ความอัศจรรย์ของพระป่า

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 19 กันยายน 2008.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +504
    ความอัศจรรย์ของพระป่า
    <hr style="" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> [​IMG]
    [​IMG]



    ที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงก็คือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ศิษย์ผู้มีญาณแก่กล้าของพระอาจารย์มั่น ภูริหัตตะเถระ ซึ่งผู้เขียนเคยนำมาเล่าครั้งหนึ่งแล้ว แต่ประสบการณ์ของท่านที่ คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต บันทึกไว้ในนามศิษยานุศิษย์ของท่าน ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้ามิได้นำมาเผยแพร่ให้เป็นที่ทราบกันทั่วไป ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาเล่า ณ โอกาสนี้

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านปฏิบัติโดยเอาชีวิตของท่านเป็นเดิมพันมาแล้วตั้งแต่ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ถ้าท่านไม่สำเร็จกิจอันหมายถึงการละ การวาง การประหารกิเลส การดับกิเลสแล้ว ท่านยอมตาย....ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีความอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย ดังเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างจำพรรษา ณ วัดป่าหนองวังซอ


    กล่าวคือ กลางวันของวันหนึ่ง หลังจากหลวงปู่ได้ทำความเพียรอย่างเต็มที่แล้ว ท่านก็พักจำวัดอยู่ในกุฏิ เผอิญวันนั้นโยมมารดาของท่านที่บวชเป็นชีและยังอยู่ที่วัดป่าหนองบัวบานได้ มาเยี่ยมท่านที่วัด ท่านเล่าว่ากำลังจำวัดอยู่เพลินๆ เพราะเพิ่งจะพักจากการทำความเพียรอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งอากาศก็เป็นใจด้วยฝนกำลังตก ก็ต้องตกใจตื่นเพราะเสียงโยมมาเรียกท่าน

    "เร็วๆเข้า รีบไปศาลาโดยด่วนเถอะ คุณลูก นิมนต์ไปศาลา พระนางมัทรี มาอยู่ที่ศาลาแนะ! เร็วเถอะ ท่านพระนางมัทรีมา!"

    โยมมารดาเร่งใหญ่

    ท่านบอกว่า ท่านตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงเรียกของโยมมารดาทั้งเร่งเร้า ทั้งทุบประตูกุฏิ เสียงโยมว่ามีคนมานิมนต์ให้ไปศาลา ท่านรีบลุกขึ้นครองผ้าแล้วลงจากุฏิทันทีเพื่อตามใจโยมไม่ทันคิดว่าเป็นใคร มาทำไมธุระอะไร โยมให้รีบไป ท่านก็ตามใจโยม

    "พระนางมัทรี มาที่ศาลา"

    โยมมารดากล่าวย้ำ เมื่อเห็นท่านลงมาจากกุฏิแล้ว

    ท่านว่า ท่านยังไม่ทันจะคิดอย่างไร สงสัยหรือค้านว่าพระนางมัทรีที่ไหน อย่างไร พระนางมัทรีจะมาที่ศาลาได้อย่างไร อย่าว่าแต่จะซักหรือคาดคั้นถามโยมเลย แม้แต่จะคิดพิจารณาอะไรก็ไม่ทันได้กระทำ

    พอท่านก้าวลงจากกุฏิมาพ้นได้อึดใสเดียว เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดสนั่น พร้อมกับเสียงโครมใหญ่! ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิท่านก็หักโค่นล้มลงมาทับกุฏิแหลกละเอียดเป็นจุณไปต่อหน้า ต่อตาท่าน และโยมมารดาที่ยืนตะลึงอยู่ !

    ท่านเล่าว่า ถ้าหากท่านยังนอนหลับอยู่ในกุฏิ ท่านไม่อยากคิดเลยว่าร่างกายจะแหลกเหลวไปฉันใด

    ได้ความว่า ฝนตกหนักมากตั้งแต่ก่อนหน้านั้นตลอดทั้งวันทั้งคืน น้ำฝนคงจะเซาะรากต้นไม้ใหญ่ทีละน้อย จนถึงกาลเวลาที่มันไม่อาจจะยืนต้นต่อไปได้ ก็หักโค่นล้มลง แต่อัศจรรย์เมื่อจะต้องหักโค่นลงมาทับกุฏิของท่าน ก็ให้เกิดเรื่องมาทำให้ท่านแคล้วคลาดพ้นจากที่นั่นเสียได้

    โยมมารดาเล่าว่า วันนั้นคิดอย่างไรไม่ทราบ ตั้งใจจะมาเยี่ยมพระลูกชาย เดินทางมาแวะพักที่ศาลาก่อน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ผู้หญิงคนนั้นสวยงามมาก แต่งตัวอย่างนางกษัตริย์ นางบอกว่านางชื่อ พระนางมัทรี

    โยมมารดาเล่าวว่า ทั้งประหลาดใจและดีใจมาก ประหลาดใจข้อที่ว่า พระนางมัทรีนั้นมีชื่ออยู่ในเวสสันดรชาดก ไม่คิดว่าจะมีตัวมีตนจริงๆ ส่วนที่ดีใจก็เพราะได้เห็นพระนางมัทรีเสด็จมาถึงบนศาลาในกลางป่า ทั้งสวยทั้งงามทั้งแย้มยิ้มพริ้มพรายงามจับตาเหลือเกิน จงอยากให้พระลูกชายรีบไปศาลา ได้ดูพระนางมัทรีให้เป็นบุญตา

    โยมยืนยันว่าเห็นพระนางมัทรีที่ศาลาจริงๆ ถามชื่อนางกษัตริย์คนงาม นางก็บอกประกาศว่าตนคือ พระนางมัทรี โยมบอกว่าเกิดมาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนสวยงามอย่างนั้นเลย!

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว โยมมารดานำท่านไปที่ศาลา ก็ไม่ปรากฏว่ามีพระนางมัทรี หรือผู้หญิงคนใดอยู่ที่นั่นเลย

    อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นสมัยท่านเดินรุกขมูลไปอยู่แถวท่าลี่ จังหวัดเลย ท่านก็คิดว่าท่านได้มาถึงใกล้ฝั่งลาวเต็มทีแล้ว ถ้าหากจะข้ามแม่น้ำโขงไปเที่ยวฝั่งลาว จะมีอุปสรรคขัดข้องอย่างใดหรือไม่

    ตกเพลากลางคืน ระหว่างท่านภาวนา ก็เกิดนิมิตเห็นมาณพน้อยผู้หนึ่ง มากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกล่าวว่า

    "ทราบว่าพระคุณเจ้าปรารถนาจะไปวิเวกที่ฝั่งลาว ปวงข้าน้อยรู้สึกปิติเป็นอย่างยิ่งจึงใคร่นิมนต์พระคุณเจ้าไปโปรดบรรดาพวก เราสัตว์ผู้มีวาสนาน้อยทางดินแดนฝั่งโน้นด้วยเถิด"

    ในนิมิตนั้นท่านรับนิมนต์เขาด้วยอาการดุษณีภาพ

    รุ่งเข้าฉันจังหันเสร็จ หลวงปู่ก็แต่งบริขารทั้งปวงไปที่ฝั่งน้ำเหียง ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง ก็เห็นเรือลำหนึงวาดเข้ามาจากกลางลำน้ำมาจอดที่ท่า คนเรือตะโกนขึ้นมานิมนต์พระคุณเจ้าให้ขึ้นเรือ ท่านถามว่าเรือจะไปที่ใด ท่านจะไปฝั่งลาว เขาก็บอกว่า ยินดีจะไปส่งท่าน ท่านจึงลงเรือลำนั้น คนเรือมีสีหน้ายิ้มละไม และมีกิริยานอบน้อมต่อท่านอย่างผิดสังเกต เมื่อเรือออกจากปากน้ำเหียงก็ข้ามแม่น้ำโขงมุ่งตรงไปฝั่งลาว แล้วจอดเทียบท่านิมนต์ให้ท่านขึ้นฝั่ง

    หลวงปู่ประคองบาตรและบริขารขึ้นฝั่งเรียบร้อย ก็เหลียวมาจะขอบใจและให้พรคนเรือ แต่ท่านต้องประหลาดใจที่ไม่เห็นเรือแม้แต่ลำเดียว!

    หากทว่าทั้งลำน้ำโขง มีจระเข้ขนาดมหึมาตัวหนึ่งลอยฟ่องอยู่กลางลำน้ำ!
    หลวงปู่กำหนดจิตพิจารณา จึงทราบว่านั่นคือ พญานาคเขามานิมนต์ท่านในนิมิตและแปลงกายเป็นคนเรือและเรือมารับ เมื่อส่งท่านแล้วเขาก็แปลงเพศเป็นจระเข้ให้ท่านได้เห็นเป็นอัศจรรย์ ท่านจึงแผ่เมตตาให้ จระเข้นั้นลอยตัวนิ่งอยู่ราวกับสงบกิริยารอรับพรและคอยส่งท่าน ท่านเดินขึ้นฝั่งไปไกลแล้วก็ยังเห็นจระเข้นั้นมองตามอยู่อย่างอาลัย จึงบอกในจิตว่า เอาละเราขอบใจเธอมากที่ช่วยเป็นธุระให้เราข้ามน้ำมาครั้งนี้ เราเดินทางต่อไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วงใยอะไรเราหรอก
    จระเข้ตัวนั้นจึงได้ผงกหัวลาและจมลงไปในท้องน้ำโขง!


    หลวงปู่ชอบท่านมีข้อเกี่ยวข้องกับพญานาคเป็นพิเศษไม่ว่าจะไปที่ใด วันหลังจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป

    ใครว่าของดีมีน้อย เห็นท่าจะไม่จริง !

    ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงปู่ชอบ ฐานสโม นั้น ท่านธุดงค์ไปไหนมาไหน มักจะมีเรื่องเกี่ยวแก่พญานาคอยู่เสมอ วันนี้จึงขออนุญาตนำบทความที่เขียนโดย คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต มาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

    ท่านพระอาจารย์ผอง เล่าว่า ท่านเคยติดตามหลวงปู่ไปอยู่ที่บ้านม่วงไข่ ซึ่งในสมัยแรกๆนั้นลำบากมาก ที่พักพระเณรอยู่บนเขา ต้องลงมาบิณฑบาตที่บ้านชาวไร่เชิงเขา และช่วยกันตักน้ำขึ้นไปใส่ตุ่มบนยอดเขา ทางฃันมาก เต็มไปด้วยป่าไผ่ที่มีหนามไหน่คม คอยเกาะเกี่ยวสบง อังสะพระเณรบางทีก็ถึงเลือดออกซิบๆ ความจริงที่เรียกว่า "ทาง" นั้นไม่มีเลย ต้องเดินหลีกกอไผ่ ลดเลี้ยวลงมาเอง บางครั้งใบไผ่ที่ตกทับถมกันมองดูเหมือนผืนดิน พอเหยียบเข้าก็ยุบลงทำให้พระเณรลื่นไถลลงไหล่เขามา ถลอกปอกเปิกหมด

    ได้ความลำบากกันทั้งเวลาลงมาบิณฑบาตและตักน้ำ จะเรียกชาวบ้านมาช่วยทำ เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำไร่ไถนาของเขา พระเณรก็อดบ่นกันไม่ได้
    หลวงปู่ได้ยินก็เปรยว่า


    "เทวดาเขาคงจะทำให้หรอก"

    ไม่มีใครคิดอะไรมาก เย็นวันนั้นฝนตกใหญ่ ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา พายุก็แรง เสียงลม เสียงฝน เสียงฟ้า เหมือนภูเขาจะถล่ม

    ตอนรุ่งเช้า พระเณรเตรียมสบงจีวรกันอย่างทะมัดทะแมงเพื่อรับมือกับหนามไผ่า ฝนตกหนักอย่างนี้ กอไผ่จะล้มก่ายกันขวางทาง ต้องกระโดดข้ามกันแค่ไหนก็ไม่ทราบ

    ประหลาดที่สุด ที่เมื่อพอเตรียมจะลงเขา มองลงไปเห็นเป็นทางเดินกว้าง ตั้งต้นจากวัดบนเขาลงไปจนถึงที่ตักน้ำและบิณฑบาต กอไผ่รื้อไปเป็นกอๆ แต่ก็มิได้ล้มลงกีดขวางทางราวกับมีมือยักษ์มากวาดป่า กอไผ่แหวกออกไปเป็นแนวๆ แล้วแยกกอไผ่เหล่านั้นออกไปวางไว้สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ

    หลวงปู่ชี้แจงว่า
    "พญานาค เขามาทำทางให้"


    จำได้ว่า เป็นราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2521 ผู้เขียน(คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต)กำลังไปสัมมนากับองค์การต่างประเทศที่เชียงใหม่ ต้องใช้เวลาสัมมนาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม พอดีทราบข่าวว่าหลวงปู่ชอบมาพักที่ดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จึงรีบไปกราบด้วยความดีใจ ระยะนั้นหลวงปู่ยังไม่เข้ากรุงเทพฯ บ่อยเหมือนสมัยนี้ นานนักจะได้ข่าวท่านสักครั้ง เราจึงคิดสะระตะ ขอใช้เวลาให้เป็นประโยชน์คุ้มค่าที่สุด ให้ได้กราบหลวงปู่ให้เต็มอิ่ม

    ตื่นแต่เช้ามืด วิ่งไปตลาด ซื้ออาหารไปถวายจังหัน แล้วก็รีบกลับมาเข้าสัมมนา เย็นเสร็จการประชุม วิ่งไปวัดห้วยรินอีกทุกๆวัน บางทีเย็นเขามีงานเลี้ยงเราก็เลี่ยงเสีย

    วิ่งรอกห้วยน้ำริน แม่ริม กับในเมืองเชียงใหม่ เป็นว่าเล่น

    บ่ายวันนั้น สัมมนาเสร็จเร็วกว่าเคย จึงไปถึงวัด แต่ยังไม่ทันมืด พอรถเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ข้มคลองชลประทานแล้วรถก็เชิดหัวขึ้นไปสู่บริเวณวัด ซึ่งเป็นเนินสูง ผู้เขียนมองเห็นพระ 7-8 องค์ ยืนคุยกันที่กุฏิหลังหนึ่ง บางองค์ก็นุ่งจีวรเรียบร้อย บางองค์ก็เพียงใส่อังสะ พอเห็นรถเรา ท่านก็เหลียวมามองพร้อมกันด้วยสีหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม เฉพาะองค์หน้าสุดนั้นหัวเราะเต็มหน้าพลางยกมือชี้มาที่รถเราอย่างทักทาย ที่บรรยายภาพได้ชัดเพราะเป็นเวลาเย็น แสงแดดส่องไปที่กุฏิเป็นแสงสีทองอร่าม

    องค์หน้าสุดที่หัวเราะและชี้มือนั้นผู้เขียน จำได้ว่าคือ ท่านพระอาจารย์สามารถ ผู้ซึ่งเคยรู้จัก
    ท่านอยู่......

    นี่ท่านคงเห็นเราเทียวไปเทียวมาทุกเช้าทุกเย็น ท่านคงขำเราจนชี้มือมาคงว่า อ้ายนี่มาอีกแล้ว........
    ขันตัวเอง จึงบ่นออกมาดังๆว่า


    "ขายหน้าพระท่าน เช้าก็มา เย็นก็มา ทุกวันไม่หยุดเลย"

    คุณพิยดา ลิวเฉลิมวงศ์ ซึ่งเป็นผู้แทนอีกหน่วยงานหนึ่งที่มาร่วมสัมมนา และมีศรัทธามากราบหลวงปู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็นทุกวันก็หัวเราะรับว่า "จริงซี"

    รุ่งขึ้นเราไปกันอีก พอถึงวัด นึกขึ้นได้ว่าวานนี้เห็นท่านสามารถ มัวแต่กราบหลวงปู่อยู่ จึงไม่ได้ไปกราบท่านเลย วันนี้ควรหาโอกาสปลีกตัวไปบ้าง จึงถาม คุณเม้ง ผู้เป็นเจ้าของร้านค้าที่เชียงใหม่ และช่วยบริการเราพาไปหาหลวงปู่บ่อยๆ ว่า

    "ท่านสามารถ ท่านอยู่กุฏิตรงไหน จะไปกราบท่าน"

    คุณเม้งบอกว่า

    "ท่านสามารถไม่อยู่ ท่านออกธุดงค์ไปแล้ว"

    "อ้าว! ไปเมื่อเข้านี้หรือคะ"

    "สามสี่วันแล้ว"

    ผู้เขียนร้อง ฮ้า! เสียงลั่น เถียงว่าเมื่อเย็นวานนี้ก็ยังเห็นท่านอยู่เลย

    คุณเม้งหัวเราะ บ่นว่า เราพูดเล่น ข้างเราก็นึกว่าคุณเม้งพูดเล่น

    ซักกันไปซักกันมา จึงได้ความว่าท่านสามารถออกธุดงค์ไปแล้ว 3-4 วันจริง ลูกชายของคุณเม้งยังไปส่งท่านขึ้นรถไปเลย!

    พอดีพบท่านอาจารย์ขันดีฯ ซึ่งปรนนิบัติหลวงปุ่อยู่จึงเรียนเรื่องราวให้ท่านวินิจฉัย

    ท่านฟังเรื่อง ก็หัวเราะพูดเปรยออกมาว่า

    "พระในวัดนี้ มีเพียง 2-3 องค์ และทุกองค์ก็รับใช้หลวงปู่รวมกันอยู่ที่โบสถ์ทั้งนั้น ที่คุณสุรพันธุ์เห็นจะเป็นพระได้อย่างไร"

    วันหลังได้มีโอกาสถาม หลวงปู่บอกว่า

    "พญานาคเขามาต้อนรับ"

    "พญานาคกี่ตัวเจ้าคะ หนูเห็นเป็นพระตั้ง 7-8 องค์"

    "ตัวเดียว" ท่านตอบสั้นๆ


    คัดมาจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต
    http://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/005560.htm
     
  2. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,795
    ผู้มีศีลบริสุทธิ์ ย่อมเป็นที่รักของเทวดาและเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
     
  3. ตะติยะทาส

    ตะติยะทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +848
    นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา
     

แชร์หน้านี้

Loading...