การแก้อารมณ์หดหู่ หรือโมหะจริตกับวิตกจริต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 13 มีนาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]





    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2536 สมเด็จองค์ปฐมทรงมีพระเมตตาตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    1. “เจ้าจงหมั่นดึงอารมณ์ให้ช้าลงด้วยอานาปานสติ ควบคู่กับจับภาพพระในอก”
    <o:p></o:p>
    2. “ที่ยังหุนหันพลันแล่น เพราะอารมณ์จิตมันร้อน ใจเร็วเกินไปหน่อย ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีอารมณ์ใคร่ครวญกามฉันทะ ปฏิฆะกระทบทีไร อารมณ์จึงเตลิดไปก่อนทุกที
    <o:p></o:p>
    3. “นิสัมมะ กะระณัง เสยโย ยังอ่อนเกินไป สติไม่ไว รู้ไม่เท่าทันความคิด ต้องพยายามรู้ลมจับภาพพระ โจทย์จิตตนเองไว้เสมอ ๆ
    <o:p></o:p>
    4. “เพ่งโทษความรักและความโกรธเข้าไว้เนือง ๆ แต่รู้ด้วยอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ
    <o:p></o:p>
    5. “ให้พิจารณาขันธ์ 5 ของตนและบุคคลอื่นว่าในที่สุดก็ต้องตาย ขันธ์ 5 มีแต่ความเสื่อม สกปรกหมด ถ้าหากไม่ชำระจิตให้สะอาดดีแล้ว ก็ต้องจุติสู่ภพสู่ชาติกันอีกต่อไป จักมานั่งรัก นั่งโกรธขันธ์ 5 ของตนและบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์อันใด เพราะขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 มันไม่เที่ยง เป็นเพียงธาตุ 4 อาการ 32 เข้ามาประชุมกันชั่วครั้งชั่วคราว ขันธ์ 5 ทุกรูปทุกนามเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยโทษ ยิ่งมัวเมาอยู่ในอารมณ์ราคะ ปฏิฆะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องกลับมาเกิดพบกับขันธ์ 5 ที่เต็มไปด้วยโทษและทุกข์เช่นนี้อีก
    <o:p></o:p>
    6. “การมีขันธ์ 5 กรรมที่ล่วงปัญจเวรทั้ง 5 (ละเมิดศีล 5) มาแต่อดีตชาติ ก็เข้ามาเล่นงานได้ตามวาระ ไม่มีใครอยากได้ขันธ์ 5 ที่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะกฎของกรรมเยี่ยงนั้น แต่สภาพจริง ๆ ของขันธ์ 5 ก็เป็นเยี่ยงนี้อยู่ตามปกติ เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มีชีวิตอยู่ก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีการกระทบกระทั่งของอารมณ์เป็นต้นเหตุ”
    <o:p></o:p>
    7. “รวมความว่า ในเมื่อเจ้าเบื่อไม่อยากมีขันธ์ 5 เจ้าก็สมควรเบื่ออารมณ์ราคะกับปฏิฆะ ที่ทำให้ต้องกลับมามีขันธ์ 5 ด้วย มองดูทุกข์ มองดูโทษของอารมณ์ทั้ง 2 นี้ด้วยตาปัญญาเถิด
    <o:p></o:p>
    8. “กำหนดอานาปานัสสติให้จิตมีกำลัง มีสติทรงตัว แล้วกำหนดพิจารณารู้ทุกข์นั้นช้า ๆ
    <o:p></o:p>
    9. “จงหมั่นกระทำประดุจเดียวกับการพิจารณาขันธ์ 5 คือ หมั่นแยกแยะอารมณ์ให้ละเอียดลงไปตามลำดับ หามูลเหตุให้ได้ว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอารมณ์นั้น ๆ”
    <o:p></o:p>
    10. “อย่าคิดว่าง่าย รู้แล้วเป็นอันขาด เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม มันครอบงำบดบังจิตได้ง่าย ๆ นิวรณ์เข้ามาแทรกเมื่อไหร่ ปัญญาก็จักเห็นต้นเหตุที่เกิดอารมณ์นั้นมันก็หมดไป มองไม่เห็น และมักจักเกิดอารมณ์โง่ คือเข้าข้างตนเอง ปล่อยให้จิตตกเป็นทาสของอารมณ์ที่ถูกกิเลสนั้น ๆ เข้าครอบงำ ตัวอย่างที่เจ้าตกอยู่ในสภาพหดหู่ เศร้าหมอง คิดถึงท่านฤาษี ทั้ง ๆที่รู้ว่าไม่ดี แต่จิตก็ไม่มีปัญญาที่จักแก้ไขอารมณ์หลงนี้ให้หลุดปากจิตได้ แต่ถ้าทำตามขั้นตอนนี้ที่ตถาคตได้กล่าวมาแล้วนั้น ใช้อานาปานัสสติคุมจิตให้มีสติแล้วมีกำลังดึงอารมณ์จิตให้ช้า พิจารณากำหนดรู้ทุกข์ รู้โทษของอารมณ์ หมั่นแยกแยะอารมณ์ให้ละเอียดลงไปตามลำดับ ในที่สุดเจ้าก็จักจากอารมณ์หดหู่เศร้าหมองนั้นได้ อารมณ์ใดเกิดก็ให้พิจารณาอารมณ์นั้น ด้วยจิตที่มีสติมีกำลัง ในที่สุดก็จักละอารมณ์เหล่านั้นลงได้ตามลำดับ
    <o:p></o:p>
    11. “กำหนดรู้ให้มาก แต่อย่าทำอารมณ์จิตให้เครียด จงหมั่นอาศัยอานาปานัสสติ ยังจิตให้เข้าถึงฌาน อารมณ์จักเบา
    <o:p></o:p>
    12. “สำหรับการพิจารณา ก็พยายามรักษาอารมณ์ให้อยู่ในขั้นปฐมฌานเข้าไว้ จิตจักมีกำลังระงับนิวรณ์ 5 และจักทำวิปัสสนาญาณไปด้วยดี“ให้ใคร่ครวญคำสอนเรื่องอารมณ์นี้ให้มากๆ”

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ในวันต่อมา พระองค์ก็ทรงพระเมตตามาตรัสสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    1. “พยายามตัดกรรมเข้าไว้ ใครจักทำอะไรก็ช่างเขา เจ้าอย่าเอาอารมณ์จิตไปผูกกรรมนั้นเข้าไว้ก็แล้วกัน” (สาเหตุก็เพราะเพื่อนของผมถูกกระทบจากพวกที่ไม่ปรารถนาดี จิตก็ยังหวั่นไหวอยู่มาก)
    <o:p></o:p>
    2. “มันเป็นของธรรมดา เพราะเจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อใดที่อารมณ์จิตมันไหว จักเป็นโมหะ วิตก หรือราคะ ปฎิฆะก็ตาม งมองเห็นโทษของการไหวไปในอารมณ์นั้น เพราะเวลานิ้จิตของเจ้าก็ถูกความทุกข์เข้าครอบงำ
    <o:p></o:p>
    3. “อย่างการร่วมเพศเสพกาม เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่า ร่างกายมีทุกข์ เพราะความเจ็บปวดเข้ามาเบียดเบียน แต่กามสัญญาเป็นธรรมารมณ์ที่เข้ามาเบียดเบียนจิต ให้เกิดความทุกข์เข้าครอบงำ
    <o:p></o:p>
    4. “การกระทบกระทั่งทางกายเป็นความทุกข์ของร่างกาย การกระทบกระทั่งของจิตก็เป็นความทุกข์ของจิต มีความเจ็บปวดพอกัน เพราะเวทนาของกายไม่เที่ยง เวทนาของจิตก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แต่อารมณ์หลงยึดเวทนาทั้งทางกายและเวทนาของจิต มันไม่ยอมละ ไม่ยอมปล่อยวางเวทนานั้น จึงเป็นเหตุให้เวทนานั้น หวนกลับมาทำร้ายจิตได้เสมอ ๆ
    <o:p></o:p>
    5. “จิตเกาะกรรมไม่ยอมปล่อย จึงตกเป็นทาสของอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะอยู่เสมอ ๆ เจ้าเห็นทุกข์ เห็นโทษของอารมณ์ของตนที่เบียดเบียนตนเองอยู่หรือไม่” (ก็ยอมรับว่าเห็น)
    <o:p></o:p>
    6. “อย่าโทษบุคคลอื่นที่ทำเหตุมากระทบ กระทั่งร่างกายและอารมณ์จิตของเรา วินาทีนั้นผ่านไป ทุกอย่างก็อนัตตาแล้ว อย่ายึดถือเอามาเป็นธรรมารมณ์ทำร้ายจิตของตนให้บาดเจ็บต่อไปอีกเลย เคารพกฎของกรรมให้มาก ๆ
    <o:p></o:p>
    7. “เอาคาถาว่ากันคุณไสยไว้บทหนึ่ง เป็นการเตือนจิตของตนไว้ อย่าไปยึดการกระทบกระทั่งทางร่างกายและจิตเอาไว้ด้วยคาถานั้น คือ “พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ ปัด-ตัด ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา” แล้วระลึกถึงความอนัตตาเข้าไว้ เจ้าก็จักปลอดภัยจากคุณไสย และเตือนจิตให้ปลอดจากการกระทบกระทั่งทางร่างกายและจิตใจ” “ขอให้ใคร่ครวญให้ดี ๆ”
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เมื่อพระองค์ทรงให้ใคร่ครวญให้ดีๆ จึงยกคาถาป้องกันคุณไสย ขึ้นมาเป็นธัมมวิจัย ดังนี้
    <o:p></o:p>
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปปมาโณ คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>ของ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นั้นหาประมาณมิได้ ข้อนี้ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว แต่ขออนุญาตเพิ่มเติม ดังนี้

    <o:p></o:p>
    1. ในโลกทั้ง 3 คือ มนุษย์โลก เทวโลกและพรหมโลก ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณธรรมข้อนี้ จึงสามารถปัดและตัดอำนาจอันมิชอบ หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิของเหล่ามนุษย์ อมนุษย์ เทวดา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พรหมที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้โดยสิ้นเชิง
    <o:p></o:p>
    2. คุณธรรมทั้งสามนี้เที่ยงแล้ว หมายความว่าเป็นความดีที่ทรงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงใช้เป็นเครื่องยึดถือได้ ไม่เป็นโทษ เป็นทุกข์และเป็นภัยกับผู้ยึด
    <o:p></o:p>
    3. คุณธรรมทั้งสามนี้อยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์แล้ว คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วนโลกทั้งสามนั้น ยังตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์
    <o:p></o:p>
    4. กฎของไตรลักษณ์คุมได้แค่ 3 โลกนี้ แต่คุมไปไม่ถึงแดนพระนิพพาน ซึ่งจิตของบุคคลผู้มีคุณธรรมของ พระพุทธ พระธรรมและพระอริยสงฆ์สมบูรณ์แล้วเท่านั้น จึงจะเข้าสู่แดนพระนิพพานได้อย่างถาวร
    <o:p></o:p>
    5. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านไม่ยึด ไม่เกาะ ไม่ติดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้งสามแล้วอย่างเด็ดขาด ท่านเห็นโลกทั้งภายนอกและภายใน เป็นแค่สภาวะของธรรมหรือกรรม ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปอยู่เช่นนั้นเป็นธรรมดา (เห็นไตรลักษณ์ขั้นละเอียดสูงสุด) ไม่มีอะไรทรงตัวหรือเที่ยงเลย ท่านจึงวางสมมุติธรรมเพื่อเข้าสู่วิมุตติธรรมได้
    <o:p></o:p>
    6. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้นที่มีอารมณ์เดียว คือสังขารุเบกขาญาณทรงตัวเป็นอัตโนมัติ ในทางโลกเรียกว่าอามรมณ์ช่างมัน อารมณ์สักแต่ว่า อุเบกขารมณ์ อารมณ์อากิญจัญญายตนะฌาน (โลกทั้งโลกที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ พังหมด อนัตตาหมด ใช้ยึดถืออะไรไม่ได้) บางท่านก็เรียกว่าอามรมณ์อนัตตา อารมณ์เหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ดับความเกิด ซึ่งในทางปฏิบัติเริ่มมีตั้งแต่พระโสดาบัน แต่ยังหยาบและยังไม่ทรงตัว แล้วเริญขึ้นตามลำดับ จนถึงละเอียดสุด และทรงตัว จึงจะเกิดอารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์ ละถาวร เป็นอัตโนมัติตอนที่เป็นพระอรหันต์
    <o:p></o:p>
    7. จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วนั้น คุณไสยทุกชนิดจึงไม่สามารถทำร้ายจิตท่านได้
    <o:p></o:p>
    8. สำหรับพวกเราที่ยังเป็นเสขะบุคคล ยังเป็นบุคคลที่ยังมีกิจที่จะต้องตัด ละ วางกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมอยู่จึงต้องใช้คาถาที่พระองค์ทรงเมตตามอบไว้ให้ป้องกันตัว(จิต) เมื่อว่าคาถาแล้ว ให้วางอารมณ์อยู่ในอารมณ์อนัตตาตามข้อที่ 6เป็นการชั่วคราว เพื่อให้จิตว่าง หรือพ้นจากอำนาของมารหรือกิเลสทั้งมวลได้ชั่วคราวเช่นกัน หากเราเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม หรือในความตาย หมั่นว่าคาถาป้องกันคุณไสยไว้ ก็เท่ากับเราซ้อมจิตของเราให้ทรงอยู่ในอารมณ์อนัตตา ในที่สุดจิตเราก็จะทรงตัว กลายเป็นฌานสมาบัติได้ เมื่อนั้นแหละอารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่สมบูรณ์กะเกิดขึ้นกับเราได้โยมิต้องสงสัย
    <o:p></o:p>
    9. พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “วันหนึ่ง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับอารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตของเราเอง” พระธรรมประโยคนี้สามารถนำมาอธิบายผลของคาถาบทนี้ได้อย่างดีที่สุด เพราะหากใจของเราไม่ยึด ไม่ติด ไม่เกาะทุกสิ่งในโลก โยเฉพาะขันธโลก หรือร่างกาย หรือขันธ์ 5 และทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยร่างกายแล้ว ทุกอย่างก็เป็นอนัตตาหมด เพียงแค่ขณะจิตเดียวก็ผ่านไปก็เป็นอนัตตาแล้ว หรือเป็นอดีตธรรมแล้ว

    <o:p></o:p>
    ผมก็เพียงแต่แค่คิดพิจารณาไปตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น ของจริงยังไม่มีในตัวผม ผมจึงพูดง่าย เขียนและอธิบายได้ง่าย ๆ แต่พอนำไปปฏิบัติจริง ๆ ปรากฏว่า มันง่ายนิดเดียว


    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ที่มาของข้อมูล
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    หนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)<o:p></o:p>
    โดยพระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)<o:p></o:p>
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<o:p></o:p>
     
  2. บีว่า

    บีว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2008
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +94
    6.
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  4. ธารธรา

    ธารธรา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +17
    โมธนาสาธุ เจ้่าค่ะ /\
    ขันธ์นี้ไม่เที่ยง มัวแต่ไปยึดติดด้วยอารมณ์รักหรือเกลียดก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    ขอบคุณสำหรับโพสต์ดีๆค่ะ (rose)
     
  5. new_mansum

    new_mansum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    3,793
    ค่าพลัง:
    +5,396
    ขออนุโมทนานะครับ
    ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ครับ
     
  6. puttro

    puttro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +66
    พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “วันหนึ่ง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับอารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตของเราเอง”
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  7. natna

    natna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2010
    โพสต์:
    406
    ค่าพลัง:
    +1,290
    “วันหนึ่ง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับอารมณ์จิตของเรา ทำร้ายจิตของเราเอง”
    ใช่เลยค่ะ.......อนุโมทนาสาธุที่นำมาเตือนสติค่ะ
     
  8. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขออนุโมทนาสาธุครับ เตือนคนที่คิดว่าตัวเองรู้แล้วนี่ ผมเคยหลงตัวนี้ ระวังให้ดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...