักจะระบาดในหมู่นักการเมืองหรือข้าราชการเป็นส่วนใหญ่
    พอทราบว่าเขาว่ามาก็บรรจงด่าว่ากลับไป ประชดประชันแดกดันผ่านหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์หรือจอทีวีจนคนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ฟังกันหูกระจายและกลายเป็นเรื่องขบขันและเมามันเหมือนดูหนังน้ำเน่า
    การต่อปากต่อคำเถียงกันไม่เลิกราอาจไม่เป็นการหมิ่นประมาท แต่เป็น การปกป้องสิทธิที่ถูกกล่าวหาแบบนี้กฎหมายไม่ว่าอะไรเพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เขาเสียหาย แต่เป็นการปกป้องตัวเองไม่ให้เสียหายต่างหาก
    การนินทากาเลเป็นเรื่องของการอดใจไม่ไหวต่อให้ว่ากันต่อหน้า แต่ถ้ามีคนที่สามอยู่ด้วยเมื่อไร ก็กลายเป็นหมิ่นประมาทได้ พูดไปมันอาจสะใจ แต่ก็เป็นการชั่วคราว ผลระยะยาวมันหนักหนาเกินกว่าจะปล่อยให้ปากพาจน
    คนเราพูดกันบ้างก็จะปรับความเข้าใจได้แต่ถ้าพูดไปแล้วเสียหาย นิ่งไว้ได้คุณค่าถึงตำลึงทอง และรักษาความปรองดองไว้ได้ พยายามเข้าไว้เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยกำลังขาดแคลน


    -->
    "ประเภทที่เธอว่ามาฉันก็ด่ากลับไป สาดความเลวร้ายของอีกฝ่ายใส่กันผ่านหูบุคคลที่สามเมื่อไร ก็อาจกลายเป็นว่าหมิ่นประมาทด้วยกันทั้งสองฝ่าย รับข้อหาไปพร้อมหน้าพร้อมตา"
    เขาว่าปากพาไปให้อับจนได้คนเราพูดได้พูดไป ห้ามกันไม่ค่อยจะได้ ยิ่งพูดเรื่องที่ไม่ดีทั้งหลายของคนอื่นยิ่งลื่นไหล คนรับฟังก็ไม่รู้เป็นอย่างไร รู้แล้วก็อยากเผยแพร่ต่อไปให้ทราบทั่วๆ กัน
    การนำเรื่องของคนอื่นมาพูดเรียกแบบลูกทุ่งว่า นินทา อย่าคิดว่ามันไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหินอย่างที่มีสุภาษิตคิดกันขึ้นมา เพราะว่ามันช้ำทั้งคนพูดและคนที่ถูกพูดถึงเลยทีเดียว
    เรื่องคนอื่นที่ดีๆไม่ค่อยมีใครต่อว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายเรื่องลับก็ตรงกันข้าม
    การนินทาแปลว่าคนที่ถูกกล่าวถึงไม่รู้แต่ความลับไม่มีในโลก เกิดดวงตก มีคนนำไปบอกให้ทราบเมื่อไร เขาเอาเรื่องทางอาญาได้ในข้อหา หมิ่นประมาท
    ต่อให้ยังไม่เกิดความเสียหายอะไรแค่พูดไป คนอาจไม่เชื่อก็ได้ ก็อย่าได้ใจ เพราะเพียงแค่ "น่าจะ" เกิดความเสียหาย ก็เอาเรื่องกันได้แล้วเมื่อคิดว่าฟังแล้วคนอาจไม่เชื่อได้ ก็มีความหมายว่าอาจมีคนเชื่อได้เหมือนกัน
    คนที่เสียหายก็ไม่ใช่แค่คนที่กล่าวถึงหากไปพาดพิงหรือเกี่ยวกับใครในเรื่องที่นินทาไว้ แล้วน่าจะเกิดความเสียหายกับเขาได้ คนนั้นก็เป็น โจทก์เล่นงานคนพูดได้เหมือนกัน
    เรื่องนินทาไม่จำกัดว่าพูดถึงใครแม้กระทั่งหมายถึงคนที่ตายไปแล้วก็ตามที เช่น หาว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะหนีความผิดที่ไปเป็นชู้กับภรรยาคนอื่น แบบนี้มีเสียหาย
    แม้คนตายจะไม่ได้ยินหรือรับรู้แต่คนที่อยู่ก็อาจเสียหายได้ไม่ว่าจะเป็นสามีของหญิงที่เป็นชู้กับคนตายหรือภรรยาของคนที่ฆ่าตัวตาย หรือลูกๆ ของคนตาย ก็กลายเป็นผู้เสียหายกันถ้วนหน้า
    จะพูดจะจาจึงต้องระวังคำเอาไว้ต่อให้บอกว่าไม่ได้นินทา แต่ปากพล่อยปล่อยให้ปากพ่นถ้อยคำที่ทำให้คนอื่นเขาเสียหาย ก็จะได้ตำแหน่ง จำเลยไปเต็มๆ
    ประเภทที่เธอว่ามาฉันก็ด่ากลับไปสาดความเลวร้ายของอีกฝ่ายใส่กันผ่านหู บุคคลที่สามเมื่อไรก็อาจกลายเป็นว่าหมิ่นประมาทด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายรับข้อหาไปพร้อมหน้าพร้อมตา
    แบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือทีวีที่มีนักข่าวเป็นตัวเดินเรื่อง เที่ยวไปถามทางโน้นที ทางนี้ที จนมีน้ำโหจากแต่ละฝ่าย มักจะระบาดในหมู่นักการเมืองหรือข้าราชการเป็นส่วนใหญ่
    พอทราบว่าเขาว่ามาก็บรรจงด่าว่ากลับไป ประชดประชันแดกดันผ่านหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์หรือจอทีวีจนคนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ฟังกันหูกระจายและกลายเป็นเรื่องขบขันและเมามันเหมือนดูหนังน้ำเน่า
    การต่อปากต่อคำเถียงกันไม่เลิกราอาจไม่เป็นการหมิ่นประมาท แต่เป็น การปกป้องสิทธิที่ถูกกล่าวหาแบบนี้กฎหมายไม่ว่าอะไรเพราะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เขาเสียหาย แต่เป็นการปกป้องตัวเองไม่ให้เสียหายต่างหาก การนินทากาเลเป็นเรื่องของการอดใจไม่ไหวต่อให้ว่ากันต่อหน้า แต่ถ้ามีคนที่สามอยู่ด้วยเมื่อไร ก็กลายเป็นหมิ่นประมาทได้ พูดไปมันอาจสะใจ แต่ก็เป็นการชั่วคราว ผลระยะยาวมันหนักหนาเกินกว่าจะปล่อยให้ปากพาจน คนเราพูดกันบ้างก็จะปรับความเข้าใจได้แต่ถ้าพูดไปแล้วเสียหาย นิ่งไว้ได้คุณค่าถึงตำลึงทอง และรักษาความปรองดองไว้ได้ พยายามเข้าไว้เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยกำลังขาดแคลน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [FONT=&quot]คำที่ปู่เคยบอก อย่าไปยึดติด.. รู้แล้วก็วางซะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    มีคนเคยถามผมและผมได้ไปถามปู่ว่าทำไมพระพิมพ์พุทธประวัติการวางตำแหน่งของ
    ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ทำไมไม่วนขวาครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]และปู่ก็บอกว่าอาจจะอยู่ที่ตอนแกะพิมพ์
    และก็ยิ้มแล้วบอกว่ามันไม่มีอะไรหรอกมันเป็นสิ่งสมมุติ อย่าไปยึดติด
    แต่ปู่ก็บอกว่ามันก็จริงอย่างที่เค้าว่ามานะ :)

    ใครพอจะทราบไหมครับ...

    [/FONT] (((ข้อความอาจไม่ถูกต้องเหมือนกับถอดเทปมาโดยตรงแต่จำได้ประมาณนี้นะครับ)))

    [​IMG]


    มีหนังสือชื่อ “แก่นพุทธศาสน์” โดย [FONT=&quot]หลวงปู่พุทธทาสภิกขุ[/FONT][FONT=&quot]ุุุุ
    ุ[/FONT]

    หนังสือของ
    [FONT=&quot]หลวงปู่พุทธทาส[/FONT]เล่มนี้ ได้รับรางวัล UNESCO แห่งสหประชาชาติด้วย ณ ที่นี้ก็ขออนุญาตยกมาส่วนหนึ่งดังข้างล่างนี้
    ******************************************
    สิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น อาตมาอยากจะแนะถึงประโยคสั้นๆที่มีกล่าวอยู่ว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ยึดมั่นถือมั่น”.
    เรื่องมันมีอยู่ในพระบาลี มัชฌิมนิกายว่า คราวหนึ่งมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าโดยทูลว่า พระพุทธวจนะทั้งหมดที่ตรัส
    ถ้าจะสรุปให้สั้นเพียงประโยคเดียวได้หรือไม่จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่าได้. พระองค์ตรัสว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ”


    สัพเพ ธัมมา แปลว่า สิ่งทั้งปวง,
    นาลัง แปลว่า ไม่ควร,
    อภินิเวสายะ-เพื่อจะยึดมั่นถือมั่น


    สิ่งทั้งปวงไม่ควรไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วพระองค์ก็ย้ำไปอีกทีหนึ่งว่า ถ้าใครได้ฟังข้อความข้อนี้ก็คือได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา, ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา, ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติในข้อนี้ก็คือได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
    ***********************************************
    http://www.budpage.com/budboard/show_content.pl?b=1&t=2252

    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2007
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พุทธศาสนาคืออะไร ?

    พุทธศาสนาคืออะไร ?


    [FONT=&quot]"พุทธศาสนา คือ วิชารวมทั้งระเบียบปฏิบัติ สำหรับจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร"
    [/FONT][FONT=&quot]พุทธทาสภิกขุ

    http://www.rakbankerd.com/02_spiritual/buddha_human1.html
    [/FONT]

    [b-wai][b-wai][b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2007
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ลองพิจารณาพระองค์นี้ดูบ้าง....

    "พระธรรมจักร" รวมสุดยอดมวลสารสายกรรมฐาน

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สร้างโดย คุณหญิงสุรีย์พันธ์ มณีวัตร และคณะศรัทธา<O:p
    </O:pจำลองแบบมาจาก พระพุทธรูปปางโปรดปัญจวัคคีย์ <O:p</O:p
    ที่ขุดพบ ณ เมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย<O:p</O:p
    ด้านหลังเป็นเป็นรูปเจดีย์ทั้งสาม<O:p</O:p
    แสดงถึงวาระแห่งการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน <O:p</O:p
    วัตถุประสงค์การสร้างเพื่อแจกในงานกฐิน-ผ้าป่าสามัคคี <O:p</O:p
    ณ วัดป่าในสายท่านอาจารย์มั่น ภูริฑัตโต วันที่ 11-14 พฤศจิกายน 2520 <O:p</O:p

    กฐิน <O:p</O:p
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.บึงกาฬ หนองคาย <O:p</O:p

    ผ้าป่า <O:p</O:p
    วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู อุดรธานี ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย <O:p</O:p
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย ท่านอาจารย์เทสก์ เทศน์รังสี <O:p</O:p
    วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง อุดรธานี ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน <O:p</O:p
    วัดป่านิโครธาราม อ.หนองบัวลำภู ท่านอาจารย์อ่อน ญาณศิริ <O:p</O:p
    วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.สว่างแดนดิน สกลนคร ท่านอาจารย์วัน อุตตโม <O:p</O:p
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม สกลนคร <O:p</O:p
    สมทบทุนสร้างโรงพยาบาล ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร <O:p</O:p
    วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน สกลนคร ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในการนี้ ท่านอาจารย์วัน อุตตโม กรุณามอบดินจากสังเวชนียสถาน 4 แห่ง<O:p</O:p
    และดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆในประเทศอินเดีย รวมทั้งวัสดุมงคลต่างๆ <O:p</O:p
    ที่ท่านได้รวบรวมไว้เพื่อใช้ในการสร้างพระครั้งนี้ ประกอบด้วย <O:p</O:p

    1. ดิน ณ สังเวชนียสถานทั้ง 4 <O:p</O:p

    2. ใบโพธิ์ ณ ที่ประสูติ ตรัสรู้ <O:p</O:p
    ใบสาละ ที่ปรินิพพาน กุสินารา <O:p</O:p
    ใบโพธิ์ที่หลังคันธกุฏิ <O:p</O:p
    และใบโพธิ์พระอานนท์ ณ เชตวันมหาวิหาร <O:p</O:p

    3. เส้นเกศาพระอาจารย์ <O:p</O:p
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , หลวงปู่ขาว อนาลโย <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์เทสก์ เทศน์รังสี , ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณศิริ , ท่านอาจารย์ชอบ ฐานสโม <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์หลุย จันทสาโร , ท่านอาจารย์คำดี ปภาโส <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์วัน อุตตโม , ท่านอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร <O:p</O:p

    4. ดอกไม้ ผงธูป ทองคำเปลว <O:p</O:p
    พระธาตุนครศรีธรรมราช , พระธาตุไชยา <O:p</O:p
    พระธาตุพนม , พระธาตุเชิงชุม <O:p</O:p
    พระร่วงโรจนฤทธิ , วัดพนัญเชิง <O:p</O:p
    วัดมงคลบพิตร , วัดบวรนิเวศวิหาร , วัดราชบพิตร <O:p</O:p
    ที่บูชาพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดราชสิทธาราม <O:p</O:p
    ที่บูชาพระรูป สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตาราม <O:p</O:p

    5. ดอกไม้ ผงธูป ที่บูชาพระ สมเด็จญาณสังวร <O:p</O:p
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์เทสก์ เทศน์รังสี , ท่านอาจารย์อ่อน ญาณศิริ <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์หลุย จันทสาโร , ท่านอาจารย์คำดี ปภาโส <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์วัน อุตตโม , ท่านอาจรย์จวน กุลเชฏโฐ <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร , ท่านอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล <O:p</O:p

    6. ชานหมาก ข้าวก้นบาตร ก้นบุหรี่ <O:p</O:p
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ , ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณศิริ , ท่านอาจารย์หลุย จันทสาโร <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์วัน อุตตโม , ท่านอาจรย์จวน กุลเชฏโฐ <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร <O:p</O:p

    7. พระชำรุดที่นำมาบดเป็นผงมงคล <O:p</O:p
    พระพุทธรูป อายุ 1000 กว่าปี ที่ธุดงค์ไปพบในถ้ำแถบ ภูสิงห์ ภูวัว <O:p</O:p
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี <O:p</O:p
    พระพิมพ์ดินเผาสุโขทัย , พระผงงิ้วดำ <O:p</O:p
    พระผงวัดสามปลื้มและพระพิมพ์วังหน้า <O:p</O:p

    8. วัสดุมงคลอื่นๆ <O:p</O:p
    โคตรเหล็กไหล , ขี้เหล็กไหลที่ถ้ำบูชาภูวัว <O:p</O:p
    เขี้ยวช้าง , เขากวางหด , แก่นจันทร์หอม ที่ถ้ำจันทร์ และภูทอง <O:p</O:p
    ไม้ขามที่ถ้ำขามของท่านอาจารย์ฝั้น <O:p</O:p
    กระเบื้องไม้หลังคากุฏิท่านอาจารย์ท่านอาจารย์ขาว <O:p</O:p
    กระเบื้องหลังคาโบสถ์วัดบวรนิเวศวิหาร <O:p</O:p
    กระเบื้องหลังคาโบสถ์วัดราชบพิธ <O:p</O:p
    หินสีชมพูที่ภูทอก , ไม้กลายเป็นหินที่ท่านอาจารย์ฝั้นสกัดให้ด้วยองค์เอง <O:p</O:p
    ข้าวตอกพระร่วง , ข้าวสารดำสามพันปี <O:p</O:p

    วัสดุเหล่านี้เป็นของมงคลตามธรรมชาติล้วน ๆ<O:p</O:p
    ทางคณะผู้สร้างเจตนาจะให้เป็นวัตถุมงคลที่มีความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง<O:p</O:p
    จึงมิได้เติมสิ่งใดลงไปอีก โดยเฉพาะบรรดาสารสังเคราะห์ต่าง ๆ<O:p</O:p
    นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ครูบาอาจารย์หลายท่าน <O:p</O:p
    ต่างก็เต็มใจที่จะมอบเส้นเกษาและสิ่งมงคลอื่น ๆ ให้<O:p</O:p
    ทั้ง ๆ ที่บางท่านนั้น ไม่ค่อยจะยินยอมง่าย ๆ<O:p</O:p

    พระธรรมจักรเมื่อสร้างเป็นองค์พระแล้ว <O:p</O:p
    ได้นำไปถวายครูบาอาจารย์หลายรูปอธิษฐานจิต<O:p</O:p
    อาทิ ท่านอาจารย์ขาว อนาลโย ท่านอาจารย์เทสก์ เทศน์รังสี <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ<O:p</O:p
    ท่านอาจารย์วัน อุตตโม ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร <O:p</O:p
    ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ฯ<O:p</O:p
    จึงนับเป็นของดีทั้งภายนอกคือมวลสารที่ใช้สร้าง<O:p</O:p
    และดีภายในคือผู้อธิษฐานจิตล้วนเป็นผู้บรรลุธรรมชั้นสูง<O:p</O:p
    สมควรแก่การนำมาบูชาทุกประการ


    การวางภาพของพระรุ่นนี้ มีลักษณะวนขวาตามเข็มนาฬิกา (ซ้ายบน->ขวาบน->ล่าง) โดยจำลองสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานแทนภาพบุคคล<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE height=48 cellSpacing=4 cellPadding=0 width=350 background=../pics/bbtab.gif><TBODY><TR><TD vAlign=bottom> พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับสังเวชนียสถานทั้ง ๔ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD>ณ พระแท่นบรรทม หรือเตียงปรินิพพานนั้นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงปรารถเรื่องรา่วต่างๆ หลายเรื่องกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐากรวมทั้งเรื่อง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล จากในมหาปรินิพพานสูตร พอสรุปได้ดังนี้
    ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้ จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป
    เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ
    ๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจากพระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี
    ๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา
    ๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ)
    ๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา
    อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้
    ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล
    นี้เองเป็นที่มาของสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในดินแดนพุทธภูมิ ที่ชาวพุทธทั้งหลายสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนมัสการ กราบไหว้สักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE height=48 cellSpacing=4 cellPadding=0 width=350 background=../pics/bbtab.gif><TBODY><TR><TD vAlign=bottom> สังเวชนียสถานแห่งที่ ๑ สถานที่ประสูต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE width=175 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชปักไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังทราบว่าตรงจุดนี้ เป็นที่ที่พระบรมศาสดาออกจากพระครรภ์ของพระมารดา </TD></TR></TBODY></TABLE>สังเวชนียสถานแห่งที่ ๑ คือสถานที่ประสูติแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ปัจจุบันนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย และสถานที่ประสูตินี้ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนอินเดีย-เนปาลประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ปัจจุบันสังเวชนียสถานแห่งนี้ ภาษาทางราชการเรียกว่า "ลุมมินเด" แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังเรียกว่า "ลุมพินี"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE height=48 cellSpacing=4 cellPadding=0 width=350 background=../pics/bbtab.gif><TBODY><TR><TD vAlign=bottom> สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ สถานที่ตรัสรู้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE width=175 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>วิหารตรัสรู้ ที่ยังหลงเหลืออยู่สมบูรณ์ที่สุด </TD></TR></TBODY></TABLE>สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ คือสถานที่ตรัสรู้นี้ แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้น คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยา ขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา (ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร) รัฐพิหาร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่า ปาฎลีบุตร)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE height=48 cellSpacing=4 cellPadding=0 width=353 background=../pics/bbtab.gif><TBODY><TR><TD vAlign=bottom> สังเวชนียสถานแห่งที่ ๓ สถานที่แสดงปฐมเทศนา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE width=175 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>ธัมเมกขสถูป สถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถให้พระอรหันต์ ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก</TD></TR></TBODY></TABLE>สังเวชนียสถานแห่งที่ ๓ คือ สถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือสถานที่พระตถาคตเจ้าทรงยังพระอนุตรธัมจักให้เป็นไป สถานที่นี้อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาราณสีนี้อยู่ห่างจากเมืองพุทธคยา สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=560 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE height=48 cellSpacing=4 cellPadding=0 width=353 background=../pics/bbtab.gif><TBODY><TR><TD vAlign=bottom> สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE width=175 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>สถูปและวิหารปรินิพพานที่เมืองกุสินารา</TD></TR></TBODY></TABLE>สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ คือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุาทิเสสนิพพานธาตุดับไม่มีส่วนเหลือ คือทั้งกิเลส ทั้งเบญจขันธ์ดับหมด ตามปกติพระอรหันต์ทั่วไปๆไปจะนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกนั้นเป็นการดับกิเลส ส่วนเบญจขันธ์ยังอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพาน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่จิตเข้าสู่แดนพระนิพพานเท่านั้น เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์แล้ว ดังเช่นพระพุทธเจ้า นิพพานครั้งแรกนี้เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ส่วนนิพพานครั้งที่ ๒ ก็คือ อนุปาทิเสสนพิิาน ดังได้กล่าวแล้วนั้นเอง
    สถานที่นิพพานที่พุทธประวัติระบุว่า สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันมีสถูปและวิหารเป็นสัญลักษณ์ เป็นอุทยานที่ได้รับการรักษาจากทางการอินเดียเป็นอย่างดี มีต้นสาละและไม้อื่นปลูกอยู่ทั่วไป ให้ความร่มรื่นพอสมควร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR width=500 SIZE=1>
    <TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD>เรื่อง/ภาพ : จากหนังสือ สู่พุทธภูมิสมเด็จพ่อ รวบรวมโดย จิรวํโสภิกขุ </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เหตุผลที่ ๑ หากวิเคราะห์ตามการหมุน การวน ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องทิศทางนี่หากวนตามเข็มนาฬิกาจะหมายถึงอนาคต การวนเข็มนาฬิกาให้ความหมายถึงอดีต หรือการย้อนอดีต ภาพพระเครื่องพุทธประวัตินี้ หากวนในลักษณะของการวนขวาจะไม่ได้ความหมายอะไร ประสูติ ปรินิพพาน ตรัสรู้ มันแปลกๆ หากนำศาสตร์การวน หรือการหมุนนี้มาตอบคำถามนี้ น่าจะเข้าทางมากกว่าเป็นการระลึกถึงอดีตของพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ภาพพระพุทธเจ้าในพระเครื่องพุทธประวัติจึงชอบด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว

    ขอบคุณครับพี่เพชร ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว

    โมทนาสาธุ ครับ
    น้องโอ๊ต
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ดีครับ ต่างคนต่างมุมมองไม่มีผู้ใดผิดผู้ใดถูก ซึ่งอาจจะผิดทั้ง2เหตุผล หรือใช่ทั้ง2เหตุผลครับ สำหรับผมผมให้น้ำหนักกับเหตุผลในข้อ2 มากกว่าครับ เป็นแค่ความเห็นตัวผมเองครับ เหตุน่าจะมาจากการจัดวางพิมพ์เพื่อความสวยงามโดย ซ่อนปริศนาธรรมอยู่เบื้องหลังครับ
    nongnooo...
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พักผ่อนสมองสักนิด



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แฉเบื้องหลังตำนานบ้านผีสิงเมืองเฉินซี
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9500000117958
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>6 ตุลาคม 2550 05:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>บ้านผีสิงอันร่ำลือว่าเปลี่ยนเจ้าของ 4 ครั้ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ปลาแคชฟิชต้นเหตุของตำนานผีสิง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ปลาแคชฟิช</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>หนังสือพิมพ์สากล – มณฑลกว่างซี เมืองเฉินซี ร่ำลือกันว่ามีตึกผีสิงหลังหนึ่ง ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนเจ้าของทั้งสิ้น 4 ครั้ง เหตุจากเจ้าของหลอนจนต้องย้ายหนีออกไป ท้ายที่สุดจึงต้องยอมขาดทุนขายทอดออกไป ตั้งแต่ ปี 1996 ตึกผีสิงหลังนี้เดิมราคาอยู่ที่ 250,000 หยวน จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมาราคาลงมาที่ 50,000 หยวน ก็ยังไม่มีใครสนใจถามซื้อ

    ตึกหลังนี้มีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น ขณะที่เจ้าของคนใหม่ยังไม่ได้ย้ายเข้า แต่คนในละแวกดังกล่าวกลับเล่าว่า ตึกหลังนี้พอตกดุกก็จะมีเสียงประหลาดดังลอดออกมา ส่วนตอนกลางวันไม่มีใครคิดที่จะเดินผ่าน นอกจากนั้นยังมีข่าวลือว่า บรรดาคนที่มาอาศัยอยู่หรือคนที่เช่าเพื่อค้าขายต่างก็ล้มป่วยตามๆกัน จนสุดท้ายก็ไม่สามารถทำการค้าต่อไปได้

    จนกระทั่งวันหนึ่งมี 2 พี่น้องแซ่เฉินที่เข้ามาทำงานในเมืองซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พวกเขาจึงได้ลงทุนซื้อตึกหลังดังกล่าวมาในราคาไม่กี่หมื่นหยวน พร้อมกับเลือกวันฤกษ์ดีย้ายเข้าอยู่ และด้วยความที่ไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง ทั้งคู่จึงเริ่มต้นค้าหาต้นตอที่มาของเสียงประหลาด

    คืนแล้วคืนเล่าผ่านไป สองพี่น้องจดจ่อฟังเสียงอยู่ในบ้าน ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึง 5 มีเสียงประหลาดให้ได้ยิน จึงทำให้ทั้งคู่พบว่าเสียงที่เกิดขึ้นไม่ว่าชั้นบนหรือชั้นล่าง ล้วนมีที่มาจากจุดเดียวกัน เริ่มจากห้องน้ำชั้นที่ 1 มีเสียงประหลาดเสียงดังที่สุด

    ทั้งคู่จึงตัดสินว่าเสียงน่าจะมาจากท่อน้ำทิ้ง แต่เมื่องัดฝาเปิดขึ้นมากลับไม่พบอะไร เมื่อท่อน้ำทิ้งไม่พบสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงประหลาด สองพี่น้องจึงคิดได้ว่าที่เดียวที่สามารถเป็นที่มาของเสียงดังกล่าว คือ บ่อเกรอะ (บ่อพักอุจจาระ) กระทั่งเมื่องัดฝาปิดของบ่อเกรอะออกจึงพบว่า มีฟองฟอดพร้อมวัตถุสีดำดิ้นขลุกขลักอยู่ในนั้น แล้วก็หายตัวไป

    ทั้งคู่ยังไม่ยอมเลิกความพยายาม นำตาข่ายมาลองตักและลากขึ้นมาจากบ่อเกรอะ ปรากฏว่าเป็นปลาแคชฟิช (ปลาจำพวกปลาดุก) ตัวผู้และตัวเมียน้ำหนักกว่า 6 กิโลกรัม หลังจากนั้นจึงลากต่อไปอีก เมื่อดึงขึ้นมาปรากฏว่ามีปลาติดมาทั้งหมด 8 ตัว น้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ปิดตำนานเรื่องเล่าบ้านผีสิงที่ลือกันมานานนับ 10 ปี ที่มีเบื้องหลังมาจากเจ้าปลาเหล่านี้นี้เอง

    ทั้งนี้ปลาแคชฟิช เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวมีเมือกมาก หลังสีดำ ท้องสีขาว หัวแบน ปากกว้าง ที่คางบนและล่างหยวด 4 เส้น หางกลม แต่สั้นไม่แตกเป็นง่าม ครีบหลังเล็ก ครีบที่บั้นท้ายยาว ชอบอยู่ตามแม่น้ำ บึง และหนอง กลางวันจะซ่อนตัวอยู่ในดินเลน กลางคืนจะออกหากิน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. พรหมฤทธิ์

    พรหมฤทธิ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +67
  11. พรหมฤทธิ์

    พรหมฤทธิ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +67
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNVEEzTVRBMU1BPT0=&sectionid=0307


    วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6156​

    "เหรียญทรงผนวช"ที่ระลึก บูรณะพระเจดีย์วัดบวรนิเวศ

    คอลัมน์ สกู๊ปพิเศษ



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อพระฤกษ์สร้างเมื่อวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2334 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ดำเนินการก่อสร้างมาโดยลำดับ

    แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4 มีคูหาภายใน กลางคูหาประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและมีพระเจดีย์กาไหล่ทองประดิษฐานอยู่โดยรอบอีก 4 องค์

    ด้านตะวันตก คือ พระไพรีพินาศเจดีย์ ด้านใต้ คือ พระบรมราชานุสรณ์ พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อีก 2 องค์ ไม่ปรากฏพระประวัติ

    บนลานด้านทักษิณชั้น 2 ด้านเหนือประดิษฐานเก๋งพระไพรีพินาศ ด้านตะวันออกมีซุ้มปรางค์ประดิษฐาน พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชพิธีฉลองสมโภชพระเจดีย์ หล่อพระพุทธรูป ภ.ป.ร.

    ทรงเจิมแผ่นศิลาปฐมฤกษ์ที่จะผนึกเปลี่ยนผนังหินอ่อนพระอุโบสถ เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน พราหมณ์เบิกแว่น ข้าราชการเวียนเทียนสมโภชพระเจดีย์ที่ได้บูรณะใหม่

    ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดให้สร้างเหรียญทรงผนวชเป็นที่ระลึกโดยมีข้อความด้านหลังว่า "เสด็จฯ สมโภชพระเจดีย์ทองบวรนิเวศ 29 สิงห์ 2508 ในมงคลสมัยพระชนมายุเสมอสมเด็จพระราชบิดา"

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงอนุสรณ์ถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐที่ทรงมีต่อพระพุทธศาสนา และวัดบวรนิเวศวิหาร โปรดให้คณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ บูรณะพระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. และเหรียญทรงผนวชเป็นที่ระลึกในการบูรณะพระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

    สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างเหรียญทรงผนวช

    1. เพื่อเป็นอนุสรณ์สืบจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้วัดบวรนิเวศวิหารสร้างเหรียญทรงผนวชเป็นที่ระลึก เมื่อ พ.ศ.2508 โดยมีข้อความด้านหลังเหรียญว่า "เสด็จฯ สมโภชพระเจดีย์ทองบวรนิเวศ 29 สิงห์ 2508 ในมงคลสมัยพระชนมายุเสมอสมเด็จพระราชบิดา"

    2. เพื่อเป็นพระราชอนุสรณ์ที่ทรงดำรงมั่นพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพระราชประเพณีในการออกทรงพระผนวชอันสืบเนื่องมาแต่บรรพกาล

    3. เพื่อเป็นอนุสรณ์สิ่งมงคลสักการะของพสกนิกรพุทธศาสนิกชนในการที่พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้ทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก เสด็จออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    4. เพื่อเป็นอนุสรณ์ และปฏิการะสมนาคุณผู้บริจาคสมทบในการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

    5. เพื่อเป็นสิ่งสักการะอนุสรณ์ของพสกนิกรพุทธศาสนิกชนจะได้มีเหรียญพระบรมรูปทรงพระผนวชเป็นที่ระลึก เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

    รายละเอียดวัตถุมงคล

    1. พระพุทธรูป ภ.ป.ร. เนื้อนวโลหะ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว จำนวน 89 องค์ บริจาคบูชาองค์ละ 300,000 บาท

    2. พระพุทธรูป ภ.ป.ร. เนื้อสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว จำนวน 589 องค์ บริจาคบูชาองค์ละ 35,000 บาท

    3. เหรียญทรงผนวช เนื้อทองแดง ขนาด 8 เซนติเมตร จำนวน 2,000 เหรียญ บริจาคบูชาเหรียญละ 4,000 บาท

    4. เหรียญทรงผนวช เนื้อทองคำ น้ำหนัก 25 กรัม ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 2,500 เหรียญ บริจาคบูชาเหรียญละ 40,000 บาท

    5. เหรียญทรงผนวช เนื้อเงิน ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 5,000 เหรียญ บริจาคบูชาเหรียญละ 3,000 บาท

    6. เหรียญทรงผนวช เนื้อทองแดง ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 1,890,000 เหรียญ บริจาคบูชาเหรียญละ 100 บาท

    7. เหรียญทรงผนวช เนื้อนวโลหะ ขนาด 3 เซนติเมตร จำนวน 2,589 เหรียญ บริจาคบูชาเหรียญละ 4,000 บาท

    8. พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงพระผนวช ขนาด 55 * 80 เซนติเมตร บริจาคบูชาเหรียญละ 300 บาท

    ทั้งนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานพิธีพุทธาภิเษกและมังคลาภิเษก วันที่ 2 ธันวาคม 2550 ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ

    กำหนดรับบริจาคบูชา วันที่ 4 ตุลาคม 2550 ผู้บริจาคบูชาต้องชำระเงินครบตามจำนวนในวันบริจาคสั่งจอง และติดต่อรับสิ่งมงคลสักการะ ณ สถานที่บริจาค ได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป

    สถานที่บริจาคบูชา สำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ข้างพระอุโบสถ) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. (ทุกวัน)

    มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โทร. 0-2629-5010 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. (ทุกวัน)

    ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา

    ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ โทร. 0-2281-9555 0-2282-2447 โทรสาร 0-2281-9555 และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ทุกจังหวัด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01bud01071050&day=2007-10-07&sectionid=0121


    วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10802​

    สามเณรโสปากะ ผู้เกือบตกเป็นเหยื่อสุนัขจิ้งจอก


    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เขียนเรื่องสามเณรสมัยพุทธกาลมาแล้ว 2 รูป วันนี้ขอเล่าอีกรูปหนึ่ง นามว่า "โสปากะ" เพื่อเจริญศรัทธาแด่ญาติโยมทั้งหลายในโอกาสสำคัญที่สุดในปีนี้

    โอกาสสำคัญอะไร? ก็โอกาสที่ สนช. รัฐบาล และมหาเถรสมาคม ร่วมกับประชาชนชาวพุทธทุกหมู่เหล่า จะจัดการบวชสามเณรจำนวน 84,000 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในปี 2550 นี้

    ทำไมจึงว่า เล่าเรื่องบวชเณรแล้วจะเป็นการเฉลิมศรัทธาของญาติโยม อย่างน้อยโยมจะได้ทราบว่า เณรนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "สามเณร" ตามศัพท์แปลว่า "ผู้เป็นเหล่ากอแห่งสมณะ (พระ)" หรือ "หน่อเนื้อ หรือรากแก้วของพระ"

    ถ้าเปรียบกับต้นไม้ เณรก็คือรากของต้นไม้ พระก็คือลำต้น ลำต้นจะงอกงามไม่ได้ ถ้าไม่มีราก หรือมี แต่เป็นรากเน่า พระภิกษุจะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีเณร เพราะเหตุนี้แหละ เณรจึงนับเป็นรากเหง้าของความเป็นพระ

    พูดมาถึงตรงนี้ ใคร่ขอเตือนสติพระเดชพระคุณทั้งหลายที่มัวแต่ เจริญ "สุขวิหารธรรม" (ไม่แปลละครับ) อยู่ในวัดให้ทราบด้วยว่า ปัจจุบันนี้จำนวนสามเณรในวัดต่างๆ ลดลงอย่างน่าใจหาย บางวัดผมถามว่ามีพระเณรเท่าไร ท่านตอบว่า มีสี่ห้ารูป ถามท่านต่อว่า เณรล่ะครับ ท่านตอบว่า เณรมีรูปเดียวบ้าง ไม่มีบ้าง สัญญาณอันตรายว่าในไม่กี่ปีข้างหน้า วัดจะร้างพระร้างเณรแล้วนะครับ ทำเป็นเล่นไป

    ผมยังไม่อยากนำสถิติพระเณรทั่วราชอาณาจักรมาให้ท่านตกใจ เพราะสถิติไม่ค่อย "อัพเดต" ไว้ได้จำนวนแน่นอนเมื่อไรจะแจ้งอีกที

    เณรน้อยชื่อโสปากะ พ่อตายตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ จึงตกอยู่ในความดูแลของ จูฬบิดา (พ่อน้อย) พิเคราะห์ดู นายคนนี้น่าจะเป็น "พ่อเลี้ยง" หรือสามีใหม่ของแม่ (ไม่ใช่พ่อเลี้ยงในความหมายของชาวเหนือ) เพราะปรากฏว่าพ่อเลี้ยงคนนี้มีเรือพ่วงติดมาด้วย

    จึงถูกพ่อเลี้ยงดุด่า ทุบตีเสมอ เวลาทะเลาะกับลูกๆ คนอื่น ความผิดก็มักจะตกมาที่เด็กน้อยโสปากะเสมอ ลูกคนอื่นๆ ถูกหมด อะไรประมาณนั้น

    วันหนึ่งพ่อเลี้ยงโกรธจัด จึงนำโสปากะไปปล่อยไว้ที่ป่าช้า มัดแขวนไพล่หลังติดกับศพทิ้งไว้ เด็กน้อยร้องไห้โหยหวนด้วยความกลัว เสียงร้องของเด็กกลับเร่งความตายมาหาตนยิ่งขึ้น เพราะเหล่าสุนัขจิ้งจอกได้ยินก็พากันมา เห็นเหยื่ออร่อยปาก ก็กรูเข้ามา หมายทึ้งกินไม่ให้เหลือซาก เด็กน้อยร้องและดิ้นสุดแรงเกิด แต่ก็ไม่สามารถจะหลุดจากพันธนาการได้

    ว่ากันว่า เสียงร้องไห้ได้ยินไปถึงพระพุทธองค์ พระองค์ทรงทราบกำลังเกิดอะไรขึ้น ด้วยพระมหากรุณาอันหาที่สุดมิได้ พระพุทธองค์ทรงแผ่พระรัศมีไปยังเด็กน้อยโสปากะ ตรัสว่า "โสปากะ ไม่ต้องกลัว" และแล้วด้วยพุทธานุภาพ เชือกที่มัดเธออยู่ก็ขาดออก โสปากะก็เป็นอิสระ เหตุการณ์ผ่านไปรวดเร็วมาก เด็กน้อยโสปากะก็มึนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้ว

    เข้าใจว่า เธอคงร้องให้ด้วยความหวาดกลัว จนสลบไสลไป ได้รับการช่วยเหลือจากพระพุทธองค์

    ฝ่ายมารดา เมื่อบุตรหายไปก็เที่ยวตามหาจนทั่ว เมื่อไม่พบจึงเข้าไปในพระอาราม คิดอย่างเดียวว่า พระพุทธองค์คงรู้ว่าบุตรชายของเธออยู่ที่ไหน จึงเข้าไปเพื่อหวังพึ่งพระมหากรุณา

    เข้าไปกราบแทบพระบาทของพระพุทธองค์ ทูลว่า ขอพระองค์โปรดช่วยชีวิตโสปากะบุตรข้าพระพุทธองค์ด้วยเถิด

    พระพุทธองค์ตรัสเทศนาสอนว่า

    "ไม่มีใครช่วยใครได้ดอก บุตรทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้

    บิดาและพี่น้องก็ช่วยไม่ได้ คนเราถ้าถึงคราวตาย

    ญาติพี่น้องทั้งหลายก็ช่วยไม่ได้"

    นางได้ฟังก็ได้คิด และเมื่อคิดตามไปก็ยิ่งเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หารู้ไม่ว่าขณะที่ฟังเทศน์จากพระพุทธองค์อยู่นั้น สามเณรโสปากะ ก็นั่งอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์พระพุทธองค์นั่นเอง หากแต่ด้วย "อิทธาภิสังขาร" (การบันดาลด้วยฤทธิ์) สองแม่ลูกจึงมองไม่เห็นกัน

    ขณะที่แม่ได้บรรลุโสดาปัตติผล เณรน้อยลูกชายก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล ทันทีที่จบพระธรรมเทศนา พูดเป็นภาษาหนังสือโก้หรูเชียว ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ แม่ได้เป็นโสดา ลูกได้เป็นอรหันต์ นั่นแหละครับ

    ตำราไม่ได้บอกว่า มารดาของเณรน้อยบวชเป็นภิกษุณีหรือไม่ แต่เณรโสปากะนั้น ที่ได้บรรลุพระอรหัตตผลแต่อายุยังได้ เพราะบุญเก่าส่งเสริม ว่ากันว่าในชาติปางก่อนโน้น มีชาติหนึ่งโสปากะเกิดเป็นพราหมณ์ ออกบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญพรตในป่า ได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าในอดีต ได้เจริญอนิจจสัญญา (ความระลึกว่าไม่เที่ยงแท้) สิ้นชีวิตแล้ว ไปเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สังสารวัฏภพแล้วภพเล่า จนนับชาติไม่ถ้วน มาชาตินี้จึงมาเกิดเป็นเณรน้อยโสปากะ บุญเก่าที่ทำไว้สมัยเป็นฤๅษี ก็ช่วยหนุนส่งให้โสปากะ บรรลุเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย

    เล่ากันว่า วันหนึ่งเณรน้อยโสปากะตอบปัญหาที่พระพุทธเจ้าตรัสถามได้ฉาดฉาน จนได้รับคำสรรเสริญจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสถามปริศนาว่า "อะไรชื่อว่าหนึ่ง จนถึง อะไรชื่อว่าสิบ"

    เณรน้อยตอบว่า "สัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ด้วยอาหาร นี้ชื่อว่าหนึ่ง"

    "อะไรชื่อว่าสอง" ตรัสถามอีก

    "นาม กับ รูป ชื่อว่าสอง" เณรน้อยตอบอย่างฉาดฉาน ฯลฯ

    คล้ายกับที่เราทายกันว่า "อะไรเอ่ย" จัง ไม่นึกว่าพระพุทธองค์จะทายปริศนากับเณรน้อย น่ารักอะไรปานนั้น เณรน้อยถวายวิสัชนาได้แจ่มแจ้งทุกข้อ พระพุทธองค์ทรงพอพระทัย แล้วประทานอุปสมบทให้เธอ ด้วยการอุปสมบทที่เรียกว่า ปัญหาพยากรณูปสัมมปทา (การอุปสมบทด้วยการตอบปัญหา)

    เมื่ออ่านพุทธศาสนานิกายเซ็น ก็รู้ว่าวิธีการอย่างนี้ เขาถือกันมาก เขาจะมี "โกอาน" (จีนออกเสียง กงอั้น) ให้ลูกศิษย์นำไปคิด ลูกศิษย์นำไปนั่งคิดนอนคิด จนกระทั่งได้คำตอบด้วยตนเองบรรลุ "ซาโตริ" มานักต่อนักแล้ว ว่าไปแล้วก็คือวิธีฝึกกรรมฐานแบบหนึ่งนั้นเอง

    ข้อที่พึงทราบเพิ่มเติมในเรื่องการบวชนี้ก็คือ สมัยแรกๆ พระพุทธเจ้าประทาน "เอหิภิกขุ" ให้ผู้มาขอบวชโดยทั่วไป บางครั้งก็บวชให้บางคน (เช่นพระมหากัสสปะ) ด้วยการประทานโอวาท (โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา) บางครั้ง (ในกรณีสามเณรโสปากะนี้) ก็บวชให้ด้วยวิธีการถามตอบปัญหา

    สมัยแรกๆ นั้น ไม่ว่าจะบวชพระหรือบวชเณร พระพุทธองค์ทรงใช้คำเดียวว่า "อุปสมบท" (อุปสัมปทา) ต่อมาเมื่อทรงมอบอำนาจให้คณะสงฆ์ทำพิธีบวชแทนพระพุทธองค์แล้ว คำว่า "บรรพชา" (ปัพพัชา) จึงใช้เฉพาะบวชเณร คำว่า "อุปสมบท" (อุปสัมปทา) ใช้เฉพาะบวชพระภิกษุ

    เนื่องจาก คนจะบวชภิกษุจะต้องผ่านขั้นตอนการบวชเณรก่อน จึงเรียกรวมกันว่า "บรรพชาอุปสมบท"

    สามเณรโสปากะผู้เกือบตกเป็นเหยื่อของสุนัขจิ้งจอก นึกถึงชะตากรรมของตนเองที่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้เพราะพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ จนได้เป็นพระอรหันต์แต่อายุยังน้อย จึงประพันธ์คาถาประพันธ์ว่า

    "...พระพุทธองค์ตรัสถามปัญหาเรา เรารู้ความของปัญหานั้น วิสัชนาปัญหานั้นไม่สะทกสะท้าน พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาแล้ว หันไปตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า โสปากะนี้ใช้สอยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช ของชาวอังคะและชาวมคธ นับเป็นลาภของชาวอังคะ และชาวมคธ เป็นลาภของพวกเขาที่ได้ต้อนรับ และทำสามีจิกรรม แก่โสปากะ พระองค์ตรัสกับเราว่า การพยากรณ์ปัญหานี้เป็นการอุปสมบทของเธอ เราอายุเพียง 7 ขวบ ได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุ มีชีวิตและร่างกายนี้เป็นชาติสุดท้าย"
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เรียนคุณ sithiphong
    เมื่อวันที่ 6ตค.50 เวลา 13.24น. ผมได้ฝากเงินผ่าน adm ktb central bangna เข้าบัญชี 1890131288 จำนวนเงิน 1000บาท เพื่อทำบุญสร้างเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ตามที่ได้บูชาพระพิมพ์ไว้ และยังมียอดคงค้างจำนวน 7933บาทครับ
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
    nongnooo...
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ม้านั่งทองคำ"
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9500000116457
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>7 ตุลาคม 2550 15:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=416 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=416>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ม้านั่งทองคำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หญิงคนหนึ่งกำลังชมม้านั่งทองคำ โดยม้านั่งตัวนี้สร้างขึ้นจากทองคำหนัก 50 กิโลกรัม ราคาประมาณ 10 ล้านหยวน เปิดตัวครั้งแรกที่เมืองคุนหมิง มณฑลหนุนหนัน (ยูนนาน) - ซินหัวเนต

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/15844

    รู้จักสำนักงาน ปปง.




    <CENTER>
    [​IMG]

    สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ สำนักงาน ปปง. เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2542 เดิมอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 กำหนดให้สำนักงาน ปปง. เป็นส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง แต่มีฐานะ เป็นกรม อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามหมวด 21 มาตรา 46 ​

    ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไปสำนักงาน ปปง. มีอำนาจ หน้าที่ในการวางหลักเกณฑ์ (Regulator) และดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (Law Enforcement) รวมทั้งเป็นหน่วยงานตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน(Financial Intelligence Unit) ทั้งนี้ภายใต้กรอบนโยบายและการกำกับของ คณะกรรมการ ปปง.

    [​IMG] วิสัยทัศน์

    เป็นองค์กรหลัก และศูนย์กลางความร่วมมือ ช่วยเหลือในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับ เชื่อถือ ศรัทธาจากประชาชนและนานาประเทศ
    [​IMG] ภารกิจ

    1.ประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่กิจกรรมและรณรงค์ให้ความรู้ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
    2.ประสานความร่วมมือและสร้างเครือข่ายกับองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือ ช่วยเหลือในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
    3.กำหนดและดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงิน เพื่อลดการประกอบอาชญากรรมตามความผิดมูลฐานและความผิดฐานฟอกเงิน
    4.พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการป้องกัน
    และปราบปรามการฟอกเงิน
    5.พัฒนาโครงสร้างระบบการบริหารจัดการและบุคลากรให้มีมาตรฐานสู่ความเป็นเลิศ ​


    [​IMG]
    ในฐานะของหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมาย สำนักงาน ปปง. มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ฟอกเงิน มีบทบาทในการศึกษาเพื่อหามาตรการในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและพิจารณาความเห็นต่อรัฐมนตรี ตลอดจนดูแลให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทั้งนี้ภายใต้มติของคณะกรรมการ ปปง.
    [​IMG] เลขาธิการ ปปง.

    เลขาธิการ ปปง. เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีและได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร โดยต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน การคลัง หรือกฎหมายไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐรวมทั้งในกิจการเอกชน เลขาธิการ ปปง. มีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปีนับตั้งแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งและให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว และเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้ว จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอีกไม่ได้​
    </CENTER>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • homepic_450.jpg
      homepic_450.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.5 KB
      เปิดดู:
      1,002
    • 01_142.jpg
      01_142.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.7 KB
      เปิดดู:
      1,324
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG] การจัดองค์กร

    ปัจจุบันสำนักงาน ปปง. มีบุคลากรประกอบด้วยข้าราชการประจำ 220 อัตรา และลูกจ้าง 25 อัตรา สำนักงาน ปปง. แบ่งส่วนราชการภายใน ตามระเบียบสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2546 ดังนี้

    1. กองกลาง
    2. กองนโยบายและมาตรการ
    3. กองบริหารจัดการทรัพย์สิน
    4. ศูนย์สารสนเทศและติดตามประเมินผล
    5. สำนักตรวจสอบและคดี
    6. หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ปปง.
    6.1 กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
    6.2 หน่วยงานตรวจสอบภายในโดยมี เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และมี รองเลขาธิการ ปปง. จำนวน 2 ท่าน เป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการ
    [​IMG] อำนาจหน้าที่

    สำนักงาน ปปง. มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังต่อไปนี้

    (1) ดำเนินการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ปปง. และ คณะกรรมการธุรกรรม และปฏิบัติงานธุรการอื่น
    (2) รับรายงานการทำธุรกรรมและแจ้งตอบการรับรายงาน
    (3) เก็บรวบรวม ติดตาม ตรวจสอบ ศึกษา และวิเคราะห์รายงาน และข้อมูลต่าง ๆเกี่ยวกับการทำธุรกรรม
    (4) เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้
    (5) จัดให้มีโครงการที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ การให้การศึกษา และฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือช่วยเหลือ หรือสนับสนุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มีการจัดโครงการ ดังกล่าว
    (6) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น


    สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกับ เว็บไซต์ Kapook.com ขอเชิญเพื่อนๆ เข้ามาร่วมกิจกรรมชิงรางวัลจาก ปปง. จำนวน 10 รางวัลกติกาง่ายๆ เพียงเพื่อนๆ ส่งคำตอบมายัง customerhis@gmail.com ของกิจกรรม ในคำถามที่ว่า. . .

    1. การฟอกเงินคืออะไร
    2. การกระทำความผิดตามฟอกเงินถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาใช่หรือไม่
    3. ผู้ที่กระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงิน มีบทลงโทษทางอาญาอย่างไร
    4. ผู้ที่กระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงิน มีบทลงโทษทางอาญาอย่างไร
    5. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. ใด
    ด่วน!!10 ท่านที่ตอบคำถามได้ ถูกต้องที่สุด จะได้รับรางวัลจาก ปปง. จำนวน 10 รางวัล โดยสามารถ ส่งคำตอบและชื่อ ที่อยู่ติดต่อกลับ มาที่ customerhis@gmail.com


    [​IMG]สามารถอ่านรายละเอียดเเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)






    ข่าวที่เกี่ยวข้อง

    - การฟอกเงิน คืออะไร?






    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มลพิษทางอากาศทำลิ่มเลือดอุดตัน
    http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?key=todayupdate&id=8427

    อนุภาคไอเสียขนาดเล็กในอากาศก่อหัวใจวายและหลอดเลือดสมองแตก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าทีมนักวิจัยสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่าอนุภาคมลพิษในอากาศขนาดเล็ก 1 ใน 10 ของเส้นผมคนสามารถกระตุ้นการเกิดลิ่มเลือดอุดตันซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่อธิบายว่าทำไมก่อนหน้านี้จึงมีการศึกษาพบว่ามลพิษในอากาศเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะหัวใจวายและหลอดเลือดสมองแตกได้
    <O:p</O:p
    <O:p [​IMG]
    </O:p
    ทั้งนี้นักวิจัยทำการศึกษาในกลุ่มประชากรตัวอย่างขนาดใหญ่และพบว่ามลพิษที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียของรถบรรทุก รถบัสโดยสาร และโรงงานที่เผาไหม้ด้วยถ่านเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและหลอดเลือดสมองแตก<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
    อย่างไรก็ดีทีมนักวิจัยทีมนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้มีกลไกการทำงานอย่างไรในการก่อโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตทั้งสองโรคนี้และยังต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป<O:p</O:p
    <O:p
    </O:p
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โรงเนยแข็งสวนจิตรลดา แหล่งความรู้โรงงานต้นแบบ

    อีกหนึ่งโครงการสำคัญภาย ในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยให้ทำการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตลอดจนเป็นสถานที่ให้ความรู้ในเชิงปฏิบัติแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา คือ โรงเนยแข็งสวนจิตรลดา

    โรงเนยแข็งสวนจิตรลดาจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ในวโรกาสที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระ ชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริษัทสหกรณ์ ซี.ซี.ฟริสแลนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้น้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องมือสำหรับผลิตเนยแข็งและได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมการผลิต เนยแข็ง “Gouda cheese” (เกาด้าชีส) ให้ แก่เจ้าหน้าที่ของโครงการฯ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อเนยแข็งที่ผลิตนี้ว่า “เนยแข็งมหามงคล”

    ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 รัฐบาลเดนมาร์กได้ถวายเครื่องมือพร้อมติดตั้ง และส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมเกี่ยวกับกรรมวิธีการแปรรูปผลิตภัณฑ์นมชนิดต่าง ๆ เช่น การผลิตเนยแข็งชนิดเช็ดด้า (Cheddar cheese) การผลิตไอศกรีม รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับ การบำรุงรักษาเครื่องมือ จากนั้นมีการพัฒนาและค้นคว้าสูตรไอศกรีมจากเดิม 6 รส คือ กะทิ เผือก วานิลลา กาแฟ ช็อกโกแลต และสตรอเบอรี่ เพิ่มอีก 2 รส คือ ข้าวโพด และรวมมิตร และมีการปรับปรุงสูตรการผลิตเนยแข็งชนิดปรุงแต่ง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่น รส ตลอดจนเนื้อสัมผัสน่าบริโภคมากยิ่งขึ้น

    ในปี พ.ศ. 2537 โรงเนยแข็งสวนจิตรลดา ได้เริ่มทำการศึกษาวิธี การผลิต โยเกิร์ต เพื่อผลิตเป็นนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ต่อมาได้ขยายตัวอาคารโรงเนยแข็งและได้เพิ่มการผลิต นมข้นหวานบรรจุหลอด หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ได้มีการทดลองผลิต เนยแข็งและขนมปังกรอบ โดยนำเนยแข็งชนิดปรุงแต่งซึ่งได้จากการตัดแต่งเนยชนิดแผ่นมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต โดยบรรจุ ลงในถาดพลาสติกพร้อมบริโภค เรียกผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ว่า เนยแข็งมหามงคลและขนมปังกรอบ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2541-2542 ได้มีการพัฒนาสูตรไอศกรีม ใหม่ขึ้นมาเป็นแบบพรีเมี่ยม 3 รส ได้แก่ รสดับเบิ้ลช็อก โกแลต กาแฟช็อก ชิพ และมิ้นท์ช็อก ชิพ และยังเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์เนยแข็งมหามงคล ปรุง แต่งในรูปแบบ ชนิดทาบรรจุในกล่องพลาสติก เรียกว่า เนยแข็งปรุงแต่งชนิดทา พร้อมกันนั้นได้เริ่มทดลองผลิต โยเกิร์ต ชนิดบรรจุถ้วย โดยเติมเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพลงในน้ำนมสด

    ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากโรงเนยแข็งนี้ สามารถแบ่งตามวัตถุดิบที่ นำมาผลิตได้เป็น 3 ประเภท คือ

    น้ำนมดิบ สามารถนำมาผลิต เนยแข็งเกาด้า และเนยแข็งเช็ดด้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตกตะกอน โปรตีนในน้ำนมสด (ที่ผ่านการพาส เจอไรซ์มาแล้ว) โดยอาศัยเชื้อจุลินทรีย์ และเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ ทำการแยกเอาส่วนของแข็งมาอัดเป็นก้อน และ บ่มตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้น้ำนมดิบยังสามารถนำมาผลิต เนยแข็งปรุงแต่งชนิดแผ่น เนยแข็งปรุงแต่งชนิด ทา ไอศกรีม และไอศกรีมโยเกิร์ต ได้ อีกด้วย

    หางนม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก การแยกครีมออกจากน้ำนมดิบ สามารถนำมาผลิต นมปราศจากไขมันพาสเจอ ไรซ์ นมเปรี้ยวพร่องไขมันพร้อมดื่ม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 รส ได้แก่ มะนาว ส้ม องุ่น และสตรอเบอรี่ ขณะเดียว กัน ครีม ซึ่งแยกออกมาจากน้ำนมดิบ สามารถนำมาผลิตเป็นเนยสด และนมข้นหวานบรรจุหลอด ซึ่งสะดวกในการพกพา

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นอกจากโรงเนยแข็งสวนจิตร ลดาจะทำหน้าที่ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเป็นเสมือนโรงงานต้นแบบในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูปผลิต ภัณฑ์นมในรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ นิสิต นักศึกษา ตลอดจนผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ทดลองปฏิบัติจริง สามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพได้นั้น ยังช่วยส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์แปรรูป จากน้ำนมสดจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย.
    ประสบการณ์ล้ำค่า…ที่หาไม่ได้ในห้องเรียน
    “เมื่อประมาณ 10 กว่าปีเห็นจะได้ สมัยตอนที่ยังเป็นนักศึกษาเคยมีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ซึ่งตอนนั้นยังมีไม่กี่โครงการ อยากบอกว่าประทับใจมาก มาถึงวันนี้ได้มีโอกาสเข้าไปอีกครั้ง ตอนที่มานิเทศนักศึกษาฝึกงาน ทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนไปมาก มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็เห็นจะเป็นความรู้มหาศาลที่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาได้รับกลับไป”

    สุภัทรา จินากูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม บอกเล่าถึงความประทับใจในการเข้าไปสัมผัส เยี่ยมชมโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา พร้อมเอ่ยถึงแนวคิดและประสบการณ์ความรู้อันล้ำค่าที่ลูกศิษย์นักศึกษาที่เข้ามาฝึกงานที่นี่รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้รับว่า เป็นประจำทุกปีที่ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามจะเลือกสถานที่แห่งนี้สำหรับให้นักศึกษาเข้ามาฝึกงาน ด้วยความคิดที่ว่าในพื้นที่โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา มีโครงการที่น่าสนใจ สมควรที่จะเป็นสถานที่ที่จะทำให้นักศึกษาได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งในด้านการฝึกปฏิบัติ และการหล่อหลอมแนวคิดที่จะน้อมนำความรู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะให้นักเรียนนักศึกษาที่เข้ามาฝึกอบรมนำความรู้ที่ได้รับกลับไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    ระหว่างวันที่ 12 มิถุนายน-15 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ทางสาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้ส่งนักศึกษาเข้ามาฝึกงานในโรงเนยแข็ง 3 คน หลังเสร็จสิ้นการฝึกงาน ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักศึกษาทั้งสาม ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากมาย อย่างน้อยก็ความกล้าของพวกเขาที่มีมากขึ้น กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะอธิบาย เพราะตอนที่อยู่ในห้องเรียนถามก็ไม่ตอบ ไม่กล้าพูด อาจเป็นเพราะว่าไม่รู้ ไม่แน่ใจ พูดออกไปกลัวผิด แต่ตอนนี้หลังจากฝึกจบเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีความมั่นใจ และเข้าใจ กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น

    “ในช่วงเวลา 3 เดือนเต็ม ๆ ที่ได้มาฝึกงานที่โรงเนยแข็ง พวกหนูได้ความรู้มากมายเลยค่ะ ถือเป็นประสบ การณ์ชีวิตที่คุ้มค่าจริง ๆ ได้นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้ทดลองฝึกปฏิบัติจริงตั้งแต่การใช้เครื่อง การดูแลทำความสะอาดเครื่อง วิธีการทำนมเปรี้ยว ทำโยเกิร์ต ทำไอศกรีม ฯลฯ อาจารย์ถามว่า เป็นอย่างไรบ้างพอได้มาเห็นมาสัมผัสที่นี่ อยากบอกว่า รักในหลวงมากขึ้น ซึ้งใจที่ท่านมีโครงการดี ๆ เป็นต้นแบบในการศึกษาหา ความรู้ ขณะเดียวกันท่านก็ทรงใช้สถานที่นี้เป็นที่ทดลอง สร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพสกนิกรของท่านทุกคน”

    คือหนึ่งเสียงบอกเล่าของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม ที่เชื่อได้ว่า คงไม่มีอะไรต่างไปจาก นักศึกษาอีกหลาย ๆ สถาบันที่ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสประสบการณ์และเรียนรู้ชีวิตการทำงานที่นี่...โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา.

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_16_oldnews1_dlsONews style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงเนยแข็งสวนจิตรลดา แหล่งความรู้โรงงานต้นแบบ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงหล่อเทียนหลวง...ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">สืบสานปณิธานงานของพ่อ : คุณค่า 'สาหร่ายเกลียวทอง' จากอาหารปลาพัฒนาสู่อาหารคน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ผลิตภัณฑ์จากแอลกอฮอล์ ผลงานค้นคว้าวิจัยตามแนวพระราชดำริ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">งานค้นคว้าวิจัย แอลกอฮอล์..แก๊สโซฮอล์ พระราชดำริพัฒนาพลังงานทดแทน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงปุ๋ยอินทรีย์..ปุ๋ยนมชีวภาพ เพิ่มคุณค่าของเหลือใช้มาบำรุงดิน
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงน้ำผลไม้..ผลิตภัณฑ์แปรรูปผลไม้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรงบดแกลบ ต้นแบบผลิตเชื้อเพลิงเพิ่มคุณค่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ทรงห่วงใยหนี้สินชาวนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 16px" vAlign=top>[​IMG] </TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ศูนย์รวมนมสวนจิตรลดา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=142182&NewsType=1&Template=1
     

แชร์หน้านี้

Loading...