พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ รุ่นเจริญลาภปราบไพรี- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย bat119, 20 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    #เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 3 )
    หลังจากหลวงปู่พิศดูท่านได้บวช และศึกษาปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานอย่างจริงจังกับท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี ท่านก็ได้พบความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับจิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านเล่าว่า.. ในพรรษาแรกนั่นเอง มีอยู่วันหนึ่งท่านพ่อลีสอนให้นั่งหลับตาภาวนา โดยใช้อานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ใช้คำภาวนากำกับว่า พุท-โธ วันนั้นท่านพ่อลีเป็นผู้สอนกัมมัฏฐานด้วยองค์ท่านเอง เมื่อทำตามที่ท่านพ่อลีแนะนำไปได้สักระยะหนึ่งไม่นาน อารมณ์จิตก็สงบ ชุ่มเย็น เกิดความสว่างแจ้ง และดิ่งสู่ฐานของอัปนาฌานเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตทรงอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกทางร่างกาย มีแต่จิตปรากฏเด่นชัดขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งคงจะเป็นวาสนาเก่าของท่านที่เคยบำเพ็ญเพียรมาหลายภพชาติ เมื่อเดินจิตวางใจได้ถูกส่วนแล้ว ความสว่างก็บังเกิดขึ้นโดยง่าย ทำให้ท่านได้ รู้ และเริ่มเข้าใจในหนทางการปฏิบัติ นั่นเองจึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ท่านเริ่มวางวิชาอาคม หันมาให้ความสำคัญในการศึกษาพระธรรม และปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง โดยลักษณะนิสัยของหลวงปู่เวลาท่านตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ท่านต้องทำให้ได้ และต้องทำให้ดีที่สุดด้วย ท่านบอกว่า..
    " เราตัวคนเดียว พ่อแม่ก็เสียตั้งแต่ยังเด็ก การมาบวชของเรา ก็คือการมอบกายถวายชีวิตให้แด่พระพุทธเจ้าไปแล้ว ถ้าไม่มั่นใจว่าเป็นที่พึ่งได้จริง คงไม่ตัดสินใจบวชหรอก.."

    นับตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ก็มุ่งในเรื่องการศึกษาพระปริยัติธรรม และพระบาลีเพื่อเป็นแนวทาง และเพียรปฏิบัติภาวนาวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นหลัก ในอิริยาบถ 4 ท่านทำจนคล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ โดยเฉพาะการนั่งสมาธิ และการเดินจงกรม ท่านจะทำมากเป็นพิเศษ ท่านชอบไปภาวนาอยู่ในป่าช้าผีดิบ (ข้างหลุมฝังศพ) ของวัดป่าคลองกุ้งเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่ค่อยมีใครมากวน ที่นั่นท่านจะทำทางเดินจงกรม และทำที่นั่งภาวนาไว้ใกล้ๆกัน ซึ่งเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ และญาติโยมที่ทันหลวงปู่สมัยนั้นเล่าให้ฟังว่า..
    " พระอาจารย์พิศดูท่านเพียรภาวนาหนักกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันมาก.. ทางจงกรมของท่าน ท่านเดินจนดินยุบลงไปถึงหน้าแข้ง ที่นั่งภาวนาของท่าน ท่านจะปูผ้าบางๆแล้วนั่งทีละหลายๆชั่วโมง นั่งจนดินยุบเป็นรูปขาและก้นของท่านเลย.. หากใครเข้าไปใกล้ท่าน ท่านจะทำเสียงดุๆ และไล่ให้ออกไปห่างๆ ไม่ให้มารบกวนเวลาภาวนาของท่าน.."

    คราวหน้าจะมาเล่าถึงการธุดงค์ของหลวงปู่ และเรื่องที่ท่านได้พบวิชาแปลกๆ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีสอนในโลกมนุษย์.. ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป..
    (สิรภพ)
     
  2. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072
    สวัสดียามสายครับป๋า
     
  3. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072
    สวัสดียามสายครับป๋า
     
  4. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    สวัสดีครับเสี่ยเฟริส์ท
     
  5. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    ed149578145th เชียงคำ
     
  6. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    #เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 4 )
    หลังจากหลวงปู่พิศดูได้ศึกษาวิปัสนากัมมัฏฐานจากท่านพ่อลีแล้ว ต่อมาท่านพ่อลีก็ได้นำคณะศิษย์ออกเดินธุดงค์เพื่อฝึกฝนพัฒนาจิต ตามหลักธุดงค์วัตร 13 ทั้งยังได้สอนสั่งในเรื่องการดำรงค์ชีวิตในป่าที่มีอันตรายอยู่รอบด้าน ทั้งสัตว์ดุร้าย โรคภัย อาถรรพ์ป่า และอุปสรรคนาๆประการ เป็นการชำระและทรมานกิเลสในจิตใจให้เบาบางลง เนื่องจากธรรมชาติของกิเลสนั้นกลัวความตาย ความยากลำบาก เป็นแรงเสียดทานการต่อสู้กับตัวเองที่พระธุดงค์กัมมัฏฐานควรถือปฏิบัติ
    จากการจาริกธุดงค์เข้าป่าผจญกับความยากลำบากและภัยอันตรายต่างๆนั้น สำหรับหลวงปู่พิศดูท่านก็มิได้มีความติดขัดอะไรมากมายนัก เนื่องจากสมัยที่ยังเป็นสามเณร(ท่านบรรพชาเป็นสามเณรมาตั้งแต่อยู่ที่เกาะกง ประเทศเขมร) ท่านก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาพอสมควรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ท่านเดินทางอพยพจากเมืองเขมรเข้ามาอยู่เมืองไทย แต่ในการธุดงค์ครั้งนี้ท่านก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์เพิ่มเติมจากท่านพ่อลีอีกมากทีเดียว ท่านพ่อลีได้พาคณะเดินเท้าจากจังหวัดจันทบุรี มุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน ไปถึงจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคาย ฯลฯ ซึ่งระหว่างทางหากผ่านวัดหรือที่พำนักของครูบาอาจารย์ใดๆ ท่านพ่อลีก็จะพาคณะเข้ากราบนมัสการเพื่อขอโอวาทธรรมให้แก่คณะลูกศิษย์ แต่ก็ไม่ได้พำนักอยู่นานนัก เสร็จกิจธุระตามสมควรแล้วก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป ครูบาอาจารย์ที่เข้าพบระหว่างเดินธุดงค์เท่าที่ทราบก็จะมี หลวงปู่ชอบ ฐานสโม สมัยนั้นท่านพำนักอยู่ที่ถ้ำผาแด่น จังหวัดสกลนคร (จริงๆยังมีครูบาอาจารย์รูปอื่นๆอีก แต่หลวงปู่มิได้กล่าวให้ฟัง)
    จากประสบการณ์ธุดงค์ในครั้งนี้ หลวงปู่ได้พบเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์มากมาย ว่าด้วยเรื่องกายทิพย์ของ พรหม เทวดาต่างๆที่มาฟังธรรมและมาร่วมอนุโมทนาในการบำพ็ญเพียรของคณะธรรมยาตรา และเรื่องของชาวลับแลที่ซ้อนภพอยู่ตามขุนเขาลำเนาไพร ยิ่งเรื่องของชาวลับแลนั้นรู้สึกจะเป็นอะไรที่ถูกกันกับหลวงปู่ คือไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็มักจะพบเสมอ ซึ่งองค์หลวงปู่พิศดูเองท่านเป็นพระที่มีจิตโลดโผนมาก ความรู้ความเห็นในเรื่องเหนือวิสัยคนธรรมดาท่านสามารถรู้ได้ว่องไวมาก ยิ่งท่านมีพื้นฐานในเรื่องฌานสมาธิที่แนบแน่นแบบนี้ หากต้องการรู้สิ่งใดก็สามารถกำหนดรู้ได้โดยทันที บางครั้งไม่ทันกำหนด เพียงคิดสงสัยอยากจะรู้จิตก็พุ่งไปรับรู้ได้ทันที ซึ่งบ่อยครั้งที่ต้องพยายามควบคุมจิตไม่ให้ส่งออกนอก มีสติกำหนดรู้อยู่แต่ธรรมารมณ์ และพิจารณาทุกสรรพสิ่งเป็นเพียง " สักแต่ว่าเท่านั้น... " และรวมลงในความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    หลวงปู่เล่าว่า.. พระที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์การธุดงค์ เวลาเข้าป่าใจมักจะกลัวภัยต่างๆ เช่น เสือ ช้าง กระทิง งูพิษ และอาถรรพ์ภูติผีปีศาจ เป็นอันดับต้นๆ แม้หลวงปู่เองแรกๆก็นึกประหวั่นใจเช่นกัน เพราะเพิ่งจะเคยออกธุดงค์แบบจริงจังก็คราวนี้ แต่ก็มั่นใจว่ามากับท่านพ่อลีแล้วยังไงก็อุ่นใจอยู่บ้าง แต่ถึงจะเป็นอะไรก็ต้องเป็นกัน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มีวิชาอะไรก็ต้องงัดออกมาใช้เพื่อความอยู่รอดกันละ ซึ่งมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ทำให้หลวงปู่นึกถึงวิชาอาคมที่ท่านเคยเล่าเรียนมา มาใช้เป็นที่พึ่งและเป็นเกราะคุ้มกันอีกชั้นหนึ่ง ไม่ว่าเวลาแขวนกลด เวลานอน หรือเวลาทำกิจธุระส่วนตัวต่างๆ ท่านก็จะร่ายอาคมสะกดไว้คุ้มตัวเสมอ ท่านจึงมักกล่าวเสมอว่า
    " มีวิชา เหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน.."
    " ไสยศาสตร์ก็มีประโยชน์ของไสยศาสตร์ ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย.. อยู่ที่เราจะเลือกเอามาใช้ประโยชน์ต่างหาก.."

    การธุดงค์ทั้งไปและกลับคราวนี้ กินเวลาหลายเดือน จึงกลับมาพักจำพรรษาต่อที่วัดป่าคลองกุ้ง ซึ่งหลังจากครั้งนี้แล้ว ท่านพ่อลีก็ยังพาธุดงค์อีกหลายครั้ง เพื่อให้ศิษย์ธุดงค์กัมมัฏฐานมีจิตใจเข้มแข็ง และสามารถออกธุดงค์ได้โดยลำพัง แต่ว่าเพียงระยะทางใกล้ๆ เพราะภายหลังภาระกิจทางพระศาสนาของท่านพ่อลีนั้นมีมาก..

    ****************************************

    เห็นว่าเป็นประวัติส่วนที่สำคัญมากจึงเขียนบรรยายมากหน่อย เพื่อดำเนินเรื่องที่จะเล่าในตอนหน้า แต่ก็กลัวจะเยอะเกินไป กลัวผู้อ่านจะเบื่อก่อน เรื่องราวเริ่มเข้มข้นแล้ว คราวหน้าจะมาเล่าถึงการธุดงค์ของหลวงปู่ต่อ และต่อด้วยเรื่องที่ท่านได้เรียนวิชาแปลกๆ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีสอนในโลกมนุษย์.. ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป..
    (สิรภพ)
     
  7. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    หลวงปู่สนั่น จิณณธัมโม อายุ ๙๓ ปี ท่านเป็นพระมหาเถระ ศิษย์รูปสำคัญของ ท่านพ่อลี และครูบาอาจารย์อีกหลายรูป อาทิหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ฯลฯ

    อุปนิสัยของ หลวงปู่สนั่น เรียบง่าย ไม่ยึดติดสถานที่และสิ่งใดๆ ท่านมักเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อยๆ แม้ในวัยชรา ท่านก็ยังคงเปลี่ยนสถานที่จำพรรษา เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม สงเคราะห์วัดวาอาราม และลูกศิษย์ลูกหาไปเรื่อยๆ

    หลวงปู่ชอบความสันโดษ สงบ ชอบเดินทางคนเดียว แม้ท่านจะเป็นพระมหาเถระผู้ทรงอายุพรรษาสูงแล้ว แต่ท่านยังชอบเดินทางไปมาสถานที่ต่างๆ ด้วย รถเมล์ โดยสารเพียงรูปเดียว โดยไม่มีผู้ติดตามใดๆ จะมีเพียงภายหลังที่ท่านอนุโลมให้ลูกศิษย์รับใช้ขับรถถวายบ้าง เนื่องจากสายตาท่านมีปัญหาตามความชราภาพ

    ความรักสันโดษของหลวงปู่ทำให้เวลาไปร่วมงานพิธีต่างๆ ท่านมักไปนั่งรวมกับพระหนุ่มเณรน้อย และพักในกุฏิเล็กๆ ไม่เคยแสดงตนเป็นพระเถระแต่อย่างไร จึงไม่แปลกที่อาจจะมีหลายคนซึ่งยังไม่รู้จักท่าน จึงมองผ่านท่าน หรือไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย

    กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมภาวนาของ หลวงปู่สนั่น สมัยเมื่อจำพรรษาร่วมกับ ท่านพ่อลี เป็นการฝึกตนอย่างเข้มข้น ท่านเล่าให้ฟังว่า การนั่งภาวนากับท่านพ่อลีนั้น ท่านพ่อลีจะให้นั่งบนแคร่ไม้ไผ่ หากนั่งแล้วสัปหงกไม้ไผ่จะขยับและเกิดเสียงดัง เมื่อนั่งแล้วยังสัปหงกอยู่ หลวงปู่สนั่นจึงตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวไปนั่งริมหน้าผา ตั้งใจว่า หากวันนี้ยังนั่งภาวนาแล้วสัปหงกจิตไม่สงบ ก็จะถือว่าวันนี้จะเป็นวันตายของท่าน

    การปฏิบัติธรรมของท่านตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา ท่านเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มีแต่จะมุ่งให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความก้าวหน้า ท่านจึงได้ผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ

    แต่ด้วยพระวินัยของพระสงฆ์ข้อหนึ่งที่ว่า “ห้ามบอกอุตริมนุสธรรมที่มีในตน” หลวงปู่สนั่น จึงเก็บความรู้ความเห็นพิเศษของท่านไว้อย่างเงียบๆ หากแต่ผู้รับใช้ใกล้ชิดท่านก็มักได้ประสบพบเห็นอยู่เสมอๆ
    18813618_1672447646117475_4327533750652833207_n.jpg 19894807_1722938421068397_7712423421940462659_n.jpg 20914593_1455069734559994_1386775929609522634_n.jpg 21105445_1985346131684122_8037751041656872948_n.jpg
     
  8. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    #เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 5 )
    จากประสบการณ์การธุดงค์กับท่านพ่อลี และการศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้หลวงปู่พิศดูเห็นแจ้งในสัจธรรม ยิ่งเพียรปฏิบัติมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้จิตใจเข้าถึงธรรมมากเท่านั้น คุณธรรมวิเศษต่างๆที่เคยบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานับชาติอสงไขยกัลป์ ก็ปรากฏกลับคืนมาโดยลำดับ คล้ายดั่งได้สะเดาะกลอนประตูแห่งจิตใจ บังเกิดความรู้ความเห็นอันพิสดาร จนกระทั่งหลวงปู่ท่านสามารถย้อนเรื่องราวในอดีต และค้นพบวาสนาเดิมแท้ของท่านได้ว่า เดิมทีนั้นท่านปรารถนาซึ่งพระปัจเจกพุทธภูมิมายาวนาน จวบจนชาติปัจจุบันบารมีของท่านใกล้เต็มเปี่ยมแล้ว ท่านก็เพียรปฏิบัติต่อไป...
    หลังจากการธุดงค์ร่วมกับหมู่คณะของท่านพ่อลีแล้ว ทำให้หลวงปู่ท่านเรียนรู้หลักของการดำรงค์ชีวิตในป่า จึงมีความคิดว่าอยากจะออกธุดงค์รูปเดียวบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านจึงตัดสินใจลาท่านพ่อลีออกจาริกธุดงค์โดยลำพัง ท่านก็เลือกที่จะไปธุดงค์แถบเทือกเขาสระบาป เพราะอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าคลองกุ้งมากนัก เทือกเขาสระบาปสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ มีสิงสาราสัตว์ชุกชุม และชาวบ้านที่อยู่รอบบริเวณเทือกเขานั้นยังเล่าลือกันด้วยว่า ในป่าแถบนี้มีอาถรรพ์ และยังมีเสือสมิงอันดุร้ายอยู่ เคยมีพรานหาของป่าและผู้ที่หลงเข้าไปแดนนี้ต้องจบชีวิตลงเพราะถูกเสือสมิงกัดกิน และถูกวิญญาณทำร้ายหลายราย ซึ่งหลวงปู่เองท่านก็ทราบข่าวลือนี้ดี แต่สถานที่ที่กิเลสมันไม่อยากจะอยู่ สถานที่นั้นแหละเหมาะแก่การปฏิบัติเป็นที่สุด ท่านจึงตัดสินใจเลือกเทือกเขาสระบาปเป็นสนามประลองกำลังใจในการต่อสู้กับกิเลสของท่านเอง..
    หลวงปู่ท่านเล่าว่า การออกธุดงค์เป็นหมู่คณะ กับการออกธุดงค์องค์เดียวนั้นต่างกันมากในเรื่องของจิตใจ.. พูดง่ายๆว่า ถ้าไปกันหลายคน หากมีปัญหาอะไรก็ยังพอช่วยเหลือกันได้ แต่การไปคนเดียว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น มีแต่เอาชีวิตมาทิ้งเสีย โดยที่ไม่มีใครรู้เลย.. ความกลัวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง และ ความกล้าก็เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นได้เองเช่นกัน..
    อีกประการหนึ่งหลวงปู่ท่านก็มั่นใจในวิชาอาคมและกำลังสมาธิของท่านว่าดีพอตัว ต้องสามารถเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือท่านมี สติ สัมปชัญญะ ความระลึกได้ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ เป็นยากำลังใจให้เอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี..
    การธุดงค์เข้าไปในเทือกเขาสระบาปดินแดนอาถรรพ์ครั้งนี้ แรกๆหลวงปู่ท่านจะพักภาวนาไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากนัก เพื่อสะดวกในการบิณฑบาตร แต่ก็จะค่อยๆเพิ่มความลึกเข้าไปในป่าเขามากขึ้นๆ โดยท่านจะเตรียมเสบียงติดย่ามไปฉันตามสมควรเท่านั้น เมื่อเสบียงหมดก็ฉันลูกไม้ในป่า ถ้าไม่มีก็ฉันใบไม้พอประทังชีวิตไป และเมื่ออธิษฐานปักกลดแล้วจะพักอยู่ที่ละไม่เกิน 3 วันหรือ 5 วันเท่านั้น แล้วท่านก็จะเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ให้คุ้นชินจนติดในสถานที่นั้นๆ ยิ่งเข้าไปป่าลึกมากๆบางส่วนของป่าจะมีต้นไม้สูงใหญ่ปิดบังแสงแดดจนมืดครึ้มทำให้ไม่รู้เลยว่าเป็นเวลาอะไรกันแล้ว ซึ่งตลอดการเดินธุดงค์ในช่วงแรกๆนั้น หลวงปู่ท่านก็จะทำพิธีร่ายอาคมเพื่อเบิกไพร และลงอาคมเพื่อกันตัวจากอันตรายต่างๆเสมอ ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะวิชาอาคมของท่านแรงและขลังจริง ยิ่งท่านมีกำลังของฌานสมาธิที่ดีมากด้วย การเสกเป่าอะไรก็เป็นอันหวังผลได้แน่นอน.. แต่ทว่า ในระยะต่อมา เมื่อท่านพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลแล้ว การใช้วิชาอาคมทำให้ท่านแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นที่พึ่งได้ก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่ใช่เหตุอันควรนัก เพราะจุดประสงค์การธุดงค์ของท่านคือ เพื่อการชำระกิเลสให้เบาบางลง 1 เพื่อโปรดสัตว์ 1 เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอน 1 ฯลฯ แต่หากใช้วิชาอาคมเพื่อคุ้มครองตัว ก็เท่ากับว่าเรายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับอันตรายที่แท้จริง หนำซ้ำยังอาจไปทำให้ภพภูมิต่างๆเขาเดือดร้อนอีกด้วย เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว ท่านจึงระงับการใช้อาคมไว้ก่อน จะใช้ก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริงๆเท่านั้น แต่หันมาเจริญเมตตา พรหมวิหารธรรม และแผ่ส่วนกุศลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ท่านขอถวายชีวิตนี้บูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ท่านเล่าว่า.. สมัยนั้นสัตว์ป่ามีมาก เราเจอมาหมด ทั้งเสือโคร่งลายพาดกลอน หมี ช้าง กวาง งู หมูป่า ตลอดถึงวิญญาณต่างๆ แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง ด้วยอำนาจแห่งการภาวนา และการเจริญเมตตา พรหมวิหารธรรม

    **********************************

    เดินเรื่องมายาวพอสมควร เนื่องด้วยเห็นว่าเป็นประวัติส่วนที่สำคัญมากจึงเขียนบรรยายมากหน่อย เพื่อให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระที่จิตใจเด็ดเดี่ยวมากๆ ท่านต้องผ่านอะไรมามาก ลองผิดลองถูกด้วยตนเองก็มาก ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านต้องเอาชีวิตแลกธรรม
    เรื่องราวเริ่มเข้มข้นเข้าไปทุกทีๆแล้ว คราวหน้าจะมาเล่าถึงการธุดงค์ของหลวงปู่ต่ออีกนิดหน่อย และต่อด้วยประสบการณ์ที่เกี่ยวกับชาวลับแลที่อยู่ในที่ต่างๆที่หลวงปู่เคยพบ เรื่องที่ท่านได้เรียนวิชาแปลกๆ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีสอนในโลกมนุษย์.. ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อๆๆไป..
     
  9. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    มีอยู่วันหนึ่ง ผมจำได้แม่นยำว่า เป็นช่วงเวลาเย็นของวันเสาร์ ต้นปี 2550 ผมอยู่กับหลวงปู่ 2 คนบนกุฏิหลังเก่า หลวงปู่ได้หยิบหนังสือประวัติของท่านที่ลูกศิษย์พิมพ์ถวายขึ้นมาเปิดอ่าน แล้วท่านได้พูดกับผมว่า..
    " ประวัติของเราเขาลงไว้น้อยไปหน่อย ต่อไปถ้าได้ทำหนังสือประวัติของเราอีก ให้ช่วยเขียนให้เยอะๆหน่อยนะ.."
    " แต่ยังไม่ต้องเขียนตอนนี้ ไว้ถึงเวลานั้น แล้วค่อยเขียน.."

    วันเวลาที่ล่วงผ่านมาร่วม 10 ปี คำกล่าวประโยคนี้ขององค์หลวงปู่ เป็นเสมือนคำสั่งที่ได้มอบหมายไว้ และประทับอยู่ในมโนจิต ผมยังจำได้ดี.. และมีความตั้งใจตั้งแต่บัดนั้น ว่าจะต้องรวบรวมประวัติของหลวงปู่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ตัวผมเองจะสืบค้นได้ โดยจะต้องรักษาเนื้อหาตามความเป็นจริงให้ผิดพลาดน้อยที่สุด เพื่อเผยแผ่เกียรติคุณของท่าน..

    คำกล่าวทิ้งท้ายของหลวงปู่ ที่กล่าวว่า..
    " แต่ยังไม่ต้องเขียนตอนนี้ ไว้ถึงเวลานั้น แล้วค่อยเขียน.."

    ผมตีความได้เอง ถึงคำว่า " ถึงเวลานั้น..." ก็คือ ถึงเวลาหลังจากหลวงปู่ท่านมรณภาพลงแล้ว จึงค่อยเริ่มเขียนเผยแผ่ เพราะผมทราบจริตของท่านดีว่า ท่านชอบอยู่แบบสงบ ไม่นิยมคลุกคลีกับคน แต่ถ้าใครศรัทธาท่านจริง ท่านจะช่วยทุกคนโดยไม่ลังเล..
    ซึ่งผมก็ได้เริ่มเขียนเรื่องราวของหลวงปู่ ตลอดถึงข้อมูลทำเนียบวัตถุมงคลที่ออกในนามวัด และนอกวัด มาตั้งแต่ต้นปี 2554 เป็นต้นมา สมัยนั้นเริ่มเขียนในเว็บพลังจิต ใช้ Username ว่า ทุเรียนทอด จนกระทั่งมาเขียนเผยแผ่ในเฟสบุ๊คผ่านมา 3 ปีเศษ ก็ยังคงทำหน้าที่หาข้อมูลและประสบการณ์ต่างๆจากลูกศิษย์มาเขียนเผยแผ่ปฏิปทาของท่านไว้อยู่ และช่วยทางวัดทำงานบุญมาโดยตลอด ร่วมกับสมาชิกที่อยู่ในเว็บพลังจิต และกลุ่มเฟสบุ๊ค ได้เงินเข้าวัดจำนวนหลายล้านบาทแล้ว
    ผมเห็นว่าเหตุปัจจัยในการเผยแผ่เรื่องราวของหลวงปู่พิศดู เกิดจากบารมีธรรมของท่านเอง หาใช่ตัวผู้เขียน เพราะผู้เขียนไม่มีอะไรดีเลย นอกจากได้บันทึกเรื่องราวในอดีตของหลวงปู่ที่ล่วงมาแล้ว ส่งต่อให้สมาชิกได้ศึกษาเป็นสาธารณะเท่านั้น..

    ถึงทุกวันนี้หลวงปู่พิศดูจะละสังขารแล้ว แต่ก็เหมือนว่าท่านยังอยู่ดูแลลูกศิษย์ที่นับถือท่านอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีคนเข้ามาศึกษามาก เรื่องราวของท่านได้แผ่ขยายออกไปกว้างมาก วัดของท่านก็สามารถดำรงค์อยู่ได้ ผู้ที่รับเอาคำสอนตลอดการปฏิบัติ และวัตถุมงคลของท่านไปใช้ ก็ทำให้มีหลักใจ และกำลังใจในการดำเนินชีวิตในทางที่ดียิ่งขึ้น จึงเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันเผยแผ่เกียรติคุณของท่าน ในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่งครับ..
     
  10. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072


    สวัสดียามสายครับป๋า
     
  11. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    สวัสดีครับเสี่ยเฟริส์ท
     
  12. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    #เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 6 )
    หลวงปู่พิศดูท่านอยู่ปฏิบัติธรรมในป่าเทือกเขาสระบาปเป็นเวลาหลายวัน ที่ผ่านๆมาจะมีบททดสอบให้ท่านมีความหวั่นไหวให้เลิกล้มการออกธุดงค์หลายอย่าง แต่ท่านก็พิจารณาด้วยสติปัญญา และวิปัสนาด้วยเหตุด้วยผลให้หนัก จนสามารถอยู่ต่อไปได้ การภาวนาจิตของท่านก็แนบแน่นสงบดีมาก ท่านฝึกเจริญฌาน เข้าๆ ออกๆ จนคล่องเป็นวสี จิตใจมีความชุ่มชื่นปีติอิ่มเอมมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกหิว จะฉันอาหารหรือไม่ฉันร่างกายก็สามารถอยู่ได้ โดยอาศัยแปรธาตุลมเป็นอาหาร(ลมเข้า ลมออก) หรือที่เรียกว่าถือศีลกินวาตา(ลม) เป็นสูตรศาสตร์ที่ผู้เจริญฌานชั้นสูงสามารถทำได้ บางครั้งท่านก็ฉันน้ำพอให้แก้ความกระหาย..
    ท่านเล่าว่า.. " ได้เดินลึกเข้าไปถึงกลางใจเขา ในที่ที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปถึง ป่าในนั้นทึบและชื้นมาก ไม่รู้ทิศรู้ทาง ระหว่างทางยังได้พบเสือโคร่งลายพาดกลอนมีอยู่หลายตัว เดินสวนกันกับท่านแต่กลับไม่ทำร้ายกัน ด้วยท่านเจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ เมื่อเราปลงใจมอบกายถวายชีวิตให้แด่พระพุทธเจ้าได้จริงๆแล้ว เราจะไม่กลัวความตาย ถึงแม้จะตายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย ก็ถือว่าได้ใช้หนี้เวรกรรมให้แก่กันเท่านั้น ถ้าตายก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า.."
    เมื่อหลวงปู่พิศดูอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นเวลาหลายวันมาก จนจำคืนและวันที่ล่วงผ่านไม่ได้แล้ว มีอยู่คืนหนึ่งท่านได้นิมิตว่า " วันรุ่งขึ้นให้ออกบิณฑบาตร จะมีญาติโยมรอมาใส่บาตร.. "
    พอวันรุ่งขึ้น ท่านจึงสะพายบาตรออกเดินบิณฑบาตรในป่านั้น ก็ปรากฏว่าพบชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาคอยใส่บาตร หลวงปู่ท่านก็สำรวมอยู่ในอาการสงบ ตัดความสงสัยในสิ่งที่เห็น เมื่อคนเหล่านั้นใส่บาตรท่านแล้ว ก็กราบลาแล้วเดินหายเข้าป่าไป เมื่อหลวงปู่เดินกลับมาที่กลด พอได้พิจารณาอาหารนั้นแล้วก็ทราบทันทีว่า คนเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นภูมิลับแล คือมนุษย์โบราณเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ซ้อนภพใกล้ๆกับเรา จัดอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุม เพราะข้าวที่เขาใส่มานั้นไม่เหมือนกับข้าวของชาวบ้านที่เคยฉันมาก่อน ลักษณะเป็นข้าวสีเหลืองอมเขียวอ่อนๆ มีกลิ่นหอม รสชาดนุ่มละมุนละไม ฉันแล้วมีกำลังกระชุ่มกระชวย อิ่มได้ตลอดทั้งวัน..
    หลวงปู่ได้เคยอธิบายลักษณะของภูมิลับแลที่เทือกเขาสระบาปให้ฟังว่า " ชาวลับแลแถบนี้เป็นชาวลับแล ภูมิที่ไม่ค่อยสูงนัก ลักษณะเขาจะเหมือนกับชาวบ้านทั่วๆไป เป็นมนุษย์กึ่งทิพย์ ที่สามารถแทรกมิติเข้าออกไปมาระหว่างโลกของเขา และโลกของเราได้ แต่ไม่มีแสงรัศมีกาย เหมือนกับลับแลชั้นสูงๆขึ้นไป.." ( ถ้าจำไม่ผิด หลวงปู่ท่านแยกประเภทของ ชาวลับแลไว้ว่า แบ่งออกได้ทั้งหมด 7 ระดับ ยิ่งระดับสูงยิ่งสวย และมีแสงออกจากกาย )
    นอกจากชาวลับแลแล้ว หลวงปู่ยังได้พบกับเทพเทวดาต่างๆอีกมากมาย เวลาเขามาฟังธรรม หรือฟังหลวงปู่สวดมนต์ จะย่อส่วนมาเป็นอณูเล็กๆมีมากมาย โดยเฉพาะเจ้าพ่อเขาสระบาป ท่านมีความเคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่มาก แม้แต่ตอนที่หลวงปู่ย้ายมาอยู่ที่วัดเทพธารทองแล้ว เจ้าพ่อเขาสระบาปท่านก็ยังมากราบนมัสการหลวงปู่อยู่เสมอ..

    **********************************

    เดินเรื่องการธุดงค์มายาวพอสมควร เนื่องด้วยเห็นว่าเป็นประวัติส่วนที่สำคัญมากจึงเขียนบรรยายมากหน่อย เพื่อให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระที่จิตใจเด็ดเดี่ยวมากๆ และจิตของท่านโลดโผนมาก ความรู้ความเห็นของท่านย่อมล้ำลึกเป็นพิเศษ กว่าจะมาเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ ท่านต้องเอาชีวิตเข้าแลกธรรม ไม่กลัวความตาย
    เรื่องราวเริ่มเข้มข้นเข้าไปทุกทีๆแล้ว คราวหน้าจะมาเล่าถึงการธุดงค์ของหลวงปู่ต่ออีกนิดหน่อย และต่อด้วยประสบการณ์ที่ท่านได้พบครูบาอาจารย์ในป่า เรื่องที่ท่านได้เรียนวิชาแปลกๆ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีสอนในโลกมนุษย์.. ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อๆๆไป..
     
  13. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    et457769600th จรเข้บัว
     
  14. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072

    สวัสดียามค่ำครับป๋า
     
  15. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072
    สวัสดียามสายครับป๋า
     
  16. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    สวัสดีครับเสี่ยเฟริส์ท
     
  17. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    #เรื่องพระเวทวิทยาคม.. ( ตอนที่ 7 )

    เรื่องคุณวิเศษต่างๆ เป็นปัจจัตตัง ที่ผู้ปฏิบัติจะสามารถรู้ได้เฉพาะตน เมื่อปฏิบัติจิตจนสามารถเข้าถึงรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 (สมาบัติ 8 ) ได้แล้ว จิตกับกายจะสามารถแยกสัมผัสสัมพันธ์กันได้โดยสิ้นเชิง ก็จะเกิดองค์ความรู้ และความเห็นที่เหนือกว่าคนธรรมดา การจะเดินวิปัสนาญาณ หรือพิจารณาในธรรมเหล่าใดก็ย่อมจะมีกำลังมาก เพราะอาศัยฌานสมาบัติเป็นกำลังผลักดัน นอกจากนี้แล้วผู้ปฏิบัติอาจจะมีฤทธิ์ทางใจ หรือที่เรียกว่ามโนมยิทธิ ที่เป็นความรู้พิเศษ(ตัวรู้)เกิดขึ้น เมื่อได้คุณธรรมดังกล่าวแล้ว หากจะหันไปเจริญกัมมัฏฐานกองอื่นๆ อย่างเช่น กสิณ 10 อันเป็นเหตุให้ได้อภิญญาสมาบัติ ก็สามารถทำได้โดยไม่ยาก ตรงนี้แล้วแต่วาสนาเก่าที่เคยบำเพ็ญมา อย่างองค์หลวงปู่พิศดูนั้นตามที่ทราบกัน ท่านมีวาสนาที่บำเพ็ญเพียรมาทางฤทธิ์ เพราะเคยเป็นฤาษีผู้ทรงฌานตบะแก่กล้ามาหลายชาติ ตามอุปนิสัยที่ชอบในทางอิทธิวิธี เรื่องฤทธิ์อภิญญาจึงนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย เปรียบได้ดั่งเขี้ยวเล็บของพระศาสนา ถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควรก็จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล ซึ่งหลวงปู่พิศดูท่านก็สามารถเจริญกสิณได้จบครบถ้วนทั้ง 10 กอง สำเร็จเป็นพระอภิญญา ซึ่งในขณะนั้นท่านมีอายุได้เพียง 20 กว่าปีเท่านั้นเอง เหตุที่ท่านได้ผลแห่งการปฏิบัติอันน่ามหัศจรรย์รวดเร็วเพียงนี้ ก็เนื่องด้วยท่านเคยได้มาก่อนหลายชาติแล้ว เพียงแต่ชาติปัจจุบันท่านมาปฏิบัติต่อยอด เพื่อทบทวนองค์ความรู้เดิมให้หวนคืนกลับมาเท่านั้น ทุกอย่างท่านต้องลองผิดลองถูกและทำการแก้ไขให้ถูกต้องด้วยตนเองมาตลอด..

    #พบหลวงปู่มั่น..
    หลวงปู่ได้เล่าว่า.. ขณะที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ที่เขาสระบาปนั้น มีอยู่วันหนึ่ง ในระหว่างการปฏิบัติท่านเกิดมีความขัดข้องในข้อธรรมบางอย่างอยู่ ยังแก้ไม่ตก ท่านจึงได้อธิษฐานอ้างถึงคุณพระศรีรัตนตรัย และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มีความเกี่ยวเนื่องกันมา ให้ดลจิตดลใจให้ท่านพบหนทางที่จะสามารถทะลวงผ่านข้อติดขัดในธรรมข้อนี้ให้ได้โดยราบรื่น ต่อมาท่านก็ได้นิมิตเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาหาทางอทิสมานกาย(กายทิพย์) และกายทิพย์ของหลวงปู่มั่นได้ปรากฏเป็นองค์หลวงปู่มั่นแบบรูปกายมนุษย์ เพื่อมาแนะข้อขัดข้องนั้นให้สว่างไสว

    หลวงปู่ยังบอกอีกว่า " ท่านพ่อมั่นมาหาเรา 3 วันติดกัน ท่านพาเราเดินจงกรมรอบเขาสระบาป 3 วัน เดินได้ทั้งหมด 4 รอบ.. "

    ซึ่งจะว่าไปแล้วพื้นที่ของเทือกเขาสระบาปนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ ยิ่งสมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ การเดินทางยิ่งยากลำบาก หากเป็นคนปกติ ให้เดินรอบเขาจริงๆอาจต้องใช้เวลาเกือบ 1 เดือน หรือมากกว่านั้นจึงจะเดินได้ครบรอบ แต่ในการเดินจงกรมตามหลวงปู่มั่นในเวลาเพียง 3 วัน เดินได้ถึง 4 รอบนี้ ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจาก ต้องเป็นไปด้วยการใช้อภิญญาจิต ย่นระยะทางอย่างแน่นอน หลวงปู่มั่นท่านคงมาแนะแนวทางเรื่องของการเดินจิต การควบคุม และการใช้อภิญญาให้กับหลวงปู่พิศดูนั่นเอง..

    **********************************

    เดินเรื่องการธุดงค์มายาวพอสมควร เนื่องด้วยเห็นว่าเป็นประวัติส่วนที่สำคัญมากจึงเขียนบรรยายมากหน่อย เพื่อให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระที่จิตใจเด็ดเดี่ยวมากๆ และจิตของท่านโลดโผนมาก ความรู้ความเห็นของท่านย่อมล้ำลึกเป็นพิเศษ กว่าจะมาเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้ ท่านต้องเอาชีวิตเข้าแลกธรรม ไม่กลัวความตาย
    เรื่องราวเข้มข้นเข้าไปทุกทีๆแล้ว คราวหน้าจะมาเล่าถึงการธุดงค์ของหลวงปู่ต่ออีกนิดหน่อย และต่อด้วยประสบการณ์ที่ท่านได้พบครูบาอาจารย์ในป่า เรื่องที่ท่านได้เรียนวิชาแปลกๆ ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงที่ไม่มีสอนในโลกมนุษย์.. ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อๆๆไป..
     
  18. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072

    สวัสดียามสายครับป๋า:):):)
     
  19. bat119

    bat119 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14,499
    ค่าพลัง:
    +30,842
    et510865915th คลองหลวง
     
  20. ศิษย์ปิยธโร

    ศิษย์ปิยธโร อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    14,688
    ค่าพลัง:
    +14,072
    สวัสดียามสายครับป๋า
     

แชร์หน้านี้

Loading...