การพิจารณาจิต พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 30 สิงหาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    <CENTER>การพิจารณาจิต
    พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต
    แสดง ณ วัดสันติธรรมาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
    วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2538</CENTER>

    เกิดมาปรารถนาความสุขทุกคน มนุษย์เกิดมาน่ะปรารถนาความสุข แต่ปรารถนาภายนอก ภายนอกก็ให้สุขได้แต่ร่างกาย เครื่องบำรุงบำเรอของโลกเขานะ ให้ความสุขได้แต่ร่างกาย เย็น ร้อน อ่อน แข็งน่ะ กระทบกับผิวหนังมันก็พอใจ แต่เวลารับรู้จริงๆ มันคือหัวใจ

    เราเป็นชาวพุทธ เพราะเราเป็นชาวพุทธ แล้วเราเป็นคนที่มีบุญวาสนานะ ถึงได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้เป็นชาวพุทธที่ว่าถือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    พระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ธรรมะมันก็อยู่อย่างนี้ แต่มีใครเห็นนะ แล้วมันก็จะร้อนไป แต่นี่เราพบเพราะเรามีวาสนา ถึงได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่เป็นศาสดาของเทวดานะ “สัตถา เทวะมนุสสานัง” เห็นไหม เป็นผู้สอนเทวดา แล้วเทวดาอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ได้อยู่ที่สวรรค์ แล้วพวกผีพวกเปรตอยู่ที่ไหน ก็ไม่ใช่อยู่ที่นรกหรือ

    นรกสวรรค์มันมีจริงอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไปสอน สอนพวกนั้นน่ะ ฉะนั้นถึงว่ากิเลสของพวกเราจะไม่เชื่อไง ถ้าเราเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์นะ เราก็ขยะแขยงในการทำบาป เราก็จะฮึกเหิมในการทำความดี เพราะรู้ว่าทำบาปแล้วมันจะตกนรกทำความดีแล้วมันจะได้ไปสวรรค์ จะได้ไปนะ แต่นั่นเป็นประโยชน์อนาคต

    พระพุทธศาสนาสอนประโยชน์ปัจจุบัน ปัจจุบันประโยชน์นี้ฉะนั้นถ้าจิตนี้เชื่อ เห็นไหม ปัจจุบันนี้เรายังแก้ไม่ได้เลย แต่มันจะหลอกไปถึงอนาคตเลยว่าสวรรค์ก็ไม่มี นรกก็ไม่มี สอนกันหลอกๆแล้วถึงปัจจุบันก็เลยล้มไปเห็นไหม

    เพราะปัจจุบันนี้มันหมายไปอนาคต หมายไปอนาคตนะแล้วก็หมายถึงอดีต มันเอาอดีตอนาคตน่ะมาผูกมัดขาปัจจุบันด้วย นั่นกิเลสของเรานะ แล้วเราจะเชื่อใครล่ะ เราเชื่อเราไม่ได้นะ เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตาสว่างแล้วไง ศาสดาเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วถึงได้มาสอนพวกเรา ในเมื่อนัยน์ตาของเรามืดบอดน่ะ นัยน์ตามืดบอดมันก็ต้องเชื่อคนตาสว่างใช่ไหม ต้องเชื่อคนที่เขาตาไม่บอด คนตาไม่บอดสอนไว้น่ะ เราตาบอด คนตาบอดเถียงเก่งเพราะมันไม่เคยเห็น มันจินตนาการเอาแล้วก็เถียงไปเรื่อยเปื่อยนะ แต่ที่พูดถึงนรกสวรรค์นี้ไม่ใช่ว่าพูดเพื่อจะให้หมายไปติดนี่นา ของนั้นมีอยู่ในวัฏฏสงสาร มันเป็นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว วัฏฏวนนี้เป็นที่อยู่ของจิตที่มีกิเลสอยู่

    มนุษย์เกิดมาทั้งหมดต้องตาย ต้องตายนะ ตายแล้วต้องเกิดหมด ต้องเกิดหมดยกเว้น... ยกเว้นพระอนาคามี เพราะพระอนาคามีนี่ไปเกิดที่พรหมแล้ว ไม่มาเกิดที่มนุษย์นี่อีกแล้ว กับพระอรหันต์

    ถ้ามนุษย์ตายแล้วเกิดหมด พระอรหันต์ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหม พระอรหันต์เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร ก็เพราะการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม การประพฤติปฏิบัตินี่ใครเป็นคนวางไว้ล่ะ ก็พระพุทธเจ้า

    ฉะนั้น วัฏฏวนนี้เป็นที่อยู่ของผู้ที่มีกิเลส แล้วเราเป็นคนที่มีกิเลสในหัวใจคนหนึ่ง กิเลสนี้เป็นเครื่องร้อยรัดใจนะ เราถึงฟังใครไม่ได้ไง จะฟังธรรมะมันก็จะยุแหย่ไม่ยอมให้ฟัง กิเลสมันถือตัว กิเลสมันถือตน มันไม่ฟังใครหรอก มันว่ามันใหญ่ที่สุด มันรู้มากที่สุด มันดีที่สุด มันทั้งนั้นนะ

    เราใช้คำว่า “มัน” เพราะมันไม่ใช่เรา กิเลสนี้อาศัยหัวใจเราอยู่ แล้วทำไมเหยียบย่ำหัวใจของเราอีก เราคือจิตของเรา เราคือหัวใจของเรา กิเลสนี้อาศัยอยู่นั่นล่ะ แต่เราไม่สามารถเห็นหน้ามัน เพราะกิเลสนี้สามารถชำระออกจากใจได้นี่

    พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วถึงได้มาสอนพวกเรา พวกเรามีกิเลสอยู่ในหัวใจแล้วทำไมเราจะชำระตามศาสดาของเราไม่ได้ ทำไมมันถึงเกิด ทำไมมันถึงดับ ทำไมมันถึงสิ้นได้จากหัวใจเรา กิเลสนี้ถึงไม่ใช่เรา ถึงได้ใช้คำว่ามันไง ว่า “มัน” นะ

    แต่มันก็อาศัยใจเราอยู่นี่ อาศัยใจเราอยู่แล้วยังบีบ บีบรัด ยังข่มเหงรังแกอีกนะ เรานี่ไม่สงสารตัวเรากันเองเลย เรามองแต่คนข้างนอกไม่เคยมองเห็นตัวเราเอง ไม่เคยสนใจตัวเราเองเลย ถ้าเราสนใจตัวเราเองเสียหน่อย เราหันกลับมาดูหัวใจของเรา มาดูซิว่าอะไรกันแน่ที่เป็นของจริงจัง

    พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร สอนว่าสรรพสิ่งในโลก ในสามโลกธาตุ อย่าว่าแต่ในโลกเลย เป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นต้องเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา แล้วโลกนี้เป็นอนิจจังใช่ไหม... เป็น... หัวใจเราก็อนิจจัง เราอย่ามัวแต่มองแต่สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจังหมด ไม่มองความเกิดดับในใจ ความเกิดดับในใจนี่อนิจจังกว่าทุกอย่างนะ เห็นไหม เกิดๆ ดับๆ ในใจเรานั้นน่ะ แต่เรามองไปข้างนอกนี่นา ใช่ไหม เพราะกิเลสมันพาให้มองนี่

    ของที่อยู่ในตัวเรา ของอะไรก็แล้วแต่ ของใช้ของสอยเราอยู่กับตัวเรา เราใช้นานๆเข้าเราก็เบื่อหน่าย ลองของหลุดจากมือเราไปอยู่ที่คนอื่นสิ มันจะสวยทันทีเลยนะ มันจะมีค่าขึ้นมาเลยนะ ของอยู่กับเรานี่ไม่มีค่าเลย มองของคนอื่นน่ะ มีแต่ของคนนั้นสวยของคนนี้งาม อันนี้ก็เหมือนกัน มันมองออกแต่ข้างนอกนะ หัวใจน่ะมันไม่มองถึงตัวมันเอง

    พอมันส่งออกมันก็ฟุ้งซ่าน เนี่ย! จิตเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของธาตุรู้เป็นอย่างนี้ มันอาศัยฐานจากใจเรานี่ล่ะแล้วส่งออกไป พระพุทธเจ้าสอนบอกว่า ก่อนจะทำการใดๆคนเรานี่ให้เห็นตัวตนของเราก่อน ให้รู้จักเราเป็นใครไง “เรา” มันไม่มี ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่สมมุติโลกสมมุติจริงตามสมมุติ สมมุติเป็น “เรา” เป็น “เขา”

    มนุษย์นี้เป็นสัตว์สังคมนะ อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยกันเป็นหมู่คณะ เป็นหมู่บ้าน เป็นตำบล เป็นอำเภอ เป็นจังหวัดนะ แต่พออยู่ด้วยกันก็มีปัญหาเห็นไหม อยู่คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะกลัว เพราะหวาด เพราะระแวง ต้องอาศัยกันอยู่ กิเลสมันก็ฟันกันน่ะ ความคิดในใจน่ะ เบียดเบียนกัน ย่ำยีกันด้วยความคิดแล้วก็ออกมาเป็นการกระทำ

    เพราะฉะนั้น พระบรมศาสดาถึงสอนว่าให้อยู่ด้วยกันเป็นสุขน่ะ แต่ก่อนอยู่ด้วยกันเป็นสุขไหม ต้องแยก ถ้าจะเป็นคนดีน่ะ พระพุทธเจ้าสอนให้ภิกษุ ให้นักบวชน่ะ ให้ท่องเที่ยวไปเหมือนนอแรด ให้เหมือนนอแรด ไปหนึ่งเดียว คนแยกออกมาจากหมู่น่ะ มันก็มีความว้าเหว่ล่ะ มันจะเห็นตรงนี้ เห็นความว้าเหว่เห็นความวิเวกความเศร้าซึม แต่ถ้าอยู่ในหมู่คณะจะมองไม่เห็นเรื่องอย่างนี้เลย

    พอเริ่มสองคนสามคนขึ้นก็จะคุยกันแต่ทางโลก คุยกันแต่สิ่งที่มันพอใจ แต่ถ้าเราแยกออกมาเราไม่คุยกับใครสิ แยกออกเห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น จะหาตัวตนต้องหาด้วยความสงัด หาไม่เจอในที่ฟุ้งซ่าน หาไม่เจอในที่คลุกเคล้า ในที่คลุกคลีกันอยู่

    ฉะนั้น ถ้าหาไม่เจออย่างนั้น ทำไงจะทำให้เป็นที่สงัดล่ะ ก็ต้องทำใจให้สงัดก่อน เห็นไหม ทำใจให้สงัด ใจนี้มันไม่สงัดนี่ ใจนี้มันเป็นพายุ ลมน่ะมันรู้จักตัวมันเองไหมว่ามันเป็นลม แต่เวลามันพัดออกไป บ้านเรือนนี้พังหมด เวลาพายุพัดน่ะ ถ้าลมมันนิ่งลมมันเอื่อย มันก็ให้ความเย็นเราเห็นไหม

    แต่อารมณ์เรา ความโลภ ความโกรธ อารมณ์หลงน่ะ มันทำให้ข้างในเราปั่นป่วน ปั่นป่วนขึ้นมาเลย พระพุทธเจ้าสอนให้ยับยั้ง ให้ทำอันนี้ให้สงัด สงัดเข้ามา...

    ให้กำหนดให้ทำ ให้มีสติ ให้สติยับยั้งใจไม่ให้ออกไปยุ่งกับโลกภายนอก โลกภายนอกมันให้ประโยชน์ต่อเมื่อเราประกอบเป็นอาชีพ เป็นความเป็นอยู่ของโลกเขา อันนั้นเป็นประโยชน์ตาหนึ่ง พระพุทธเจ้าสอนให้ลืมตาสองข้าง ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม ตาโลกเราใช้ประโยชน์ทางโลก ก็เหมือนกายกับใจนั่นล่ะ วัตถุสิ่งของหามาก็เพื่อร่างกาย แต่เราได้หาธรรมะให้หัวใจบ้างหรือเปล่า

     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    เราต้องรู้จักสิว่า หัวใจนี้กินธรรมะ ร่างกายนี้ใช้รูปวัตถุสิ่งของในโลกก็ใช้ไปถึงเวลาควรใช้ ถึงเวลาควรจะหาธรรมะให้หัวใจเราก็ต้องพยายามหา ให้สงัดให้ได้ ธรรมะจะเกิดในที่อย่างนั้นล่ะ ในที่สงัด ในที่วิเวก

    จิตไม่สงบก็เพราะว่าความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านเกิดจากอะไร เกิดจากกิเลสภายใน อย่าไปว่าเกิดจากภายนอกนะ เกิดจากภายในก่อน ถ้าเราไม่ออกไปรับรู้ ข้างนอกเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น เราจะรู้ขึ้นได้อย่างไร ไอ้นี่เราออกไปรับรู้เขา เราไปมองแต่ว่าสิ่งนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ แต่เราไม่มองว่าหัวใจนี้ ไปรับรู้มาแล้วมันเป็นทุกข์

    แต่ถ้าทำใจให้สงบแล้วเราชำระกิเลสออกจนหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่มาจากภายนอกก็เป็นประโยชน์ทั้งหมด อาหารมาจากภายนอกถ้าภาชนะของเราสะอาด อาหารนั้นก็บริสุทธิ์ อาหารจากภายนอกเข้ามาถ้าภาชนะนี้สกปรก ภาชนะนี้มียาพิษอยู่อาหารนั้นมาใส่ในภาชนะนี้อาหารก็เป็นยาพิษไปด้วย ในทำนองเดียวกันถ้าเราทำใจของเราให้ปกติอยู่แล้ว สิ่งที่เข้ามากระทบยังไงมันก็เป็นปกติ ถ้าจิตใจของเรามันไม่ปกติอยู่แล้ว ข้างนอกกระทบมามันก็ยิ่งรุนแรงเข้าไปใหญ่

    ฉะนั้น ถึงต้องทำใจให้ปกติก่อนไง ทำใจให้เป็นปกติ ทำใจให้เป็นสมาธิ ทำใจให้ตั้งมั่น สมาธิคือใจตั้งมั่น ทำใจให้สงบ สงบเข้าบ่อยๆ พอใจสงบเนี่ย ความปล่อยวางนั้นคือความสงบ ความสงบนั้นมันมีหลายขั้นตอน ความสงบนั้นคือความปล่อยวางทั้งหมด จากรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก ให้มันอยู่เฉยๆโดยตัวของมันเอง มันถึงจะไม่ลงถึงฐานนั้น นั่นเป็นปกติของผู้ปฏิบัติใหม่ จะทำให้จิตใจนี้ลงถึง “ฐีติจิต” จิตเดิมแท้ จิตผ่องใสในตัวแท้ จิตแท้นั้น มันก็พอเอาเรื่องอยู่ แต่ทำได้ แต่ผู้มาใหม่เนี่ยแค่ปล่อยวางอันนั้นก็เป็นสมาธิแล้ว แค่ปล่อยวางไง

    สมาธิไง แต่ทำบ่อยๆเข้า อันนี้จะสะสมเป็นจิตตั้งมั่น จิตนี้จะไม่วอกแวกคลอนแคลนไปตาม รูป รส กลิ่น เสียงภายนอก

    ฝึกเข้า ชำนาญในวสี ชำนาญในการทำให้จิตสงบไง ทำงานทำเข้าทุกวันๆ จิตจะตั้งมั่นเข้าเรื่อยๆ พอจิตตั้งมั่นเนี่ย คนเรานะหิวกระหาย อะไรก็ตามก็แล้วแต่ ขอให้ได้อิ่มท้องไว้ก่อน ถ้าคนเราไม่หิวกระหายนะ มีกินอยู่แล้ว มันก็ต้องเริ่มคัดอาหารละ อาหารนี่เป็นพิษ อาหารนี้เป็นคุณ เห็นไหม หัวใจตั้งมั่นก็เหมือนกัน

    หัวใจนี้กินอารมณ์เป็นอาหาร ไม่มีเลยเวลาที่จะอิ่มพอในหัวใจตัวเอง หิวกระหาย อะไรผ่านมาไม่ได้ กินหมดเลย จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ขอกินก่อน เพื่อจะได้ประทังความหิวของตัว พอกินเข้าไปก็ทุกข์ร้อน เพราะกินของเป็นพิษเข้าไปน่ะ แต่มันเลือกไม่เป็นเพราะมันไม่ได้ตั้งมั่น มันไม่อิ่มในตัวมันเอง

    เราถึงต้องทำใจให้สงบไง ทำใจให้สงบบ่อยๆเข้า เห็นไหมเคยสงบหนหนึ่งก็ทำให้เคยลิ้มรสอาหารของการอิ่มขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว สะสมเข้าๆ คือจิตตั้งมั่น อ้อ! เราเองเราก็ตักน้ำเติมจนเต็มตุ่มได้ พอตุ่มมันเต็ม เราเติมอีกไม่ได้ มันก็เต็มอยู่อย่างนั้นเห็นไหม

    จิตตั้งมั่นก็อย่างนั้นแหละ อารมณ์ผ่านมาก็คือน้ำในตุ่มเรานี่ล่ะ เราก็จับพิจารณาได้ ค่อยๆ มันจะเห็นนะ เพราะว่าจิตตั้งมั่นอย่างนี้นะ พอจิตตั้งมั่นอย่างนี้ มันก็ยืนเป็นเอกเทศของตัวมันเองได้ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอกเป็นแค่เหยื่อน่ะสิ

    ถ้าคนเราพิจารณาเข้าบ่อยๆ คนทำพิจารณาเข้าบ่อยๆนะ จนชำนาญในการวสีเนี่ย ของจะแข็งขนาดไหนก็แล้วแต่ ลองเอาค้อนทุบเข้าสิ ทุบเข้าบ่อยๆเข้า มันก็จะแตก

    ความหลงความไม่เข้าใจจิตของตัว มันถึงได้ไปกว้านเอาความรู้ภายนอกเข้ากับจิตนี้ เป็นดังว่าอันหนึ่งอันเดียวกัน พอจิตสงบเข้า เราเห็นความที่มันเข้ามากระทบจิต ให้จิตนี่ฟุ้งซ่านให้จิตนี่เสวยอารมณ์อันนั้น เราก็เข้าใจ พอเข้าใจมันก็จะปล่อยใช่ไหม นี่การปล่อยเพราะว่าเห็นโทษ เพราะมีการพิจารณา มีการเฝ้าคอยดูเรื่องจิตของตัวเอง เพราะมันตั้งมั่นแล้วนี่ มันเป็นหลักที่จะทำงานเองได้ ถ้าบ่อยเข้านะ มันจะตัดออกเลยน่ะ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก ก็เป็นรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก

    รูป รส กลิ่น เสียงภายใน คือภายในใจของตัวเองน่ะ มันก็แยกออกจากกัน จะปล่อยให้เข้าหากันก็ได้ จะดึงไว้ไม่ให้กระทบกันก็ได้ ด้วยการตัด รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก นี่แหละ “กัลยาณปุถุชน”

    จิตนี้ก็เป็นจิตที่อิสระแก่ตัวเองได้ แต่จิตนี้ก็ยังมีกิเลสล้วนๆเลย จิตสำนึกธรรมดานี่แหละ จิตที่เป็นจิตสำนึกธรรมดา แต่จิตสำนึกธรรมดาทางศาสนาเราเรียกว่า “กัลยาณปุถุชน” ถือว่าเป็นปุถุชนอยู่ แต่ก็เป็นผู้ที่เลือกอาหารการกินแล้วไง ไม่ใช่ปุถุชนคนที่หนาไปด้วยกิเลส ปุถุชนคนที่หนาไปด้วยกิเลสเนี่ยเขาไม่เคยเลือกอะไรในโลกนี้ อะไรก็ได้ถ้าเป็นผลประโยชน์ แต่กัลยาณปุถุชนนี่ สิ่งใดดี สิ่งนั้นส่งเสริม สิ่งใดไม่ดีสิ่งนั้นจะไม่ทำ เพราะนี่จะเริ่มเข้าศัรทธาแท้ไง “อจลสัทธา”

    อจลสัทธาแท้ มันก็หมายถึงว่า เริ่มเดิน “อริยมรรค” เพราะจิตนี้เป็นสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่นแล้ว พร้อมที่จะส่งเสริมไง ส่งเสริมให้เกิดปัญญา ปัญญาในอะไร ปัญญาจะเกิดได้จากการเริ่มต้นใคร่ครวญ

    เริ่มต้นใคร่ครวญนะ สมาธินี้จะทำให้จิตตั้งมั่นแล้วอิ่มในอารมณ์เฉยๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา อันนี้ก็เหมือนกัน เราได้สร้างเหตุขึ้นมาให้จิตตั้งมั่น ถ้าเราไม่ก้าวเดินต่อไป มันก็จะสิ้นไป เสื่อมไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน

    รู้! พอรู้ถ้าเสื่อมไปก็เหมือนกับมันไปรู้อดีต รู้ได้ สิ่งที่เราเคยแตะเคยจับต้องมาเนี่ย เราสามารถรู้ได้ แต่เราทรงไว้ไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าสอนนะ สอนให้เดิน อริยมรรค

    เพราะผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้วเนี่ย ก็เหมือนผู้ที่จบปริญญามาแล้วเห็นไหม ผู้ที่มีการศึกษา จบการศึกษานั้นมาสมควรเข้าทำงานในตำแหน่งที่การศึกษานั้นมา อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตนี้ตั้งมั่นเพราะเราได้ขวนขวายมาแล้วนี่ มันเป็นสมาธิ มันเป็นมรรคหยาบๆเกิดขึ้นมาจากการตัดรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก จิตนี้ก็เป็นสมาธิแล้ว

    จิตนี้สามารถจะเดินอริยมรรคใช่ไหม เพราะความเพียรชอบ ความดำริชอบ ฟังให้ดีนะ...


     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    จิตนี้สามารถจะเดินอริยมรรคใช่ไหม เพราะความเพียรชอบ ความดำริชอบ ฟังให้ดีนะ...

    คำว่า ความเพียรชอบ ความดำริชอบ การงานชอบ ชอบลงที่ไหน ถ้าตั้งมั่นแล้วยังเอ้อระเหยลอยชายอยู่ มันก็ส่งออกไปนั่นน่ะ ถึงว่านรกมีสวรรค์มีไง มันอยากรู้ตรงนั้น ตรงนั้นมันเป็นผลต่อเมื่อจิตใจของเราดับสิ้นลงในชาตินี้แล้ว มันก็ต้องไปเสวยตรงนั้น ถ้าจิตนี้มันสมควรแก่เหตุ เหตุนี้ที่ทำไว้พอแรงแล้ว ผู้ทำดี ผู้มีกรรมดีผลก็ต้องเกิด เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ผู้ทำกรรมชั่วก็ต้องตกไปในนรก อันนี้มันอยู่ในจิตของตัวเอง มันก็อยากจะรู้อยากจะเห็น เห็นไหม มันไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เวลา เวลาปัจจุบันนี้ต้องทำที่ใจของเรานี่

    ปัจจุบันจิตกับปัจจุบันเหตุไง เหตุที่มันเป็นปัจจุบันที่จะแก้ไขกัน แล้วจิตนี้มันก็ติดอยู่ที่กายใช่ไหม จิตนี้หาจิตเจอไหม จิตนี้เป็นสมาธิ มันตั้งมั่นแล้วเนี่ย มันจะหาจิตเจอ ตัวจิตนี้มันต้องแก้ไขตัวจิต หันกลับมาพิจารณาตัวจิตเองน่ะ

    จิตอยู่ไหน เพ่งดูสิ จิตอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึก มันรู้สึกในเรื่องอะไรล่ะ มันรู้สึกในเรื่องที่เขาเคยติเตียนน่ะ มันรู้สึกในอารมณ์ รู้สึกในสัญญาที่ความจำได้หมายรู้ อยู่ในใจนั่นน่ะ เอาอันนี้มาใคร่ครวญ เราต้องย้อนกลับมาดูน่ะ ดูที่จิตนั่นนะ ดูความรู้สึก ตั้งขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ถ้าหาไม่เจอนะ หาไม่เจอก็ต้องย้อนกลับมาดู ย้อนกลับมาดูต้องเจอ เพราะความรู้สึกนี่ อย่างเวทนายังรู้สึกเลย เวทนาก็ต้องพิจารณาเวทนา อันนี้มันอยู่ที่บุคคล

    บางคนจับต้องเวทนามันจะพิจารณาได้เลย แต่บางคนจับต้องจิต ธรรมารมณ์ น่ะ อารมณ์ความรู้สึก เวลามันเกิดขึ้นมันรุนแรงไหม เราคิดเรื่องอะไรต่างๆขึ้นมาก็แล้วแต่ อารมณ์นี่ จะรุนแรงมาก ทำให้ยับยั้งไม่ได้ เมื่อก่อนจิตเราจะมองไม่เห็นอารมณ์อย่างนี้เลย อารมณ์เกิดขึ้น เพราะอารมณ์นี้เป็นเรา เราจะพอใจอารมณ์ของเราแล้วคิดตามไปเลย พอคิดจบแล้วยังบอก “สะใจ” เห็นไหมๆ “ฉันนี่เก่งๆ” ทั้งๆที่ว่าไอ้กิเลส มันหลอกใช้เรานะ แล้วมันไสเราไปหนึ่งรอบ กลับมาแล้วเรายังนึกชมตัวเองเลยว่าเก่งกล้า

    แต่ผู้จะเอาชนะตนเองจะต้องหันกลับมาดูตรงนี้ พออารมณ์อันนี้เกิดขึ้นมาจับเลย เขาว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่เขาว่าเนี่ย เขาว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันว่ามาตั้งนานแล้ว แล้วสิ่งนี้ควรจะดับไปนานแล้วตลอดไป เราชนะบ้าง ฝ่ายกิเลสชนะบ้าง เราจะไม่ชนะเสมอไป เพราะกำลังของเราไม่พอ ต้องกลับมาที่ “พุทโธ” นี่ กลับมาทำใจให้สงบแล้วกลับไปพิจารณา

    ถ้าพิจารณาทันก็จะเป็นแบบนี้ พิจารณาขันธ์ห้า ตัวไหนเป็นตัวสัญญา สัญญาคือตัวจำได้ ตัวแว๊บขึ้นมาน่ะ ตัวเริ่มรู้สึกตัวเวทนาจะเข้าไปซ้อนแบ่งแยกดีหรือชั่ว วิญญาณในเวทนาในเวทนาจะรู้จะเสริมต่อเลย แล้วไอ้ตัวคิดน่ะ ตัวที่เริ่มแว๊บๆคิดนั่นน่ะ นั่นคือตัวสังขาร หมุนต่อเนื่องไปเลย

    ใช้สติใช้ความรู้สึกเข้าไปสอด เข้าไปแยกให้ได้ ให้ล้มไปเลย ให้ความคิดนี้ก้าวเดินไปไม่ได้ ความคิดนี้จะก้าวเดินต่อไป ถ้าสติปัญญาของเราไม่ทัน ถ้าสติปัญญาทัน จะขัดให้ล้มไปเลย หรือไม่ก็แยกออกจากกัน ก็พิจารณาซ้ำ ชนะ...เราก็เป็นผู้ชนะ สบายโล่ง เราก็ภาวนาซ้ำไป เพราะหน้าที่ของเราลูกศิษย์พระพุทธเจ้า หน้าที่ของเราคือหน้าที่ผู้พิจารณา

    คิดพิจารณานี่คือวิปัสสนา นี่คือการสะสมปัญญา ขันธ์ห้านี้จะเป็นเครื่องลับปัญญา มีดจะต้องลับที่หิน ยิ่งลับยิ่งคม ปัญญาลองได้พิจารณาเรื่องจิตเรื่องกายเรื่องเวทนา ยิ่งพิจารณายิ่งคมกล้าตัดขาด ขาด... แต่ยังไม่ถึงกับขาดสูญ ก็ยังต้องขาดพับ ก็ชนะแบบชั่วคราว เดี๋ยวก็ขึ้นมา ขึ้นมาใหม่

    ความคิดอารมณ์ต้องมีขึ้นมาใหม่อีก ซ้ำเข้าไปอีก ก็จะปล่อยวางได้อีก จะทำอยู่แบบนี้ จนบ่อยครั้งเข้า ต้องหมั่นคราดหมั่นไถในที่นาของเรา ถึงจุดหนึ่งอารมณ์ของเรามันเคยขาดเข้าบ่อยๆ ก็เหมือนกับสิ่งที่เหนียวแน่น แต่เราได้ทุบได้ตีจนมันแตกมันร้าว มันเกือบจะสลายออกจากกันแล้ว ซ้ำเข้าไปจนกว่ามันจะสลาย แตกแยกออกจากกัน ขันธ์ห้าเห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา มันแยกออกไปเลยเวลามันแตกน่ะ

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ทุกข์ ฟังสิ... แต่ถ้าเป็นปกติแล้วมันเป็นทุกข์แต่ถ้าพิจารณาทันแล้วนะ สักกายทิฐิขาดออกไปเลย

     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ทุกข์ ฟังสิ... แต่ถ้าเป็นปกติแล้วมันเป็นทุกข์แต่ถ้าพิจารณาทันแล้วนะ สักกายทิฐิขาดออกไปเลย

    สักกายทิฐิในกายไง พิจารณาจิตนี่ล่ะ แต่มันไปแยกที่กาย เพราะจิตนี้มันหมายลงที่กาย ความรู้สึกในกายไง ที่ว่าความรู้สึกในกาย ความรู้สึกภายในจิตนี้มันหมายลงที่กายเรานี้มันเอากายนี้เป็นสมุฏฐาน ถ้าปกติความรู้สึกจะออกจากผิวหนังเราไป

    ฉะนั้น ถ้าเราตัดตัวนี้พั๊บ กายนี้ไม่ใช่ ความรู้สึกจะออกจากผิวหนังเราไปอีกไหม เนี่ย พระโสดาบัน สังโยชน์ 10 แตกออกความลังเลสงสัยก็ไม่มีในธรรม สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยใช่ไหม เรานี้ลังเลสงสัย เอ๊! นรกสวรรค์จะมีไหม ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนจะมีจริงหรือเปล่า พระอรหันต์ในโลกนี้ยังมีอยู่อีกไหม กิเลสมันเสี้ยม

    พระพุทธเจ้าท่านบอกพระอานนท์นะ “อานนท์” พระอานนท์ไปทูลถามพระพุทธเจ้า “พระพุทธเจ้านิพพานแล้วน่ะ ถึงเขตถึงกาลเมื่อไหร่ มรรคนิพพานนี้จะหมดไป.

    “อานนท์! ตถาคตตายไป จะเอาสมบัติของคนอื่นไปด้วยหรือ ตถาคตตายไปก็เอาแต่สมบัติของเราเอง เอานิพพานในใจของพระพุทธเจ้าไปเท่านั้น ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ขาดจากพระอรหันต์เลย”

    ฟังดูสิ... พระพุทธเจ้าบอกไว้ขนาดนั้นแล้วน่ะ ฝ่ายกิเลสจะเสี้ยมว่า “ไม่มี”

    พอเราแยกส่วนนี้ออกนะ วิจิกิจฉาในเรื่องนี้จะไม่มีเลยเพราะเรามันสัมผัสเองน่ะ มันแตกออกจากใจลงไปแล้วสักกายทิฐิ นี่มันก็ไม่ลังเลสงสัยน่ะสิ วิจิกิจฉาก็ต้องหมดไปเห็นไหม สีลัพพตปรามาสก็ต้องไม่แล้ว เมื่อก่อนถือศีลด้วยลูบคลำ

    “สีลัพพตปรามาส” นี่แปลว่า “ถือศีลด้วยลูบคลำ” คือว่าไม่จริงจังในศีลไง ถึงจุดนี้นะ ศีลนี้ โธ่!... สิ่งที่สัมผัสอยู่ในใจนี้เกิดจาก อะไร เกิดจาก ทาน ศีล ภาวนา แล้วมันจะปล่อยศีลนี้ออกจากมือเหรอ เพราะศีลนี่กับเรื่องภาวนานี่ เป็นบันไดให้ก้าวขึ้นมาบนนี้ แล้วยังมีหนทางจะก้าวต่อไป ใครจะกล้าทิ้งทาง ใครจะกล้าทิ้งบันได ใครจะกล้าทิ้งนั่งร้าน นั่น! เพราะยังต้องเดินไป

    ฉะนั้น ศีลก็ต้องเป็นศีลแท้สิ พระโสดาบันถึงไม่ถือมงคลตื่นข่าวไง

    นี่ละ อจลสัทธา ศรัทธาอันนี้จะไม่เปลี่ยนเด็ดขาด เข้ากระแสของพระนิพพานแล้ว นั่นจากจิตปกตินะ จิตสำนึกน่ะแล้วเริ่มจะเข้าจิตไร้สำนึกนะ แต่มันยังหมายอยู่ที่กายอีกนั่นล่ะ จิตนี่พอมันปล่อย มันก็รู้ เป็นปัจจัตตัง ไม่ต้องถามใครเลย แบบรู้ รู้ภายใน รู้แบบอหังการ์ด้วย ไม่ถามใครจริงๆถ้าถามนี่มันสงสัยอยู่นาแต่ข้างหน้านี่งง เอ๊! จะทำยังไง จะทำยังไงต่อ ก็ต้องตั้งใจ มีครูมีอาจารย์ก็ต้องฟังธรรมไง

    พิจารณาซ้ำนะ จิตนี้ปล่อยวางกายแล้วก็จริงอยู่ อารมณ์นี้อารมณ์จากกายนะ มันจะสุข มันจะสบายอยู่พักหนึ่ง เวลาเราปล่อยวางหมดแล้วน่ะแต่เสร็จแล้วมันก็ยังออกมารับรู้อีกนั่นล่ะ เพราะกิเลสในใจนี้ยังอีกมหาศาล จิตนี้ยังหมายลงที่กาย หมายอยู่นะมันตัดกายไปแล้วแต่หมายอยู่ อุปทานในกายยังมีอยู่ จึงต้องให้พิจารณาซ้ำเข้าไป ตัวจิตนั้นล่ะ

    ไหนคือตัวจิต อารมณ์ออกมาจากนั้นอยู่ที่ไหน อุปาทานนี่อยู่ที่ไหน อุปาทานดึงออกมา เพราะมันยังขุ่นใจอยู่นั่นล่ะ พิจารณาจิตเลย พิจารณาจิตซ้ำเข้าไปเลย ดูเข้าไปเลยล่ะ ว่าตัวไหนคือตัวจิต

    ไอ้ที่ว่า “สักกายทิฐิ” คือตัวไหน มันออกมาหมายนี่ จิตนี้มันหมายออกมา จิตตัวนี้เป็นตัวตนน่ะ ซ้ำเข้าไปเลย เพราะจิตนี้ยังจับต้องได้ จิตจับจิตได้ ความรู้สึกยังมีอยู่ ความรู้สึกนี้ยังมีอยู่นะ เนี่ยกระแสของจิตที่มันออกไปข้างนอกน่ะ กระแสความรู้สึกยังมีอยู่น่ะยังมีอยู่ กระแสความรู้สึกนี้ยังจับต้องได้ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา จับเข้ามานั่นน่ะ พิจารณาเลย ว่าตัวนี้มันตัวอะไร ความรู้สึกนี้น่ะมันหมายไปไหน ที่หมายออกมาเป็นความรู้สึกน่ะหมายไปไหน ดูเข้าไป เราดูเข้าไปเลย ดูความรู้สึกอันนั้นน่ะ ด้วยสตินะ ด้วยสมาธินะ ด้วยปัญญา ด้วยอริยมรรคนะ หันกลับเข้าไปดู ทำเข้าๆ น่ะด้วยความจริงจัง ด้วยความอาจหาญของเราน่ะ กิเลสมันจะยอมเราหรือ ความรู้สึกที่มันหลอกเราน่ะ มันก็ส่งออกมาใช่ไหม

    เราอย่านอนใจ เรานอนใจไม่ได้ ต้องดูกลับเข้าไป ดูความรู้ส่งออกมา ทำอย่างเมื่อกี๊นั่นล่ะ ทำอย่างการพิจารณาความรู้สึกนั่นล่ะ มันจะแตกออกจากันนะ แตกออกคราวนี้ โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง โลกนี้จะว่างเลย เพราะจิตนี้มันไม่หมายมาที่กายแล้ว เราพิจารณาที่กายนี้มันก็จะแยกออกจากกันใช่ไหม จิตเป็นจิต กายเป็นกาย นี่ พระสกิทาคามี

     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    พระสกิทาคามีมีกายเป็นโพธิไง จิตนี้เป็นกระจกใสแยกออกเลย ราบเป็นหน้ากลองเลย กายนี้ไม่มีเลย แต่จิตนี้ยังมีอยู่ จิตนี้เป็นกระจกใส เวิ้งว้างเลยนะ เวิ้งว้าง... จิตนี้ลงไปสบายเลยล่ะ ไม่มีตัวตนพักใหญ่ แต่ตัวตนคือมันสงบอยู่ภายใน นี่ตัวนี้ต่างหาก คือจิตใต้สำนึก

    จิตตัวนี้มันเป็นตัวกามราคะ เพราะพระสกิทาคามีไม่ได้ชำระสังโยชน์เลย พระสกิทาคามีก็มี สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ใช่ไหม แล้วกามราคะ ปฏิฆะ อ่อนลงเท่านั้น อ่อน... ไม่ได้เด็ดขาด ละสังโยชน์สามตัวได้เท่าพระโสดาบัน

    กามราคะหมายถึงกามไง ปฏิฆะคือความผูกโกรธน่ะอ่อนลง คราวนี้ยิ่งมหัศจรรย์ จิตนี้จับต้องไม่ได้หายไปเลย

    เมื่อก่อนที่เรายังจับต้องจิตได้น่ะเพราะอะไร เพราะว่าจิตนี้มันเนื่องด้วยกาย จับตรงไหนมันก็กระเพื่อมรู้จักกันหมด มันเนื่องกันมันมีความรู้สึกน่ะ ทีนี้ความรู้สึกมันละเอียดเข้าไป จับไม่ได้เลยนะ มันจะมืดตื้อเลยล่ะ กำหนดเข้าไปในตัวจิต จิตกำหนดจิตนั้นน่ะ ทีนี้มันเป็นอัตโนมัติในตัวมันเองใช่ไหม เมื่อก่อนนี้เราสองมือจับกันน่ะ มันมีเหตุและมีผล ซ้ายกับขวากระทบกันใช่ไหม ขั้วบวกกับขั้วลบกระทบกัน ขั้วของจิตกับขั้วของกายกระทบกันมันก็ง่าย ทีนี้ไฟอะไรมันมีขั้วเดียวน่ะ หาไม่เจอนะ ตอนนี้ยากหน่อย

    จิตนี้มันจะส่งไปแล้วนะ มันหาตัวมันเองไม่เจอ ถ้านอนใจก็ไม่ได้ ถ้าคนพิจารณาอยู่ คอยดูอยู่น่ะ มันจะขยึบๆขึ้นมานะความรู้สึกน่ะ นี่ความรู้สึกภายใน นี่เพราะมันเป็นจิตใต้สำนึกนี่มันไม่ใช่จิตสำนึกมันก็จับยาก เวลามันรู้มันจะรู้ออกเลย มันส่งออกหมด หมายถึงว่าทุกอย่างสำเร็จหมดแล้ว เพราะมันเป็นตัวมันเองใช่ไหม ทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว มันจะดูแต่ข้างนอก

    ทีนี้จะทำอย่างไรให้ลำแสงนี้กลับเข้าหาตัวจิตน่ะ เพราะมันจิตใต้สำนึก แต่ถ้าผู้ปฏิบัตินะ ผู้ที่ไม่นอนใจน่ะ เอ้า! นี่มันกระทบเข้ากับกามน่ะ ทีนี้มันเป็นตัวกามเลย มันเป็นกามอยู่แล้ว จิตนี้เป็นตัวกามนะ จิตนี้ชุ่มอยู่เลย ตัวมันชุ่มอยู่เลย มันคิดของมันได้คนเดียวนะ ตัวมันเองก็คิดของมันเองได้

    ถ้าจิตนี้ย้อนกลับเข้าไปดูได้นะ จะตื่นเต้นมาก ขนพองสยองเกล้าเลย ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าหน้าที่ แล้วรู้ว่าเขามีการฉกชิงวิ่งราว มีการประหัตประหารกัน แต่เราจับ เรารู้ว่าใครเป็นคนทำ เพราะว่ามีพยานหลักฐานใช่ไหม แต่เราไม่สามารถจับเอาตัวจำเลยได้ นี่ก็เหมือนกัน

    เรารู้อยู่นะว่าจิตนั้นมันยังมีความรู้สึกอยู่ในหัวใจ แต่เราไม่สามารถ จับได้ว่าตรงไหนเป็นจำเลยน่ะ เราหาทางย้อนกลับมาด้วยปัญญาญาณ จิตอันนี้มันรวมอยู่แล้ว จิตขณะที่เราทำเราปฏิบัติมาขนาดนี้น่ะ มันสามารถจะทำได้ จิตสงบอยู่พอสมควรเพราะมีพื้นฐาน แต่ไม่สามารถเจอจำเลยได้

     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    งานในพระพุทธศาสนาเรานี่มีสองแขนงมาตลอดเลย เรื่องสมถกรรมฐานกับเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน แล้วเวลาขุดค้นกิเลสมันก็ลำบาก วิธีการขุดค้นหากิเลสนั้นก็วิธีการหนึ่ง ขุดค้นหาเจอตัวแล้วยังต้องเอามาชำระล้างกันอีกอย่างหนึ่งนะ วิธีการขุดค้นหานั้นก็แสนยาก วิธีการที่จะขุดค้นหาจำเลยน่ะ หาผู้กระทำผิดเราว่าทำถูกหมด เราดีหมด เรานี้ประเสริฐเลิศเลย แต่เราไม่สามารถหาผู้ที่มีความผิดได้ ความผิดข้างในตัวเราน่ะ เราไม่สามารถว่าตัวเราผิดได้

    พอเราใช้ปัญญาใช้การใคร่ครวญเข้าไปนะ จับต้องตัวนี้ได้นี่ ตื่นเต้นมาก จะตื่นเต้นมากเลย เมื่อก่อนนี้มันส่งออกนี่ จิตมันส่งออกไง ปัญญาของเรา วิปัสสนาญาณของเรามันตัดย่นเข้ามา ย่นเข้ามา มันสั้นเข้าๆ ความไวของมันก็ต้องเร็วเข้า

    กระแสน้ำที่ไหลผ่านไปเป็นระยะทางยาว เราก็สามารถจะเห็นได้ แต่ระยะทางสั้นแค่คว่ำขันน่ะ เราจะเห็นได้ยังไง มันก็ติดอยู่คาใจ ติดอยู่อย่างนั้นนะ มันคร่อมตัวมันเองนั่นน่ะ ย้อนกลับเข้ามาดูสิ พอเจอแล้วจะตื่นเต้น เหมือนกับเราเป็นเจ้าหน้าที่แล้วเราไปจับจำเลยได้ เราจะได้ความดีความชอบ เราจะได้คุณงามความดี อันนี้ก็เหมือนกัน

    ถ้าจิตมันจับตัวนี้ได้ โอ้โห!... ขนพองสยองเกล้าเชียวนะ ก็เหมือนกับเราไม่รู้จักตัวเราเองเลย จิตใต้สำนึกนี้มันไม่รู้จักตัวมันเองเลยแล้วมันไปจับตัวมันเองได้น่ะ เราจะตื่นเต้นฟูขึ้นมาเลยขณะแค่หาตัวเจอ นี้ก็เป็นผลงานอย่างมหาศาลแล้ว ทีนี้จะโดนหลอกล่ะ จะโดนหลอกว่า อันนี้เป็นตัวนิพพาน อันนี้เป็นตัวที่ว่าตัวประเสริฐสุดเพราะมันมีความสุข มีความอ้อยอิ่งในตัวเองมากตัวจิตใต้สำนึกนี่ล่ะนะ มันจะหลอกเลย แล้วเราจะเคลิบเคลิ้มตามไป มันจะปั้นแต่งอาการบอกว่า อันนี้เป็นการว่าง อันนี้เป็นผู้มีความสุข แล้วมันก็จะซ่อนหลอกกินอยู่ในจิตนั่นล่ะ ดูไปสิ มันจะเป็นนิพพานได้ยังไง ในเมื่อมันยังมีความรู้สึกกระทบอยู่น่ะ ยังเป็นราคะอยู่

    ถ้าเราสังเกตใจของตัวเองนะ มันจะรู้ซึ้งเลย อันนี้หลอกกัน อันนี้หลอกกันนะ!... กลับเข้าหันมาดูเลย อ้อ... ไอ้ที่ว่าขันธ์ห้าอย่างที่เราพิจารณากายนั้นมันเป็นขันธ์ห้าภายนอก

    ขันธ์ห้าที่มันซับซ้อนอยู่ที่หัวใจเนี่ย ไอ้จิตใต้สำนึกนี่มันก็เป็นขันธ์ห้า เพราะมันมีเวทนา มีความรู้สึก มันมีสัญญา ความจำได้หมายรู้เก่า เพราะขันธ์ห้าข้างนอกนั้นมันเป็นขันธ์ห้าของกายไอ้ขันธ์ห้าที่ใจ เรื่องของกามนี่มันก็ต้องใจคิดใช่ไหม ต้องย้อนกลับมาดูใจที่ละเอียดกว่าเท่านั้นเอง มันเป็นว่าถ้าพูดถึงพิจารณาข้างนอกเขาเรียกว่าสติปัญญา ถ้าพิจารณาตัวนี้เขาเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา เพราะความไวของมัน เป็นความไวนะ เริ่มคิดออกไปสิ

    เนี่ยมันหลอก มันซุ่ม มันซุ่มกินอยู่ที่หัวใจเรานั่นน่ะ กิเลสมันอยู่ตรงนี้ ซุ่ม...อยู่ตรงนี้ นี่พิจารณาจิตนะ แต่ผู้พิจารณาอารมณ์ตรงนี้เขาเรียกว่า พิจารณาอสุภะไง พิจารณาดูจิตสิเสร็จแล้วก็ดูด้วยความรู้สึก มันน่าขยะแขยงไหม มันน่าขยะแขยงนะนี่นักปฏิบัติ เพราะอะไร ทำไมขยะแขยง

    พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งนี้เป็นของชุ่ม ชุ่มด้วยกามแล้วเราปฏิบัติเพื่ออะไร เพื่อพรหมจรรย์ เพื่อความสะอาดสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สกปรก ใจนี้มันอยากออกไปกินของข้างนอก เรามองสิ่งนี้เป็นของแบบว่า เหมือนตัวหนอนน่ะ ตัวหนอนใช่ไหม มันก็อยู่ในที่สกปรกแล้วมันจะสะอาดได้อย่างไร เราต้องการความสะอาดเห็นไหม นี่คือปัญญานะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    ปัญญาแล้วแต่การใคร่ครวญนะ นี่...พิจารณาจิต พิจารณาธรรม ธรรมารมณ์ในใจ จะแก้กามด้วยการพิจารณาจิตใจเราจะเป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าเห็นโทษน่ะ โอ้ย! ไอ้ตัวหลอก ไอ้ตัวซุ่มกินตัวนอนกินอยู่ในใจตัวนี้เองเหรอ เมื่อก่อนเราก็ไปมองว่า รูป รส กลิ่น เสียง ข้างนอกมันเป็นทุกข์ไง มันเป็นตัวที่เราต้องไปแสวงหาไง ไอ้นี่ไม่ต้องเลย นั่งนอนอยู่ที่ตัวเอง มันก็ครุ่นคิดขึ้นมาในใจ ไอ้ตัวนี้มันเป็นโทษนี่นา “กามๆ” กามนี้มันอยู่ที่ใจนี่นาใช่ไหม มันก็คิดไปสิ

    พิจารณาซ้ำ พิจารณาซากนั่นน่ะ เดี๋ยวก็แพ้ เดี๋ยวก็ชนะอย่างเก่า อยู่ที่ไหน อยู่ในการนั่งสมาธิและพิจารณา อยู่ในทางจงกรม เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำมืดดึกดื่น ไม่สน...

    ผู้ที่พิจารณาแบบนี้ ผู้ที่จะทำแบบนี้นะจะอยู่กับใครไม่ได้เลย การพิจารณาเรื่องกามราคะนี้มันจะรุนแรงมากทั้งภายนอกและภายใน พิจารณาภายนอกก็ได้ หมายถึงมันออกมาหาเหยื่อข้างนอกแล้ว ...ย้อนกลับเข้าไป หรือมันซุ่มอยู่ในหัวใจมันก็รุนแรงเหมือนกัน เพราะมันเป็นจังหวะเดียวกัน มันเป็นตัวของมันเองแล้ว มันจะเป็นการต่อสู้ เหมือนเราต่อสู้กับกองทัพกำลังได้เสียกันนั่นน่ะ จะทุบหม้อข้าวแล้ว ทุบหม้อข้าวว่าแพ้หรือชนะเท่านั้น จะไม่ยอมเรื่องอริยมรรคของพระพุทธเจ้าน่ะ มันต้องการถือพื้นที่ในหัวใจเราเป็นที่อาศัยอยู่ต่อไป มันจะไม่ยอมแพ้เราหรอก

    หัวใจของเรา เราต้องพัฒนาขึ้นมานี่ หัวใจของเราเป็นสิ่งที่จะทำให้พ้นอิสระได้ เราก็ต้องทำ แพ้ก็ต้องพักไว้ก่อนมาเพิ่มพลังด้วยกลับมาภาวนา กลับมาหาความสงบแล้วก็กลับไปต่อสู้กันใหม่ เพราะรู้ว่าอันนี้เป็นโทษนี่ เสมือนรู้ว่าอันนี้เป็นเอดส์อันนี้เป็นมะเร็งอยู่ในใจน่ะ แล้วเราทำไมจะไม่ทำลายมันออกไปเราต้องทำลายอยู่แล้ว เพราะอันนี้มันทำให้ทุกข์ อันนี้มันทำให้ใจเราอยู่ไม่เป็นสุข อันนี้มันทำให้เรานี่เป็นขี้เรื้อนในใจเลย ว่างั้นเลยนะ มันดิ้น มันคัน มันเกา แล้วเราก็เห็นโทษ อ้อ!... มันเกิดจากตรงนี้เราเห็นโทษแล้วทำไมเราไม่สามารถเอาชนะมันให้ได้ล่ะ มันก็ต้องมีความมุมานะ มีความหมั่น มีความกล้า โถมทั้งตัวเลยนะ

    การงานอะไรเราก็ทำมาแล้วนี่ นี่งานจะเอาชนะกิเลสก็ใส่เข้าไปเลย อันนี้ความคิดของกิเลสมันก็รุนแรงนะ พอคิดขึ้นมาคิดดูสิ ปั๊บ...อารมณ์ความคิดน่ะ

    เมื่อก่อนคนที่ภาวนาตรงนี้นะ โลกเขาเสพกามกันน่ะ เขาต้องอาศัยของคู่ แต่ถ้าจิตตรงนี้มันไม่ต้องอาศัยอะไรเลยน่ะ มันสามารถจะเสวยอารมณ์ของมันเองได้ มันถึงเสวย มันถึงกินอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเราไปเห็นว่า โอ! เวลามันคิดขึ้นมามันถึงรุนแรง เวลาคิดขึ้นมามันมีความรู้สึก

    ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้า ถึงสอนว่า อย่าเสียดายอารมณ์ของตัวเอง มันเสียดายนะ เวลาคิดขึ้นมาเนี่ยมันก็มีความรู้สึกเห็นไหม ในเมื่อใจมันเสพของมันเองน่ะ พระพุทธเจ้าบอกอย่าเสียดายอารมณ์ในใจของตัว ต้องประหารมันให้ได้ ครูบาอาจารย์ต้องตอกต้องย้ำ

    แล้วเราเองถ้าเห็นโทษแล้วเราก็อยากจะทำอยู่ แต่มันอ้อยอิ่งน่ะ เพราะมันกำลังได้เสียน่ะ บางทีเราก็ชนะ บางทีเราก็แพ้ แต่ถ้าเราสู้เราดันทีเดียวเลย เต็มที่เลยน่ะ ขาด!...ขันธ์ห้าในใจจะขาดออกจากใจ ขาดอันนี้นะโลกธาตุไหวหมดเลย ครึ้ม! โลกธาตุนี้หวั่นไหว หัวใจนี้สะท้านหมดเลย เพราะกามราคะนี้ กามราคะ ฟังสิ...

    กามราคะนี้มันเข้ากับกามภพไง ถ้าอันนี้มันสะท้อนจากใจแล้วเราจะไม่เกิดในชาติของมนุษย์ ในชาติของเทวดา มันจะเป็นพรหมอย่างเดียว เพราะขันธ์ห้าในใจขาดแล้ว ขันธ์ห้าในใจขาดก็เหลือแต่ขันธ์หนึ่ง นี่คือ พระอนาคามี
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    เห็นไหม จิตใต้สำนึกยังต้องพินาศ แล้วไอ้ตอของจิตน่ะมันอะไร พอขาดออกไปแล้วเห็นไหม พระอนาคามีมีถึง 5 ประเภท พระอนาคามีนี้เหมือนกับผลไม้ที่สุกแล้ว จิตนะ ดวงจิตนี่เหมือนกับผลไม้ที่สุกแล้ว ไม่มีวันเน่า จะสำเร็จไปข้างหน้าอย่างเด็ดขาด

    ถ้าเป็นพระอนาคามีแล้วมันนอนใจไง มันไม่สามารถกลับมาหาตัวจิต ตัวตอนั่นน่ะ พอตรงนี้ บางคนก็จะเคลิ้มไปเลย

    ทีนี้พิจารณาซ้ำนะ เพราะมันจะเทียบกับมานะทิฐิ ทิฐิมานะในใจของตัวน่ะสังโยชน์เบื้องบนมี รูปราคะ อรูปราคะ มานะ กุกกุจจะ อวิชชา ตัวมานะในใจนั่นน่ะ เราเสมอเขาสำคัญกว่าเขามันเทียบไง มันเทียบว่าเสมอคนนู้น เสมอคนนี้ จะดีกว่าคนนู้นจะดีกว่าคนนี้ เห็นไหม

    เนี่ย ตัวนี้ จับมาใคร่ครวญได้ ดูใจของตัวนั่นน่ะ มันเกิดมานะเกิดความอหังการ เดี๋ยวว่าดีกว่าคนนูน ดีกว่าคนนี้น่ะ แล้วมันมีความรู้สึกว่า ตัวเองน่ะได้สิ้น สิ้นจากกามนะ มันจะลองของไง ต้องคิด ต้องตรวจสอบ อาหารที่เรากินน่ะ อาหารที่เรากินแล้วเห็นไหม เรากินอิ่มแล้ว เราเก็บเหลือเอาไว้กินวันอื่นอีก อันนี้ก็เหมือนกัน มันสามารถตัดกามภพได้แล้วนะ แต่พรหมก็มีชั้นต่ำชั้นสูง ห้าชั้น

    ที่อยู่ของพระอานาคามี อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ห้าชั้นพระอนาคามี ไม่เท่ากันเห็นไหม นี่ความอ่อนไง สิ่งที่เรากินแล้ว สมมุติเรากินข้าวไปแล้วเนี่ย เรานึกภาพข้าวสิเราก็ยังมีอารมณ์อีกเห็นไหม

    กามราคะนี่ตัดออกไปแล้วก็จริงอยู่ แต่เศษส่วนน่ะ พิจารณาจิตดูสิมันจะมี จะละเอียดยังไงก็มี แยกเลย แยกดูเศษส่วนของใจนั่นน่ะ ความนอนใจ ความอ้อยอิ่งอยู่ที่ใจนั้น กำหนดดูนะ มันจะหลุดอีกน่ะ มันจะรวมใหญ่อีกทีหนึ่ง เห็นไหม พอรวมใหญ่ทีหนึ่ง

    ไอ้เศษอาหารที่เหลือน่ะ ไอ้เศษส่วนในใจที่เหลือนั่นน่ะ ทีนี้มันจะเป็นตอของจิตสิ ทีนี้จิตไม่มีละว่างเวิ้งว้างเลย ว่างในว่างอย่างนี้อันหนึ่ง กับว่างในจิตเดิมแท้นั้นอันหนึ่ง

    จิตเดิมแท้นั้นว่างด้วยความมีกิเลสล้วนๆเลย แต่ความว่างอันนี้ เป็นความว่างของพระอนาคามี นะ จะไม่มีทางเห็นตอของจิตเลย

    ไอ้ที่ว่าเป็น มหาสติมหาปัญญา นั้นอีกเรื่องแล้ว นี่มันเป็นอัตโนมัติเลย จับอะไรไม่ได้เป็นว่างหมดเลย ว่าโลกนี้ว่างหมด แต่เรามีคนอยู่ในบ้านนั้นมันจะว่างได้ยังไง ไอ้คนๆนั้นทั้งคนขวางอยู่นั่นน่ะ มันจะไม่สามารถเข้ามาดูตัวของมันเองนะ มันจะดูแต่ภายนอกหมด นั่นล่ะคือตัวตอ พอมาถึงตรงนี้แล้ว เดิมทีความว่างเป็นของดีของประเสริฐ แต่ถ้าผ่านตรงนี้ไปแล้ว ความว่างตรงนี้เป็นโทษนะ ก็ว่างที่ว่าไม่มีตัวกูของกูไง ว่าง...ว่างหมด ไอ้คนที่ว่าว่างๆน่ะมันใคร ความว่างนี้มันต้องมีคนไปหมายมันใช่ไหมมันถึงว่าว่าง ความว่างมันจะรู้ตัวมันเองหรือ ไม่มีทางรู้จักตัวมันเองได้ แต่เราว่าว่างๆอยู่น่ะ ไอ้คนพูดน่ะใคร คนพูดว่า “ว่าง” เนี่ยใคร

    มันต้องคิดอย่างนี้นะ ต้องมีความเอะใจ ต้องมีความสะกิดใจ พอมันสะกิดใจมันจะย้อนกลับมาดู เพราะเราคิดว่าเราว่าง ว่างนี่มันก็ว่าสิ้น เราว่าหมดแล้ว เนี่ย “ติด”

    การติดอยู่ คนจะติดอยู่ตรงนี้ ผู้ปฏิบัติจะติดอยู่ตรงนี้หมดเลย ติดว่าตัวเองสิ้นแล้ว พอสิ้นเนี่ย มันก็แบบว่าเหมือนกับเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็ไม่ยอมใช้ใคร แต่เราปฏิเสธความเป็นหนี้อันนี้ มันเลยไม่เห็นตอของจิต จนกว่าว่า เอ๊! สงสัยอยู่นะ จะเริ่มลังเลสงสัย จะต้องหันกลับจิตมาดู

    ถ้าใครมาเจอตอของจิตนี่จะงง เพราะมันเป็นธาตุน่ะ ตัวสสารมันจับตัวสสารได้ มันมหัศจรรย์นะ ผู้ปฏิบัติจะเห็นความมหัศจรรย์ตรงนี้มากเลย ตัวของสสารที่มันไม่รู้จักตัวของมันเองแล้วมันรู้จักตัวมันเองน่ะ มหัศจรรย์ขนาดไหน จะงงเป็นไก่ตาแตกเซ่อไปเลย เหมือนกับน้ำมารู้จักตัวมันเอง น้ำพูดได้น่ะ เสา...ต้นเสาพูดได้น่ะ

     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    อันนี้ตัวธาตุรู้มันจับตัวธาตุรู้ ถึงว่ามันละเอียดอ้อยสร้อยมากนะ มันละเอียดอ่อนมากอยู่ในหัวใจน่ะ นี่คือตัว อวิชชา

    อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง เราว่ามันเป็นสายยาวยืด แต่ตัวอวิชชาแท้ๆนี้ไม่มีทาง มันเกิดดับตั้งแต่ตัวอวิชชากับตัวภพนี้เกิดพร้อมกันแล้วดับพร้อมกัน มันไวมากเลย

    ตัวอวิชชาคือตัวตอ ตัวตอน่ะมันเป็นตัวไม้ ไม้มันฟาดไปทีเดียวมันก็ฟาดลงไปทั้งลำใช่ไหม ตัวอวิชชา ตัวปฏิจจสมุปบาท มันเกิดทีเดียว ปุบปับๆ ไม่มีการที่ว่าปัจจยาๆ

    “ปัจจยา” นี่ เป็น พระพุทธวิสัย เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า สาวกวิสัย พวกเดินตามนี่ยาก แต่สามารถพูดเป็นวิชาการ เป็นวิชาการที่เขาอธิบายกันอันนั้นเป็นปริยัติ

    ปริยัติคือปริยัติ ปฏิบัติคือปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่มาเห็นตรงนี้สิ มันมหัศจรรย์นะ พอสสารนี้มันจับตัวสสารได้ ตัวธาตุรู้มันจับตัวธาตุรู้ได้มันก็คอยแต่เฝ้าดูสิ การเฝ้าดูนี้มันต้องเข้าใจนะ ส่วนใหญ่พอจับตัวนี้ได้แล้วมันจะวิ่งเลยล่ะ ก็เมื่อก่อนนี้เราใช้ปัญญา ใช้ความรู้สึกตัวจับกิเลส จับตัวความรู้สึก มันมีการตอบสนองกันแต่คราวนี้ ตัวน้ำน่ะ แล้วมันรู้ตัวมันเองแล้วมันยังจับตัวมันเองพลิกคว่ำน่ะ นี่คือเรือนยอดของกิเลส นี้คือเจ้าวัฏฏจักร

    แล้วพอจับได้ว่าคว่ำเจ้าวัฏฏจักรน่ะ ตัว อวิชชา ปัจจยา สังขารา สิ้นลงที่หัวใจ นี่คือพระอรหันต์ เกิดที่หัวใจ ชำระหัวใจจนเกลี้ยงนะ นี่คือเจ้าวัฏฏจักร นี่คือตัวกิเลส ตัวปู่ตัวย่าโคตรเหง้าเหล่ากอของกิเลสได้สิ้นลงจากใจแล้ว จะเกิดอีกไม่ได้เลย

    พระพุทธเจ้ารู้ตรงนี้ไง ถึงได้เยาะเย้ยมารเลย “มารเอยเราเห็นแล้ว เธอเกิดจากความดำริของเรา” เห็นไหม ดำริก็ตรงนี้ นี่คือตัวต้นขั้วจากความคิดเลย ต้นขั้วก่อนจะมาเป็นจิตใต้สำนึกซะอีกด้วย

    พระพุทธเจ้าชำระล้างถึงตรงนั้น ถึงได้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ไม่มีใครบอก ท่านรู้ของท่านเอง เป็น สัพพัญญู รู้ด้วยตนเอง ถึงได้ประกาศไง พอทีแรกแล้วปล่อยวางเลยน่ะ โอ้...มนุษย์ในโลกนี้ใครมันจะรู้ได้ เห็นไหม พระพุทธเจ้าไม่สอนนะ พอรู้แล้วไม่อยากสอนจะใคร มันลึกลับซับซ้อนแทบจะสอนใครไม่ได้เลย จนต้องท้าวมหาพรหมมาทูลนิมนต์น่ะ

    ถ้าไม่นิมนต์น่ะโลกนี้จะฉิบหาย โลกนี้จะไม่ได้แล้วเพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจะไม่ยอมเผยแพร่ธรรมน่ะ จนพรหมต้องทูลนิมนต์นะ พระพุทธเจ้าก็ทรงเล็งญาณดู อ้อ! สัตว์โลกที่กิเลสเบาบางพอมีอยู่ พอที่จะรู้เรื่องได้มี มันสุดวิสัยของคนที่จะรู้จริงๆนะ นี่นักปฏิบัติ นี่ปฏิเวธะของพระพุทธเจ้านะ แล้วทรงวางไว้น่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    ถึงว่าศาสนาพุทธเรายอด ยอดมาก... ไม่มีศาสนาใดๆเทียบได้ ถ้าพูดถึงการหลุดพ้นไม่มีในศาสนาอื่น ไม่มีเด็ดขาด ไม่มีหรอกมีแต่ปากพูด ก็ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าก็มีศาสดาองค์อื่นๆ คือเจ้าลัทธิต่างๆ เพราะปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ไปเรียนมาหมดแล้ว... อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ไปศึกษามาหมดแล้ว ศึกษามาขนาดไหนจะได้สมาบัติอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็ไม่สามารถชำระกิเลสได้เลย มันไม่ใช่เฉพาะปัจจุบันนะ

    แต่เดิมก็เคยมีปฏิญาณตนว่าเป็นมากันแล้วทั้งนั้น แล้วก็ไม่เป็นจริง จนมีพระพุทธเจ้าเรามาพูด แต่ก่อนไม่มีผู้ที่รู้จริงใช่ไหม ก็ไม่สามารถจับได้ หรือเปรียบเทียบได้ นี่ถือว่าเกิดเป็นชาวพุทธนี้ประเสริฐนักแต่นี่กลับหลงทางกัน จะไปไหนกัน ของเราดีๆกลับมองข้ามกันไปแล้วจะเรียกตัวเราว่าเป็นชาวอะไรดี ก็ขอให้คิดกันเองก็แล้วกัน

    ตั้งแต่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ในเมื่อของจริงมีแล้วก็ต้องพิสูจน์กับของเทียมได้สิ ไปพิสูจน์กับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงได้ สามารถโต้แย้งได้ สามารถเปิดออกให้ดูได้ว่าของนั้นเป็นของเทียม

    ฉะนั้น ศาสนาพุทธเรานี้ประเสริฐมาก ทำไมต้องดึงศาสนาพุทธเราให้มันต่ำล่ะ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แน่นอนไอ้นั่นไม่ได้โต้เถียง แต่โต้เถียงตรงที่ว่าถึงจุดสูงสุดอันนี้ อันอื่นมันไม่มีจริงๆก็ต้องว่าไม่มีสิ เราเป็นนักเหตุผล เราเป็นผู้ที่ว่าไม่พูดปด เราเป็นผู้ที่พูดตามความเป็นจริง ตามพระพุทธเจ้าใช่ไหม

    ถ้าของมีก็ต้องว่ามี ของถูกก็ต้องว่าถูก ของผิดก็ต้องว่าผิด แต่ถ้าไม่มีว่ามี ถ้ามีก็บอกว่าให้ดึงต่ำไว้ อันนั้นไม่ใช่ ถึงว่าเราชาวพุทธมันประเสริฐตรงนี้ไง เราเจอของที่ประเสริฐเลอเลิศเลยแต่เราพยายามดึงกันให้ต่ำไว้ ของสูงไง ดึงฟ้าต่ำ ของสูงขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเราทำไม่ถึงเราก็ต้องให้มันสูงเชิดชูไว้ ก็เป็น พระรัตนตรัย ของเราเป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย

    ถ้าไม่สำเร็จในชาตินี้ เราก็มุ่งชาติต่อไป ในชาติต่อไป เรื่องภพชาติไม่มีใครปฏิเสธนี่นา แต่จะถึงหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราไปบอกว่าแผนที่นั่นผิด หรือเข็มทิศชี้ทางนี้ แล้วเราไปเดินตามแผนที่ที่ผิด แล้วเราจะได้อะไร สี่สลึงเป็นหนึ่งบาท เราก็ว่าสองสลึงเป็นหนึ่งบาท แล้วเราก็มีแต่สองสลึงเราไม่หาอีก...เป็นหนึ่งบาท เราผิดหรือเราถูก

    ไอ้ตัวเงินบาทมันผิดหรือว่าความรู้สึกเราผิด ของนั้น 4 สลึงเป็น 1 บาท เราไม่มีสักสลึงหนึ่ง เราก็ต้องหา จาก 1 จาก 2 จาก 3 จาก 4 เป็น 1 บาท แต่มีคนมาบอกว่า 1 สลึงก็เป็น 1 บาท เราก็เชื่อเขา เราจะเสียโอกาส 3 สลึงไปทันที ในเมื่อ 4 สลึงเป็น 1 บาท อยู่อย่างนั้น เราจะมีสลึงเดียวหรือไม่มีเลย ก็ต้อง 4 สลึงเป็น 1 บาทสิ

    โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหันตมรรค อรหันตผล ก็เป็น 4 เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เราต้องเชิดชูไว้ ของคนอื่น เราก็ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งนั้นไม่ดี เรารับหมด ความดีคือความดี ความชั่วคือความชั่ว

    พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่าทำดีได้ดี มันอยู่ที่การกระทำของพวกเราต่างหาก แต่ที่พูดนี้เพราะต้องการให้เห็นว่า ให้มันเป็นจริงน่ะจริงตามความจริงในอริยสัจ

    จริงในเนื้อของธรรมนั้น ต้องยุติธรรม เราต้องยุติธรรมกับทุกๆอย่าง มันถึงจะเป็นมัฌชิมาไง ความถูกต้อง เราไม่เอียง เป้าหมายนะ
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การพิจารณาจิต...พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

    ถึงว่าเรานี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้พบกับพระพุทธศาสนานี้ โอ้โห! ต้องมีบุญ ต้องมีบุญนะ มันมีน้อยในโลกนี้ มีส่วนน้อยแล้วต่อไปจะจางลงๆคำว่า “จางลง” ก็เพราะเหตุนี้ล่ะ เหตุที่ว่า 2 สลึงก็เป็นบาทหนึ่ง อีกหน่อยก็เหลือสลึงเป็นหนึ่งบาท แล้วก็จะหมดไปๆไง อีกหน่อยก็ว่าไม่มีตังค์เลยก็บาทหนึ่ง จะเป็นอย่างนั้นนะ ก็ไม่มีอะไรในหัวใจเลยก็ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์จะว่าอย่างนั้นหรอก

    มันเป็น สัทธรรมปฏิรูป ธรรมค้นคิดกันขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วเป็น ปัจจัตตัง เป็น อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา

    แต่ถ้าเราไปเชื่อแบบนั้นนะ มันก็ตัดทอนจิตใจของเราเลยนะ หมดเขตหมดสมัยไง หมดเขตหมดสมัยแล้ว แบบว่าระยะทาง 1 กิโลเมตรนี่ เราก็ตัดให้เหลือแค่ครึ่งก.ม. ระยะทางก้าวเดินน่ะถ้าเราเชื่อว่า แค่นี้สุดเราก็ไม่เดินอีกแล้ว ประโยชน์เราก็เสียไปแล้วครึ่งก.ม. แล้วถ้าแค่เมตรหนึ่งก็ว่ากิโลหนึ่งเห็นไหม เราเสียอีก 999 เมตร เราได้ระยะทางแค่ 1 เมตรเอง เราว่าเป็น 1 ก.ม. เพราะใจมันเชื่อแล้วมันไม่เดินนะ หรือมันไม่ขวนขวายนะ มันนอนใจ

    หัวใจนี้แปลกประหลาด มันพุ่งไปคิดไกลก็คิดไปได้ มันพุ่งใกล้ก็ได้ ศาสนาของเรานี้มุ่งไปจนกว่าจะสิ้นกิเลส แล้วทำไมเราจะเชื่อว่าไอ้แค่เมตรเดียวนี้สิ้นกิเลสล่ะ นี่...อยู่ตรงนี้แต่ว่าไม่ใช่ว่าเราจะไปย่ำยีใคร ไม่ใช่สาสนานี้ประเสริฐจนต้องไปรบราฆ่าฟันกัน ไม่ใช่ๆก็ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีไง ถึงว่าแหมๆ...เลยนะ ดูได้หลายๆอย่าง

    ก็ดูซี ดูชาวพุทธปฏิบัติ เป็นชาวพุทธ พุทธยังไง เวลาทำนะ เวลาพระปฏิบัติดีปฏิบัติงามน่ะก็ไม่ชอบ เพราะมีระเบียบคำว่า “พระ” ฟังสิ ต้องมีวินัย มีข้อวัตร วัดไม่ร้าง คนร้างก็เหมือนคนบ้าไม่มีสติ พระจะดีต้องมีพระธรรมวินัย เครื่องบังคับ แล้วพอมีเครื่องบังคับก็ว่าพระองค์นั้นไม่ดียุ่งยาก ลำบากเขาก็เลยรู้ว่าตรงนี้เป็นช่องว่างของกิเลส เขาก็เลยจัดระเบียบให้ง่าย ให้สะดวก จะมาจะไปต้องเอารถไปรับ พอมาถึงก็ต้องรับรองกันอย่างดี

    ทางนั้นก็พอใจกิเลสก็พอใจ ก็ควักเงินให้เขา พระได้มาด้วยความคิดของตัวนะ มันได้มาง่ายได้มามาก พอเงินเข้าไปได้มาก ความอุดมสมบูรณ์มากมันก็จะแถออกไปนอกเรื่องล่ะ เนี่ย กิเลส เข้ากับกิเลสไง นั่นล่ะมันจะเป็นรูปนั้นออกไปล่ะ นั่นถึงว่าให้เทียบมาเรื่องศาสนาไง ถ้าเทียบอย่างนั้นปั๊บจะเห็นความดีของเราเลย เห็นวาสนาของเราเลย หนึ่งในร้อย หนึ่งในล้าน หนึ่งในพันล้านเลยนะ เพราะจิตนี้ไม่ใช่เฉพาะแต่มนุษย์ “3 โลกธาตุ” ฟังสิ... ถึงจะเปรียบเทียบเป็นหนึ่งในพันพันล้าน

    ฉะนั้น เราทั้งหลายควรภูมิใจที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา เอวัง...


    <CENTER>จบ...การพิจารณาจิต พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์สงบ มนัสสันโต
    จากหนังสือ ปลูกดอกบัวที่ใจ

    </CENTER>
    ;aa24​
    <!-- End main-->
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขออนุโมทนาในธรรมทานกับผู้พิมพ์เผยแพร่

    คัดลอกจาก บล็อกท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ

    ขออนุโมทนาครับ

    ;aa24
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><THEAD><TR><TD class=tcat colSpan=2>เฉพาะคนที่เป็นสมาชิก ได้อ่านกระทู้นี้แล้ว ในช่วงเวลา 180 วัน จำนวณ 3 คน (Set) </TD></TR></THEAD><TBODY id=collapseobj_thread_readers><TR><TD class=alt1 colSpan=2>Tboon, ธรรมภูต*</TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีครับ ท่านทีบูน
    มาประจำการแต่เช้าเลยนะครับ
    มีข้อคิดเห็นอะไร เชิญนะครับ

    ;aa24
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ฯ

    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรมแล้ว
    ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ฯ

    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว
    ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นไฉน ฯ

    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
    มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าว่า
    ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป
    ดังนี้เวทนา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา
    ดังนี้สัญญา ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่งสัญญา
    ดังนี้สังขาร ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร
    ดังนี้วิญญาณ ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ

    ดูกรผู้มีอายุทั้งหลายสมาธิภาวนานี้ อันภิกษุอบรมแล้ว
    ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ฯ

    84000.org/tipitaka/read/v.php?B=11&A=4501&Z=7015&pagebreak=0

    ;aa24
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มองภาพรวมแล้วจึงมองละเอียด มองละเอียดแล้วจึงมองภาพรวม ว่าสมบูรณ์หรือยัง
    อนุโมทนาครับ
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่

    [๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพีณ ที่นั้นแล
    ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
    ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา
    ด้วยมรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้น มรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ

    ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น
    เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด
    ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
    เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
    ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
    เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
    ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
    เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
    ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป
    เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด
    ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
    เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
    ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

    //www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0

    ;aa24
     
  17. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    ธรรมบรรยายของพระอริยสงฆ์ลึกล้ำเกินพรรณา

    สาธุ..อนุโมทนา กับผู้นำมาเผยแพร่

    ขอให้เจริญในธรรมปฏิบัติภาวนากรรมฐาน
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

แชร์หน้านี้

Loading...