ประสบการณ์กรรมฐานเมตตาใหญ่-กรรมฐานกับดวงจิตวิสาขบูชา66น.91-ยันต์คนมนต์พระกาฬ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ransang, 6 มิถุนายน 2011.

  1. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ขอบคุณครับที่ติดตาม ผมยังด้อยครับ คุณก้าวหน้าไปไกลแล้วเป็นเจ้าของโรงหล่อแล้วนา ผมยังต็อกต๋อยอยู่เลย 5555



    ขอขอบพระคูณครับ
     
  2. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    จะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมใดเป็น โลกียะธรรม หรือโลกุตระธรรม

    1. จะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมใดเป็น โลกียะธรรม หรือโลกุตระธรรม
    2. เหตุใดจึงแยกธรรม ออกเป็น 2 ทั้งๆ ที่ธรรมทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียว
    3. ทั้ง 2 เหมือนกัน หรือต่างกันหรือไม่อย่างไร

    เมื่อรู้ว่าสงสัยก็วางความสงสัยเสียเลย นั่นล่ะอารมณ์โลกุตระ ลองปล่อยมันไปโดยไม่ต้องหาคำตอบสิ ไม่ใช่ Ignore นะ แต่วางอารมณ์ความสงสัยของตัวเองลงซะ เรียกว่าอยู่เหนืออารมณ์นั้น

    โลกุตระ มันคืออารมณ์ที่อยู่เหนือความเป็นโลก เหนือการเกิดอีกไม่ว่าในภพใด เหนือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ นั่นหมายความว่า มีโลกจึงมีความเหนือโลก ไม่มีโลก ก็ไม่มีความเหนือโลก ไม่มีโลกียะ ก็ไม่มีโลกุตระ โลกุตระมันก็อยู่คู่กับโลกียะ

    ดังนั้น ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในโลก เพื่อความสุขสงบในชีวิตโลก นั่นคือ โลกียะธรรม ส่วนธรรมใดที่เป็นไปเพื่อความไม่ข้องอยู่กับโลก เป็นไปเพื่อความพ้นโลก พ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร นั่นคือ โลกุตระธรรม

    ทั้งสองมันจึงเป็นธรรมคู่ที่อยู่คู่กันเสมอ ซึ่งหมายความว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน มีเกิดก็มีตาย มีสั้นก็มียาว นั่นหมายถึงว่า เกิดก็คือตาย ตายก็คือเกิด สั้นก็คือยาว ยาวก็คือสั้น เกิดและตายก็คือสิ่งเดียวกัน สั้นและยาวก็คือสิ่งเดียวกัน โลกุตระและโลกียะมันก็ทำนองเดียวกัน

    ดังนั้น ในการปฏิบัติ เราจึงต้องดำเนินไปควบคู่กัน จะเอาแต่โลกุตระธรรมไม่สนใจโลกียะธรรมก็ไม่ได้ จะเอาแต่โลกียะธรรมไม่สนใจโลกุตระธรรมก็ไม่ได้ เพราะหากเราแยกกันปฏิบัติเช่นนั้นมันไม่มีทางจะพ้นทุกข์ไปได้ หากเราบกพร่องข้างใดข้างหนึ่งเราก็ย่อมทุกข์เพราะสิ่งนั้นอยู่ดี

    โลกียะธรรม เราเน้นอยู่ในเรื่องของ สัพพะปาปัสสะ อกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา ละอกุศล เจริญกุศล เรื่องของ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และ ปัญญาทางโลก ส่วน โลกุตระธรรม เราเน้นเรื่อง สะจิตตะปะริโยทะปะนัง คือ การทำจิตให้ขาวรอบ การละวาง การสลัดคืน หรือในเรื่องของ ปัญญาญาณเป็นหลัก ซึ่งหมายถึง การเห็นแจ้งในธรรมชาติทั้งหลายล้วนว่างเปล่าจากตัวตน ขันธ์ห้าเป็นมายาอันลวงหลอก

    นี่ล่ะคือสิ่งที่เราต้องเพียรภาวนาให้



    .......แหล่งข้อมูลดี ๆ ............
    http://dmbodhiyan.com/q-and-a
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2015
  3. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    เมื่อคืนนี้ท่านอาจารย์ได้เมตตาชมพระชุดที่ผมลงให้ทุก ๆ ท่านได้ชม และเมตตาอธิบาย พุทธคุณให้ทราบ และด้วยเหตุแห่งพระชุดนี้มีอานุภาพสูง ผมจึงคิดขอเมตตาพระชุดนี้ช่วยส่งผลบุญกรรมฐานให้เจ้ากรรมนายเวรคลายวิบากในการทำมาหากิน

    ช่วง 5 ทุ่มผมจึงขึ้นไปห้องด้านบนสวดมนต์และทำกรรมฐาน รอบแรกผมเดินจงกลมด้วยพระพุทธะเมตตาอโหสิกรรม แล้วก็อธิฐานในด้านที่บอก และพรอบทีี่ 2 ผมเดินจงกลมด้วยหนอ และอธิฐานย้ำ การอธิฐานทั้ง 2 ครั้ง ผมได้อาราธนาพระกริ่งเมตตาหนอ และพระกริ่งหลวงปู่ใหญ่พิมพิ์สมาธิและพิมพิ์พนมมือ นำส่งบุญกรรมฐานให้ด้วย

    ผลเกิดทีการทำกรรมฐานครั้งที่ 2 แล้วอธิฐาน ผมเห็นภาพขาวดำเป็นทางยกสูงด้านข้างเป็นตลิ่งทอดยาวไปข้างหน้า แล้วข้างทางเป็นตัวคล้าย ๆ จระเข้อ้าปากกว้างอยู่ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจนึกว่าเป็นเงาธรรมดา ๆ แล้วเขาก็ขยับงับ ๆ อยู่ข้างหน้าผม อยู่ครู่หนึ่งผมจึงคิดว่าใช่แน่

    แสดงว่าผลการทำกรรมฐานและการอธิฐานได้ผลจริง ซึ่งได้เล่าให้ท่านอาจารย์ฟังเช้านี้ และท่านอาจารย์ก็ยืนยัน จึงมาเล่าให้ฟังครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ความเป็นกลางมีความสำคัญต่อการปฎิบัติอย่างไร?

    ความเป็นกลางนั่นล่ะคือการปฏิบัติ หากจิตมิได้ดำเนินอยู่บนความเป็นกลาง แสดงว่า จิตนั้นยังไม่เข้าทางแห่งการปฏิบัติที่แท้จริง ซึ่งนั่นหมายความว่าเราย่อมยังไม่อาจพ้นทุกข์ได้ด้วยการดำเนินของเราเช่นนั้น

    ความเป็นกลางนั้น นอกเหนือการปรุงแต่ง มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะพยายามเข้าไปถึงได้ ด้วยการแสวงหา หรือ พยายามให้มันเป็น
    ความเป็นกลางนั้นนอกเหนือสมมุติ ซึ่งมิใช่ที่เรามักเข้าใจกันว่า มันเป็นสภาวะที่อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง
    ความเป็นกลางเป็นผลแห่งการสมดุลกันอย่างพอดีของพลังแห่งสติ สมาธิ ปัญญา ที่ได้อบรมดีแล้ว
    ความเป็นกลางนั้นจึงเกิดจากการที่เรามีสติปัญญารู้เท่าทันความเอน หรือ ความปรุงแต่ง ทั้งสองข้างของธรรมคู่
    ความเป็นกลางจึงมิได้อยู่ใต้อิทธิพลแห่งความปรุงแต่งใดๆ
    ความเป็นกลางจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความอิสระอย่างแท้จริง

    ผู้รู้ทั้งหลายจะไม่สรุปว่า ตนอยู่ในความเป็นกลาง เพราะความเป็นกลางมันเป็นสุญญตสภาวะ จึงมิอาจกล่าวได้เช่นนั้น เพียงแต่ตนเห็นและเข้าใจความเซ ความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้น แม้เพียงนิด....เดียว และด้วยพลังของสติสมาธิปัญญา จึงไม่เผลอปล่อยไปตามความเอนนั้น

    ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มิอาจสร้างขึ้น เพียงแต่เราไม่เจริญสิ่งที่มัวหมอง ความบริสุทธิ์เดิมก็ปรากฏ เช่นเดียวกับความเป็นกลาง ความเป็นกลางจึงเป็นผลของปัญญาที่เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง มันจึงไม่เอนเอียงเบี่ยงเบนไปจากความบริสุทธิ์ปกติธรรมดาของธรรมชาติเดิมแท้

    เราจะคืนสู่ความเป็นกลางได้ ก็เมื่อเราหมั่นเจริญ สติ สมาธิ ปัญญา ในแบบที่ถูกต้อง ไปเรื่อยๆ ซึ่งการเจริญสติปัญญานั้น ก็ควรเริ่มจากการพิจารณาธรรมคู่ ตั้งแต่หยาบๆ ไปจนถึงละเอียด เมื่อธรรมคู่ถูกเห็น และเข้าใจตามเป็นจริงจนแจ่มแจ้ง มันจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ไร้ความแตกต่าง ระหว่างทั้งสอง เมื่อแจ้งชัดว่า ทั้งสองก็คือหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคือทั้งสอง มิได้มีอะไรที่แบ่งแยกแตกต่าง เมื่อนั้นจิตจะเริ่มคืนสู่ความเป็นกลาง

    เมื่อเราเริ่มพบความเป็นกลาง ระหว่างคู่หยาบ คู่ใดคู่หนึ่ง จนสังเกตเห็นและแจ้งชัดในจิตที่เป็นกลางนั้น ต่อไปก็จะง่ายที่จะเดินต่อ จากหยาบไปสู่ละเอียดไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด นอกเหนือได้แม้กระทั่ง ความเป็นผู้รู้ และสิ่งถูกรู้ เมื่อจิตเข้าสู่ความเป็นกลาง จิตจึงเริ่มพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง


    ความเป็นกลางมีความสำคัญต่อการปฎิบัติอย่างไร? | สวนธรรมะโพธิญาณ - Dharma Bodhiyana Retreat Center
     
  5. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    อาการของจิตคืออะไรครับ และมีตัวอย่างเป็นเช่นไรบ้าง?

    อาการของจิต โดยทั่วไปก็คือลักษณะปรากฏการณ์ต่างๆของจิต
    มันมีทั้งอาการของจิตที่แสดงตัวออกมาหยาบๆ เช่น อารมณ์ ความคิด หรือแม้กระทั่งเวทนา ฯลฯ ซึ่งอันนี้บางทีเรายังไม่เรียกว่ารู้เท่าทันอาการของตัวจิตแต่เป็นเพียงกิริยาการปรุงแต่งต่อของจิต (แต่จริงๆมันก็คือจิตนั่นล่ะ แต่มันหยาบ)

    เหมือนกับคลื่นและน้ำ เราจะว่าคลื่นไม่ใช่น้ำก็ถูก จะว่าคลื่นก็คือน้ำที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ก็ถูก

    อาการอันละเอียดของตัวจิตเอง อันเป็น characters หรือ properties ของมัน เช่น การเคลื่อนตัว การพุ่งไป อาการรู้อยู่ ความหนักหน่วง ความเบา โปร่ง ความตั้งมั่น ความอิสระ ฯลฯ ซึ่งมันเป็นเนื้อหาสาระของจิตเองที่มิได้มีอะไรมาปรุง อันนี้ก็เปรียบเหมือนน้ำนิ่ง

    การที่เราควรสังเกตเรียนรู้มันก็เพื่อ ให้รู้จักเท่าทันมันตามเป็นจริง ยามเมื่อมันปรากฏให้เราเห็น (หรือจะเรียกให้ถูก ยามเมื่อเหตุปัจจัยมันถึงพร้อมเราก็จะรู้เท่าทันมันได้) และรู้ชัดถึง ความจริงของมันที่ทั้งหมดมันก็ล้วนว่างเปล่าหาแก่นสาร หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้

    จะหยาบหรือละเอียดมันก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ของเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้น หาใช่ตัวตนที่แท้จริงไม่

    ในการปฏิบัติ ที่เราจะต้องสังเกตเรียนรู้ ก็ไม่ใช่เพื่อให้รู้แล้วยึดในสิ่งที่เรารู้(Knowledge) เพียงแต่ว่าเมื่อบุคคลสามารถแจ้งชัดในอาการของจิตได้อยู่เสมอ นั่นเป็นผลมาจากเหตุปัจจัย (สติ สมาธิ ปัญญา) ของเขาเริ่มสมดุลจึงสามารถรู้เท่าทันมันได้ ซึ่งหากดำเนินเช่นนี้ต่อไป (วิริยะ) ก็จะบังเกิดปัญญาญาณขึ้นได้ ซึ่งมิได้เกี่ยวกับการคิดเลย ตรงกันข้ามหากใช้การคิดหรือปัญญาคิด(Intellect) มันจะบดบังอาการของจิตละเอียดเสียอีก

    ดังนั้นในระบบการปฏิบัติมันจึงจะผ่านขั้นตอนดังนี้ สติสัมปชัญญะ → อิสระจากการปรุงแต่ง → ไร้คุณค่าความหมาย → ความจริงปรากฏ → ปัญญาญาณฉายแสง

    มันจึงไม่ใช่เราไปคิดหรือไปพยายามมองหามัน แม้ตัวกำหนดรู้เองก็ยังหยาบไป(มากๆด้วย)

    เพราะฉะนั้น ปฏิบัติมากๆ เจริญมากๆ ตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ต่อไปเมื่อรู้แจ้งชัดเช่นนี้บ่อยๆๆๆ เท่าทันตามที่มันเป็นจริงไปเสมอๆ ขันธ์ห้าก็จะถูกละไปเองโดยปริยาย
     
  6. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    สาธุ อนุโมทามิ
     
  7. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอคำแนะนำครับ

    การภาวนากรรมฐานเมตตาใหญ่ ในใจ *พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม*
    ระหว่า การภาวนาอย่างเดียวไปเรื่อยๆ กับ การภาวนาพร้อมกับนึกเห็นองค์พระไปด้วยพร้อมกัน จะมีผลต่างกันอย่างไรครับ

    แนะนำด้วย
    ขอบคุณครับ
     
  8. jarawoot

    jarawoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,763
    ค่าพลัง:
    +6,940
    มีผลต่างกัน...ของกริยาจิตที่เกิดขึ้น

    อาการที่รับรู้ทั้งสองแบบแตกต่างในกรณี.1. การภาวนา พระพุทธะ เมตตา. อโหสิ. กรรม (ในกรณีเคลื่อนไหว) ถ้าจิตจับอาการเคลื่อนไหว และเปล่งเสียง. พร้อมกันจะมีสติตั้งมั่นรู้แต่รู้อาการเสมือนร่างกายไม่ใช่เรา. เราคือดวงจิตที่อาศัยเท่านั้น. เมื่อยก้อเมื่อยไม่มีการปรุงแต่งต่อ. ร้อนคือร้อน. ไปตามอาการสังขาร. นี้คือสภาวะปัจจุบัน

    2.ภานาไป...จับภาพพระ(ในกรณีเคลื่อนไหว)ผลถ้าจิตไปจับภาพแนบแน่น. ความระลึกตัวจะถอยลงเพราะไปจับภาพเป็นอารมณ์(เพ่งอาการสมถะ) การระลึกสภาวะปัจจุบันจะน้อยลง. ผลปฏิบัติด้วยความเพลิน
     
  9. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712

    ตามที่ท่านอาจารย์บอกครับ พยายามให้มีสติเกิดในการปฏิบัติ

    แบบที่บอกมาทำได้แต่อย่ามากครับ บอกตามประสาเด็กดื้ออย่างผม เพราะทำมาแล้วโดนเขกหัวมาแล้วครับ 555

    ผมเพิ่งเข้าใจในคำสอนและคำแนะนำการปฏิบัติของท่านอาจารย์ได้ชัดขึ้นก็ 2 วันนี้ที่นำข้อความมาลง ซึ่งเป็นการขยายความในสิ่งที่ท่านอาจรย์สอนผมไว้แล้วให้ผมเข้าใจชัดขึ้น เพราะมันเกิดจากการเจอกับตัวปฏิบัติกับตัวเอง

    เรื่องสติสำคัญ และละเอียดกว่าที่เข้าใจไม่มีที่สิ้นสุด จะรู้ได้ว่าเวลาเกิดเรื่องถ้าสติเราดีพอเราจะแยกแยะอารมณ์ ความคิด การกระทำออก มากขึ้นตามการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติไม่พอเราจะไม่เห็นเราจะทำอะไรลงไปเหมือนแว็บเดียวแล้วจบ สติจะเกิดได้เพราะใจเราปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางความบริสุทธิ์ก็จะบังเกิดขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2015
  10. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666

    ขอบพระคุณครับ เข้าใจแล้วครับว่าควรทำอย่างไร สาธุ อนุโมทามิ
     
  11. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณครับ จะนำไปทำตามครับ
     
  12. jarawoot

    jarawoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,763
    ค่าพลัง:
    +6,940
    " ประวัติการสร้างรูปหล่อ “ครูผึ้ง”

    อานิสงส์คาถาพระปัจเจกโพธิ์….โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง...
    ***ในปัจจุบันนี้ภาวะทางเศรษฐกิจย่ำแย่ ตามบริษัทห้างร้านต่างๆ ต่างคนต่างบ่นกันพึมพำ ชาวบ้านหรือก็หนักใจ เมื่อพูดถึงเรื่องจนก็ทำให้นึกถึง คาถาวิระทะโย พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหมฯ

    ***คาถาบทนี้มีความสำคัญมาก พวกเราทุกคนควรจะทำให้ได้เป็นพื้นฐานไว้ก่อน คาถาบทนี้ทำขึ้นน้อยๆ ถ้าเงินมันขาดมือจะชดใช้กันทัน ถ้าหากทำขึ้นเต็มอัตรา เงินจะเหลือใช้ แต่ต้องทำเป็นสมาธินะ

    การทำสมาธินี่ไม่ต้องนั่งก็ได้ ถ้าว่างตอนไหนก็นึกว่ามันเรื่อยไป ขายของอยู่ ทำงานอยู่ พอว่างนิดก็ว่าไป เดินไปนึกขึ้นได้ก็ว่าไป

    คาถาวิระทะโย นี้ใครทำเป็นสมาธิได้ ถ้าทำถึงอุปจารสมาธิ ตอนนี้เงินไม่ขาดตัวแน่ ถ้ามีความจำเป็นมากจริงๆ มักจะหาได้ทัน ถ้าเข้าถึงขั้นปฐมฌานตอนนี้ละขังตัว ไม่ใช่พอใช้นะ เหลือใช้เลย แต่ต้องทำได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปนะ

    คาถาบทนี้มีคนใช้ได้ผลมาเยอะแล้ว คนที่ใช้ได้ผลคนแรกสุดคือ นายห้างขายยาตราใบโพธิ์ ที่ว่าเป็นคนแรกเพราะอะไร เพราะตอนนั้น หลวงพ่อปาน ท่านไปเรียนมาจาก ครูผึ้ง ซึ่งอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มาจากพระธุดงค์องค์หนึ่ง และพระธุดงค์องค์นี้ท่านก็บอกมาว่าเป็น คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ตามปกติครูผึ้งท่านรักษาศีลอยู่แล้ว ก่อนที่พระธุดงค์จะไป ท่านได้ให้คาถาบทนี้และบอกว่า “ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตร ก่อนจะใส่บาตรก็ให้ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบ แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมา ให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้ เงินนั้นให้ใช้เป็นค่าอาหาร มากน้อยตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องไปรอพระมา ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควร ก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร แล้วท่านจะนำไปใช้ค่าอาหาร หรือเอาไปใช้ก่อสร้างก็เป็นเรื่องของท่าน แต่เรามีเจตนาเป็นค่าอาหารแล้วกัน เท่านั้นก็พอ” นี้คือเกร็ดประวัติที่มาที่ไปของพระคาถาพระปัจเจกโพธิ์

    ส่วนตัวแล้วผมท่องพระคาถา “เงินล้าน” อยู่เนืองๆ ประสบกับความศักดิ์สิทธิ์พระคาถามานับครั้งไม่ถ้วน ถึง ณ.เวลานี้ผมก้อยังสวดพระคาถาเงินล้านเป็นประจำ นึกขึ้นได้ก้อจะท่องตลอดให้เป็นนิสัยให้ได้ทุกอริยบท อย่ามีขออ้างขอจำกัดที่จะมาหาความชอบธรรมในการขี้เกียจ...คนใครทำใครได้มันเป็นเรื่องจริง

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี57 มูลเหตุในการริเริ่มจัดสร้างรูปหล่อครูผึ้ง ผู้ถ่ายทอดพระคาถาปัจเจกโพธิ์แก่ ลป.ปาน วัดบางนมโคนั้น เกิดจากช่างปั้นคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกัน...ได้พูดว่ามีความต้องการจะสร้างรูปหล่อครูผึ้ง หน้าตัก 5 นิ้วเพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ช่างเคารพนับถือ แนะนำให้ปั้นขึ้นมาบูชาเผยแผ่บารมีท่าน... ผมฟังแล้วก้อเลยแนะนำให้ปั้นเป็นองค์ขนาด 15 นิ้วไปเลยดีกว่า เพราะจะได้ไปถวายวัดในสาย ลป.ปานลพ.ฤาษีลิงดำ ให้ลูกหลานท่านสักการะบูชา

    วันเวลาผ่านมาไปหลายเดือนอยู่ดีๆ....เสมือนเกิดปิ๊งมีความคิดขึ้นมา...ทำไม ตนเองก้อสร้างรูปหล่อสมเด็จพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐมต้น...ซึ่งเป็น “พระปัจเจกพุทธะเจ้าที่มาตรัสรู้เป็นพระองค์แรกของโลก” ได้ตั้งแต่ขนาด 40 นิ้ว 30 นิ้ว 20 นิ้ว 9 นิ้ว 3 นิ้ว รวมแล้ว 100-200 กว่าองค์แล้ว และมีพิมพ์หนังประวัติการสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นอีก100-200 เล่ม ตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วเผยแผ่พระบารมีองค์ท่านแล้ว ทำไมถึงไม่มีความคิดที่จะสร้างรูปหล่อครูผึ้ง...

    เมื่อนึกย้อน...การที่จะสร้างพระพุทธรูป รูปเหมือนครูบาอาจารย์ องค์เทพ ใช่ว่าจะนึกอยากจะสร้างจะสร้างกันง่ายๆ ถึงจะมีเงินทองที่จะจ้างช่างปั้นจ้างโรงหล่อเททอง...ถ้าไม่มีวาระเหตุและบุญวาสนาบารมีสัมพันธ์กันนั้น จะมีเหตุทำให้ไม่สามารถจัดสร้างได้...แต่กระนั้นขึ้นอยู่กับ “การปฏิบัติตนปฏิบัติใจ” ที่ถูกต้องหรือเปล่าเป็นหลักสำคัญ เมื่อมีการประมวลของจิต...ดังที่เกริ่นไว้บางส่วน ทำให้มีจิตที่ตั้งมั่นจะสร้างรูปหล่อครูผึ้งไว้ให้ลูกหลานสายบารมีสักการบูชา...ต่อมาได้ตั้งจิตอธิษฐาน “ขออนุญาตต่อครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะสมเด็จพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐมต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ ลป.ปาน ครูผึ้ง” ในการจัดสร้างหน้าตัก 15 นิ้ว ขอให้เกิดนิมิตถึงรูปร่างหน้าตาบุคคลิกของครูผึ้งด้วยเทิด....

    ระหว่างที่อธิษฐานเกิดนิมิต “เห็นกายพรหมองค์หนึ่งมีรัศมีสว่างจ้าเป็นประกายเฉดสีขาวคล้ายเพชร แต่มีลักษณะพิเศษคือประกายที่เห็นนั้นเป็นแท่งผนึกคริสตัลเล็กๆกระจายออกมารอบทิศทางสวยงามมาก...มีความรู้ว่านี้คือ ครูผึ้ง ท่านอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส” ตั้งจิตกกราบขอพระบารมีองค์ท่านในเรื่องการจัดสร้าง..เห็นท่านยิ้ม หลังจากนั้นผ่านมาหลายวัน ไม่เกิดนิมิตขึ้นมาเลย....เริ่มมีความคิดว่าจะอนุญาตให้สร้างหรือไม่นี้....พอเริ่มมีอาการของความคิดกลับมีนิมิตขึ้นมาเห็น “ภาพหน้า ลพ.สด วัดปากน้ำ และภาพทั้งองค์ของ ลพ.พุธ ฐานิโย”กว่าจะตีความหมายออกเล่นเอางงไปพักใหญ่...

    คิดว่าน่าจะเป็นนิมิตให้ช่างปั้นจะได้ปั้นได้ใกล้เคียงเหมือนตัวจริงในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่....จึงตัดสินใจ โทรติดต่อช่างให้ลงมือปั้นจนกระทั่ง....ได้รูปเหมือนต้นแบบครูผึ้งที่สมบูรณ์แบบ...ตามนิมิตที่เกิดขึ้นกับผม ต่อมาส่งภาพให้พี่ชายที่นับถือดูภาพ พี่ชายบอกว่าทำไมไม่ปั้นหน้าตัก 5 นิ้วมาให้บูชาละเพราะลูกหลานสายบารมีท่านที่ลงมาเกิดมากมายนะ ถ้าองค์ใหญ่ไม่มีที่วางบูชาและขึ้นอยู่กับราคาบูชาด้วย ถ้าขนาด 5 นิ้วจะดีมาก.....(กำลังสอบถามราคากันอยู่โดยมีพี่ชายสนับสนุน...ติดตามกันต่อไปนะครับ)
     
  13. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ครูผึ้ง - แห่งเวียงนาคราช ที่มาที่ไปอาจจะยุ่ง ๆ สักนิด แต่รูปลักษณ์ตามที่ท่านอาจารย์ได้นิมิตจากครูท่านมา

    4/6/58-21.30-ลงชื่อรับรูปติดเหรียญขวัญถุงครูพึ่ง(เวียงนาคราช)-ผู้เผยแพร่คาถาปัจเจกโพธิ์แก่ ลป.ปาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2015
  14. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ทริปที่.3 การเดินทางไป จ.เพชรบูรณ์

    ระหว่างการเดินทางออกจาก..พระคลังนอก อ.ศรีเทพ ได้รู้แล้วว่า "ครูผึ้งในชาติเกี่ยวข้องกับเมืองศรีเทพอย่างไร" พอโทรหาพี่ชายจะสอบถามเรื่องนี้หน่อย...ปรากฏว่าไม่รับสายเสีย ก้อไม่เป็นไรเดี๋ยวคงจะโทรมาเองนั้นแหละ

    ระหว่างการเดินทางไป อ.หนองไผ่ คุยถึงเรื่อง ลพ.ทบ วัดชนแดน กะว่าจะพาลูกศิษย์แสบซ่า..ไปกราบท่านเพื่อขอผงธูปมาสร้างวัตถุมงคล...เพราะท่านมีอภินิหารมาก ....แต่ได้แสบเล็กบอกว่าไป"วัดช้างเผือก สรีระท่านอยู่ที่นั้น" จึงเบนไปที่วัดช้างเผือก

    ระหว่างทางเห็นป้ายบอกว่าอีก 2 กม.ถึงวัดธรรมญาณสายลพ.ฤาษีลิงดำ...ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์(ครูผึ้ง) ให้เลี้ยวเข้าไปที่วัด...ผมคิดว่าก้อดีเหมือนกันมีรูปหล่อลป.ปานองค์ใหญ่จะได้...นำรูปเหมือนครูผึ้งไปทำพิธีขอบารมีลป.ปานท่าน

    เมื่อไปถึงศาลาใหญ่ที่ประดิษฐานลพ.ยิ้ม ลป.ปาน และลพ.ฤาษีลิงดำองค์ใหญ่...แต่ไม่มีใครอยู่เลย จึงอัญเชิญรูปเหมือนครูผึ้งและวัตถุมงคลไปวางที่โต๊ะใกล้ลพ.ยิ้ม

    ระหว่างที่ทำพิธีมีความรู้สึกว่ามีคนอยู่ด้สนหลัง...เมื่อหันไปมองเป็นคุณยายนุ่งชุดขาวมานั่ง...จึงไม่สนใจ...แต่มีเสียงดังขึ้นมาว่า "ให้เอาเงินไปทำบุญกับคุณยายด้วย"เสียงครูผึ้ง

    หลังจากเสร็จพิธี...ตั้งใจจะเอาเงินตามที่"ครูผึ้ง"บอกไปให้คุณยาย แต่ท่านไม่รู้ไปไหนแล้ว จึงนำเงินไปหย่อนตู้เสีย...ระหว่างที่ถ่ายรูปกันอยู่นั้น...คุณยายก้อเดินมาพร้อมแจกหนังสือธรรมะให้คนละเล่ม

    ผมถือโอกาสนำเงินไปทำบุญกับคุณยาย200 บาท แต่คุณยายบอกว่าให้หย่อนตู้...ผมบอกว่า"ผมหย่อนทำบุยแล้ว แต่ท่านให้มาทำบุญกับคุณยาย" คุณยายถามว่าใคร ปมตแอบพร้อมชีไปทางรูปเหมือนครูผึ้งท่าน...

    จึงได้คุยกัน...คุยกันไปคุยกันมา...ท่านคือ ผุ้ที่ถวายที่ดินส่วนใหญ่ในการสร้างวัดธรรมยาน โดยลูกชาวเป็นคนสร้างพระใหญ่นาม ลพ.ยิ้ม และกำลังสร้างกุฏิไม้สักเป็นหลังๆให้พระสง
    ฆ์พักปฏิบัติภาวนา เกือบ 100 หลัง...

    และท่านเป็นคนนครศรีธรรมราช...คนจังหวัดเดียวกับครูผึ้ง...นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ..อันอัศจรรย์ใจมาก

    ระหว่างที่เดินออกจากวิหารใหญ่...จะขึ้นรถปรากฏว่า พี่โทรเข้ามาพอดี..เลยเล่าให้ฟังพี่ชายหัวเราะใหญ่....บอกว่า "ครูผึ้งนำมาให้พเจอะ..เพื่อเป็นการยืนยันว่า ที่เรามีเจตนาสร้างรูปหล่อครูผึ้งเพื่อเผยแผ่บารมีท่านนั้น...ท่านรับรู้ที่สำคัญมีเหตุเกี่ยวเนื่องกันมา.......

    พอเล่าๆให้ไอ้ตัวแสบซ่า แสบเล็ก...แล้ว ยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบ.(มีต่อทริปที่ 4 ที่ไม่คาดฝัน)
     
  15. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    พระหลวงปู่ใหญ่นั่งปลานี้ ที่แจ้งไว้ว่าหล่อแบบลอยิงค์ไว้ 9 องค์ ผมคัดออก 3 องค์ที่คิดว่าไม่สวยเนื่องจากศรีษะท่านบิ่น

    3 วันก่อนมาสังเกตุดู 3 องค์ที่คิดไว้เหลือแค่ 2 องค์ ตั้งแต่นั้นมาก็หาหลายรอบ หลายครั้งก็ไม่พบ จนเมื่อวานไปช่วยทำพิธีกับท่านอาจารย์จึงเรียนถามท่านอาจารย์ ทราบว่า เทวดาท่านมาอัญเชิญไป ในใจก็เริ่มสบายใจขึ้นและดีใจที่เทวดาเมตตาอัญเชญหลวงปู่ซึ่งเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ผมด้วย

    ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วแต่จะพิจารณานะครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ตอนนี้งานหลวงปู่ใหญ่ของผม ขอเลื่อนออกไปก่อน

    แต่ท่านอาจารย์ได้รับคำขอจากพี่สาวในคณะให้ช่วยดำเนินการสร้างรูปหล่อหลวงปู่
    .............................................................

    ด้วยผลอานิสงส์...เทิดทูนเคารพคุณพระพุทธเจ้าของหลวงปู่พระมหากัสสปะเถระเจ้า...

    รูปปั้นที่แบมือรองรับ..ดอกฆณฑาทิพยา...ถวายบูชา พระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย...มีแสง
    สีฟ้าจางๆครึ่งวงกลม...

    แสงตกกระทบ. หรือ ปาฎิหาริย์.....ก้อช่างหัวมัน
    ...ขึ้นอยู่แต่ละความคิด มุมมอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ขอลงงานนี้ไว้เตือนความจำ หลวงพ่อ 7 กษัตริย์องค์ปฐมต้น หน้าตัก 7 นิ้ว(จำไม่ได้)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2015
  18. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    อานุภาพกรรมฐานเมตตาใหญ่ ที่เกิดขึ้นกับตัว (ธรรมทาน)

    หัวใจหลักในการภาวนา : ให้มีสติในการภาวนา สร้างสติด้วยการเคลื่อนไหวควบคู่กับการภาวนา
     
  19. ransang

    ransang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    7,394
    ค่าพลัง:
    +19,712
    ธรรมทาน ผลแห่งการฝึกกรรมฐานและภาวนา พัฒนาจิต

    เล่าเรื่องกรรมฐาน คาถาพระปัจเจกโพธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร ให้อ่านนะครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง

    หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมพยายามปฏิบัติกรรมฐานหนอ กรรมฐานเมตตาใหญ่ และสวดคาถาพระปัจเจกโพธิ์อย่างต่อเนื่อง จากการทำงานวันเสาร์ตั้งใจว่าเช้าวันอาทิตย์จะไปซอยสายลมเพื่อถวายสังฆทานซะหน่อย

    มานึกทบทนพอจะจำได้ว่าในระหว่างวันของวันเสาร์เหมือนมีอะไรในใจดังก้องว่า "ไม่ให้อภัย" อยู่หลายครั้ง จนมาเช้าวันอาทิตย์ก็อาบน้ำ คำก้องว่า "ไม่ให้อภัย" ก็ก้องขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พออาบน้ำเสร็จก็เดินเข้าห้องพระเพื่อไปสวดมนต์อาราธนาศีลก่อนไปถวายสังฆทาน

    ในระหว่างสวดมนต์นั้นก็มีเสียงดังก้องในใจว่า "ไม่ให้อภัย" ดังขึ้นมาแล้วดังอยู่ต่อเนื่อง จนมาถึงบทสวดคาถาพระปัจเจกโพธิ์อาการของจิตเจ้ากรรมนายเวรผมก็แสดงออกมาเต็มที่และจิตผมเหมือนถอยลงไปจ้องมองอยู่อย่างงง อาการในเวลานั้นไม่ต่างกับที่เห็นในทีวี สวดคาถาพระปัจเจกโพธิ์ไปด้วยปากก็แสยะร้องไห้แบบโหยหวนเลยทีเดียว เหมือนเจ็บปวดเคียดแค้นจนเก็บไว้ไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมา สวดคาถาไปเรื่อย 9 จบจึงพอก็ยังไม่หาย แล้วเจ้ากรรมนายเวรผมก็อธิฐานเมตตาอโหสิกรรมแก่ผม และขอร่วมอนุโมทนาบุญกับในสิ่งที่ผมสร้างและทำมาทุกอย่าง ในระหว่างนั้นไม่ใช่ตัวเองเลยแน่นอน แล้วอาการก็ค่อย ๆ หายไป จึงสวดมนต์ที่เหลืออีกเล็กน้อยจนจบ (มีต่อตอนไปถวายสังฆทาน)
     
  20. อาทิ

    อาทิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +13,046
     

แชร์หน้านี้

Loading...