พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๒/๑.มหาปทานสูตร(๑๔)/๓๙

ในห้อง 'พระไตรปิฎก เสียงอ่าน' ตั้งกระทู้โดย Baby_par, 30 พฤษภาคม 2008.

  1. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมีชรา และมรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง กระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย ฯ<O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ชาติจึงมี ชาติมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย <O:p</O:p

    ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัส รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อภพมีอยู่ชาติจึงมี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย ฯ<O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ภพจึงมี ภพมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย <O:p</O:p

    ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่ออุปาทานมีอยู่ภพจึงมี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัยดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็น ปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย ฯ<O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอัน แยบคาย ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัยดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย ฯ<O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัยภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร มีอยู่หนอ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะนามรูปเป็น ปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดย อุบายอันแยบคาย ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า วิญญาณนี้ย่อมกลับเวียนมาแต่นามรูป หาใช่อย่างอื่นไม่ โดยความเป็นไปเพียงเท่านี้ สัตว์ โลกพึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุปบัติบ้าง ความเป็นไปนั้นคือ วิญญาณมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะ มีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะโสกปริเทวทุกข โทมนัสและอุปายาสย่อมมีพร้อมเพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ <O:p</O:p

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า สมุทัยๆ (เหตุเกิดขึ้นพร้อมๆ ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรม ทั้งหลายที่พระองค์มิได้สดับมาแล้วในกาลก่อนเลย ฯ

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.332581/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤษภาคม 2008
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    น่า รัก มากมาย เหมือน เดิม.....

    วันนี้ เสียง ทุ้ม ขึ้นนะจ๊ะ

    แก้ว เสียง ใส แต่ที่ เสียง หนู เเหลม

    เพราะ หนู คิด ว่า ตัวเอง เป็น เด็ก น้อย

    ลอง คิดว่า ตนเอง เป็น ผู้ปฏิบัติธรรม นะคะ

    จิตของหนูสงบ ขึ้นมากเเล้วนะคะ

    ไม่ตื่นเต้น อ่าน ไม่ เร่ง ดี มากคะ

    เวลา อ่าน หาย ใจ ลึก ๆนะคะ

    เเล้วคราวหน้า หนูตั้งจิต อธิษฐาน ขอ อ่าน พระไตรปิฎกนะคะ

    จิต จะ ได้ สงบนิ่ง ดิ่ง ลึกขึ้นเรื่อยๆ คะ

    เมื่อ จิตนิ่ง มากๆ เสียง จะ ทุ้ม นุ่ม ขึ้น เรื่อยๆจ๊ะ

    เวลา อ่าน สำคัญ มาก ถ้า จิต เราไม่ สงบ คนฟัง จะ ไม่สงบเหมือน คนอ่าน

    หากเรา สงบ จิต เขา ก็ สงบ ด้วยนะคะ

    ดื่ม น้ำ อุ่นๆ นะคะ จะ ทำให้ เส้น เสียง ขยายคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2008
  3. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    ขอบคุณค่ะ แหะๆ พอดีเมื่อวานนั่งร้องเพลง

    ตั้งแต่สองทุ่มยันสามทุ่มกว่าๆ แล้วก็อ่านพระไตรถึงเที่ยงคืนอ่าค่ะ

    คราวหน้าจะตั้งใจมากกว่านี้ค่ะ วันนี้เอาถึงแค่นี้ก่อนล่ะกันนะค่ะ

    เมื่อวานลืมเซฟพระไตรตอนที่ 44 ลงแคนดี้ไดร์ เลยอ่านได้ถึงแค่นี้ เดี๋ยววันจันเอามาอัพลงต่อให้อีกทีค่ะ
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ไม่เป็นไรคะ หนูปลา เพราะ หนูยังเด็ก

    มนุษย์ มี ผัสสะ 5 อย่าง ในการ เกิด จิต

    คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นะคะ

    ที่นี้ เสียงเรา ก็ คือ จิต เช่นกัน

    เรา สามารถ ที่ จะ ใช้ เสียงอะไร ก็ ได้

    แล้วเเต่ สถานะการณ์

    เสียงร้อน คือ เสียงที่สูงเเหลม

    เสียงเย็น คือ เสียงที่ต่ำทุ้ม

    เเล้วแต่ เรา เลือก เสียงไหน ที่จะใช้ ใน สถานการณ์ ใดๆ คะ

    ต้อง ปรับ เสียงเราให้ เป็น เหมือน นักพากย์เสียง หรือ นักร้องนะคะ

    มี สถาบัน การสอนใช้เสียง

    แต่ ความ จริงเรื่องพวกนี้ เรา ฝึกได้ เองด้วยการ สังเกตุคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2008
  5. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,895
    เสียงดังชัดเจนคะ น้องปลาคนขยัน

    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...