พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&content=66115

    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">เจ้าฟ้าผู้ทรงเป็น "วิศิษฏศิลปิน" [28 ต.ค. 50 - 00:34]
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงนับได้ว่าเป็นเจ้าฟ้าพระองค์สำคัญของราชวงศ์ไทย ที่ทรงสนพระทัยใฝ่รู้ในเรื่องศิลปะหลากหลายแขนง มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตรกรรม, วรรณกรรม, คีตศิลป์, ดุริยางคศิลป์ โดยพระปรีชาสามารถในเชิงศิลปะของเจ้าฟ้าผู้ทรงเป็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • soc1.jpg
      soc1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.4 KB
      เปิดดู:
      327
    • soc2.jpg
      soc2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.6 KB
      เปิดดู:
      255
    • soc3.jpg
      soc3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.1 KB
      เปิดดู:
      246
    • soc4.jpg
      soc4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.9 KB
      เปิดดู:
      243
    • soc5.jpg
      soc5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.2 KB
      เปิดดู:
      252
    • soc6.jpg
      soc6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.4 KB
      เปิดดู:
      251
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 บะหมี่สะท้านกรุง
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday12&content=66089

    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">10 บะหมี่สะท้านกรุง [28 ต.ค. 50 - 19:13]

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>

    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>ดูเหมือนผมจะเคยบอกกล่าวไว้แล้วว่า ข้อเขียนที่แฟนๆทั้งฮือฮาและเฮฮามากที่สุดในรอบ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ของทีมงานซอกแซก ได้แก่ ข้อเขียนว่าด้วย
     
  3. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    ฮอตไลน์' สายตรงถึงเหยื่อ !!! เมื่อมิจฉาชีพเล่นบท 'โอเปอเรเตอร์'

    นอกจากการปลอมตัวเป็น "เจ้าของบัตร" ไปรูดซื้อสินค้าแล้ว "การปลอมเสียง" เป็น "โอเปอเรเตอร์" ยังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เหล่ามิจฉาชีพเลือกใช้ ด้วยการโทรตรงถึงเหยื่อ ใช้วาทศิลป์อย่างมีจิตวิทยาหลอกล่อให้เหยื่อที่กำลัง "มึนตื้บ" คล้อยตาม ยอมพรั่งพรูข้อมูลส่วนตัวออกมา




    ประสบการณ์เหล่านี้ ผู้ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะหลงเชื่อคำพูดใครง่ายๆ อย่างสาวออฟฟิศรายนี้ ไม่วายที่จะเคลิ้ม" ไปกับมิจฉาชีพที่มาตามสาย...เธอเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนที่ผ่านมามีโทรศัพท์ปริศนา (ไม่โชว์เบอร์) เข้ามา อ้างตัวเป็นพนักงานขายประกัน เปิดการสนทนาด้วยข้อเสนอให้ทำประกันอุบัติเหตุที่มีวงเงินคุ้มครองล่อใจสูงถึง 5-10 ล้านบาท ในกรณีเสียชีวิต และให้ข้อมูลถึงแพ็คเกจประกันอุบัติเหตุว่า ชำระเบี้ยประกันเดือนละ 300-500 บาทเท่านั้น

    ก่อนจะทำทีสอบถามข้อมูลส่วนตัว "ชื่อและนามสกุล" ของเหยื่อ !

    วงเงินคุ้มครองกรณีเสียชีวิต 5-10 ล้านบาท ล่อใจได้ไม่น้อย นั่นคือความคิดของสาวออฟฟิศรายนี้

    เมื่อเหยื่อมีท่าทีสนใจ พนักงานขายจอมปลอมรุกต่อด้วยการบอกเล่าถึงวิธีชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต ซึ่งเป็น "เป้าหมาย" แท้จริงของมิจฉาชีพ

    เพื่อจะนำหมายเลขบัตรเครดิตของเหยื่อไปรูดซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หรือทำบัตรเครดิตปลอมก็แล้วแต่

    มิจฉาชีพรายนี้อ้างว่า การชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็วที่สุด

    โชคดีที่สาวออฟฟิศซึ่งตกเป็นเหยื่อเริ่มสงสัย ??? ว่าทำไมต้องกำหนดให้ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น

    เธอจึงอิดออด แจ้งถึงความไม่สะดวกที่จะจ่ายเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต โดยยืนยันที่จะ "โอนเงิน" ผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารเท่านั้น

    มิจฉาชีพปลายสายจึงเริ่มออกอาการหงุดหงิด โต้กลับทันทีว่า..."เราต้องการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้านะคะ"

    ทว่าเหยื่อชักไหวตัว ด้วยสองประเด็นหลัก

    หนึ่ง โทรศัพท์ที่โทรมา "ไม่โชว์เบอร์" ย่อมยากในการติดตามที่มาที่ไปของบริษัท และ สอง ไม่มีเหตุผลเพียงพอในการชำระเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น

    เหยื่อจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง ด้วยการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท พร้อมกับขอหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่เพื่อติดต่อกลับ

    เมื่อถึงที่สุดของการ "ชิงไหวชิงพริบ" ระหว่างเหยื่อกับมิจฉาชีพ !!! บทสนทนาของมิจฉาชีพก็หยุดลง เป็นเสียงรอสาย (คล้ายมีการปรึกษาหารือกับแก๊ง) ก่อนจะแจ้งเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทแก่เหยื่อ และบอกว่าบริษัทอยู่แถวสวนลุมพินี

    หากต้องการโอนเงินผ่านธนาคารจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ทั้งกรอกเอกสารและส่งแฟกซ์

    ส่วนสาเหตุที่ไม่โชว์เบอร์โทรศัพท์ มิจฉาชีพตอบชนิดที่ต้องแปลไทยเป็นไทยว่า เพราะเบอร์โทรดังกล่าวเป็นเบอร์ส่วนตัวของพนักงานที่ใช้ติดต่อมายังบริษัท

    สุดท้ายแล้ว มิจฉาชีพต้องถอดใจยอมวางสาย หลังจากเจรจาหว่านล้อมขอเลขที่บัตรเครดิตจากเหยื่อไม่สำเร็จ !!!

    เมื่อเหยื่อโทรศัพท์ไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่มิจฉาชีพให้ไว้ ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของบริษัทประกันชีวิตจริง แต่เป็นเบอร์ที่มีเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ไม่สามารถติดต่อคนในองค์กรโดยง่าย ชนิด กด 1, กด 2 , กด 3...........ฯลฯ

    ส่วนพนักงานออฟฟิศ (อีกราย) ยอมรับว่า ความโลภบังตาเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่ออยู่ๆ ก็มีสายตรงจู่โจมเข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอ โดยอ้างตัวว่าเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่มือถือให้กับค่ายโนเกีย พยายามหลอกล่อให้เหยื่อดีใจสุดขีดว่า

    "คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ จากแคมเปญสมนาคุณให้กับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์โนเกีย จากการสุ่มจับฉลากรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 แสนบาท รางวัลที่ 2 มูลค่า 6 หมื่นบาท และรางวัลที่ 3 มูลค่า 3 หมื่นบาท "

    ....คุณคือผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 2 วงเงิน 6 หมื่นบาท

    น่าดีใจไหมล่ะ !!!

    แม้ว่าสาวออฟฟิศรายนี้ออกตัวว่าไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ก็ไม่วายแอบตื่นเต้นกับรางวัลกว่าครึ่งแสน ใจหนึ่งก็คิดว่า "อาจจะใช่" เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของโทรศัพท์ยี่ห้อดังกล่าวเช่นกัน

    ทว่าแอบฉุกคิด ตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เมื่อเธอได้รับรางวัลใหญ่เช่นนี้ ทำไมไม่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ทีวี วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์เลย

    โปรแกรมอย่างนี้จัดบ่อยมั้ย เนื่องในโอกาสอะไร เธอซัก

    มิจฉาชีพตอบคำถามกลับมาอย่างจัดเจนว่า...เป็นการตอบแทนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์ ถือเป็น "กิจกรรมภายใน"

    เช่นเดียวกันกับรายแรก โทรศัพท์ที่โทรเข้ามา "ไม่โชว์เบอร์" โดยอ้างว่า เป็นระบบของบริษัท ซักไซ้ไล่เลียงหนักเข้า มิจฉาชีพรายนี้ก็พลิ้ว ทำทีไปปรึกษาหัวหน้า (ไม่ต่างจากการพักสายโทรศัพท์ของมิจฉาชีพรายแรก) แล้วกลับมาให้ข้อมูลอีกครั้ง จนเหยื่อรายนี้ตายใจ

    เข้าใจว่าบริษัทดังกล่าวกำลังจะโอนเงินก้อนโต 6 หมื่นบาท เข้าบัญชีธนาคารของเธอจริงๆ

    สุดท้ายจึงยินยอมบอกเบอร์บัญชีธนาคาร พร้อมชื่อ-นามสกุล ให้กับมิจฉาชีพอย่างนอนใจ (แม่เจ้า !!!)

    "น้ำเสียงคนโทรมาเหมือนเป็นคนต่างจังหวัด แต่ตอบได้ทุกคำถาม หากตอบไม่ได้จะเว้นวรรคนิดหนึ่งแล้วถามหัวหน้า เลยทำให้เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา บอกว่ากำลังจะโอนเข้าบัญชีเราแล้วนะ ให้เราบอกเลขที่บัญชี เราก็เชื่อ บอกไป เพราะเราซักถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเยอะแล้ว และก็อยากได้เงิน" เหยื่อสาวรายที่สองสารภาพ

    มิจฉาชีพรายนี้ถือว่ามีจิตวิทยาสูง กระตุ้นให้เหยื่อรีบตัดสินใจด้วยเหตุผลต้องการเคลียร์เงินรางวัลให้กับผู้โชคดีโดยเร็ว หลังได้เลขที่บัญชีไปแล้ว ก็พยายามกระตุ้นให้เหยื่อเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อเช็คยอดเงินในบัญชีว่าได้รับหรือไม่ แต่เจ้าของบัญชีก็ยังนิ่งนอนใจไม่ไปเช็คยอดเงิน

    หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็โทรมาอีกครั้ง กระตุ้นให้เธอไปเช็คยอดเงินที่ตู้เอทีเอ็มอีกครั้ง คราวนี้เธอเดินไปเช็คเงินปรากฏว่า...เงินรางวัลยังไม่เข้าบัญชี

    ด้วยความหงุดหงิด เหยื่อจึงโพล่งกลับไปว่า... "มีเงินในบัญชีคงค้างแค่ 100 บาท ไม่เห็นมีเงินใหม่เข้ามา"

    เข้าใจว่าประโยคนี้ ทำให้มิจฉาชีพขำไม่ออก เพราะกะจะฟันเงินในบัญชีเหยื่อ ที่แท้มีเงินในบัญชีแค่ร้อยเดียว มิจฉาชีพรายนี้จึงไม่โทรกลับมาที่เหยื่ออีกเลย !!!

    เมื่อเหยื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงจัดแจงปิดบัญชีเดิม เปิดบัญชีใหม่ พร้อมเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็ม

    เหยื่อรายหลังสุด ค่อนข้างแหวกแนว หวือหวา กว่าสองรายแรก หนุ่มพนักงานออฟฟิศรายนี้ ถูกแก๊งมิจฉาชีพโทรมาปลุกให้ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ซึ่งเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังงัวเงียสะลึมสะลือ

    เหยื่อรายนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขารับสาย เสียงอัตโนมัติตามสายก็แจ้งยอดหนี้บัตรเครดิตก้อนเบ้อเร่อให้เขา

    อาการงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง ความกังวลเข้าครอบคลุม

    "ท่านได้ค้างชำระหนี้บัตรเครดิตให้ติดต่อกลับด่วน หรือถ้ามีข้อสงสัยให้กด 9 " เขาก็รีบทำตามอย่างปัจจุบันทันด่วน

    3 นาทีที่ยาวนานผ่านไป กว่าจะมีเสียงชายคนหนึ่งพูดแหวกสายโทรศัพท์กลับมาว่า "มีอะไรให้ช่วยเหลือครับ"

    เขารีบตอบกลับทันที ขณะที่มิจฉาชีพสอบถามกลับมาด้วยความคล่องแคล่ว เพื่อสอบถามชื่อและนามสกุลของเหยื่อรายนี้ ทำทีเป็นหวังดีจะตรวจสอบให้

    จากนั้นมิจฉาชีพรายนี้ก็ตอบกลับมาว่า เขามียอดหนี้จากการเบิกเงินสดวงเงิน 20,000 บาท เป็นการไปรูดซื้อโทรทัศน์สีที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เหยื่อรายนี้นึกทันทีในขณะนั้นว่า...เขาคงโดนสวมรอยจากคนที่คุยด้วย หรือไม่ก็ต้องมีใครทำบัตรปลอมโดยใช้ชื่อเขาไปรูดซื้อสินค้า

    ...เพราะเขาไม่มีบัตรเครดิตสักใบ

    แต่ร้อนใจจึงถามกลับไปว่า...จะต้องทำอย่างไรต่อไป

    เสียงตามสาย ตอบกลับโดยอ้างตัวว่า เป็นพนักงานจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ แจ้งว่า "เดี๋ยวทางเราจะให้เบอร์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมกับจะเปลี่ยนรหัสแม่เหล็กให้คุณใหม่"

    แต่เหยื่อก็ไม่ประมาท จึงขอชื่อมิจฉาชีพไว้ติดต่อ มิจฉาชีพก็ให้ชื่อปลอมว่า "วิชัย เจริญสุข"

    มิจฉาชีพยังโอนสายให้เหยื่อคุยกับมิจฉาชีพอีกรายหนึ่ง ที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายจัดการหนี้สินเพื่อคุยในรายละเอียด โดยเขา (วิชัย) อ้างว่าเป็นเพียงพนักงานโอเปอเรเตอร์

    น้ำเสียงโอเปอเรเตอร์รายแรกเหมือนคนกะเหรี่ยงพูดไทยไม่ชัด แต่มิจฉาชีพอีกรายสำเนียงกลับแย่กว่ารายแรกไปอีก พูดไม่เต็มเสียงเหมือนคนต่างด้าว ทำให้เหยื่อชักจะตงิดๆ ว่าโดนหลอกซะละมัง

    มิจฉาชีพรายนี้มาฟอร์มเดิม คือ พยายามขอหมายเลขบัตรเครดิต

    แต่เหยื่อไม่มีบัตรเครดิตสักใบ จึงตอบกลับไปว่า

    "คุณกำลังทำอะไร ผมไม่มีอะไร บัตรอะไรเกี่ยวกับธนาคารกรุงเทพเลย" พนักงานหญิงที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอ้างว่า ยังไงเขาก็มีบัตร เพราะข้อมูลของธนาคารระบุไว้เช่นนั้น และยังบอกอีกว่า...

    "เรากำลังช่วยคุณอยู่นะ ทั้งๆ ที่มีลูกค้าคนอื่นรออยู่เยอะ โปรดให้ความร่วมมือกับเราด้วย" นี่คือจิตวิทยาที่มิจฉาชีพใช้กับเหยื่อ

    เหยื่อออกอาการสับสน กังวลใจ หากเรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริง จะกลายเป็นว่า...เขาไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคารหรือ

    ทำอย่างไรดี ???

    สุดท้ายเหยื่อจึงขอเบอร์ธนาคารกรุงเทพ สาขาที่ว่า ขณะที่มิจฉาชีพตกใจเล็กน้อยและว่า...

    "คุณโทรไปก็ได้ แต่สุดท้ายคุณก็ต้องโทรมาหาเราอีกนั่นแหละ เพราะเราเป็นฝ่ายจัดการกับเรื่องข้อมูลที่ให้คุณ ดิฉันกำลังยุ่ง และคุณก็เป็นฝ่ายโทรมาหาเราเอง"

    เป็นงั้นไป !!!

    หลังจากนั้นทั้งเหยื่อและมิจฉาชีพต่างวางสายโทรศัพท์โครมใหญ่

    เหยื่อไม่หยุดเท่านั้น รีบโทรไปเช็คที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ และสาขาบางกะปิ ว่ามีคนชื่อ "วิชัย" หรือไม่ สรุปว่าไม่มีชื่อพนักงานคนนี้ และแบงก์ก็แจ้งว่า พนักงานโอเปอเรเตอร์ ไม่มีหน้าที่ติดต่อลูกค้าในลักษณะดังกล่าว

    นอกจากนี้ทางธนาคารกรุงเทพยังแจ้งว่า เคยมีกรณีคล้ายกันโทรมาถามธนาคารเยอะมากในช่วงนี้

    สุดท้ายเหยื่อจึงรู้ว่า...ถูกล้วงคองูเขียว

    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทั้งผู้ถือบัตรและไม่มีบัตรทั้งหลายพึงตระหนักถึง "ภัยตามสาย"

    ในกรณีนี้ "โชค ณ ระนอง" ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า รูปแบบการติดต่อกับลูกค้าดังกล่าว มิใช่เป็นของสถาบันที่ออกบัตร แต่เป็นวิธีการของกลุ่มมิจฉาชีพเพื่อหวังข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ไปทำการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ทางชมรมกำลังตรวจสอบเพื่อติดตามแหล่งที่มาของกลุ่มมิจฉาชีพอย่างเร่งด่วน

    "ขอย้ำกับลูกค้าให้เก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของท่านเป็นข้อมูลลับเฉพาะ หากมีปัญหาหรือข้อสงสัย กรุณาติดต่อกลับศูนย์บริการบัตรเครดิตที่ท่านถืออยู่ โดยดูเบอร์ติดต่อกลับได้ที่ด้านหลังบัตรทุกใบ

    ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของสถาบันเป็นฝ่ายติดต่อลูกค้า ทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งวัตถุประสงค์ของการติดต่อเท่านั้น ไม่มีการสอบถามข้อมูลส่วนตัว"

    ข่าว : กรุงเทพธุรกิจ BizWeek
     
  4. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    ขอบคุณค่ะ คุณสิทธิพงษ์ ว่าแต่ พระสมเด็จปีระกา องค์ไหนเนี่ย เห็นมีสมเด็จอยู่ 2 องค์
    คุณพันวฤทธิ์ ขอให้เทียวให้สนุกนะคะ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปีระกาป่วงใหญ่ ผมจะถามคุณพันวฤทธิ์ให้อีกครั้งนะครับ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post758130 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-10-2007, 10:07 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10842 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_758130", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต



    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 16,062 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 90,417 ครั้ง ใน 12,294 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10677 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_758130 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ช่วงนี้ งานผมเองค่อนข้างเยอะมาก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ผมขอลาพักร้อน พักงานบุญไว้ก่อน

    หลังปีใหม่(2551)นี้ ผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งว่า ผมจะมอบพระพิมพ์ไหนให้กับท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งอีกนะครับ


    ขอขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านที่ให้กำลังใจนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ผมได้รับเงินจากพี่สองท่านที่ร่วมทำบุญพิมพ์หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร จำนวน 32,250 บาท ผมได้ดำเนินการส่งเงินจำนวนนี้ให้คุณ นายสติ เรียบร้อยแล้ว ขอโมทนาบุญกับพี่ทั้งสองท่านด้วยครับ

    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์
    โมทนาสาธุทิพย์

    .
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ประวัติ Martin Wheeler ฝรั่งที่ให้ข้อคิดดี ๆ กับคนไทย
    ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
    ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
    ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
    ๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
    ๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
    ๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน
    *** ผมเป็นชาวอังกฤษ
    เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐ กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว
    *** ปฏิวัติค่านิยมเก่า
    ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย
    หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ
    แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง
    ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง มี่กี่คัน คุณมีบ้านใหญ่ ขนาดไหน ลูกของคุณเรียนที่ไหน เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย
    ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่
    *** พ่อแม่และผม
    ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมคิดว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย
    แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย
    *** ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
    สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้ ๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย
    ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทย ก็แปลกดีเหมือนกัน เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ
    *** เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข
    ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
    ๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
    ๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
    ๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข
    *** หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวัง
    ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วย จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมือง ไปอยู่บ้านนอก แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยาย เห็นว่า เป็นธรรมชาติดี
    ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้ เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะ แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่ กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวย ถึงขั้นจริงๆ เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า
    เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต
    ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว ทำให้มีคนจนเยอะ ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ
    *** แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต
    ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบาก ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้ แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก ๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้ เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่ ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย
    บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า ๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี ๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้ มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร
    *** นิยามความรวยกับความจน
    มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่
    ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า
    ๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
    ๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว
    *** วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
    ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ ๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ ๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยาก ให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก
    คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้
    ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียน หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขามีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)
    แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคน มีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจ ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่
    *** วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา
    ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง สอนภาษาอังกฤษ เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เขายังไม่บอกผมเลย ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษ เพื่ออะไร
    สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ ที่ไม่เป็น ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า เอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย
    ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ ๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย ๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย ๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้ ๔. ไปอยู่ในเมือง ๕. ไปรับจ้างเขา ๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย (((โอ๊ตด้วยครับ))) ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย ที่จะช่วยให้เขา ได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า
    *** จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย
    ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ เหมือนประเทศไทย
    พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติโดย ไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    *** อยากบอกอะไรคนไทย
    คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป
    - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -

    จากศึกษาคนอื่นแล้วมองดูตนเอง
    ผมเป็นลูกเกษตรกร บิดาเมื่อก่อนเป็นครูปัจจุบัน ทั้งบิดาและมารดาเป็นชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน

    เกิดเมื่อวันพุธที่ 27 มิถุนายน 2522 ปัจจุบันอายุ 28 ปี

    การศึกษา
    ปวช.-ปวส. ช่างกลเกษตร
    ปริญญาตรี เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

    ด้านการงาน
    ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ Computer Support
    อนาคต.....อีกไม่นานคงกลับไปเป็น เกษตรกรแนวใหม่
    จะต้องเลี้ยงดูบุตรให้เป็นคนดี


    น้องโอ๊ต
    (rose) คนที่ราบสูง(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2007
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    หึหึ ต้องทำ Job Rotation กันหน่อยนะ ผลิตได้ต่ำแบบนี้ จะได้ทำกันครบวงจร เป็นแล้ว แยกย้ายกันไปเปิดสาขา เปิดได้ 10 สาขา แทนที่จะได้วันละ 50 องค์เป็น 500 องค์ เปิดไป 100 สาขา เหนือ-ใต้-ออก-ตก-กลาง ได้เดือน 5,000 องค์ แบบนี้มีโอกาสรวยกว่า และรวยเร็ว คุณโสระสนใจมาสลับตำแหน่งทดลองกันก่อนไม๊ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2007
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแล้วครับพี่น้อง

    ไว้เจอกัน จะนำพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ (เป็นของวังหน้า) นำไปให้ชมกัน ต้องบอกว่า พิมพ์นี้เป็นปู่เนื่องจากองค์ใหญ่ น่าจะประมาณ 2 นิ้วได้ และพิมพ์วัดสามปลื้ม,พิมพ์เจ้าสัว ฯลฯ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิต แถมมีหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน รักสีแดง พรรณาไม่หมด

    อ๋อ เกือบลืม มีพระสมเด็จวัดระฆังอีกหลายๆองค์ด้วย ผมเคยบอกกับหลายๆคนว่า พระสมเด็จที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านอธิษฐานจิตไว้ให้นั้น หาง่าย หาไม่ยาก มีเพียงแต่บางพิมพ์เท่านั้นที่หายาก

    แต่บอกกันก่อนว่า นำไปให้ชมเท่านั้นนะครับ ไว้นัดเจอกันครับพี่น้อง

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มาแล้วครับพี่น้อง

    ไว้เจอกัน จะนำพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ (เป็นของวังหน้า) นำไปให้ชมกัน ต้องบอกว่า พิมพ์นี้เป็นปู่เนื่องจากองค์ใหญ่ น่าจะประมาณ 2 นิ้วได้ และพิมพ์วัดสามปลื้ม,พิมพ์เจ้าสัว ฯลฯ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านอธิษฐานจิต แถมมีหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน รักสีแดง พรรณาไม่หมด

    อ๋อ เกือบลืม มีพระสมเด็จวัดระฆังอีกหลายๆองค์ด้วย ผมเคยบอกกับหลายๆคนว่า พระสมเด็จที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีท่านอธิษฐานจิตไว้ให้นั้น หาง่าย หาไม่ยาก มีเพียงแต่บางพิมพ์เท่านั้นที่หายาก

    แต่บอกกันก่อนว่า นำไปให้ชมเท่านั้นนะครับ ไว้นัดเจอกันครับพี่น้อง

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง รักแดง สวยจริงๆ
    หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง รักดำมีคาดเชือก งามแต้ๆ
    :cool: :cool: :cool:
    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โปรดระวัง ห้ามลอกเลียนแบบ

    อาจทำให้คอท่าน เคล็ด ขัด ยอก ได้ เราเตือนท่านแล้ว

    .
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    น่า อิด-ฉา ท่านปา-ทานจริงๆ อิทธิคุณเพียบพร้อมไม่มีคำบรรยาย เลยครับ นับเล่นๆ ห้อย3เส้น เส้นละ 9องค์2เส้นเป็น 18ล่ะ บวกกับ อีกเส้น 5 รวมเป็น 23องค์ ว้าว!!! (b-uh)
    ผมก็สงสัยมานาน ห้อยระดับนี้ไม่น่ามีปัญหา ใช่ไหมครับ ผบ.ก็ผบ.เถอะ แต่ ...พอกลับเข้าบ้าน ท่าน ปา-ทานต้องถอดออกนี่เอง
    เลยได้แต่ คร้าบ...ผม ฮิๆๆๆ ขอเตือนครับ นี่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ผมก็เป็นเหมือนกันครับ กาแฟรอเดี๋ยวจ๊ะ(b-ahh)
     
  15. teerachaik

    teerachaik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +435
    คุณหนุ่ม ผมได้รับพระ แล้วครับ
    ขอบคุณครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    โปรดระวัง ห้ามลอกเลียนแบบ

    อาจทำให้คอท่าน เคล็ด ขัด ยอก ได้ เราเตือนท่านแล้ว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โรคนี้ รักษาไม่หาย ส่วนใหญ่เป็นโรคติดต่อ
    พอได้เวลาต้องรีบไปกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ
    โอ้ย ทำไมงานเยอะจัง

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบัญชีออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
    http://palungjit.org/showthread.php?p=783154#post783154

    "ให้ร่วมกันสร้าง เราจะมาโปรดสัตว์ไม่ให้สร้างคนเดียว"
    http://palungjit.org/showthread.php?t=57546&page=76

    <TABLE class=tborder id=post781121 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">29/06/2550, 04:17 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1812 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พสภัธ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_781121", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 07:13 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 3,016 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 4,196 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 25,171 ครั้ง ใน 2,859 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2937 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_781121 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โต(กุมาน้อย)ขอส่งข้อความส่ง คุณโยมสิทธิพงษ์ หน่อย..นะ..จ๊ะ...คือว่า..หลวงพ่อท่านให้บอกว่า..คุณโยมพอจะมีพระองค์เล็กๆ เพื่อจะได้มอบให้แก่ญาติโยม ที่เดินทางมาทอดกฐินในครั้งนี้..หรือ..เปล่า..เพราะของพระ อ. ไม่มีแจกให้โยมเป็นอนุสรณ์เลย...ถ้าคุณโยมสิทธิพงษ์..มีก็ขอบิณฑบาตรส่งมาสร้างบารมีด้วย..นะ..จ๊ะ...สาธุ..สาธุ..สาธุ..
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พสภัธ [​IMG]
    โต(กุมาน้อย)ขอส่งข้อความส่ง คุณโยมสิทธิพงษ์ หน่อย..นะ..จ๊ะ...คือว่า..หลวงพ่อท่านให้บอกว่า..คุณโยมพอจะมีพระองค์เล็กๆ เพื่อจะได้มอบให้แก่ญาติโยม ที่เดินทางมาทอดกฐินในครั้งนี้..หรือ..เปล่า..เพราะของพระ อ. ไม่มีแจกให้โยมเป็นอนุสรณ์เลย...ถ้าคุณโยมสิทธิพงษ์..มีก็ขอบิณฑบาตรส่งมาสร้างบารมีด้วย..นะ..จ๊ะ...สาธุ..สาธุ..สาธุ..

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

    เรื่องพระพิมพ์ที่จะแจกงานกฐิน ผมพอมีอยู่ครับ ผมถวายพระพิมพ์ประมาณ 3-400 องค์ครับ
    ผมขอคุยกับคุณโต ว่าจะถวายอย่างไรดีนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    โมทนาสาธุครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post774788 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">25-10-2007, 11:05 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#11109 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_774788", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:47 AM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 16,391 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,673 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 92,894 ครั้ง ใน 12,580 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10959 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_774788 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ผมมีคำถามที่จะมาถามทุกๆท่าน อยากให้แสดงความคิดเห็นกันมากๆ


    นาย ก ได้เปิดกระทู้เพื่อรับบริจาคในการทำบุญสร้างโบสถ์ 1 หลัง เปิดกระทู้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 โดยให้ผู้ที่สนใจที่จะร่วมทำบุญให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของนาย ก(ซึ่งเพิ่งจะเปิดบัญชีในวันที่ 1 มกราคม 2550) โดยมีกำหนดการถถวายเงินที่รับบริจาคมาให้กับวัดในวันที่ 30 มิถุนายน 2550
    วันแรกมี นาย ข โอนเงินร่วมทำบุญ 100,000 บาท
    วันที่สอง มี นาย ง โอนเงินร่วมทำบุญ 10,000 บาท
    เดือนต่อมา( 14 กุมภาพันธ์ 2550) มี นาย จ โอนเงินร่วมทำบุญ 10,000 บาท
    เดือนสุดท้าย( 1 มิถุนายน 2550) มี นาย ช โอนเงินร่วมทำบุญ 500,000 บาท

    มีผู้ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังนี้ จำนวน 620,000 บาท

    พอวันที่ 30 มิถุนายน 2550 นาย ก ได้ถอนเงินออกจากบัญชี จำนวน 620,000 บาทแล้วนำไปถวายวัด เพื่อร่วมสร้างพระอุโบสถ ตามเจตนาที่ผู้ร่วมทำบุญมีความประสงค์ที่จะร่วมสร้างพระอุโบสถ

    ถามว่า
    1.นาย ก ได้บุญหรือไม่ อย่างไร
    2.คุณคิดอย่างไรกับดอกเบี้ยที่เกิดจากการฝากเงิน(ที่ทั้ง 4 คนร่วมทำบุญ) ไว้ในบัญชีของ นาย ก นาย ก มีสิทธิที่จะนำไปใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ อย่างไร และดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนั้น(ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินมากหรือน้อย) ควรจะเป็นสิทธิของใคร ระหว่าง นาย ก , วัด , ผู้บริจาค

    สำหรับท่านที่ร่วมตอบปัญหานั้น ถ้ามีการนำบทความในพระไตรปิฎกมาอ้างอิง(ต้องระบุด้วยว่า จากพระสูตรไหน ,พระอภิธรรมไหน ฯลฯ) ผมจะมีพระพิมพ์มอบให้ จำนวน 1 องค์
    แต่ถ้าท่านใดที่ร่วมตอบปัญหา ไม่มีการนำบทความในพระไตรปิฎกมาอ้างอิง ขออนุญาตไม่มอบพระพิมพ์ให้นะครับ

    สิ้นสุดรับคำตอบ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 นี้ครับ
    พระพิมพ์ที่ผมจะมอบให้นั้น ผมคัดมาให้เป็นพิเศษ แต่จะอุบไว้ก่อน น่าจะเป็นพิมพ์ฝีพระหัตถ์พระปิ่นเกล้า ปี 2408(รุ่นนี้มี 8 พิมพ์) จำนวน 1 องค์ ครับ

    แต่ต้องตอบโดยมีหลักฐานอ้างอิงในพระไตรปิฎกด้วยนะครับ อาจจะใช้วิธีการเทียบเคียงได้ ถ้าไม่มีการอ้างอิงโดยตรง ถ้าคัดลอกมาได้ จะมอบพระพิมพ์เพิ่มให้อีก

    การอ้างอิง ต้องบอกนะครับว่า พระสูตรชื่ออะไร และได้จากที่ไหน

    โชคดีนะครับทุกๆท่าน

    สิ่งหนึ่งที่ผมได้นำมาถามนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะกระทบใคร หรือยกตนข่มท่าน ว่าผมทำดีกว่าคนอื่นในเรื่องดังกล่าว

    แต่จะให้เป็นข้อคิดเห็นสำหรับทุกๆท่าน และเป็นการเพิ่มพูนความรู้ต่างๆสำหรับท่านที่เข้ามาตอบ เนื่องจากต้องเข้าไปอ่านในหนังสือพระไตรปิฎก ก็จะได้ความรู้อื่นๆกลับมาไม่มากก็น้อยครับ


    อีกประการหนึ่งก็คือ ท่านผู้อ่านลองนำไปคิดและวิเคราะห์ดูเองว่า มีความคิดเห็นอย่างไร โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดเสมอว่าต้องยึดถือในพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่เสมอๆครับ


    <!-- / message --><!-- sig -->


    โมทนาสาธุครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...