กฎของกรรม......บุพกรรมของคน 3 คน ตอนที่4

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 16 มีนาคม 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นออกมาแล้ว ก็เดินทางต่อไป บรรดาพวกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเวลามาถึงสำนักขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็มาบรรจบกันกับภิกษุพวกก่อนในระหว่างทาง หมายความว่า ก่อนจะถึงเดินมารวมกันโดยมิได้นัดหมาย ก็เลยรวมกันเป็นคณะเดียวกันเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว
    ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกระทำพุทธปฏิสันถาวรทักทายปราศรัยแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น จึงได้ทูลถามเหตุที่ตนเห็นมา และที่ตนได้เสวยมาแล้วตามลำดับ (หมายความว่า พระสองพวกแรกถามเหตุของกา เหตุของกา เหตุของหญิงเมียนายเรือ บรรดาพระพวกหลังก็ถาม เหตุต้องอดข้าวถึง 7 เพราะอาศัยหินเจ้ากรรมมันทำเหตุ )
    ลำดับนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จึงได้พยากรณ์กรรดาภิกษุ ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั้นโดยแท้ (หมายความว่า กาที่บินมาในอากาศที่ต้องตาย เพราะเอาคอเข้าไปสวมเสวียน ที่มีไฟลุกโชน หลังจากนั้นองค์ องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้มี พระพุทธฎีกาตรัสว่า
    ในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี เขาพยายามฝึกโค คือ วัวของเขา สำหรับชาวนาไถนา สำหรับใช้งานอยู่ตัวหนึ่ง แต่ว่าเจ้าวัวตัวนี้มันก็แปลก มันเป็นวัวดื้อ วัวด้าน ไม่สามารถจะฝึกได้ เพราะว่าวัวเขาตัวนั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วมันก็นอนเสียให้ มันทำงาน ใช้ไถนา ใช้ลาเกวียน ใช้ลากล้อ มันไปได้หน่อยหนึ่ง มันก็นอน เจ้าของทุบตี ไล่ไห้มันลุกเดินมันก็ไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วมนก็นอนเหมือนเดิม ชาวนานั้นโกรธแม้จะพยายามฝึกแล้ว ฝึกเล่า มันก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงได้บอกกับวัวว่า ดีละ เจ้าวัวดื้อ บัดนี้เจ้านอนสบายที่ตรงนี้แล้ว จงนอนให้สบาย (คือ ไม่ต้องลุกจากที่นี้แล้ว )
    ฉะนั้น เขาจึงได้นำท่อนฟื้นบ้าง ฟางบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอาฟาง มาทำเป็นเสวียน พันคอโค ก่อนที่จะจุดไฟ เขาเอาฟืนท่อนเล็กๆ ทับ ลงไปที่ตัวก่อน แล้วเอาฟางกลุ่มใหญ่มาผูกคอ แล้วก็ทับไปที่คอโค แล้วก็จุดไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้น คลอกวัวตัวนั้นถึงแก่ความตาย บรรดาพระภิกษุทั้งหลายเหล่าก็ทราบ กรรมที่กาตัวนั้นพึงจะถูกกระทำ
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อันนั้นทำแล้วในครั้งนั้น (คือสมัยที่เขาเกิดเป็นคนเผาโค) ตัวเขาเองต้องไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดขึ้นแล้ว ในกำเนิดแห่งกา 7 ครั้ง (หมายความว่า เผาโคครั้งเดียวแต่เขาต้องเกิดเป็นกา 7 ครั้ง แล้วต้องถูกเผาแบบไม่มีเจตนาของใครถึง 7 ครั้งด้วยกัน ) แล้วตายในอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ด้วยผลของกรรมที่ปรากฏในกาลก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์เรื่องของกาที่ถูกเสวียนไฟคล้องคอตายแล้ว บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น ที่พบหญิงภรรยาของนายเรือ ที่ถูกจับถ่วงน้ำ จึงได้กราบทูลขอผลของกรรม แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หญิงภรรยานายเรือนั้น เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าข้า จึงได้กลายเป็นคนกาลกิณี เรือนั้นวิ่งมาเฉยๆแล้วก็หยุด ไม่สามารถจะทำอะไรให้เรือเคลื่อนไปได้ ทั้งๆ ที่ใบก็กางอยู่และลมก็มี เป็นเหตุให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้น มีความสงสัยว่า จะมีคนกาลกิรีเกิดขึ้นในเรือ แล้วจึงจับสลากกัน สลากสำหรับคนจับกาลกิณีมีใบเดียว เราทำครบทุกคน เมื่อจับแล้ว เธอจับถูกสลากนั้นถึง 3 วาระ ในที่สุด ก็จำจะต้องถูกจับถ่วงน้ำตาย
    ในอดีตกาลนานมาแล้ว หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของคหบดีคนหนึ่งในกรุงพารณสี ได้กระทำกิจทุกอย่าง มีการตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น ด้วยมือขอเธอเอง ความหมายว่าเธอเป็นขยัน นางเองมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง สุนัขตัวนั้น มีความจงรักภักดีต่อนางมากนั่งดูแล นางนั้น ก็มองดูอยู่ตลอดเวลา มันมีความจงรักภักดี เมื่อนางเอาข้าวปลาอาหาร ไปนาก็ดี นำไปส่งสามีเวลาทำนา เจ้าสุนัขนั้นมันก็ไปด้วยเวลาที่นางจะไปป่า ต้องการหาวัตถุต่างๆ มีฟืน และผัก เป็นต้น เจ้าสุนัขตัวนั้นมันก็ไปกับเธอด้วยเสอมๆ เป็นอันว่า สุนัขมีความจงรักภักดีในเอถือว่าเป็นนายที่น่ารัก เป็นนายที่เมตตามัน
    บรรดาคนหนุ่มทั้งหลาย เห็นว่าเวลานางไปไหน ก็มีสุนัขตามไปด้วยก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พวกเราเว้ย มาดูนายพรานสุนัขหญิง นางพรานสุนัขมาแล้ว จะไปไหนก็ตาม ย่อมมีสุนัขไปด้วยเสมอๆ วันนี้พวกเราจะกินข้าวกับเนื้อ (คำว่าพรานสุนัข หมายความว่า พรานสุนัขเป็นเครื่องมือเวลาที่จะไปไล่เนื้อ ก็ให้สุนัขวิ่งไปกัด ไล่เนื้อเข้ามาทางพราน พรานก็ยิง หรือว่าเนื้อไปทางสุนัข สุนัขก็กัด แกก็ล้อเลียนว่า วันนี้เราจะกินข้างเนื้อ เพราะว่าพรานสุนัขจะนำเนื้อไปขาย หรือนำมาแจกกับพวกเรา ) จะไปทางไหนก็ตาม เจ้าหนุ่มๆ ทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ล้อ มันก็เลียน นางก็ความขวยเขิน ละอายต่อคำพูด ของบรรดาพวกชนเหล่านั้น
    ตอนนี้มาถึงกรรม ด้วยความอาย ลืมนึกไปว่า สุนัขนั้นมีความจงรักภักดี ที่ไปอย่างนี้ก็เพราะว่า ตามธรรมดา สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์เราจะตี เราจะด่า เราลงโทษมันประการใดก็ดี สำหรับสุนัข ประเดี๋ยวมันก็เดินเข้ามาประจบประแจง ในคำว่าสุภาษิตบางส่วน หรือคนบางท่าน ได้กล่าวว่าขึ้นชื่อว่า ความรู้กตัญญูรู้คุณ บางทีสุนัขจะดีกว่าคนหลายคน เพราะคนหลายคน ที่เราบำรุงบำเรอด้วยดี เขาก็มีความรัก ถ้าผิดใจนิดเดียว เขาก็อาจฆ่าเราได้
    นางอายแก่ใจแบบนั้นแล้ว แทนที่จะคิดเป็นอย่างอื่นว่า สุนัขตัวนี้ในมีความจงรักภักดีแก่ตน กลับประหารสุนัขตัวนั้นเสีย คำว่า ประหาร หมายความว่า ขว้างบ้าง ตีบ้าง ขว้างด้วยก้อนดินบ้าง ตีด้วยท่อนไม้บ้างเป็นต้น ให้สุนัขนั้นหนีไป สุนัขไปแล้ว มันก็ไม่รู้ว่า นายของมันไล่ทุบไล่ตีมัน ด้วยความผิดอะไร <O:p</O:p
    ต่อมาท่านบอกว่า ได้ยินว่า สุนัขตัวนั้นเคยเป็นสามีของนางมาก่อนในชาติที่สุนัขติดตาม มีความจงรักภักดี ก็ต้องคิดเหมือนกันว่า สุนัขตัวนั้น ได้เคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนๆ มาถึง 3 ชาติด้วยกัน เพราะเหตุฉะนั้น มันจึงไม่อาจที่จะตัดความรักในนางได้ เมื่อนางขว้าง นางจะตี นางจะไล่ ประการใดก็ตามทันทีเมื่อนางหยุด นางไปไหน มันก็ตามไปด้วยความจงภักดี ต่อไปตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า
    จริงอยู่ ใครๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นผัวเมีย หรือว่าเป็นผัวเมียกัน (ศัพท์ภาษาเพราะหน่อยเขาเรียกเป็นสามีภรรยา) มาในกาลก่อน ในสงสารอันเป็นที่สุด อันบุคคลไปตามไม่รู้แล้ว (หมายความว่า ในอัตภาพต่างๆ ที่เราเกิดมามันใช้เวลานานมาก ใช้เวลาเป็นแสนๆ กัป แต่ละกัปๆ บางทีเราอาจเกิดตั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง วนกันไป วนกันมา ท่านกล่าว ผู้หญิง ผู้ชาย ที่เกิดมาในโลกทั้งหมดนี้ ที่ไม่เคยเป็นสามี ภรรยากัน ไม่มี อาจจะเคยสัมผัสผ่านบางกันเป็นวาระ ครั้งหนึ่ง หรืองสองครั้ง หมายถึงความว่า ในชาติหนึ่ง หรืองสองชาติ สามชาติก็ได้ เพราะเราเกิดเป็นร้อยๆ ล้าน ครั้งไม่ใช่แสนๆ ครั้ง นับเป็นร้อยๆ ล้านครั้งก็ได้ เพราะการเกิดมีนับไม่ถ้วน เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดาเป็นพรหมบ้าง เป็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง โดยเฉพาะที่เกิดมาเป็นคน มันก็นับไม่ถ้วน)
    ท่านกล่าวว่า ถึงว่ากระนั้น ความรักมีประมาณยิ่ง (หมายความว่าความรัก ที่มีความสนิทชิดเชื้อมาในกาลก่อน เคยเป็นสามีภรรยากันในกาลก่อนมันมีประมาณมาอย่างยิ่ง) ท่านกล่าวต่อไปว่า ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันกันในอัตภาพไม่ไกล (หมายความว่า บางทีคนในชาตินี้ เกิดต่างพวกต่างพ้อง ต่างพี่น้อง ต่างบิดามารดา แต่ในกาลก่อนเป็นญาติกันมาก็เกิดความรัก พอได้ยินชื่อ ก็นึกรักคนนั้นขึ้นมาทัน เหมือนกับว่าเป็นพี่น้องกัน อย่างนี้ เป็นต้น เรื่องนี้ปรากฏแก่บุคคลหลายคน เพราะว่าว่าบางทีเค้าไม่เคยเห็นหน้าเขา แต่ว่าได้ยินชื่อว่า คนนั้นคนนี้เราเกิดความพอใจ)
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า เพราะเหตุนั้น สุนัขตัวนั้นจึงไม่อาจที่จะนางไปได้ ถึงนางจะทุบตีเป็นประการใด เขาก็ไม่โกรธนาง แสดงความจงรักภักดี
    ปัจจัยนี้เอง บรรดาท่านทั้งหลาย องค์สมเด็จไตรจึงตรัสว่าเป็นเหตุให้ นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อให้สามีที่นาแล้ว นางจึงเอาเชือกใส่ไว้ที่พกแล้วจึงเดินทางไป สุนัขตัวนั้น เห็นนายที่เป็นที่รักของมัน คือภรรยาอัตภาพชาติก่อนๆ ไปแล้ว มันก็ไปกับนางเหมือนกัน จามนางไป ไปไหนก็ก็ตามไปด้วย นางให้ข้าวยาคูแกสามีแล้ว ถือเอากระออมเปล่า (วันนี้วางแผนฆ่าสุนัข เวลาที่จะเอาข้าวไปให้สามีก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อเอาข้าวให้สามีแล้วก็ถือกระออมเปล่า )สู่แม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อไปริมแม่น้ำแล้ว นางก็ตักทรายใส่กระออมจนเต็ม(จะได้มีน้ำหนักมากๆ) แล้วจึงได้ให้สัญญา เรียก สุนัขตัวซื่อสัตย์เข้ามา(สามีเก่าของนาง) ให้มายืนที่ใกล้ๆ เจ้าสุนัขมันดีใจ วันนี้เจ้านายใจดี อุตส่าห์เรียกเข้ามา มันจึงเข้ามาหา เพราะความดีใจ
    แล้วนางจึงกล่าวว่า นี่เอ มันนานแล้วนะ ที่เราได้รับการเยาะเย้ยจากพวกชาวบ้านต่างๆ ก็เพราะตัวเจ้าเป็นสำคัญ ในวันนี้ เจ้ากับเราเห็นจะต้องจากกันเสียแล้ว ความจริง นางพูด เจ้าสุนัขไม่รู้เรื่อง มันดีใจที่นายพูดกับมัน แต่มันไม่รู้ว่าพูดว่าอย่างไร สุนัขเข้าใจเพียงสัญญาเรียกมันมา มันก็มา จะให้มันกิน มันก็กิน มันจำสัญญาบางอย่างเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เจ้าสุนัขกระดิกหาง ดีใจหูรี่ หมอบอยู่ข้างๆ นาง นางจึงได้จับเจ้าสุนัขตัวนั้น (จับก็ไม่ต้องแรง ท่านบอกว่า ใช้มือจับอย่างมั่นที่คอแล้ว หมายถึงลูบๆ คลำๆ จับมัน มันก็ยอมให้จับแต่โดยดี) จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมที่ใส่ทรายจนเต็ม แต่แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข เมื่อทำเสร็จ ( จะทำอย่างไรเจ้าสุนัขมันก็ยอ เพราะมันมีความรัก) จึงได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ กระออมมันหนัก เจ้าสุนัขนั้นก็ถึงกาละ ( คือตาย ) ในที่นั้นเอง
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า เพราะอาศัยกรรมเพียงเท่านี้นางนั้นต้องไหม้ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะกรรมที่ฆ่าสัตว์ และ เพราะว่าอาศัยผลกรรมนั้น (คำว่า วิบาก แปลว่า ผล ) ด้วยผลของกรรมที่เหลือ คือเศษกรรมที่เหลืออันนั้น ที่นางเอากระออม ที่เต็มไปด้วยทราย ผูกคอสุนัขถ่วงน้ำ นางตายเพราะเหตุที่เขาถ่วงน้ำแบบนี้สิ้นมาแล้ว 100 ครั้ง (คือ 100 อัตภาพ)


    นี่กฎของกรรมที่เรามองเรามองไม่เห็น บรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้นเกิดมาในชาตินี้ ถ้าบังเอิญจะมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นปัจจัยให้เรามีทุกข์ ทั้งๆที่เราพิจารณาแล้ว่า กรรมความชั่วประเภทนี้ ไม่มีสำหรับเราถ้า เรามีความสงสัยอย่างนั้น จงคิดถึงเรื่องกา กับ เรื่องหญิงซึ่งเป็นภรรยาของนายเรือนี้ก็แล้วกัน ว่ากรรมที่เราทำแล้ว เรามองไม่เห็นชาตินี้แม้ว่าจะทำความดีเพียงใดก็ตามที ก็เป็นเรื่องยาก ที่เหล่าเราทั้งชาติถึง แม้ว่าจะทำความดีเพียงใดก็ตามที ก็ป็นเรื่องยาก ที่เหล่าเราทั้งหลาย จะทราบว่า กรรมทั้งหลายเหล่านั้น มันมาเพราะอะไร ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยท่านผู้ได้ฌานสมาบัติ เป็นโลกุตรฌาน จะสามารถทราบเหตุการณ์นี้ได้โดยแท้ ถ้าฌานก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะอุปทานมันกิน


    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (พระมหาวีระ ถาวโร ) วัดจันทาราม จ. อุทัยธานี<O:p</O:p


    อ่านจบแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลด้วยนะครับ<O:p</O:p
    คำอุทิศส่วนกุศล
    โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี<O:p</O:p

    อิทังปุญญะผะลังผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]เวร ทั้งหลาย</st1:personName> ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าและเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราชขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดีเสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับ<O:p</O:p
    <O:p

    http://teporrarit.hi5.com
    <O:p</O:p
    http://buraphatic.hi5.com<O:p</O:p
    <O:p></O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...