“พระมหาชนก”มหากาพย์แห่งการฟื้นฟูแผ่นดินสยาม

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะอาสา, 6 มิถุนายน 2010.

  1. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    [​IMG]

    “พระมหาชนก” ฉบับพระราชนิพนธ์

    พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” มีที่มาจากวรรณคดีในพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับพระธรรมเทศนาของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสาโร) วัดราชผาติการาม เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๐ เนื้อหาสาระกล่าวถึงพระมหาชนกทรงกระทำความเพียรอย่างยิ่งยวด จนกระทั่งได้ครองราชสมบัตินำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่กรุงมิถิลาด้วยพระปรีชาสามารถสูงส่ง อยู่มาวันหนึ่งเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น ต้นที่มีผลดีถูกข้าราชบริพารดึงทิ้ง กระทั่งโค่นล้มลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูก ตั้งอยู่อย่างตระหง่าน

    พระมหาชนกทรงเกิดธรรมสังเวช ดำริจะเสด็จออกผนวช

    เนื้อหาสาระในพระราชปรารภ...อาทิ

    “...การที่พระมหาชนกจะเสด็จออกทรงแสวงหาโมกขธรรม ยังไม่ถึงวาระเวลาอันสมควร เพราะว่าได้ทรงสร้างความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือข้าราชบริพาร “นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้าง คนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ” อนึ่ง พระมหาชนกยังต้องทรงปรารภเรื่องการอนุบาลต้นมะม่วงตามวิธีสมัยใหม่เก้าวิธีอีกด้วย”

    ���ͧ�֡����Ҫ�Ծ���

    [​IMG]

    ๙ วิธี ฟื้นฟูต้นมะม่วง

    ๑) เพาะเม็ดมะม่วง Culturing the seeds
    ๒) ถนอมราก Nursing the roots
    ๓) ปักชำกิ่ง Culturing the cuttings
    ๔) เสียบยอด Grafting
    ๕) ต่อตา Bud-grafting
    ๖) ทาบกิ่ง Splicing the branches
    ๗) ตอนกิ่งให้ออกราก Layering the branches
    ๘) รมควันต้นที่ไม่มีลูก Smoking the fruitless tree
    ๙) ทำ ‘ ชีวาณูสงเคราะห์’ Culturing the cells

    จากพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก

    ปริศนาธรรมทั้ง๙ ข้อนี้ คือวิธีการฟื้นฟูประเทศ หลังต้นมะม่วง(หรือสถาบันหลัก)ล้ม



    จากพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" ซึ่งเป็นดั่งเข็มทิศและแผนที่สำหรับเดินทาง
    จึงได้กลั่นกรององค์ความรู้ มาเป็นยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้

    ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูแผ่นดินสยาม

    "คัดเมล็ด รวบรวมก้าน ฟื้นฟูกิ่ง เรียนรู้จริงอาศรมพระดาบส พัฒนาชนบทจรดเมืองสวรรค์ พิถันสร้างชุมชนพอเพียง เตรียมเสบียงฝ่าวิกฤติ กำหนดทิศฟื้นวิถีไทย สร้างวิถีพุทธให้ยั่งยืน"

    คัดเมล็ด :

    คัดเลือกเยาวชนที่เป็นผู้นำในการทำความดี ใช้คุณภาพของงานในการคัดเลือกคน โดย ผ่านกระบวนการฝึกคิดและลงมือทำความดี อย่างเป็นระบบผ่านนวัตกรรมการเรียนรู้โครงงานคุณธรรม จากนั้นจึงนำเมล็ดพันธ์แห่งความดีเหล่านี้ มาบ่มเพาะ แตกหน่อ ต่อยอด และนำมาอยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถ ฝึกหัดปกครองบ้านเมืองได้โดยมีกัลยาณมิตรคอย เกื้อหนุน เพื่อสั่งสม ส่งเสริม และสนับสนุนให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ดั่งแนวพระราช ดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปี ๒๕๑๒

    รวบรวมก้าน :

    เฟ้นหา รวบรวมพระปราชญ์ นักปราชญ์ ครูดี คนดีในทุกสาขาอาชีพและทุกภาคส่วนของ สังคมจากนั้นจึงเริมหนุนศักยภาพ (empower) ด้วยการเสริม กำลังคน กำลังสื่อ กำลังทุนทรัพย์ ในการทำคุณงามความดีต่อไป

    ฟื้นฟูกิ่ง :

    รวบรวมองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายปราชญ์แผ่นดินสาขาต่างๆ สร้างกลุ่มก้อนความสามัคคี ของคนดีให้มีพลัง มีวิถีทำความดี วิถีทำบุญ วิถีประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

    เรียนรู้จริงอาศรมพระดาบส :

    ปฎิวัติการศึกษาโดย สร้างระบบ กระบวนการให้เยาวชนของเรา ได้ไปเรียนรู้ กับพระปราชญ์ นักปราชญ์ พระดี คนดี ในสังคมแบบซึมซับ ประกบติด โดยประสานพลัง กับ 3 ยุทธศาสตร์แรกที่สร้างไว้ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบ หลักสูตรหรือโครงสร้างที่ตายตัว

    พัฒนาชนบทจรดเมืองสวรรค์ พิถันสร้างชุมชนพอเพียง :

    สร้างชุมชนพอเพียง ชุมชนชาวพุทธ เช่น สันติอโศก หมู่บ้านพลัม สวนพุทธธรรม จ.ลำพูน แต่จำเป็นต้องเป็นชุมชนชาวพุทธที่เป็นกลางไม่โน้มเอียงไปด้านลัทธิศาสนา ในพื้นที่จังหวัดที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๐เมตร ขึ้น ไปและจำเป็นต้องไปถึงระดับชุมชน อย่างบูรณาการโดยไม่แยกส่วน มี วัด โรงเรียน สถานพยาบาล สวนเกษตร พลังงาน ฯลฯ เบ็ดเสร็จในชุมชนนั้น จึงจะเป็นชุมชนพุทธที่ เข้มแข็งและพึ่งพาตนเอง เป็นการเตรียมเสบียงทางกายภาพ พวกปัจจัย๔ สำหรับการรองรับ วิกฤติต่างๆได้

    เตียมเสบียงฝ่าวิกฤติ กำหนดทิศฟื้นวิถีไทย สร้างวิถีพุทธให้ยั่งยืน :

    เตรียมความพร้อมเผชิญ ฝ่าวิกฤติ เช่น การสร้างชุมชนพอเพียง ชุมชนชาวพุทธที่เข้มแข็ง ทั้งทางกายภาพ คือ ปัจจัย4 อาหาร พลังงานและองค์ความรู้ต่างๆ รวมถึงเสบียงบุญโดยสร้างเงื่อนไขให้ชุมชนต่างๆที่กระจาย ตัวอยู่ทั่วประเทศ ได้ฟื้นวิถีไทย วิถีพุทธ กลับมามีวิถีบุญ มีวิถีสามัคคี เช่น การฟื้น "หลักชาวพุทธ" หรือการมีกิจกรรมพิเศษในวันโกนวันพระ สร้างเป็นวิถีของวันปูรณมีบูชา เพื่อเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ และ ๘๔ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น


    จากหลักธรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนา สามารถสรุปเป็นยุทธศาสตร์ดังนี้

    ยุทธศาสตร์ “สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย”

    Condition of welfare (เวอร์ชั่น สรุปเป็นคำคล้องจอง)
    “หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมทำกิจไม่เกี่ยงก่อนหลัง ตั้งมั่นในหลักการไม่หาญหัก เคารพรักพระปราชญ์ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ คุ้มกันภัยมวลหมู่มิให้หวั่นหวาด เคารพในชาติ ศาสน์-กษัตริย์และศูนย์รวมใจ สั่งสมและส่งเสริมให้พระดี คนดี มีกำลังนำสังคม”

    หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ :

    มีวิถีร่วมกันทำความดี ทำบุญกุศลร่วมกัน เช่นวิถีทำบุญ เข้าวัดฟังธรรมในวันโกนวันพระ เป็นต้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเมตตาและวัฒนธรรมแสวงหาปัญญา นอกจาก จะทำให้เกิดพลังที่มองไม่เห็นคือพลังแห่งบุญกุศลอันแปรเปลี่ยนเป็นบุพเพสันนิวาสและ ความดีงามทั้งหลายแล้ว การนำคนทั้งชุมชนมาเรียนรู้ร่วมกันนี้ ยังสร้างความสามัคคีอย่าง แยบคายด้วย เช่นการแบ่งปันล้อมวงทานข้าวหลังถวายพระร่วมกันทุก 7วัน ซึ่งสามารถ สร้างความรู้สึกให้ทั้งชุมชนรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กๆทุกคนในชุมชนเป็น ดั่งลูกหลานของคนทุกคน

    พร้อมทำกิจไม่เกี่ยงก่อนหลัง :

    ร่วมทำบุญกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน เริ่มและเลิกประชุมพร้อมกัน ทุกคนต่าง ทำหน้าที่ของตนที่ควรทำในหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ

    ตั้งมั่นในหลักการไม่หาญหัก :

    ไม่สร้างค่านิยม วัฒนธรรมประเพณีใหม่ที่ไม่เหมาะสม ไม่ยกเลิก ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามที่มีมาในอดีต ปฎิบัติตามประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม

    เคารพรักพระปราชญ์ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ :

    สักการะ เคารพนับถือ บูชา เชื่อคำแนะนำของผู้เฒ่าผู้ใหญ่ นักปราชญ์ผู้มี ความรู้และประสบการณ์ ยึดบรรพบุรุษผู้ทำคุณงามความดีเป็นแบบอย่าง

    คุ้มกันภัยมวลหมู่มิให้หวั่นหวาด :

    ป้องกันไม่ให้สตรี เด็ก และผู้อ่อนแอ ถูกรังแก ข่มแหง ทำร้าย ฉุดคร่า กักขัง ดูแล
    รักษาให้สังคมมีความปลอดภัย อยู่ในความสงบเรียบร้อย

    เคารพในชาติ ศาสน์-กษัตริย์และศูนย์รวมใจ :

    สักการะ เคารพ นับถือ บูชา พระธาตุเจดีย์ รวมถึงสัญลักษณ์ แห่งคุณงามความดี ในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศูนย์รวมใจและความดีของบรรพบุรุษ

    สั่งสมและส่งเสริมให้พระดี คนดี มีกำลังนำสังคม :

    อารักขา ป้องกัน คุ้มครอง พระดีคนดีในสังคม เสริม หนุน กำลังคน กำลังสื่อ และกำลังทรัพย์ ให้พระดี คนดีมีกำลังนำสังคมไปสู่ความดีงาม


    ที่มา:เข้าสู่ระบบ | Facebook
     
  2. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    สุดยอดจริงๆครับ
     
  3. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    การเตรียมเสบียง

    หากน้อมนำพระราชนิพนธ์พระมหาชนกมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้ ก่อนที่เรือจะโดนพายุซัดจนแตก ก็คือ

    การเตรียมเสบียง ขึ้นเสากระโดงเรือและกำหนดทิศ

    ตอนนี้มีเรี่ยวแรงกำลังทำได้เพียงยุทธศาสตร์แรกครับ คือการคัดเมล็ด
    โครงการเริ่มตั้งแต่ปี49

    ซึ่งเป็นภาระกิจที่หนักเพราะคนเพียง 3-4คน ต้องทำในภาพรวมของโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ ซึ่งจะมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 10,000 โรง ต่อปี

    http://www.moralproject.net

    การเตรียมเสบียงคือการสร้างเหตุแห่งการฟื้นฟูไว้ จะได้มีกำลัง มีแรง "ฝ่า กู้ ฟู"
    หากท่านใดพอจะมีกำลัง เรี่ยวแรง และเชื่อในการกระทำ
    โปรดช่วยๆกันทำในยุทธศาสตร์ที่เหลือด้วยขอรับ

    การเตรียมคนโดยยุทธศาสตร์คัดเมล็ดผ่านการทำงานจริงด้วยโครงงานคุณธรรม

    <object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/p/2BE543A934422951&amp;hl=en_US&amp;fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/p/2BE543A934422951&amp;hl=en_US&amp;fs=1" type="application/x-shockwave-flash" width="480" height="385" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>

    http://www.youtube.com/user/GoodsMassMedia#g/c/2BE543A934422951

    เราเชื่อว่า เมล็ดพันธ์ในระดับมัธยม สามารถทำงานด้านคุณธรรมที่อิมเพ็คต่อสังคมได้เช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้า ไม่เกิน10ปี พวกเขาเหล่านี้ จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่จะทำให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ในทุกมิติ ภาคส่วนของสังคม

    ดั่งพระราชดำรัส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปี 2512
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2010
  4. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    บุญมวลรวมประชาชาติ

    ในยุทธศาสตร์ เตรียมเสบียงฝ่าวิกฤตินี้ นอกจากการเตรียมคน ด้วยกระบวนการฝึกให้รู้จัก ที่จะ"ร่วมกันทำดีอย่างมีปัญญา"แล้ว การเตรียมเสบียงทางกายภาพจำพวกปัจจัย๔ และพลังงานก็สำคัญ และต้องไปถึงขั้น ชุมชนพอเพียงที่เข้มแข็ง การเตรียมการแบบแยกส่วนโดยหวังว่าวัดเพียงอย่างเดียวจะช่วยคนได้นั้นไม่เพียงพอ ส่วนพลังที่มองไม่เห็นและสำคัญมากก็คืือหากทำให้ บุญมวลรวมประชาชาติเพิ่มขึ้น โอกาศที่คนจำนวนมากจะรอดและมีกำลังที่จะฝ่าวิกฤติได้ก็จะสูงขึ้นตาม

    การเพิ่มบุญมวลรวมประชาชาติ จะต้องใช้ยุธวิธีสำคัญ นั่นก็คืือ การฟื้นวิถีทำบุญวันพระของชาวพุทธ ใน ทวิมหามงคลสมัย

    นั่นก็คือ การเฉลิมฉลองพุทธชยันตี๒๖๐๐ปีการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ด้วยการปฎิบัติบูชา และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาศครบ ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    โดยร่วมกันปฎิบัติบูชา พื้นวิถีทำบุญวันโกนวันพระ ตั้งแต่ วิสาขบูชา ๒๕๕๓-วิสาขบูชา ๒๕๕๖

    <object width="320" height="240"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/p/70D21C6421A9977B&hl=en_US&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/p/70D21C6421A9977B&hl=en_US&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" width="320" height="240" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2010
  5. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    ๒๖๐๐-๘๔ พุทธชยันตี เฉลิมราช

    ๒,๖๐๐-๘๔
    รหัสศักดิ์สิทธิ์ เพื่อ....การเยียวยาสังคม
    และ... ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลก

    ในโอกาสนี้ เครือข่าย ๒๖๐๐-๘๔ พุทธชยันตีเฉลิมราช ขอเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนทุกท่าน มาร่วมบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ด้วยการช่วยกันคิดกิจกรรมการทำบุญกุศลร่วมกันในระดับครอบครัว ชุมชน และช่วยกันฟื้นคืนให้เป็น "วิถีทำบุญร่วมกัน" ของชุมชนชาวไทยพุทธอีกสักครั้ง เพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา เฉลิมฉลองแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโอกาสตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงมีพระชนมายุ ๘๔ พรรษา ดังนี้
    ๑. สื่อสารวันพระให้เป็น “วันแห่งสติ” คิดค้นวิธีการสื่อสารความดี ให้คนได้ระลึกถึง "วันพระ" ในทุกๆ วันพระ (ทุกๆ ๗-๘ วัน: ขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ, แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๔/๑๕ ค่ำ) เพื่อสร้างจิตวิทยาการเรียนรู้โดยรวมทั้งสังคมไทย ให้เกิดความตื่นรู้ในทุกวันพระ ทำให้วันพระเป็น "วันแห่งสติ" ของสังคมไทยอีกครั้ง (เป็นวันแห่งการละอายชั่วกลัวบาป วันแห่งบุญกุศล วันแห่งการรับธรรมโอสถ) มาตรฐานขั้นต่ำอยู่ที่ เดือนละ ๔ ครั้ง หรือ ปีละประมาณ ๕๐ ครั้ง
    ๒. ทำบุญใหญ่ร่วมกันทุกวันเพ็ญ มีกิจกรรมการแสดงออกร่วมกัน ถึงการทำบุญกุศลครั้งใหญ่ ละบาปอกุศลความชั่วครั้งใหญ่ ในระดับชุมชน หมู่ของครอบครัว หรือหน่วยงานองค์กรของตนเอง ในทุกๆ วันพระที่เป็นวันเพ็ญ(ขึ้น ๑๕ ค่ำ คืนจันทร์เต็มดวง) มาตรฐานขั้นต่ำตกเดือนละ ๑ ครั้ง หรือ ปีละ ๑๒ ครั้ง
    ๓. ทำบุญร่วมกันทุกสัปดาห์ มีกิจกรรมในระดับครอบครัวของตนเองหรือระดับส่วนบุคคล ที่ทำให้ได้ทำบุญ หรือเรียนรู้ธรรมะร่วมกัน หรือเป็นกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง อาจเลือก ทุกวันเสาร์ ทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวันพระ ก็ได้ ตามความสะดวกและเหมาะสม ซึ่งจะตกประมาณ ปีละ ๕๐ ครั้ง เป็นอย่างน้อย

    ถ้าทำอย่างนี้ได้สำเร็จ จะทำให้สังคมไทยพุทธ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กว่า ๙๕ % ของสังคมไทย
    ได้มีมาตรฐานขั้นต่ำสุด (minimum standard) ทางศีลธรรมกลับมาสักที
    เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะทำให้ครอบครัวชุมชน ได้ละอายชั่วกลัวบาป ใฝ่บุญใฝ่กุศล ทุก ๗-๘ วัน
    เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะทำให้ครอบครัวชุมชน ได้มีความอบอุ่นและรักใคร่สามัคคีกัน ทุก ๗-๘ วัน
    ได้เกิดเป็นวิถีซ้ำๆ ที่ลงมือปฏิบัติกันจริงๆ มิใช่แค่สักแต่ว่ารณรงค์แต่ไม่มีกระบวนการ!!

    ขอทุกท่านผู้มีสัทธาและปัญญาในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ได้โปรดปรึกษาหารือคิดค้นกิจกรรมร่วมกัน แล้วร่วมกันดำเนินการกิจกรรมนั้นๆ ให้เกิดการสืบต่อต่อเนื่อง เกิดการยอมรับรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างลงตัว จนกลายเป็นวิถีชีวิตชาวพุทธที่ดีงามในสังคมไทยขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง
    แล้วถ้ามีความคืบหน้าอย่างไร ได้โปรดส่งข่าวสารให้ได้รับทราบและอนุโมทนาในบุญกุศลนี้ร่วมกันต่อไป

    ธรรมอาสาสมัครเครือข่าย “๒,๖๐๐-๘๔ พุทธชยันตีเฉลิมราช”


    download เอกสาร word ฉบับเต็ม
     
  6. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย..

    [​IMG]

    ถอดรหัส ส.ค.ส.พระราชทาน ๒๕๔๗

    [​IMG]

    "อนาคตังสญาณ"กับเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองใน"พระมหาชนก"

    จะฟื้นความสามัคคีของคนไทยทั้งประเทศให้กลับคืนมาได้
    ก็ต้องให้คนในแต่ละครอบครัว ในแต่ละชุมชน ได้ร่วมกันทำความดี ทำงานจิตอาสา หรือทำบุญร่วมกัน บ่อยๆ ซ้ำๆอย่างเป็นวิถี ในทุกวันโกนวันพระ

    โดยใช้ทวิมหามงคลสมัย ๒๖๐๐ - ๘๔
    ที่จะทำให้คนไทยทั้งประเทศได้ร่วมกันทำบุญพร้อมๆกัน ในชุมชนและวัดในแต่ละท้องถิ่นของตนเอง

    ชาติไทยอยู่รอดมาได้ 600-700 ปี ก็เพราะ อุบายสามัคคีวิธี
    ที่ได้ล้อมวงทานข้าวหลังด้วยกันทั้งชุมชน หลังถวายข้าวพระเสร็จ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2010
  7. kowmoo

    kowmoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,896
    อนุโมทนาคุณธัมมะอาสา จะเป็นสมาชิกใหม่ที่มีความคิดดีมากเลยคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะจะ
     
  8. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    ยิ่งกว่าอนันตริยกรรม เพราะทำให้พระพุทธศาสนาและสังคมไทยล่มสลายทุกภาคส่วน

    ยิ่งกว่าอนันตริยกรรม!! เพราะทำให้พระพุทธศาสนาและสังคมไทยล่มสลายทุกภาคส่วน

    รากเหตุที่แท้จริงของความเสื่อม

    กว่า ๕๐ ปี ที่ความเสื่อมอย่างช้าๆ แต่ทำลายทุกภาคส่วน ที่บาปมวลรวมประชาชาติปรากฏให้เห็น"ฟางเส้นสุดท้าย"ของความแตกแยกในสังคม และก้นเหวของความเสื่อม

    วันหยุด พศ.๒๕๐๐

    วันหยุด พศ.๒๕๐๒

    ยกเว้นภาคใต้ ๔ จังหวัด!!

    การพยายามฟื้นวิถีชาวพุทธและศีลธรรมอันดีงาม ในสมัย จอมพลป.
    เนื่องใน พุทธชยันตี ๒๕๐๐ ปี

    วันหยุด พ.ศ.๒๔๙๙

    หากชาวพุทธยังหลงทาง ไม่แก้ที่ต้นเหตุ เหตุแห่งทุกข์ ก็ยากที่จะฝ่าวิกฤติไปได้

    เนื่องในทวิมหามงคลสมัย ๒๖๐๐ - ๘๔ พุทธชยันตีเฉลิมราช

    หากสามารถ ฟื้นวิถีทำบุญวันโกนวันพระขึ้นมาได้อีกครั้ง

    หรือราชการเช่นโรงเรียนหยุดครึ่งวัน ในวันโกนวันพระเพื่อทำกิจกรรมพานักเรียนเข้าวัดทำบุญ หรือให้ทำงานจิตอาสา

    หรืออย่างน้อยที่สุด หยุดครึ่งวันในวันปูรณมีบูชา (วันจันทร์เพ็ญ) เช่นเดียวกับวัน Poya full moon day ซึ่งเป็นวันหยุดของประเทศศรีลังกา เพื่อปฎิบัติบูชาอย่างน้อย 1วันต่อเดือน

    บุญมวลรวมประชาชาติก็จะเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยหนึ้งที่เสบียงบุญทำให้สามารถฝ่าวิกฤติและภัยพิบัติไปได้
     
  9. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    ปูรณมีมหาวิชชาลัย
    จะหล่อหลอมปลูกฝังคุณธรรมอย่างแนบเนียนอยู่ในวิถีชีวิต การพาลูกหลานไปทำบุญในวันโกนวันพระตั้งแต่เล็กๆ จะเป็นหน่วยบ่มเพาะ ที่เล็กที่สุดคือระดับครอบครัวและชุมชน

    "ปูรณมีมหาวิชชาลัย" จึงเป็นปริศนาธรรม ของคำว่า "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ในพระราชนิพนธ์มหาชนก

    เช่นเดียวกับที่พระมหาชนกได้สมาทาน ศีล อุโบสถ ขณะว่ายน้ำอยู่กลางทะเล

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2010
  10. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    [​IMG]

    เหตุการณ์ถัดไป จากเหตุการณ์การเผาบ้านเผาเมือง ก็คือ...

    [​IMG]

    การล้มต้นมะม่วง และ.....การฟื้นฟู


     
  11. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    เรื่องการ....พยายาม.....ล้มสถาบัน

    นั้นพวกเราคงเห็นแล้วว่า....ได้มีการกระทำจริง.....และกระจายตัวไปทั่วอินเตอร์เน็ต....อีกทั้งมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน

    แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ....เพราะไม่อาจต้านทานพระบารมีได้

    ผมขออ้างถึง....อนาคตของประเทศชาติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน....ดังนี้



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    อนาคตของประเทศชาติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    เรื่อง : อนาคตของชาติ
    (บรรยายเมื่อ วันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘)

    โดย.. พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    มัชฌิมา : คัดลอก

    เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหา วีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ ผ้ายันต์พิชัยสงครามและเหรียญเอกราช ไปแจกให้แก่ทหาร ตามฐานปฏิบัติการ ชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำ การแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง "อนาคตของชาติ" ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา

    มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล

    "..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า "...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษี ลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง.."

    ความจริง อาตมาห่วงทหารทางภาคอีสาน เช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวย ความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้

    ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพล ได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่าย ว่าทรง คุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น

    เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จาก นั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย

    เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่า ตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้ว ก็คือ อยาก มีดีนั่นเอง

    แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยาก นั้นก็คือความดีนั่นเอง

    รักษาศีล 5 ให้ได้

    ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ

    1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
    2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
    3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
    4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
    5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า

    เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้

    ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
    1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
    2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
    3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
    4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด

    เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ

    ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
    ๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
    ๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
    ๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
    ๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว

    ทหารแปลว่าคนหนุ่ม

    ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม

    คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรง ว่องไว กล้าหาญ บึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อ มีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท

    และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็น ทหาร เรือมาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี

    ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง

    ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ความดีนั้นคือ ความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุข ของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน

    ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อ และชีวิตของเรา เพื่อรักษาความดี ทั้งหลาย ดัง กล่าว มาแล้วนั้นไว้ จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม

    ภูอันธพาล (ภูพาน)

    อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณา ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า

    เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ พระบาทสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถาม ความเป็นไป ของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

    อนาคตของชาติ

    อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า "ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่ง สมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป"

    ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ

    คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์

    ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ

    โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า

    "กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติ ได้แล้ว จะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่"

    และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง

    ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล

    ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้

    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล

    ความแม่นยำของคำทำนาย

    เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด

    รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

    รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัย รวบรวมกัน เป็นการใหญ่

    รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้

    รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรมก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่ง พระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน

    รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค ์ทรงยอมเสียแขนขา ดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้

    รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระ ปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะ ต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย" ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่าง ให้บุคคลอื่น เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร

    ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงจำเป็น ต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก

    รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อนพระองค์ จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวน มาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ ต้องจำพระทัย สละราช สมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

    รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้น แสนสา หัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต

    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น

    สำหรับรัชกาลต่อไปคือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้วจะได้ประสบความ เจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

    ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?

    ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า
    ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?

    เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่าน เป็นสมาธิ เข้า ถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูป ที่อาตมาสอบ ถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

    พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่า

    เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทย จะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลาน ดังที่ แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"

    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก

    ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนาย นี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

    "..อานันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕) จะมีฝน เหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศเหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และ สมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

    หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หิน ที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาด สมณะชีพราหมณ์ จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

    แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก"

    ความแม่นยำของพุทธทำนาย

    จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิด ต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

    หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบ กระเทือน มาจนกระทั่งบัดนี้

    มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

    ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะ มีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะ เห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงและเป็นประเทศสุดท้าย ที่พระพุทธศาสนา ยังเหลือ อยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

    พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

    ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า

    พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระ องค์ ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด

    พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่ง พระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทาง มา เผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

    ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

    ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์ เกี่ยวกับความเป็นไป ในอนาคต ของพระพุทธ ศาสนา ไว้ว่า

    "พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี"

    เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่น อยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทย ตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่า เมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาส ของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

    จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็น หลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

    "เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้

    แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกันสามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลง ไปกับคำยุแหย่ของบุคคล ผู้มุ่ง ร้าย ต่อชาติบ้าน เมือง"

    ดวงทหารคู่กับดวงเมือง

    ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติ บ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น

    เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัย ก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหารโดยให้ ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด

    ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยง ให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่... ขอให้เราทุกคน ช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว

    ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ราชาโชค ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมือง ตั้งแต่เดือน มกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น

    เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล

    สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติ และประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่า ประเทศชาติและประชาชน จะร่ำ รวยขึ้นมีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป

    เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้นอาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้ มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด

    ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย

    อย่างน้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่ง ในสาม ที่มีในเมืองไทยเรา

    ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ

    เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยัง จังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน

    พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู จึง ถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า

    "เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทย ไปลงทะเล

    เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น

    เขาบอกว่า น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริต ก็จะงุบงิบ เอาไป เป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

    เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อ น้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทย กลายเป็นเศรษฐี มีชื่อ เสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย"

    ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่

    เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขต พม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

    ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง

    อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่า เป็นความจริงทุกอย่าง

    บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่า เทวดาดำองค์นั้น ไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ

    ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ ให้บ้านเมือง เรา มีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว

    ธงมหาพิชัยสงคราม

    สำหรับ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ที่นำมาแจกจ่ายครั้งนี้ ได้ทำขึ้นครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ ผืน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๙๐,๐๐๐ ผืน มีเหลือนำมาแจกจ่ายคราวนี้เพียง ๑๐,๐๐๐ ผืน

    การทำผ้ายันต์นี้ ก็ทำจากตำราของ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเคยทำเพื่อมอบให้เป็นธงนำทัพเข้าตีข้าศึก

    ได้ตำราทำยันต์พิชัยสงคราม

    ตามตำราบอกว่าใครอยากเรียนตำรานี้ไปทำต่อต้องนำดาบสองเล่มออกไปรำกลางแจ้ง หากเกิดฟ้าผ่าในขณะรำดาบจึงจะเรียน ตำรานี้ได้

    อาตมาเป็นพระไม่สามารถจะนำดาบออกไปรำได้ แต่ก็อยากเรียนตำรา จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนมีบุญบารมี ที่จะเรียน ตำรา นี้ได้แล้ว เวลาถือดาบออกพ้นจากชายคาขอให้เกิดฟ้าผ่า

    เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ถือดาบ ๒ เล่ม ออกนอกชายคา พอพ้นจากชายคาเท่านั้นแหละฟ้าก็ผ่าขึ้น ๒-๓ ครั้ง จึงมั่นใจได้ว่า ครู ได้อนุญาตให้เรียนตำรานี้ได้แล้ว จึงได้เรียนตำรามาทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามขึ้น

    มีพระเถระทางเหนือช่วยปลุกเสกด้วย

    และเมื่อทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมในภาคเหนือหลายรูปมาช่วยปลุกเสกให้เมื่อ เดือนสิงหาคม จึงได้นำออกแจกจ่ายแก่ทหารทางภาคเหนือ ปรากฏว่าได้ผลดี

    มีฐานปฏิบัติการบางแห่งที่ทหารรับผ้ายันต์ไปแล้ว ถูกถล่มด้วยปืน ค. และจรวดฐานแหลกหมด แต่ทหารในฐาน ปลอดภัยทุก คน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

    อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อถึงกำหนดจะต้องอสัญกรรมแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ผู้บรรยายหรือผู้ทำผ้ายันต์นี้ก็ต้องตาย

    อานุภาพของผ้ายันต์

    ผ้ายันต์นี้จะช่วยได้ก็เพียงแต่ว่า หากเรามีเคราะห์กรรมจากอดีต เช่น เคยทำปาณาติบาต แรงอุปฆาตกรรม จะมาตัดรอน ชีวิต เราให้หมดไปในเวลาอันไม่สมควร หากเรามีเคราะห์ถึงฆาตอย่างนี้ ผ้ายันต์จะช่วยให้เคราะห์เบาบางลง เพียงแค่ให้เรา บาด เจ็บไม่ถึงตาย

    หากเคราะห์เราไม่ถึงฆาตเพียงแต่มีเคราะห์จะได้รับบาดเจ็บ ยันต์นี้จะช่วยไม่ให้เราบาดเจ็บเลย แม้แต่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิด ก็จะไม่ทำให้เราเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ลูกปืนที่มากระทบเราจะมีค่าเท่ากับแมลงตัวหนึ่งบินมาปะทะเท่านั้น

    ขอให้ทุกท่านถือว่า ยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเหรียญเอกราชที่ได้รับแจกไป

    ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดจะไม่มีผล

    และทั้งธงและเหรียญจะไม่มีผลในทางป้องกันตัวเลย หากเรานำไปใช้ในทางที่ผิดคิดมิชอบ หรือยิ่งคนที่คิดคดทรยศ ต่อชาติ บ้านเมืองด้วยแล้ว อาตมาอยากให้เขามารับโดยเร็ว เพราะเหรียญและธงจะช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความวิบัติเร็วเข้า

    มีอยู่รายหนึ่งมาขอผ้ายันต์จากอาตมา อาตมาไม่ให้เพราะเกรงว่าเขาจะนำไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเขาสั้นเข้า แต่เขารับ รองตนเองเช่นนั้นอาตมาก็มอบให้ไป และได้ทราบต่อมาภายหลังว่า เขานำผ้ายันต์ไปใช้ในทางที่ผิดตามที่อาตมาคาดการณ์ไว้ ผลที่สุดเขาก็ถูกยิงตาย

    สุดท้ายนี้ ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทหารทุกคน จงมีความสุขความเจริญ และปลอด ภัย ชนะข้าศึกตลอดกาล.

    สวัสดี.

    ข้อมูลจาก
     
  12. Mrs.Kim

    Mrs.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,086
    ค่าพลัง:
    +2,306
    เนื้อหาน่าสนใจมาก...เป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่น่าติดตามจริงๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...