มหาวิหารและเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์แห่งไอยคุปต์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 18 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,906
    [​IMG]
    เสาเเห่งโอไซริส (Osiris Pillar) นักวิชาเกินบางคนบอกว่ามันสัญลักษณ์เเทนประตูมิติหรือหลุมดำหรือที่อียิปต์เรียกว่า Tree of Life หรือ อาจจะเป็นประตูสู่สวรรค์ ​
    [​IMG]
    วิหารเดนเดราอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากโดยเฉพาะหลังคาที่ยังไม่พังลงมาในขณะที่โบราณสถานอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่กลางแจ้งส่วนมากจะไม่มีหลังคาเหลือให้เห็น วิหารแห่งเดนเดราตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของอียิปต์บริเวณเมืองใกล้ๆ เมืองคีน่า (Qena) ในปัจจุบัน วิหารนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับยักษ์เเห่งเมมนอน (Colossi of Memnon อยู่ใน Western Thebes ซึ่งห่างจาก Dendera ประมาณ 70 กิโลเมตร)​
    [​IMG]
    Colossi of Memnon คือ รูปปั้นยักษ์ 2 รูปของ Amenhotep III ที่ Thebes ซึ่งอาจจะมีคนสงสัยว่าส่วนที่เหลือของรูปปั้นยักษ์มันหายไปไหน มีการสันนิษฐานกันว่าเกิดจากแผ่นดินไหวทำให้ส่วนอื่นๆ พังลงมา แต่ที่หายไปจริงๆ คือฟาโรห์ในยุคหลังๆ นำหินที่เหลือจากซากถล่มไปทำวิหารของตัวเอง ส่วนตัวรูปปั้นคงไม่สามารถนำไปใช้ได้จึงเหลือไว้ที่เดิม ​
    [​IMG]
    วิหารคอมออมโบ วิหารสองเทพเจ้า (Kom-Ombo)
    วิหารคอมออมโบ (Kom-Ombo) ชื่อเรียกของวิหารนี้มาจากการค้นพบวิหารข้างหมู่บ้านที่ชื่อ kom om bo (ชื่อเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมดของวิหารตั้งโดยคนพื้นเมือง) วิหารคอมออมโบอยู่ด้านตะวันออกฝั่งของคนเป็นอยู่ระหว่าง Aswan กับ Edfu อยู่ทางเหนือของ Aswan ขึ้นไปประมาณเกือบ 50 km ใกล้ๆ Unfinished obelisk (Aswan เป็นที่ตั้งของ Unfinished Obelisk ของ Hatshepsut) ​
    [​IMG]
    มัมมี่จระเข้ ​
    วิหารนี้เป็นเริ่มสร้างตั้งแต่ New Kingdom สมัยฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 และจนถึงฟาโรห์ทัตโมสที่ 3 (Tuthmosis III) แต่ก็ค้างคาไว้เรื่อยมาจนถึงฟาโรห์ปโตเลมีที่ 6 (Ptolemy VI) จึงได้มาต่อเติมจนสมบูรณ์เมื่อฟาโรห์ปโตเลมีที่ 12 (Ptolemy XII) ส่วนกำแพงด้านนอกวิหารสร้างสมัย Roman เข้าปกครอง


    [​IMG]

    วิหารเมดิเนต ฮาบู ความเกรียงไกรวูบสุดท้ายของจักรวรรดิ (Medinet - Habu)


    วิหารเมดิเนต ฮาบู (Medinet - Habu) วิหารนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของธีบส์ ด้านหน้าของ Medinet Habu หันไปทางใต้ เป็นวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์รามเสสที่ 3 แห่งราชวงศ์ที่ 20 ซึ่งแถว ๆ นั้นก็รายล้อมไปด้วยวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์องค์อื่น ๆ อีกมากมาย



    [​IMG]
    ตรงสิ่งก่อสร้างในแผนที่บนคำว่า Puerta Elevada คือประตูมิกโดว์


    [​IMG]
    วิหารรามิเซียม วิหารล้านปีจอมราชันย์ (Ramesseum)

    My name is Ozymandias, king of kings Look on my works,ye Mighty, and despair!"
    นี่คือส่วนหนึ่งของบทกวีอันมีชื่อเสียงของเพอร์ซี-บิส เชลลีนามโอซีเมนเดียส (ozymandias) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นมหึมาของรามเสสที่ 2 ในรามิเซียมโดยปัจจุบันรูปปั้นนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก


    [​IMG]
    วิหารลักซอร์ ( Luxor Temple )
    วิหารลักซอร์ ( Luxor Temple ) “Luxor”มาจากภาษาอารบิกว่า el-Askur มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Castle”หรือ “Fortification” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “ป้อมปราการ” ภาษาอียิปต์โบราณของวิหารนี้คือ Ipet-resyt

    สมัยที่นโปเลียนบุกอียิปต์ตอนแรกเค้าเชื่อกันเลยว่าวิหารลักซอร์เป็นพระราชวังมากกว่าวิหารเพราะรูปสลักสงครามการทำศึกและภาพโหดจนดูไม่น่าจะเป็นศาสนสถานได้ จริงๆ แล้วสมัยก่อนก็ถือว่าการทำสงครามเป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่ง
    เมืองลักซอร์แตกต่างจากกรุงไคโรโดยสิ้นเชิง ไม่แออัดด้วยจำนวนประชากรตั้งอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Upper Egypt สะอาด สงบ ทิวทัศน์งาม โรแมนติก สร้างโดยฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3 พระองค์สร้างวิหารแห่งนี้พร้อมกันกับการบูรณะต่อเติมวิหารคาร์นัคไปด้วย หากนับอายุวิหารนี้ถึงปัจจุบัน จะมีอายุร่วม 3,400 ปีมาแล้ว และได้รับการปฏิสังขรณ์สานต่อจากฟาโรห์องค์ต่อมาหลายองค์ แต่ที่เด่นที่สุดฟาโรห์รามเสสที่ 2


    [​IMG]
    เครื่องรางของอียิปต์โบราณสำคัญๆ แบ่งได้เป็น 6 ประเภท
    1. ดวงตาฮอรัส - อัตจัต - วัตเจ็ต (Eye of Horus, Udjat ,Wadjet Eye) ถ้ามีแต่ดวงตาส่วนตรงกลางจะเรียก "ดวงตาฮอรัส" ถ้ามีนกแร้งและงูประกบจะเรียก "อัตจัตหรือวัตเจ็ต" มีไว้เพื่อป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้าย
    ดวงตาวัตเจ๊ด หมายถึง พระเนตรด้านซ้ายที่เรียกว่าพระเนตรแห่งดวงจันทร์ของเทพเจ้าฮอรัสที่ถูกควักออกมาขณะสู้กันกับเทพเซ็ท ต่อมาเทพเจ้าท็อตทรงใช้เวทมนตร์ใส่ให้ดังเดิม เครื่องรางรูปดวงตาวัตเจ๊ตเป็นที่นิยมของชาวไอยคุปต์มาก เนื่องจากเชื่อว่าผู้สวมใส่จะรอดพ้นจากภูตผีปิศาจและอำนาจชั่วร้ายต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังแสงสว่างที่แฝงอยู่ในพระวรกายของเทพเจ้าฮอรัส


    [​IMG]
    ดวงตาฮอรัสอีกภาพ


    [​IMG]
    ดวงตาฮอรัส


    [​IMG]
    ดเจ็ต - Djedwy, Djed the Pillar (Pillar of Osiris) ,The amulet of the Tet เสาของเทพเจ้าโอซิริส มีไว้เพื่อความเป็นอมตะ


    [​IMG]
    ดเจ็ต - Djedwy, Djed the Pillar (Pillar of Osiris)


    [​IMG]
    Djed เป็นเครื่องรางสัญลักษณ์ของเทพเจ้าโอซิริสมีลักษณะเป็นรูปกระดูกสันหลัง ตามความหมายที่ปรากฏในภาษาอักษรภาพโบราณหมายถึง “ความมั่นคงแข็งแกร่ง” ขนาดที่ทำขึ้นจะแตกต่างกันออกไปตามยุคตามสมัยของฟาโรห์แต่ละพระองค์ที่ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์ว่ามีความมั่นคงแค่ไหน

    เครื่องรางชนิดนี้ตำราบางเล่มกล่าวว่าเป็นตัวเเทนของกระดูกสันหลังโอไซริสเเละบางที่กล่าวว่ามันเเทนเสาที่ค้ำยันระหว่างโลกกับฟ้า 4 ต้นซ้อนกัน และอาจจะเป็นตัวแทนของต้นไม้เทพซึ่งเทพีไอซิสเก็บพระศพของพระสวามีพระองค์ไว้ เส้นขวาง 4 เส้น แสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญ 4 ชิ้น อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญสูงสุดในศาสนาของชาวอียิปต์ ซึ่งแสดงถึงการฟื้นคืนชีพของเทพโอซิริสในยุคใหม่และยังถือเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะที่มีต่อเทพเจ้าเซ็ต นั่นถือเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการสักการะเทพโอซิริส ซึ่งได้ถูกกล่าวไว้ใน “The book of the Dead” ดังนี้
    “ลุกขึ้นเถิดโอซิริส ท่านยังมีกระดูกสันหลังและหัวใจ มีสิ่งที่ใช้ผูกคอและหลังและยังมีหัวใจ ลุกขึ้นนั่งเถิด ข้าฯใส่น้ำไว้ใต้ตัวท่านและนำเท็ต (Tet=Djed) ที่ทำจากทองคำมามอบให้กับท่าน”


    [​IMG]
    Tet หรือ Djed จะถูกจุ่มในน้ำที่แช่ดอกอังแฮมเช่นเดียวกับเครื่องรางผูกมัดหรือเงื่อน Tyet และใช้วางบนคอของผู้ตาย มันจะให้อำนาจในการสร้างร่างใหม่และเป็นวิญญาณที่สมบูรณ์
    คนตายในโลงจะถือเครื่องรางผูกมัดหรือเงื่อน Tyet ไว้ที่มือซ้ายและ Tet หรือ Djedในมือขวา ทั้ง 2 สิ่งมักทำจากไม้ โดยTet หรือ Djedจะลงสีทองและเงื่อน Tyet โดยมากจะใช้สีแดงหรือบางครั้งสีทอง และนอกจากนั้นก็ยังมีบันทึกว่าทั้ง 2 อย่างทำขึ้นจากทองคำก็มี


    [​IMG]
    เท๊ต - tyet เครื่องรางแห่งการผูกรัด เรียกอีกอย่างว่า Isis's knot (Knot of Isis) หรือ หัวนม (tit) ของเทวีไอซิส มีเพื่อตายแล้วจะได้มีโอกาสเกิดใหม่
    ต้นกำเนิดเครื่องรางนี้ที่แท้จริงยังไม่สามารถระบุได้ มีลักษณะคล้ายเครื่องรางอังค์และน็อตก็คือ ประดับพระปั้นเหน่งของเทพเจ้า ตามปกติมักจะประดับคู่กับเจ็ด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสหภาพ (รวมดินแดนสองอาณาจักร) และยังเป็นสัญลักษณ์แทนความร่วมมือของเทวีไอซิสและเทพเจ้าโอซิริส


    [​IMG]
    เครื่องรางนี้เป็นตัวแทนเครื่องผูกรัดของเทพีไอซิส แต่เดิมทำมาจากทับทิม แร่สีแดง หรือวัตถุที่มีสีแดง บางครั้งทำจากทองหรือปิดทองด้วย จาก The Book of the Dead ได้บันทึกคาถาที่มักใช้จารึกบนเครื่องรางนี้ ดังนี้
    “นี่คือโลหิตแห่งเทพีไอซิส ความแข็งแรงและคำพูดที่ทรงอำนาจของไอซิสจะเป็นเหมือนอำนาจที่ปกป้องของสิ่งนี้และเจ้าของจากการกระทำและสิ่งที่เขารู้สึกเกลียด


    [​IMG]
    และจากจารึกในหนังสือกล่าวอีกว่า ก่อนที่จะติดเครื่องรางนี้ที่คอผู้ตายจะต้องจุ่มน้ำมันลงในน้ำที่แช่ดองอังแฮม และท่องคาถาข้างต้น เครื่องรางจะพิทักษ์ผู้ตายด้วยอำนาจแห่งโลหิตและคำพูดของไอซิส
    เครื่องรางนี้เกิดจากความเชื่อในตำนานของเทวีไอซิสที่ว่า เทพีไอซิสสามารถทำให้เทพราป่วยอย่างรุนแรงด้วยอำนาจเวทมนต์ที่พระนางครอบครองและเทพราก็ประทานเวทมนต์แห่งการฟื้นชีพให้กับเทวีไอซิสเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้นางรักษาความเจ็บป่วยของตน เทพีไอซิสจึงสามารถปลุกร่างที่ตายแล้วของเทพโอซิริสขึ้นมาใหม่โดยการเปล่งวาจาแห่งอำนาจ
    จุดประสงค์อื่นสำหรับการใช้เครื่องรางนี้กับคนตายคือ เพื่อให้ผู้ตายสามารถไปได้ทุกที่ในใต้โลก และให้เขาสามารถอยู่บนสวรรค์ หรือในโลกมนุษย์ได้


    [​IMG]
    อังค์ - Ankn สัญลักษณ์แห่งชีวิต เพื่อชีวิตอันยืนยาวและมั่นคง

    อังค์ คือเครื่องรางที่เก่าแก่ที่สุดของชาวไอยคุปต์ ภาษาอักษรภาพของคำว่าอังค์ หมายถึง “ชีวิต การดำรงชีวิต และชีวิตอมตะ” การดำรงชีวิตนั้นความหมายของชาวอียิปต์โบราณนั้นไม่เพียงแต่ในโลกปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกแห่งวิญญาณและโลกแห่งชีวิตหลังความตายอีกด้วย
    ไม่มีใครทราบว่าเครื่องรางนี้ที่แท้จริงแล้วเป็นตัวแทนจากอะไร มีข้อสันนิษฐานที่ขัดกันเองว่า อังค์น่าจะเป็นต้นแบบลัทธินับถือของลับเพศชายในขณะที่บางตำราจะอ้างว่าอังค์เป็นต้นแบบของการนับถือเพศแม่
    แต่ที่แน่ชัดคือ อังค์เป็นสัญลักษณ์แห่ง ”ชีวิต” เพราะพระเจ้าทุกองค์ตั้งแต่ในยุคแรกจะถือ “อังค์” ไว้ในมือโดยใช้เป็นเครื่องรางตามประเพณีนิยม เครื่องรางนี้ถูกทำขึ้นจากวัตถุหลายชนิด แม้กระทั่งในปัจจุบันเองก็ยังนิยมทำขึ้นเป็นรูปจี้ใส่สร้อยคอ


    [​IMG]
    คทาหัวสุนัข - Dog-head Sceptre สัญลักษณ์แห่งอำนาจ (สัญลักษณ์ที่อยู่ซ้ายสุด)


    [​IMG]
    ouadj คือ เครื่องรางที่จำลองมาจากลูกตุ้มหรือ Pendulum ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ เชื่อว่าเป็นเครื่องรางของเทพธอร์ธ


    [​IMG]
    ยูเรอัส - เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์เเละอำนาจ บ้างเชื่อว่ากำเนิดจากพระเนตรเเห่งรา, บ้างว่าเทวีไอซิสเป็นผู้สร้าง มีหน้าที่ในการคุ้มครองผู้สวมใส่หรือเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างอริราชศัตรู เล่ากันว่ายูเรอัสจะพ่นเปลวไฟออกมาเผาผลาญผู้เป็นศัตรูของฟาโรห์
    ยูเรอัสอีกความหมาย หมายถึง มงกุฎรูปงูเห่ากำลังชูคอแผ่แม่เบี้ย ประดับอยู่บนมงกุฎตรงพระนลาฎของฟาโรห์มงกุฎประดับยูเรอัสเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการดำรงตำแหน่งฟาโรห์ที่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลและธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมา
    ยูเรอัสยังเป็นสัญลักษณ์แทนเทวีวัดเจ็ต เทวีแห่งอาณาจักรล่าง เทพเจ้าเก๊บทรงถวายมงกุฎประดับยูเรอัสแด่ฟาโรห์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการดำรงตำแหน่งฟาโรห์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าราและเทพเจ้าฮอรัสทรงสวม ตามตำนานหรือนิยายไอยคุปต์ที่มีชื่อเสียงหลายเรื่องได้กล่าวว่างูเห่ามีอำนาจในการพ่นไฟเข้าใส่ศัตรูของผู้สวมใส่มงกุฎเสมอ


    [​IMG]
    The Collar of Gold เครื่องรางปลอกคอทอง

    พบว่ามีความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางนี้ และมีการใช้ในสมัยราชวงศ์ที่ 26 หรือประมาณ 550 ปีก่อนคริสตกาล จุดประสงค์ทำขึ้นเพื่อให้อำนาจกับผู้ตายในการปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งที่พันธนาการอยู่ ซึ่งเครื่องรางจะถูกทำขึ้นจากทองคำและใช้สวมคอผู้ตายในวันทำพิธีฝังศพ พร้อมท่องบทต่อไปนี้
    "โอ... บิดา น้องชาย และมารดาของเทพโอซิริส ฉันเป็นผู้ไม่ถูกพันธนาการ และเป็นคนหนึ่งที่จะได้พบกับเทพเซ็ป


    [​IMG]
    The Pillow of Amulet เครื่องรางแห่งหมอน

    เครื่องรางชนิดนี้มีรูปแบบเป็นหมอน ซึ่งถูกพบว่าวางอยู่ใต้คอของมัมมี่ในโลงศพ โดยมีจุดประสงค์เพื่อพยุงและป้องกันศีรษะของผู้ตาย ซึ่งมักจะถูกทำขึ้นจากแร่เฮมาไทต์และจารึกด้วยข้อความที่บันทึกไว้ในบทที่ 166 ของ The Book of The Dead


    [​IMG]
    The Amulet of Aegis: Aegis (Egis) โล่

    เป็นเครื่องรางที่ค่อนข้างหายากมาก เครื่องรางชนิดนี้มีลักษณะเป็นรูปโล่ขนาดเล็ก รูปครึ่งวงกลม มักทำด้วยทองคำด้านบนมีรูปเทพเจ้า Mut ประดับด้วยงูเห่าแผ่พังพาน และเหยี่ยวคู่หนึ่งประกบซ้ายและขวา Aegis เป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากวิญญาณชั่วร้าย


    [​IMG]
    จากรูปทรงและชื่อ แต่ความคิดผู้เขียนคิดว่าคงเป็นเครื่องรางยุคหลังๆ ที่ได้วัฒนธรรมจากทางกรีกผสมเข้ามาด้วย


    [​IMG]
    เครื่องรางหัวใจ

    หัวใจไม่ใช่แค่เพียงตำแหน่งของอำนาจในชีวิต แต่ยังเป็นแหล่งของความคิดที่ดีและไม่ดี และถูกแยกออกมาเพื่อทำการอาบน้ำยาเหมือนปอด ภายใต้การรักษาของ”เทพทัวมูเตฟ” ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก ดังที่มีเนื้อหาบางตอนใน “The Book of the Dead” ที่กล่าวถึงการเตรียมศพ และหัวใจของผู้ตาย
    “ขอให้หัวใจของฉันจงอยู่กับฉัน และขอให้มันพักอยู่ที่นี้ ฉันจะไม่ทานขนมปังของเทพโอซิริส ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของทะเลสาบแห่งดอกไม้ ฉันจะไม่ลงเรือที่จะล่องแม่น้ำไนล์และที่อื่น ฉันจะไม่ล่องเรือไปตามลำแม่น้ำไนล์กับท่าน บางที่ฉันอาจจะพูดและเดินไป มือและแขนทั้งสองต่อสู้กับศัตรู ประตูแห่งสวรรค์เปิดให้กับฉัน
    ขอให้เซ็บซึ่งเป็นบุตรของเทพเจ้าเปิดทางให้กับเขาและเปิดตาทั้งสองข้างให้กับฉัน แก้มัดขาทั้งสองข้างของฉัน
    ขอให้อานูบิสทำให้ขาของฉันแข็งแรงเพื่อจะยืนขึ้น ขอให้เทวีเซเก็ตทำให้ฉันขึ้นสู่สวรรค์ ขอให้เทพพทาห์ทำตามคำสั่ง ขอให้ฉันเข้าใจและสามารถควบคุมขาและมือของตน มีอำนาจจะทำในสิ่งที่พอใจ วิญญาณจะไม่ถูกยึดติดกับร่างกายที่ทางเข้าสู่อเวจี แต่จะไปยังที่สงบ”
    เชื่อว่าเมื่อผู้ตายได้กล่าวคำเหล่านี้ เขาจะได้เป็นเจ้าของอำนาจที่ต้องการในโลกหน้า เมื่อได้รับอำนาจที่จะบัญชาจิตใจและวิญญาณ ก็จะสามารถไปที่ไหนหรือทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ
    การกล่าวถึงเทพพทาห์และเทวีเซเก็ตผู้เป็นภรรยานั้น แสดงให้เห็นว่ามันถูกเขียนโดยนักบวชสมัยเมมฟิส ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบความคิดที่ดีที่สุดในอดีตกาล สอดคล้องกับคัมภีร์ของ เนกตุ อาเมน ที่ว่าเครื่องรางแห่งหัวใจทำจากหิน Lapis Lazuli ซึ่งเป็นหินที่เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดคุณประโยชน์กับผู้ที่สวมใส่ ในบทที่ 64 ของ “The Book of the Dead” เราพบจดหมายในยุคของฟาโรห์เคเซฟติช่วงประมาณ 4,300 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งพิสูจน์ได้ถึงความพิเศษของมัน
    “แม้ว่าหัวใจจะถูกนำมาให้กับมนุษย์โดยวิธีข้างต้น แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ไม่ให้สัตว์ร้ายมาขโมยหัวใจไป”


    [​IMG]
    scarab - เครื่องรางแห่งปีกแมลงทับ

    ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเครื่องรางแห่งหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากที่สุดในการปกป้องหัวใจมักถูกทำเป็นรูปแมลงปีกแข็ง
    ในยุคแรกเราพบว่าชาวอียิปต์โบราณเชื่อเกี่ยวกับแมลงชนิดนี้มานานตั้งแต่ยุคของการสร้างปิรามิด โดยมีเหตุผลว่าแม้หัวใจถูกนำออกจากร่างก่อนจะทำการอาบยาศพ แต่ร่างกายยังต้องการสิ่งอื่นที่จะทำหน้าที่เป็นแหล่งของชีวิตและการเคลื่อนไหวในชีวิตใหม่ “สิ่งนั้นจะถูกวางแทนที่ การใช้หินรูปหัวใจซึ่งได้ผ่านการลงคาถาเพื่อปกป้องหัวใจจากการนำไปโดยพวกขโมยหัวใจ” แต่มันก็เป็นเพียงหินไม่สามารถกลายเป็นสิ่งมีค่ากับชีวิตใหม่ แต่แมลงปีกแข็งครอบครองอำนาจด้วยตัวเอง


    [​IMG]
    ถ้าเราใช้รูปแมลงปีกแข็งและเขียนข้อความที่เหมาะสม มันจะปกป้องทั้งร่างกายที่ตายไปแล้วและร่างใหม่ที่เขาไปอยู่ ยิ่งกว่านั้นแมลงปีกแข็งเป็นสัญลักษณ์ของเทพเคปริหรือคีเป-รา ผู้บังคับพระอาทิตย์ให้ข้ามไปในท้องฟ้า (สุริยเทพยามเช้า)
    ชาวอียิปต์โบราณได้คัดเลือกแมลงที่จะนำมาทำเครื่องรางและตกลงที่จะใช้แมลงในตระกูลลาเมลลิคอร์น ซึ่งมีอยู่ในเขตศูนย์สูตร
    แมลงพวกนี้มักจะมีตัวใหญ่สีดำ แต่บางทีก็มีสีลักษณะพิเศษที่สามารถสังเกตได้อยู่ที่โครงสร้างและฐานของขาหลัง ซึ่งขาแต่ละข้างที่อยู่ติดลำตัวจะอยู่ห่างกันมากทำให้ลักษณะการเดินดูผิดปกติ การมีโครงสร้างเฉพาะแบบนี้ ทำให้มันสามารถกลิ้งมูลสัตว์ขนาดกลมมีขนาดประมาณ 1 ½- 2 นิ้วโดยขาหลังนำไปฝังในหลุมเพื่อใช้เลี้ยงตัวอ่อนขณะวางไข่ ซึ่งการกลิ้งก้อนมูลสัตว์ โดยพวกมันจะทำในช่วงที่มีอากาศร้อนที่สุดของวัน ทำให้ขาหลังของมันแข็งแรงและทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนได้
    คนโบราณได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับแมลงปีกแข็งชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์สคาราโบคัส ซาเซอร์ อเทนซุส อียิปโตเรียม นักเขียน 3 ท่าน ได้แก่ เอเลียน พอร์ฟีรี โฮราพอลโอ ได้ประกาศว่า แมลงชนิดนี้ไม่มีตัวเมีย โดยคนสุดท้ายกล่าวว่า “มันจะมีการวางไข่เท่านั้น เพราะมันเป็นพวกสร้างตัวเองจึงไม่ต้องใช้ตัวเมีย” (ความเชื่อคนสมัยนั้นนะ)


    [​IMG]
    การที่แมลงชนิดนี้บินในช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนที่สุดของวันทำให้มันถูกกำหนดเป็นเอกลักษณ์ของพระอาทิตย์ และมูลสัตว์ก้อนกลมเปรียบเป็นพระอาทิตย์ ความเชื่อว่าเทพคีเป-ราทำให้พระอาทิตย์เคลื่อนผ่านท้องฟ้าก็มีผลทำให้เรียกแมลงนี้อีกชื่อว่า “คีเป-รา” แปลว่า “ผู้ทำให้โคจร”
    พระอาทิตย์ (ก้อนมูลสัตว์) บรรจุตัวอ่อนของมัน มันจึงกำหนดให้เป็นสัญลักษณ์แห่งพระอาทิตย์
    ผู้สร้างชีวิตเทพคีเป-รา และยังเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตแต่เฉื่อยชา ซึ่งก็คือการเริ่มต้นมีชีวิตทุกยุค พระองค์จะถูกพิจารณาให้เป็นเทพแห่งการฟื้นคืนชีพ เมื่อแมลงถูกรวมให้เป็นพวกเดียวกับพระองค์ มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าและการฟื้นคืนชีพ


    [​IMG]
    แต่ร่างของคนตายถ้ามองในอีกแง่หนึ่งก็ได้บรรจุตัวอ่อนของชีวิต ซึ่งก็คือ “วิญญาณ” ที่ถูกเรียกให้ฟื้นโดยบทสวดที่ท่องในพิธีฝังศพ ซึ่งเปรียบก้อนมูลที่บรรจุตัวอ่อนของแมลงเหมือนกับร่างของคนตาย เมื่อแมลงสามารถให้ชีวิตกับไข่ในก้อนมูลสัตว์ได้ เขาจึงใช้มันเพื่อให้ชีวิตกับคนตาย โดยวางแมลงที่ถูกเสกหรือสลักคาถาลงบนอกของผู้ตาย
    แนวคิดเรื่อง ”ชีวิต” ที่ติดอยู่กับแมลงชนิดนี้มาเป็นเวลานานแล้วในอียิปต์และซูดานตะวันออก ปัจจุบันได้มีการนำแมลงมาทำแห้งและนำไปบดผสมน้ำให้ผู้หญิงดื่ม เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้กำเนิดชีวิตมากหรือมีลูกมากนั่นเอง
    ในอดีตเมื่อผู้ชายต้องการจะขับไล่ผลที่เกิดจากคาถาทุกชนิด เขาจะตัดหัวและปีกของแมลง แล้วต้มในน้ำมันจนอุ่น นำไปแช่ในน้ำมันของงูใหญ่ ต้มให้เดือดและดื่มส่วนผสมทั้งหมด


    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งเมื่อมีการจำได้ถึงประเพณีการฝังแมลงกับศพของคนตาย การนำมันมาเป็นเครื่องประดับก็กลายเป็นค่านิยม ทำให้มีการสะสมแมลงเหล่านี้เกือบทุกรูปแบบ การใช้เครื่องรางชนิดนี้ได้แพร่ไปยังเอเชียตะวันตกและอีกหลายประเทศที่อยู่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    จากคัมภีร์ “แหวนแห่งฮอรัส” และ “พิธีกรรมของแมลง” ของชาวกรีก-โรมัน กล่าวว่า
    1. นำแมลงซึ่งถูกสลักคาถา และนำไปวางบนโต๊ะ ซึ่งใต้โต๊ะมีผ้าลินินบริสุทธิ์วางอยู่บนไม้มะกอก ตรงกลางโต๊ะมีกระถางกำยาน
    2. นำแหวนใส่ในน้ำมันที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์และสะอาดแล้ว
    3. จากนั้นวางลงในกระถางกำยาน ทิ้งไว้ 3 วัน
    4. เมื่อครบกำหนดให้นำไปเก็บรักษาในที่ๆ ปลอดภัย ในงานพิธีให้ตั้งมันไว้ใกล้กับขนมปังและผลไม้
    5. ในระหว่างพิธีให้นำแหวนขึ้นจากน้ำมัน
    6. วันต่อมานำน้ำมันมาเจิมตัวเอง หันหน้าไปทางตะวันออกและท่องคาถาดังนี้
    “ฉันคือธ็อท ผู้ประดิษฐ์คิดค้นยาและตัวอักษร ขอให้ท่านผู้อยู่ใต้โลกจงมาสถิตอยู่กับฉัน ลุกขึ้นมาท่านผู้เป็นวิญญาณอันยิ่งใหญ่”
    ถือเป็นอันว่าเสร็จพิธี แมลงมักจะถูกทำจากอัญมณีมีค่า ด้านใต้จะสลักรูปเทพไอซิส วันที่เหมาะสมในการทำพิธีคือวันที่ 7 9 10 12 14 16 21 และ 25 ส่วนวันอื่นๆให้งด (Special Thanks: Egyptian Magic. By: E.A. Wallis Budge.)


    [​IMG]
    Egyptian Amethyst Scarab


    [​IMG]
    Egyptian Pink Jasper Stone Scarab


    [​IMG]
    วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple )


    วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple ) เป็นผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ในราชวงศ์ที่ 19 มีอายุนับถึงปัจจุบันกว่า 3,299 ปี ( 1290-1224 B.C. ) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนาสเซอร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศซูดาน
    ทางใต้ของประเทศชาวอียิปต์เรียกว่า Upper Egypt สาเหตุก็เพราะว่ามีพื้นที่ภูมิประเทศสูงกว่าทางด้านเหนือและเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำไนล์ สายน้ำมหัศจรรย์ที่มีต้นน้ำมาจากประเทศตอนกลางของทวีปแอฟริกามาบรรจบกันที่ประเทศซูดาน ก่อนไหลผ่านประเทศอียิปต์เป็นประเทศอกแตกตั้งแต่ทางด้านใต้ไปจรดเหนือสุดลงสู้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณทิศเหนือหรือตอนบนเป็นที่ราบลุ่มมีพื้นที่ต่ำกว่า ชาวอียิปต์จึงเรียกบริเวณนี้ว่า Upper Egypt


    http://atcloud.com/stories/61315


     
  2. คาฮิลเอลซา

    คาฮิลเอลซา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ชอบเหมือนกันพวกเรื่องอียิปต์นี่ อืม ที่ดังที่สุดก็คือ คำสาปฟาโรห์ ตุตันคาเมน และ
    สาเหตุที่ทำให้ เรือ ไททานิก จมนี่ ก็มาจากคำสาปแช่งของเจ้าหญิง อียิปต์ ทำให้เรือยักษ์ที่ทันสมัยสุดในทศวรรษนั้น จมสู่ใต้ทะเลลึก เป็นโยชน์ คำสาปแช่งของอียิปต์อานุภาพแรงมาก ไม่แพ้วูดู ยิ่งมาจากกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์แล้ว
     
  3. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    อืมช่างเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในอดีตเหมือนกัน มีหนังสือเล่มนึงเขียนไว้ประมาณว่าการสร้างของเมืองอียิปต์นั้นแตกต่างจากปัจจุบันมากนัก ประมาณว่าเทคโนโลยีมันคนละแบบกันกับยุคของเราและไม่สามารถอธิบายได้ตามศัพท์ของโลกปัจจุบัน
     
  4. วิปัสนะ

    วิปัสนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    601
    ค่าพลัง:
    +647
    ช่างน่าอัศจรรย์ทั้งมหาวิหารและเครื่องราง...ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงมันอลังการงานสร้างจริง ๆ วิวัฒนาการแตกต่างกับสมัยนี้อย่างสิ้นเชิงทั้งที่สมัยโน้นไม่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยแต่กลับสร้างได้ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย;ปรบมือ
     
  5. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    ไม่ชอบอย่างเดียว เรียกว่า โค..ตะ..ระ..ชอบเลย ..อียิปต์..รักนะตัวเอง..

    คำสาปแช่งของอียิปต์อานุภาพแรงมากจริงๆๆ เคยไปเที่ยวเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วใช้เวลา 8 วันเพื่อเยือน ไคโร ลักซอร์และอัสวานได้ครบ 3 เมืองหลัก วิหารที่เข้านอกจากต้องขออนุญาตเทพโบราณที่พวกเขานับถือแล้ว หลุมศพที่ไปก็ต้องคอยระวังไม่ให้เผลอเอื้อมมือไปจับมัมมี่หรือสัมผัสอะไรก็ตามที่อาจเปนอันตราย

    เคยเจอศพเจ้าหญิงองค์หนึ่งแล้วอึ้ง ตะลึง สักพักก็เริ่มเพ้อ "คนเคยสวยแต่ขึ้นอืดก่อนทำมัมมี่" ไกด์รีบไปลากตัวออกมาจากสุสานกลัวว่าลูกทัวร์คนนี้จะโดนอาถรรพ์หรือไม่ก็บ้าไปแล้ว

    ในกลุ่มมีก็ชาวเอเซียมาเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นไม่ค่อยมีคนยอมลงไปนอกจากเพื่อนข้าพเจ้าที่สงสารข้าพเจ้าและยอมลงทุนถอดรองเท้าไปเปนเพื่อน ข้างล่างอ๊อกซิเจนน้อยมาก+ความร้อนใต้ทะเลทราย กลิ่นน้ำยาอาบศพ และสภาพการเดินลงบันไดที่ชันมากๆๆ ยาวสุดลูกหูลูกตา เรียกว่า "ไม่รักกันจิงๆๆ เราไม่เด็จลงไปหรอก เหอ..เหอ.."

    สมัยก่อนโดยเฉพาะเจ้าหญิงที่มีพระสิริโฉมงดงามมากต้องปล่อยให้ขึ้นอืดก่อนทำมัมมี่เพื่อป้องกันการกระทำชำเราศพ ...เฮ้อ++นีกว่ามีแต่คนยุคนี้ที่มีความคิดพิสดารแบบนี้สมัยก่อนนี้ก็เปนเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2009
  6. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    ปลายเดือน กค. ทางเพื่อนน้องชาย บังมุสลิม เชิญ ผมไปเยี่ยม เพราะต้องตา ต้องใจ ใน ....ของบางอย่าง...

    วันที่ไปเยือนกระบี่ในคราวนั้น ใด้พบปะ พูดคุยกับ บังมุสลิม ท้องถิ่น บังมุสลิมอีกท่านหนึ่ง บอกว่า เขาใด้พบ หน้ากากสิงห์ ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ในกระบี่ เช่นกัน

    ต่อมา ใด้ถ่ายภาพหน้ากาก นี้ ให้ชมกันครับ น้ำหนักประมาณ 2-3 กก.ขนาดประมาณ 7 นิ้วกว่า ดูตามภาพ

    คาดว่า..น่าจะเกี่ยวพันกับ การค้นพบ รูปปั้นฟาโรห์ ที่ ระนอง เพราะน่าจะเป็นลักษณะ สมัย

    ไอยคุปต์<!-- google_ad_section_end --> ......///....หรือเปล่า..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    แปลกดีแต่ที่ทราบมาทางใต้ของประเทศไทยกินพื้นที่จากคาบสมุทรอินเดียสู่สุวรรณภูมิมักจะเจอแต่ศิลปะของอาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรชวาและก็อาณาจักรพวกจาม เลยไม่แน่ใจว่ามันเปนอะไร?

    รูปร่างหน้าสิงห์แบบนี้ก็คล้ายกับที่เขาติดกันหน้าประตูของศิลปะจีน หรืออาจจะมองว่าเปนเกียรติมุข หรือหน้ากาฬ (เปนรูปหน้ายักษ์ปนหน้าสิงห์) เหอ..เหอ..ยิ้มได้ด้วยค้า..ที่อยู่ตามศิลปะโบราณสถานของอังกอร์ ก็อาจจะเปนไปได้

    โดยความเห็นส่วนตัวสัตว์เทพก็น่าจะนับถือเหมือนกัน ตัวอย่างเข่นอียิปต์โบราณจะนับถืองู (สปีชี่ส์เดียวกับ นาค มังกร) เหยี่ยว (สปีชี่ส์เดียวกับ หงส์ นกยูง) สฟิงส์ (สัตว์เทพผสมกับสิงห์ หรือทางจีนใข้ปี๋เซี่ยะ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผสมกัน 5 อย่าง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2009
  8. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    สวยจัง ชอบง่ะ อยากไปดูปิรามิดและวิหารของฟาโรห์
    คลั่งใคล้การ์ตูนคำสาปฟาโรห์มาก (อ่านตั้งแต่เด็กยันมีลูกสองแล้วยังไม่จบอีก) แต่อ่านแล้วได้ความรู้ประวัติศาสตร์นะ
     
  9. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    เงอ.... เขาบอกว่าเป็น สารพิษนะในสารคดี..
     

แชร์หน้านี้

Loading...