หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกับหลวงปู่คำแสนใหญ่

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 12 ธันวาคม 2005.

  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    [​IMG]
    หลวงปู่คำแสนใหญ่



    เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" [หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ผู้ถ่ายทอดกราบขออนุญาตต่อหลวงตาวัชรชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และจะขอตัดตอนนำเฉพาะบางตอนที่กล่าวถึงหลวงพ่อกับหลวงปู่คำแสนใหญ่ (พระครูสุคันธศีล) แห่งวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ โดยตรงมาถ่ายทอด ดังนี้


    "พระอุโบสถวัดท่าซุงในปัจจุบัน ใครมาเห็นก็ชมว่าสวย ใครมาเดินรอบพระอุโบสถในเขตกำแพงแก้ว ก็ต้องชื่นใจในกระแสความสงบแห่งบรรยากาศกระแสธรรม... รอบๆ กำแพงแก้วก็เป็นแนวต้นพิกุลอันเขียวสงบเย็นตา กลิ่นก็หอมกล่อมจิตใจให้สงบสุขบรรยายไม่ถูกถ้วน พวกเราต่างรู้จักมักคุ้นสถานที่นี้ดี เพราะนี่คือบ้านพ่อ... บ้านของเรา

    แต่ถ้าย้อนไปเมื่อปี 2518 อันเป็นปีที่เราเริ่มสร้างวัดกันใหม่หมาดๆ ท่านอ่านไป นึกภาพตามไปในอดีต ก็จะนึกออกว่าบริเวณรอบๆ พระอุโบสถยังเป็นดินลูกรังทั้งหมด แล้วก็เป็นหลุมเป็นบ่อด้วย กำแพงแก้วกับต้นพิกุลยังไม่มี ตัวอาคารพระอุโบสถยังก่ออิฐเห็นสีแดง ประตูหน้าต่างยังว่างโล่ง มองไปทางท้ายพระอุโบสถจะเห็นกุฏิ 10 หลัง มีหลังคาทรงเรือนไทยปลูกชิดกำแพง ด้านหน้ามีศาลานวราชบพิตร แต่ไม่มีหอนาฬิกา ตรงนี้แหละ... ที่ผู้เขียนได้สัมผัสความเย็นของกระแสจิตพระพุทธสาวก ... และยังเย็นฉ่ำใจจนถึงวันนี้

    ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว งานฉลองวัดหรือเรียกว่างานครบ 100 ปีเกิดหลวงปู่ปานเริ่มขึ้นแล้ว เริ่มตามแบบของพ่อคือ สงบเงียบ แต่แรงกล้าด้วยพลานุภาพของศรัทธาสามัคคี ผู้เขียนกับผู้ร่วมงานแผนกต้อนรับพระสุปฏิปันโนก็คอยจ้องดูว่า พระคุณหลวงปู่องค์ใดมาถึงก็รีบทำหน้าที่... หลวงปู่ใคร (ตามที่แบ่งกันไว้แล้ว) ใครก็รับตัวท่านเข้ากุฏิ เวลานั้นกำลังรอหลวงปู่คำแสนใหญ่ (ของผู้เขียน) กันอยู่

    ตอนนั้นผู้เขียนจัดอะไรเพลินอยู่จำไม่ได้ กำลังนั่งอยู่ข้างพระอุโบสถด้านเรือนพักธรรมสถิตย์... รู้สึกว่าใจตนเองมีความเยือกเย็นสว่างไสวขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเป็นสุขบอกไม่ได้เอาเสียเลย และรู้สึกว่ากระแสแห่งความสุขสว่างไสวนั้นมาจากอีกด้านหนึ่งของพระอุโบสถ มันจำเป็น... มันเต็มใจวิ่งอ้อมไปดูก็เห็นพระภิกษุชราภาพรูปหนึ่ง ร่างกายสูงใหญ่ แต่เดินหลังค้อมลงมาบ้างแล้ว


    ท่านผู้อ่านเอ๋ย... เพียงเห็นท่าเดิน... เห็นอิริยาบถคนแก่ของท่าน ใจผู้เขียนมันมีปิติล้นหลามออกมา ซ้ำเห็นยิ้มของท่าน ใจเราก็อาบชุ่มด้วยความสุข... เห็นโยมผู้หญิงศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง กำลังกราบแนบหน้ากับพื้นฝุ่นลูกรัง น้ำตาแกไหล ปากก็บ่นว่า

    " หลวงปู่เจ้าขา... หลวงปู่เจ้าขา.... "

    หลวงปู่องค์นั้นก็หันมายิ้ม ยิ้มสวยจริงๆ สวยออกมาจากใจเลย ท่านบอกว่า

    " เออ...เออ...เออ... เป็นสุขเน้อ"

    ท่านเอ๋ย... ผู้เขียนไม่ทราบว่าหลวงปู่คำแสนใหญ่องค์นั้นจะมีจิตตานุภาพเป็นอย่างไร แต่ผู้เขียนยอมคุกเข่าลงกราบ กราบด้วยความสุขใจ น้ำตาคงจะไหลออกมาด้วย ช่างเป็นบุญตัวของเราจริงหนอ ที่ได้ประคองพระคุณท่านเข้ากุฏิรับรอง... จำได้ว่าเป็นกุฏิที่ 4 ...เดี๋ยวก่อน! ถ้าจะมีบางท่านนึกถามขึ้นมาว่า

    ".... แล้วอยู่กับหลวงพ่อ ไม่ชื่นใจหรือ ?" หรืออะไรทำนองนี้ ขอได้โปรดอดใจอ่านต่อไปเถิด ท่านจะทราบคำตอบเอง ทราบจนรู้ซึ้งไปจนวันตายเหมือนผู้เขียน

    แล้วงานปรนนิบัติพระสุปฏิปันโนก็เริ่มขึ้น คือจัดการ "วาง" หลวงปู่คำแสนใหญ่ที่อาสนะพักผ่อนที่ชั้นล่าง มีอาสนะนั่ง ภาชนะน้ำใช้น้ำฉัน ก็น้อมประเคนถวาย ท่านจะเข้าห้องน้ำก็รีบเข้าไปเช็ดให้แห้ง เหยียบพื้นไม่ลื่น ท่านออกมาแล้วก็รีบทำความสะอาดให้ดีที่สุดไว้เสมอ ท่านจะพักผ่อนหลับนอนก็ประคองขึ้นชั้นบน ซึ่งก็จัดไว้พร้อมพอสมฐานะพระทองคำของพระศาสนา... รวมความว่าลูกศิษย์ 2 คนนี้ จะห่างหลวงปู่ไม่ได้เด็ดขาด มีรางวัลหัวตะพดเลี่ยมเงินในมือ "พ่อ" พร้อมประทานให้อยู่เสมอ

    ท่านทั้งหลาย งานปฏิบัติพระตามปกติมันก็ไม่หนักหนาอะไรหรอก... ยิ่งเป็นพระทองคำทั้งองค์อย่างหลวงปู่คำแสนใหญ่ด้วยแล้ว ยิ่งเบาใจ อิ่มใจ สบายใจ เหมือนเราจะลอยได้อย่างนั้นแหละ ตัวท่านเองก็ไม่ต้องการอะไรจุกจิก มีแต่เราเองนะซิที่คอยจุกจิกท่าน คือขยัน อยากจับอยากนวดบ้าง อยากให้ท่านเข้าห้องน้ำอีกซักครั้ง จะได้เช็ดถูพื้นเพิ่มบุญให้ตัวเองอีกสักหนบ้าง แล้วที่คันหัวใจอดไม่ไหวเลย ก็คืออยากถามธรรมะให้ท่านพูด....คิดว่าจะได้ชื่นใจสบายจิต ...เรื่องสำคัญจึงเกิดขึ้นตรงนี้แหละ

    คืนนั้น.... ที่หลวงปู่เพิ่งมาถึงนั่นเอง ก็มีผู้ปฏิบัติพระด้วยกันท่านหนึ่ง นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ด้วยกันกับผู้เขียน ท่านผู้นั้นก็ชวนหลวงปู่สนทนาขึ้นมาว่า

    " เขาลือกันว่าหลวงปู่ยิ้มสวย จนเรียกว่า รอยยิ้มพระอรหันต์ ทำอย่างไรจึงจะยิ้มได้เหมือนหลวงปู่ครับ ?"

    เขาพูดลอยๆ ออกมา ท่าทางก็ไม่ค่อยจะนุ่มนวลนัก ใจผู้เขียนก็ขุ่นขึ้นมาตามแบบน้ำใจของเราเอง แต่ว่าน้ำใจหลวงปู่ท่านไม่เหมือนเรา ท่านยิ้มจนหางตาย่นมากๆ แต่ว่าริมฝีปากกับดวงตาท่านมีอะไรหนอ... มีประกาย มีความงาม มีความสุขฉายออกมาพร้อมกับคำตอบ

    " เอ๊อ... (พยักหน้าหลายๆ ที) ....ถ้าใจมันไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ มันก็ยิ้มสวยเองแหละเน๊อ...."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1002416.jpg
      P1002416.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.1 KB
      เปิดดู:
      11,000
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2005
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    [​IMG]



    ท่านผู้อ่านที่รัก ท่านอ่านคำบันทึกของผู้เขียนนี้ ก็คงจะได้เพียงภาพพจน์และอารมณ์เป็นสุขบ้างแบบอ่านหนังสือ แต่ผู้เขียนได้ยินเสียง.... ได้เห็นกระแสสายตา ความงามของมุมปากยิ้มขำๆ ปนใจดีมีสุข ซ้ำยังกระทบกระแสความเมตตาของท่านในขณะนั้น.... มันบอกไม่ถูกว่าเป็นสุขอย่างไร รู้แน่แก่ใจตัวว่า "ท่านเอาใจของท่านออกมาพูด" ผู้เขียนก็เลยลืมขุ่นใจท่านผู้นั้นไปเลย... พอท่านผู้นั้นลุกออกจากกุฏิไปแล้ว ผู้เขียนก็ได้ใจจะเอาบ้าง กระหย่งเท้ากราบลงแทบเท้าหลวงปู่คำแสนใหญ่ละล่ำละลักประจบประแจง


    " หลวงปู่ครับ ผมอยากบวช "

    " เอ้อ อยากบวชจริง ก็ได้บวชเน้อ... "

    แหม... มันไม่หายคันหัวใจ

    " บวชแล้ว ผมจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ? " (เอาเข้านั่น)

    " เอ้อ... เอ้อ... ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติให้มันดี ปฏิบัติให้มันตรงทาง พอถึงปลายทางก็เป็นพระอรหันต์เองแหละเน้อ..."

    โอย... ไม่เอาใจกันบ้างเลย มันจะหายโรคคันได้ยังไง

    " หลวงปู่ครับ ผมขอฝากตัวเป็นศิษย์ ขอประทานโอวาทไว้ปฏิบัติครับ "

    เท่านั้นแหละท่านผู้อ่านเอ๋ย หน้าที่ยิ้มสวยๆ เสียงที่อ่อนโยนเนิบนาบก็เปลี่ยนไป.... เปลี่ยนแบบฟ้าร้องไม่ทันอุดหู

    " ไอ้คนจังไรนี่ พูดเอาอัปปรีย์เข้าตัวนี่... " ชี้หน้า ตาลุกเลย !


    " อย่าไปพูดจังไรอย่างนี้กับพระองค์ไหนอีกเลยน๊า... เออ... ครูบาอาจารย์ของตัวเองนะ เป็นพระอรหันต์องค์เอกของโลก ในปลายศาสนา 5,000 ปี นี่ จะหาใครมาเหมือนท่านได้ นี่... ยังจะมีกะใจแส่หาอาจารย์อื่นอีกหรือ ไม่มีใครเขาจะสอนเราได้เหมือนอาจารย์เราสอนหรอก... จำไว้นา... อย่าพูดอย่างนี้อีก ตัวเองนี่... รีบไปกราบเท้าขอขมาท่านเสีย แล้วมงคลจึงจะเข้าถึงตัวได้ ไปรักษาศีล 5 ให้ดี เอาไว้รับความดีที่ท่านจะมอบให้เถิด จำไว้นาลูกเอ๊ย... "



    ประโยคสุดท้ายเปล่งออกมา ประกายตา รอยปาก ก็เปล่งความในใจออกมาอีก.... ผู้เขียนร้องไห้อยู่นาน ท่านลองเดาดู... ร้องทำไม ?

    นับแต่เวลานาทีนั้น... ใจผู้เขียนก็มีความปลื้มใจ ภูมิใจ และสลดใจ ปะปนกันทุกครั้งที่นึกถึงพ่อและตัวเอง และสำหรับหลวงปู่คำแสนใหญ่ (ผู้ไม่พูดเอาใจเสียเลย) ผู้เขียนขอเทิดไว้ในความทรงจำด้วยความเคารพและขอบพระคุณสุดจะประมาณได้


    รุ่งขึ้นก็สงบเสงี่ยมเจียมวาจาปรนนิบัติบูชาหลวงปู่ ตอนนี้หายคันแล้ว ..ชักไม่อยากกินข้าวกินน้ำ มันอิ่มไปหมด ใจมันอยากจะวิ่งไปกราบเท้าพ่อเสียเวลานั้น... แต่ก็นึกได้ทันว่า ที่มือพ่อมักจะถือตะพดหัวเลี่ยมเงินอยู่เสมอ แล้วก็ตีแรงด้วย แม่นยำด้วย ...ก็เลยหยุด

    พอถวายอาหารเช้าหลวงปู่เสร็จ ถ้าท่านประสงค์จะเจริญศรัทธาญาติโยมที่มาในงาน ก็จะประคองท่านออกไปนั่งอาสนะที่จัดไว้นอกกุฏิ ท่านจะพักก็พากลับ เป็นอย่างนี้จนถึงวันที่สอง... วันรองสุดท้ายของงาน


    พอถึงตีสาม ลูกศิษย์ของท่านที่มาด้วยกันก็มาปลุกผู้เขียนบอกว่า หลวงปู่ให้ขึ้นไปพบ (ท่านนอนชั้นบน เรานอนเฝ้าชั้นล่าง) ก็ขึ้นไปหาเข้าใจว่าท่านจะต้องการใช้สอย เห็นท่านนั่งขัดสมาธิสบายๆ อยู่ กวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้แล้วบอกว่า

    " หลวงปู่จะกลับก่อนตอนตีสี่นี่เน้อ... ทางวัดสวนดอกมีธุระให้คนมาแจ้งเมื่อตอนดึกนี่ บอกหลวงพ่อด้วยว่า อยู่ลาไม่ทันแล้ว "

    แล้วท่านก็ดึงหัวผู้เขียนไปที่หน้าตักท่าน เอาดินสอมาเขียนขยุกขยิกลงบนกระหม่อมแล้วให้พรให้สมปรารถนา ดาราเจ้าน้ำตาก็แสดงบทถนัดอีกครั้ง ท่านจะลงอะไรบนหัวเรา เราคิดอย่างเดียวว่า ท่านได้สลักโอวาทและรอยยิ้มพระอรหันต์ลงในกระดูกศรีษะ ทะลุผ่านเข้าไปติดตรึงในดวงใจเราไม่มีวันจะลบออกได้ แล้วท่านก็ลงมาคอยรถเขาถอยมารับที่หน้ากุฏิ


    ตอนนั้นตีสี่พอดี ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้เห็นพ่อเดินแกว่งไม้เท้าเข้ามาหา (พ่อพักอยู่ด้านริมน้ำคนละฝั่งถนน)


    "...(เรียกชื่อผู้เขียน) เอ๊ย ! ... เรียบร้อยดีไหมหว่าทางนี้ อ้าว... นั่น ! พระอะไรมานั่งอยู่นี่ ข้าวของนี่จะเอาของเขาไปไหน เอ้า... ช่วยกันค้น ! หลวงปู่ขโมยอะไรเราไปบ้างหว่า... "

    แล้วท่านก็แหวกย่ามหลวงปู่ เอาซองหนาปึ๊กยัดเข้าไป ทรุดกายลงกราบที่ตักหลวงปู่คำแสนใหญ่ 1 ครั้ง


    " ขอบคุณหลวงปู่ที่เมตตามางานผม ยังไม่ได้คุยกันเลยจะกลับเสียแล้ว นี่ผมนอนไม่หลับเดินเรื่อยเปื่อยมาพบพอดี ปีหน้าเมตตามาใหม่นะขอรับ "


    ท่านผู้อ่านเอ๋ย... ภาพนั้น... หลวงปู่ยิ้มแบบเดิม พึมพำรับปากพ่อว่าจะมาอีกในปีหน้า พ่อหัวเราะเสียงดังตามแบบของพ่อ ดวงตาผู้เขียนพิมพ์ภาพนั้นไว้ แต่ใจคิดเตลิดไม่หยุด


    พ่อกูเอ๋ย... พ่อผู้รู้จบ... พ่อผู้ปิดบังตัวเองไว้ ลูกผู้ตาบอดใจจัญไร จนต้องให้พระคุณหลวงปู่คำแสนใหญ่มาชำระล้างให้มองเห็นพ่อชัดเจนเด่นกระจ่าง จนบัดนี้ ลูกเดินอย่างมั่นใจไปบนทาง... บนเส้นทางพระโยคาวจร ตามรอยเท้าพ่อไป.... จนตราบรอยเท้าสุดท้าย.





    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="3%" bgColor=#996600></TD><TD class=title width="93%" bgColor=#996600>
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลวงปู่คำแสน[/FONT]


    </TD><TD width="4%" bgColor=#996600></TD></TR><TR><TD background=../gif/blue_left.gif>
    [​IMG]

    </TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>[FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]
    งงงงงเด็กชายคำแสน กำเนิดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2431 ตรงกับเดือน 3 เหนือ แรม 9 ค่ำ เวลา 06.00 น. ปีชวด ณ บ้านป่าพร้าวใน ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บิดาชื่อท้าวภูมินทร์พิทักษ์ มารดาชื่อคำป้อ รังสี

    ......เมื่อเยาว์วัย เด็กชายคำแสนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อารมณ์แจ่มใส รู้จักคุณบิดามารดา ช่วยบิดามารดาทำนาจนอายุได้ 13 ปี ได้ขอบวชเป็นสามเณร ได้ตั้งใจเล่าเรียนค้นคว้าพระธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐานกับครูบาอริยะ วัดคับภัย จนถึงอายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้รับฉายาว่า "อินทจกโก" แปลว่าผู้มีพลังดุจจักรพระอินทร์ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นอยู่ในสัมมาปฏิบัติ โดยออกจาริกอบรมเผยแพร่ไปในท้องที่ต่าง ๆ เช่น อำเภอสะเมิง และตามป่าดอยของภาคเหนือ ต่อมาภายหลังท่านหลวงปู่คำแสน หรืออีกนามหนึ่งคือ "พระครูสุคันธศีล" ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอก ซึ่งเป็นวัดหลวงของจังหวัด เชียงใหม่ ท่านได้ทำนุบำรุง และอนุรักษ์วัดสวนดอกเป็นเวลา 30 ปี ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่ควรยกย่อง ท่านได้อุทิศชีวิตบำรุงพระพุทธศาสนา มั่นคงดำรงตนในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ประพฤติธรรมสมถะ มีดวงจิตเหนืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ จนได้รับสมญานามว่า "รอยยิ้มแห่งพระอรหันต์" หลวงปู่คำแสนได้มรณภาพด้วยความสงบ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2519 เวลา 24.00 น. รวมอายุได้ 88 ปี 3 เดือน "รูป ร่างกายจะย่อยยับดับไป แต่ชื่อความดีโคตรหาดับไปไม่ฯ"

    [/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2005
  3. semmi

    semmi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +70
    อนุโมทนา สาธุ
     
  4. sabpakit@ego.co.th

    sabpakit@ego.co.th เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +156
    ปลื้มใจด้วยคนค่ะ ตลอดชีวิตของคุณได้พบพระอรหันต์ เมื่อไหร่เราจะมีโอกาสแบบคุณบ้าง เราก็คงกลั้นน้ำตาไม่อยู่เหมือนกันนะ
     
  5. boonta

    boonta Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +64
    เกิดมาตั้งนานแล้ว ไม่มีบุญได้เห็นพระอรหันต์สักที
     
  6. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    คุณอาจเคยเห็นหรือพบเจอท่านนานแล้วครับ แต่คุณไม่สามารถหยั่งรู้จักคุณวิเศษในตัวท่าน เพราะคุณไม่มีเจโตปริญาณหยั่งรู้ใจคน ขอฝากครับ มีพระอรหันต์สองพระองค์อยู่ที่บ้านครับ คุณพ่อกับคุณแม่ พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก ไปทำดีกับท่านซะ ฆ่าท่านยังเป็นอนันตริยกรรมเหมือนฆ่าพระอรหันต์ แล้วทำดีกับท่านจะไม่เทียบเท่ากันหรือ ขอฝากครับ อย่าลืมพระสองท่านนี้
     
  7. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    เห็นด้วยครับกับข้อความข้างบนนี้

    โมทนาด้วยครับ
     
  8. nakoruru

    nakoruru เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2005
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,120
    โมทนาสาธุครับ
     
  9. pchiangmai92

    pchiangmai92 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +21
    ขออนุโมทนา
    และขออนุญาตระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เล็กน้อย
    หลวงพี่วัชรชัย (ถ้าจำไม่ผิดขณะนั้นท่านอยู่เพศฆราวาส) เป็นพระที่นับว่าโชคดีเป็นกลุ่มร่วมสมัยกับลูกศิษย์หลวงพ่อในยุคแรกที่เข้ามาอยู่วัดท่าซุง (หลวงพ่อมาอยู่ประมาณปี 2511 จากวัดบางสะพาน จังหวัดชัยนาท)
    ก่อนที่หลวงพ่อฤาษีจะทำบุญ 100 ปี ให้แก่หลวงพ่อปานในฐานะพระอาจารย์ของท่าน ท่านเพียรพยายามแสวงหาพระสุปัฏฏิปันโน
    ดูเหมือนท่านจะไปหาจากภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ และมีบางรูปอยู่ในกรุงเทพ (จำได้ไม่ชัดเจนว่าหลวงปู่บุดดาซึ่งอยู่จังหวัดใกล้ ๆ อยู่ในกลุ่มพระสุปปัฏฏิปันโนในปี 2518 ด้วยหรือไม่)
    ในช่วงนั้นยังมีพระบางรูปที่เป็นสหายธรรม เช่น หลวงพ่อโง่น (จังหวัดพิจิตร) หลวงพ่ออุตตมะ (จำจังหวัดไม่ได้อาจอยู่กาญจบุรี หรือราชบุรีแถวนั้น) และหลวงปู่บุดดา
    ในช่วงนั้น จะได้ยินเกี่ยวกับความมหัศจรรย์อะไรหลาย ๆ อย่างที่พระสุปัฏฏิปันโนได้มีโอกาสมาทำบุญ 100 ปีหลวงปู่ปาน
    เสียดายที่ผู้เขียนในขณะนั้นอายุน้อยเลยได้แต่เพียงมองเห็นอะไร ๆ ที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ในสมัยนั้นได้ยินหรือได้เห็น
    แต่ก็นับว่าเป็นบุญที่อุตสาห์ได้มาพบกับหลวงพ่อฤาษีที่ใคร ๆ ส่วนใหญ่เห็นว่าท่าน อรหันต์
    ซึ่งท่านจะเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ แต่ปฏิปทาของท่านผมเห็นไม่ด้อยไปกว่าพระอื่น ๆ ที่
    ใคร ๆ บอกว่าเป็นอรหันต์
    หลวงพ่อฤาษีเวลาท่านจะสอน รับแขก หรือเทศนา ท่านก็จะมีกิริยาที่เอาจริงเอาจัง
    แต่ถ้าเวลาอื่น ๆ จะเห็นไปอีกทิศทางหนึ่ง ทั้งหัวเราะ ตลก เสียงดัง ฯลฯ
    ญาติโยมใกล้ ๆ วัดท่าน ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบท่าน ยกเว้นกลุ่มญาติโยมที่อยู่ทางทิศเหนือของวัดจะมีความศรัทธาท่านเป็นกลุ่มใหญ่ (เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ แต่น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม)
    ญาติโยมที่ได้รับการกล่าวถึงว่าถึงนิพพานเป็นชุดแรก ก็เป็นกลุ่มญาติโยมที่อยู่ทิศเหนือของวัด โดยเฉพาะยายน้อย
    เคยได้ยินหลวงพ่อฤาษีท่านพูดเสมอว่า พระดีนั้นไม่จำเป็นต้องมีกิริยาภายนอกสงบเสงี่ยม
    คราวหนึ่งอาจจะไม่กี่ปีนี้ ได้ยินพระองค์หนึ่งกล่าวถึงวัดท่าซุงว่า "เป็นวัดบ้ากระจก" ใครพอจำได้บ้างพระองค์ใดกล่าวคำนี้

    อ้าว ระลึกถึงเสียไกล เตลิดไปไหนต่อไหน ขอโทษด้วย !!!
     
  10. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ขออนุโมทนาด้วยครับ...สาธุ
     
  11. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172

    ติดตามอ่านเรื่องของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้ในกระทู้ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำครับ ผมได้พิมพ์ไว้แล้ว สำหรับพระสุปฏิปันโนองค์อื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อ ผมจะค่อยๆ ทยอยพิมพ์ให้อ่านกัน โดยจะนำเสนอหลวงปู่สิม พุทธาจาโร และหลวงปู่คำแสนเล็ก เป็นองค์ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2005
  12. oyoyo554

    oyoyo554 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +9,199
    พี่ตั้มคะ โมทนาสาธุด้วยค่ะ
     
  13. kiwibird

    kiwibird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +288
    ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับ
     
  14. kiwibird

    kiwibird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +288
    ขออนุโมทนา สาธุด้วยครับ
     
  15. UFO99

    UFO99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +983
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  16. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    เนื่องจากวันที่ 30 ต.ค. 2550 นี้ เป็นวันครบรอบ 15 ปี ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้มรณภาพลง ผมจึงอยากเทิดพระเกียรติของหลวงพ่อและเพื่อเป็นการระลึกถึงหลวงพ่ออันเป็นที่รักและเคารพยิ่ง จึงอยากจะนำบทความที่หลวงตาวัชรชัย [พระครูภาวนาพิลาศ เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ได้เขียนเล่าถึงหลวงพ่อโดยผ่านคำบอกเล่าจากบรรดาพระสุปฏิปันโนหลายๆ องค์ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความดีของหลวงพ่อในสายตาของหลวงปู่หลายๆ องค์ มาให้บรรดาสมาชิกที่เข้ามาใหม่ได้อ่านกัน

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร

    http://palungjit.org/showthread.php?t=21301


    หลวงปู่คำแสนเล็ก

    http://palungjit.org/showthread.php?t=23560


    หลวงปู่คำแสนใหญ่

    http://palungjit.org/showthread.php?t=21467


    หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก

    http://palungjit.org/showthread.php?t=97034


    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    http://palungjit.org/showthread.php?t=21718


    หลวงปู่ครูบาธรรมชัย

    http://palungjit.org/showthread.php?t=97115


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...