รักเป็นกับรักไม่เป็น

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 7 เมษายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    รักเป็นกับรักไม่เป็น
    <O:p</O:p
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2536 เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมของผม ได้เล่าให้ผมฟังถึงการปฏิบัติของท่าน มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในการปฏิบัติกรรมฐานตอนเย็น เมื่อทำจิตให้สงบด้วยอานาปานัสสติแล้ว ได้ยกเรื่องจริต 6 ซึ่งหลวงพ่อฤาษีท่านสอนมีธรรมตอนหนึ่งว่า ความโศกเศร้าเสียใจเกิดจากความรัก ถ้าเราไม่รักเสียอย่างเดียว คนตายกี่แสนคนก็ไม่โศกเศร้า" ท่านยกเอาธรรมจุดนี้มาใคร่ครวญหรือธัมมวิจยะ เพื่อให้เกิดปัญญาทางพุทธศาสนาที่แท้จริง ท่าคิดว่า เพราะเรารักและเคารพหลวงพ่อเท่ากับเรารักขันธ์ 5 ท่าน ถ้าหลวงพ่อไม่มีตัวตน เราจะรักท่านได้อย่างไร นี้เพราะอาศัยรูปเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดความรัก คิดได้แค่นี้หลวงพ่อท่านก็มาสอนว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. “การรักอย่างนั้นเรียกว่าเจือด้วยกิเลส โดยเหตุหลงรูปอันไม่ใช่ตัวจริง” ก็ถามหลวงพ่อว่า แล้วเมื่อไม่เห็นรูปจะรักได้อย่างไร ท่านก็ตอบว่า<O:p</O:p
    2. “รูปมันมีแค่ขันธ์ 5 หรือ” ฟังแล้วก็งง เพราะไม่เข้าใจ ท่านก็บอกว่า<O:p</O:p
    3. อย่างเอ็งเห็นพระพุทธเจ้า พระอริยะสงฆ์ในพุทธกาลนั้น จัดว่าเป็นรูปหรือเปล่า” ก็รับว่าเป็น<O:p</O:p
    4. “นั่นซิ รูปนามก็อย่างนั้น เอ็งเห็นแล้ว เอ็งรักเคารพท่านหรือเปล่า” ก็รับว่าเคารพ<O:p</O:p
    5. “แล้วในความรักความเคารพนั้น มันมีความโศกเศร้าเสียใจเจือปนอยู่ด้วยหรือเปล่า” ตอบว่า เปล่า<O:p</O:p
    6. “นั่นแหละเป็นความรักเคารพที่ไม่ได้เจือปนไปด้วยกิเลส เพราะไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ” ก็คิดว่าเมื่อท่านไม่มีร่างกาย แล้วจะไปโศกเศร้าเสียใจกับก่ายท่านได้อย่างไร<O:p</O:p
    7. “แล้วอย่างนั้นจะเรียกว่าท่านตายได้หรือเปล่า” ก็รับว่าเปล่าตาย<O:p</O:p
    8. “นั่นซิ ที่ตายนั้นเป็นร่างกาย เป็นธาตุ 4 ไม่ใช่ท่านตาย เอ็งก็ยังพบท่านเห็นท่านได้ในสภาวะจิตพบจิต”<O:p</O:p
    9. ถ้าอารมณ์ในขณะนั้นมีกิเลส เอ็งก็พบท่านไม่ได้ ความรักเคารพอย่างนี้ซิจึงจะเป็นของดี จิตไม่เศร้าหมอง มีสิทธิ์จะไปนิพพานได้ แต่ความรักเคารพอาลัยโสกเศร้าเสียใจในขันธ์ 5 ของพ่อนั้นเป็นของไม่ดี เป็นกิเลส มีความเศร้าหมองของจิต ตายแล้วไปพระนิพพานไม่ได้”<O:p</O:p
    10. “พยายามเข้าสิ ตัดความเศร้าโศกเสียใจในขันธ์ 5 ของพ่อลงเสียให้ได้ พ่อในสมัยที่ยังทรงชีวิตอยู่ เป็นผู้ไม่หวังในขันธ์ 5 เพียงใด ขอให้เอ็งจงหมั่นทำจิตให้เป็นผู้ไม่หวังในขันธ์ 5 เพียงนั้น ไม่ว่าขันธ์ 5 ของพ่อหรือขันธ์ 5 ของใคร หรือแม้แต่ขันธ์ 5 ตัวเอง เพราะในที่สุดของขันธ์ 5 คือความตายทุกรูปทุกนาม ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปหวังขันธ์ 5 ทำไมกัน”<O:p</O:p
    11. รัก รักให้เป็น รักพ่ออย่างพระพุทธเจ้าซิ รักอย่างพระอริยะสงฆ์ในพุทธกาลสิ จิตจะได้ผ่องใส ขอให้คิดดี ๆ” (ธรรมจุดนี้ ผมขอให้หัวเรื่องว่า รักเป็นกับรักไม่เป็น)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตาตรัสสอนต่อ มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. “หากเจ้าต้องการจักเป็นผู้ไม่หวังในร่างกาย ก็จักต้องหมั่นพิจารณาให้ถึงที่สุดของร่างกายนั้นว่า ธรรมภายในเป็นเยี่ยงไร เมื่อกำหนดรู้จนถึงที่สุดของร่างกาย ร่างกายบุคคลอื่นอันเป็นธรรมภายนอกก็เยี่ยงนั้น”<O:p</O:p
    2. จงกำหนดรู้อารมณ์แห่งจิตด้วย กำหนดรู้สภาวะของร่างกายด้วยการพิจารณาจักต้องควบคู่กันไป อย่าทิ้งจุดใดจุดหนึ่ง โดยยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเข้าไว้เสมอ อารมณ์จิตหากยังเศร้าหมองอยู่ การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานก็จักสำเร็จได้ยาก จิตหากยังเป็นผู้หวังในร่างกายอยู่ ก็ยากที่จักบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน”<O:p</O:p
    3. “เจ้าได้เห็นสภาพของการมีร่างกาย ที่กลายมาจากปภัสราพรหมแล้ว ทุกขั้นตอนมีแต่ความทุกข์ ขนาดมิต้องจุติจากครรภ์มารดา แล้วยังจักปรารถนามุ่งหวังในการมีร่างกายอีกหรือ (ก็รับว่าไม่ต้องการ) จิตเจ้าบอกไม่ต้องการ แต่ในขณะเกิดกระทบกระทั่งกัน จักด้วยอายตนะภายนอกก็ดี อายตนะภายในก็ดี เจ้าก็ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในอาการของร่างกายอยู่ ว่านั้นเป็นเขา นี่เป็นเรา จึงยังไม่ปฏิบัติได้ตามต้องการที่จักไม่มุ่งหวังในการมีร่างกาย”<O:p</O:p
    4. “สังโยชน์ 4-5 คือ การละและตัดซึ่งอารมณ์กามฉันทะและปฏิฆะ ทำได้เมื่อไหร่การที่ต้องจุติมามีร่างกายก็สิ้นสุดเมื่อนั้น การกำหนดรู้อารมณ์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ พยายามอย่าประมาทอารมณ์ของจิต หมั่นสำรวจตรวจดูให้รู้แน่ชัดว่าในขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นมีอารมณ์อะไร ตั้งใจกำหนดรู้ตั้งแต่เช้ายันหลับไปเลย”<O:p</O:p
    5. ถ้ารู้ก็แก้ไขอารมณ์ได้ ถ้าไม่รู้ก็แก้ไขอารมณ์ไม่ได้ จริตหก อย่าสักแต่เพียงแต่ว่าท่องจำ พรหมวิหาร 4 ก็อย่าสักแต่ว่านึกได้ จักต้องนำมาประพฤติปฏิบัติได้ด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พิมพ์จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)<O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)<O:p</O:p
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p



    --------------------------
     
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    แม่พระทั้ง 5 เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม
    <O:p
    สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงพระเมตตาสอนไว้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2535 ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อสะดวกในการจดจำและความเข้าใจของผู้อ่าน จึงขอแยกเขียนออกเป็นข้อ ๆ มีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p<O:p</O:p
    1. ในทางโลก บิดา-มารดาท่านเสพกามกัน ดวงจิตของเราก็มาจุติได้ มารดาอุ้มท้องเลี้ยงดูเรามาตราบกระทั่งชีวิตของท่านหาไม่ พระคุณแห่งบุพการีทั้งสอง ขอจงจดจำไว้ อย่าตำหนิหรือลบหลู่เป็นอันขาด<O:p</O:p

    2. ในทางธรรม กายเกิดกรรมก็เกิด เกิดด้วยธาตุ 4 เข้ามาประกอบกันโดยมีพระโพสพ(ข้าว) เป็นอาหารหลักที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่อยู่กับเราตั้งแต่เกิดจนตาย<O:p</O:p

    3. บุตร บิดา มารดา ฆ่ากันในทางโลก หากมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งจิตสร้างอภัยทานให้เกิด กล่าวขออโหสิกรรมและเป็นฝ่ายยอมรับผลของกรรมที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตชาติอย่างสงบ กรรมนั้น ๆ ก็จะลุล่วงเลิกแล้วต่อกันไปได้ เช่นอย่างตถาคตตรัสอโหสิกรรมให้พระเทวทัต หรือพระอรหันต์สาวกทั้งหลายทุก ๆ องค์ ที่เคารพในกฎแห่งกรรมสำแดงปฏิปทาให้ปรากฏ ตั้งแต่ต้นพุทธันดรมาจนถึงปัจจุบันและล่วงเลยไปในอนาคตปลายแห่งพุทธันดร ผลแห่งอภัยทานกล่าวคืออโหสิกรรม และรับผลแห่งกรรมย่อมมีอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างสืบเนื่องตลอดไป<O:p</O:p

    4. ต่างกับผู้ที่ฆ่าตัวตาย ทำร้ายแม่พระทั้ง 5 โทษของกรรมนั้นยากที่จะพ้นได้ จะอย่างไรก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีกตั้ง 500 ชาติ เพราะเนรคุณไม่รู้คุณแห่งแม่พระธรรมทั้งปวง<O:p</O:p

    5. เรามาจุติ(เกิด) เราก็ต้องอาศัยเขาสร้างพระบารมี จะไปนรก สวรรค์ นิพพานได้ ก็ด้วยชาติที่เป็นมนุษย์ส่งผลนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าเนรคุณ เวลาป่วยไข้ก็จงหมั่นดูกฎของกรรมเป็นต้นเหตุ<O:p</O:p

    6. ตัวเวทนาของกาย คือ วิญญาณธาตุ (ระบบประสาทรับสัมผัสของกาย) จงรู้เท่าทันมันให้ดี ๆ เพราะตัวนี้เป็นตัวผสมทำสุข ทุกข์ให้เกิด ถ้าแยกจิตไม่เป็น เวทนาของกายก็จะทำให้เวทนาของจิตเกิดขึ้นด้วย ขอให้ศึกษาธรรมนี้ให้ดี ๆ จะได้แยกกาย แยกจิต แยกเวทนาออกจากกันได้<O:p</O:p

    7. การทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นทางกาย ด้วยโทสะก็ดี ด้วยโลภะก็ดี ด้วยความหลงก็ดี เช่น คนฆ่าตัวเองตาย เท่ากับทำร้ายดิน น้ำ ลม ไฟ ผู้มีพระคุณในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จักคุณค่าของตนเอง จึงปล่อยให้จิตเศร้าหมองทำร้ายตนเองได้<O:p</O:p

    8. คนไม่รู้จักพระคุณของแม่พระทั้ง 5 จึงมีโทษหนัก เกิดภพใด ชาติใด ก็ต้องฆ่าตัวตายไปถึง 500 ชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคคลประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก เพราะมักจะทำร้ายบุคคลอื่นอยู่เนือง ๆ ด้วยเหตุมิละเว้นแม้นการทำร้ายตนเองได้ (ทรงหมายความว่า สิ่งที่เขารักที่สุดในโลกก็คือร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ เขาก็ยังทำร้าย ฆ่ามันให้ตายได้ ดังนั้นเขาผู้นี้จึงสามารถทำร้ายและฆ่าผู้อื่นได้ทุกคนในโลกนี้) เจ้าจงหมั่นระวังจิต อย่าให้คิดทำร้ายตนเองและทำร้ายผู้อื่น เห็นโทษเห็นทุกข์ตามนี้ด้วยเถิด
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิจารณ์ (ธัมมวิจัย) เนื่องจากพระธรรมจุดนี้ละเอียดอ่อนมาก พระองค์จึงสอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น ผมจึงขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกจริตอื่น ๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1. บุคคลส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักบุญคุณของแม่พระทั้ง 5 และยังไม่ทราบว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพระแม่โพสพ หรือข้าว ก็คือธาตุ 4 หรือประกอบด้วยธาตุ 4 ครบ ในเมื่อคนในโลกนี้ต่างก็เติบโตและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าว อันเป็นอาหารหลัก และต้องบริโภคอยู่ทุกวัน แต่จิตยังหยาบเกินไป จึงไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 ยิ่งมองเห็นแม่พระทั้ง 5 เป็นพระธรรมเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลสุดประมาณ<O:p</O:p

    2. ผมจึงเน้นเอาแต่พวกที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา และตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกข์การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างถาวร ในชาติปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ท่านเหล่านี้สะสมบารมีมามาก เข้าใจและยอมรับเรื่องบุญ บาป เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน และกฎของกรรม อันเป็นอริยสัจขั้นสูง<O:p</O:p

    3. คำสอนของพระองค์เกี่ยวกับพระแม่ทั้ง 5 ทั้งคุณและโทษที่ทรงตรัสสอนไว้ พอสรุปมีความสำคัญดังนี้<O:p</O:p

    พระแม่ธรณี (แผ่นดิน, ธาตุดิน) พวกทำลายชาติไม่รู้คุณค่าของมาตุภูมิที่เลี้ยงดู ได้อาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันว่าท่านมีพระคุณอย่างใหญ่หลวง จงอย่าเหยียบย่ำและบลหลู่พระคุณของท่าน กรรมของพวกขายชาติจึงต้องลงนรกขั้นโลกันตรมหานรก (นรกขุมที่9)<O:p</O:p

    พระแม่โพสพ (ข้าว) พระองค์เน้นให้เห็นพวกที่มีโทสจริตสูง เวลาบริโภคอาหารมิได้สำรวม ตถาคตรวมไปถึงพวกสมมุติสงฆ์ด้วย จะกินอาหารอย่างกระหายก็ดี ขยุ้มข้าวสุกลงมาจากยอดก็ดี หรือปุถุชนเมียปรุงอาหารไม่ถูกปาก สาดข้าวสุกเททิ้งก็ดี พอกายแตกดับก็มาเสวยกรรมแห่งโทสะนั้น ในนรกอีกรูปแบบหนึ่ง ทรงเมตตาให้เห็นภาพสัตว์นรกหิวกระหายจะกินข้าว ข้าวก็กลายเป็นเมล็ดทรายร้อนแรงด้วยเปลวไฟบากปากบาดคอให้พังเป็นแถบๆ แล้วล้มลงนอนดิ้นรนตัวละลายไป เพราะพอทรายร้อนไปถึงส่วนไหนส่วนนั้นก็พัง ดังนั้นเพื่อพระแม้โพสพมีพระคุณแก่เรามากนัก เจ้าจงอย่าลบหลู่หรือเหยียบย่ำพระคุณท่าน<O:p</O:p

    แม่พระคงคา (พระคงคาหรือแม่น้ำ) สมสุติสงฆ์บ้วนน้ำลาย ถ่ายของเสียออกจากทวารหนัก-เบา คนธรรมดาก็เช่นกัน ทิ้งของขยะลงไปบ้าง ถ่ายของเสียลงไปบ้าง บางรายอยากได้ปลาก็ใช้ยาเบื่อปลาละลายลงไปบ้าง บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปก็ไปเสวยกรรมในนรก มรทีท่าหิวกระหายน้ำจัด เห็นแม่น้ำอยู่ใกล้ๆ ก็วิ่งกระโจนลงไป วักน้ำขึ้นมาดื่ม น้ำก็จะกลายเป็นทรายร้อนจัด ถูกปาก-คอ-ท้องก็พัง ละลายไปเป็นแถบ ๆ เพราะผลกรรมที่เหยียบย่ำพระแม่คงคา<O:p</O:p

    แม่พระพาย สัตว์นรกบางเหล่า ไม่รู้บุญคุณของลมหรืออากาศ ทำกรรมบ่น-ด่า-ว่า พายุที่พัดให้เสียหายทั้งข้าวของ ทรัพย์สิน ชีวิต บ้างก็บ่นว่าร้อนหาลมพัดไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ยังมีอากาศหายใจอยู่ โมหะเข้าครอบงำจิต คิดแต่จะเอาความเย็นมาบำเรอร่างกาย จึงสร้างโทสะให้เกิด กล่าวโทษแม่พระพายว่าไม่เอาความเย็นมาให้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีพระพายหรือลมบริโภคอยู่ทางจมูก ทั้งลมภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ พอลมหยุดพัดเพียงชั่วขณะ จิตก็วุ่นวาย เพราะความโง่ทำจิตให้เศร้าหมอง พวกเหล่านี้เมื่อตายไป ต้องไปเสวยกรรมในห้องเปลวไฟที่ร้อนแรง อันกาอากาศหายใจมิได้ พอบ่นมาก ๆ ว่าต้องการลม ศาสตราวุทธมากมาย ก็ตกลงมาทิ่มแทงกายแทนลมที่ต้องการ นี่คือผลจากการลบหลู่พระคุณของท่านแม่พระพาย โดยเฉพาะการเจริญอานาปานุสสติ จักต้องพึ่งท่านโดยตลอด อย่าเหยียบย่ำหรือลบหลู่เป็นอันขาด ตถาคตเองก็ยังต้องพึ่งท่านในขณะที่ทรงขันธ์ 5 อยู่<O:p</O:p

    แม่พระเพลิง ไฟเป็นของร้อน หากรู้จักนำมาใช้ก็มีประโยชน์มหาศาล พลังงานต่าง ๆ ในโลกล้วนต้องอาศัยความร้อนทั้งสิ้น แม้ขันธโลกก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไฟ (Energy) กายก็เคลื่อนไหวไม่ได้ แม้สิ่งบริโภค บริโภค รวมทั้งอาหารเครื่องใช้ทั้งมวลล้วนอาศัยไฟทั้งสิ้น นอกจากนั้นทุกสิ่งในโลกล้วนประกอบจากธาตุ4 ทั้งสิ้น สรุปแล้วจงอย่าลืมพระคุณของไฟ อย่าลบหลู่เหยียบย่ำไฟ เพราะท่านมีพระคุณแก่โลกและสัตว์โลกอย่างมาก โมหะชนที่เอาแต่โทสะเป็นที่ตั้ง จึงตำหนิไฟเวลาไฟไหม้ ทั้ง ๆ ที่คนประมาทเป็นผู้ก่อขึ้น สร้างกรรมขึ้นเองทั้งสิ้น แม้แต่คนป่วยไข้ขึ้นสูง ก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้เองทั้งสิ้น แต่ก๊อกตำหนิไฟไม่ได้ จิตของคนพวกนี้จึงเศร้าหมอง หากตายตอนนั้นก็ไปสู่ทุคติ ถูกไฟนรกเผาไหม้ตามกรรมที่ตนทำไว้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    4. พระองค์ทรงสรุปว่า ธาตุทั้งหลายจงหมั่นบูชา ระลึกถึงบุญคุณของแม่พระทุก ๆ ท่าน ถ้าเจ้าไม่ลืมพระคุณของแม่พระทั้ง 5 ท่านแม่ทั้ง 5ก็จะช่วยให้ธาตุทั้งปวงสามัคคีกันได้จนวันตาย และจงหมั่นอุทิศกุศลผลบุญให้กับแม่พระทั้ง 5 ไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพระนิพพาน<O:p</O:p

    5. กรรมเรื่องการลบหลู่บุญคุณของแม่พระทั้ง 5 นี้อัศจรรย์มาก หากพระองค์ไม่ทรงเมตตามาสอนให้ ก็ไม่มีทางรู้และเข้าใจได้ ในอดีตผู้ใหญ่ท่านเคยสอนว่า อย่าดูถูกดูหมิ่นหรือลบหลู่พระแม่โพสพ (ข้าว) บ่อย ๆ แต่มิได้อธิบายเหตุผลให้ทราบ จึงจำกันต่อ ๆ มาเป็นสัญญา ความสงสัยหรือวิจิกิจฉา จึงยังมีอยู่กับจิต เมื่อพระองค์ทรงเมตตาให้รู้-เห็น ตามความเป็นจริงแล้ว ความสงสัยก็หมดไป<O:p</O:p

    6. โดยปกติของพระพุทธองค์ ธรรมใดที่ไม่จริง พระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างใดก็เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงเป็นหนึ่งเสมอ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นอริยสัจหรือความจริงทุกคำพูด จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้จักเอาอะไรมาเปรียบได้ พวกเราจึงควรตอบแทนพระคุณของท่าน โดยใช้ขันธ์ 5 หรือร่างกายของเรานี้รับใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะพัง โดยไม่บ่นแม้แต่ทางใจ (มโนกรรม) คำสอนใด ๆ ที่พระองค์ว่าดี ก็ควรรีบปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว ธรรมใดที่พระองค์ห้ามไว้ ก็พยายามละให้เด็ดขาดในเวลาอันสั้นที่สุด<O:p</O:p

    7. เรื่องกรรมบถสิบ หมวดวาจา 4 (ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด-และเรื่องไร้สาระ) บุคคลที่ขาดความดีในหมวดนี้จึงหลงลืมพูดวาจาลบหลู่ดูหมิ่นพระแม่ทั้ง 5 เพราะมีโมหะ โทสะ ราคะเป็นเหตุ ใช้คำพูดว่าดินมันแข็ง, น้ำมันท่วม, ลมมันพัดหรือมันร้อน, ไฟมันไหม้, ข้าวมันแข็ง มันเหนียว มันแฉะ มันไหม้ มันบูด เป็นต้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบที่ใช้กับผู้มีพระคุณทั้งสิ้น จะโดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี ล้วนแต่ยังมีจิตหยาบขาดกรรมบถสิบ หมวดวาจา 4 ทั้งสิ้น หากไม่ระวังและแก้ไขจิตของตนเอง จิตก็จะชินในความชั่วเรื่องวจีกรรม ในที่สุดก็กลายเป็นนิสัย เป็นสันดานประจำจิต และที่สุดก็อาจปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่ตั้งใจ โดยเอาคำว่ามันนำหน้าเช่น พระมัน, ครูมัน, พ่อมัน, แม่มัน ผลเมื่อกายพังก็ต้องลงนรกไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้ทั้งสิ้น<O:p</O:p

    8. พระพุทธองค์เคยเมตตาให้ดูตัวอย่างของจริง ตอนที่หลวงพ่อฤาษียังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญสั้น ๆ ดังนี้ ทรงบอกล่วงหน้าว่า ให้สังเกตบุคคลท่านหนึ่งซึ่งจะร่วมวงกินข้าวด้วยในวันนี้ ซึ่งมีนิสัยกินไปบ่นไป ว่าข้าวมันแฉะ ข้าวมันไหม้ ข้าวมัน...แล้ว จะเห็นผลปรากฏ ผลก็จริงตามนั้น เข้าผู้นั้นกินไปติกรรมของพระแม่โพสพไป ทำให้เกิดอาการสำลักข้าว และอาหารที่กินจนเกือบจะหายใจไม่ออกเกือบตายละทรงเมตตาตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้มักจะมีอาการธาตุ 4 ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารเสมอ (โรคกระเพาะและลำไส้) จึงขอเตือนผู้อ่านบทความนี้ไว้ให้ระมัดระวังเรื่องการตำหนิกรรมของแม่พระทั้ง 5 เพราะไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้ที่ใจเราก่อนทั้งสิ้น กรุณาอ่านเรื่องอุบายละความชั่วที่ใจเรา ประกอบจะมีประโยชน์มาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ด้วยพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ อันหาประมาณมิได้เป็นที่ตั้ง ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี อ่านแล้วจำได้ก่อน จึงค่อยคิดพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือตัวรู้ อันเป็นปัญญาที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดผล มีดวงตา (ใจ) เห็นธรรมได้ตามลำดับ จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พิมพ์จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม 4)<O:p</O:p
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)<O:p</O:p
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    <O:p</O:p<!-- / message --><!-- sig -->
    __________________
     
  3. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  4. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม อย่างสูง ครับ
     
  5. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +1,086
    โมทนาครับ สาธุ สาธุ สาธุ

    ไม่ได้มาซะนาน ชาวพลังจิตรุ่นแรกๆเป็นอย่างไรกันบ้าง ยังอยู่กันบ้างไหมหนอ
    เห็นอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นก็มุ่งตรงฝึกวิชากัน ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านกันละ
    หวังว่าคงสบายดีนะครับ
     
  6. itoursab

    itoursab สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +11
    พยายามไม่รักเลยก็ไมไ่ด้ซะัด้วยซิ แง่บๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...