กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ^บัวหลวง^, 22 ตุลาคม 2009.

  1. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    [​IMG]


    ปัญหา มีพุทธศาสนิกชนบางพวกเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นฆ่า ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.....”

    ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)
    ตบ. ๑๓ : ๔๘-๔๙ ตท.๑๓ : ๑๓ : ๔๗
    ตอ. Mls. Ii : ๓๓

    1. เนื้อที่ได้ยิน เช่น ได้ยินชาวบ้านเขา สนทนากันว่าจะมีการฆ่า หมูตัวนั้นตัวนี้ เพื่อถวายพระคุณเจ้า เป็นต้น...แบบนี้ห้ามรับประเคน
    2. เนื้อที่ได้เห็น เช่น เห็นไก่วิ่งเล่นอยู่ สักครู่เดียวได้ยินเสียงมันร้องด้วยความเจ็บปวด สักครู่กลายเป็นต้มยำไก่ มาถวาย...แบบนี้ก็รู้อยู่แล้วเพราะเมื่อกี๊ก็เห็นมันอยู่ แต่ก็ตายเพื่อมาเป็นอาหารแก่ตนโดยเฉพาะ...ห้ามรับประเคน
    3. เนื้อที่ตนรังเกียจ ก็คือ เนื้อที่ตนเองรังเกียจด้วยเหตุแห่ง 2 มูลเหตุ ใน 2 ข้อแรก

    พระสังฆราช เคยปรารถเรื่องการกินเจกับพระราชินีว่าคนไทยเข้าใจผิดอยู่มาก

    การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆไม่ได้บุญครับ

    อธิบายคือ---เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด(จิตนาการ)ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า---
    เปรียบได้กับ---เรานั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด(จิตนาการ)ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา---

    บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆคิดๆไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง
    กินเจ บุญที่เราช่วยชีวิตสัตว์ (มี2ข้อคือ 1.ช่วยมัน 2.ไม่ทำร้ายมัน) ก็ไม่เกิด เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง เป็นเพียงคิดไปเอง

    พระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์
    พระพุทธเจ้าปฎิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
    1.เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
    2.พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
    3.อนุญาติในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน

    [​IMG]

    การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่
    การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็นบุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย
    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ

    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
    ๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
    เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติ คือ รับประทานแต่พืชผักเป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา
    ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิตไม่กินเนื้อสัตว์เลย

    การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?
    การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
    ๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
    ๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
    ๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
    ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

    เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

    มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
    “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
    “บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

    การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้...ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย...

    หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า

    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ที่มา:
    http://larnbuddhism.com/webboard/forum8/thread1417.html
     
  2. PhraEkk

    PhraEkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +233
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ขออนุโมทนาสาธุ...ครับ ทำให้พุทธศาสนิกชนหายจากข้อสงสัยและได้รับความรู้ดีมากครับ
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,649
    ช่วงนี้กินเจกันมาก....กระทู้เรื่องเนื้อสัตว์มากเป็นพิเศษ....

    โมทนาสาธุธรรมครับ....
     
  4. jameskungz

    jameskungz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +26
    เป็นคนนึงหะ ที่ไม่กินเจ

    สำหรับผม เนื้อมันก็คือมวลสารจากสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว เท่ากับว่าไม่มีเจ้าของ ไม่มีชีวิต สามารถกินได้โดยไม่บาป เพราะเราก็ไม่ได้ไปเอาชีวิตเขา อย่างงี้ผมเข้าใจถูกรึเปล่านะ? แต่ผมเชื่ออย่างนี้มานานพอสมควรแล้ว
     
  5. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    เรื่องกินเจ (จากประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

    ในระหว่างที่ท่านหลวงปู่มั่นกำลังพักฟื้นไข้อยู่ที่ตำบลป่าเปอะนี้ พระอาจารย์อุ่น กลฺยาณธมฺโม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เดินทางมาพร้อมคณะญาติโยมหลายคนล้วนแต่มีบรรดาศักดิ์ ได้ร่วมกันเข้าไป กราบเรียนท่านถึงเรื่องการกินเจ คล้าย ๆ จะมาชวนท่านให้กินเจเหมือนที่ตัวเองกิน แล้วก็พูดว่า

    การกินเจดีอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่กินเจเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ คล้ายจะมาสอนท่านว่า พวกตัวเองรู้ฉลาดการกินเนื้อเป็นเหมือนเปรตเหมือนผี ใครกินเนื้อเป็นเปรดผี เป็นคนชั่วในสายตาคนกินเจหมด

    ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความถึงใจ เพื่อสอนลูกศิษย์ไม่ให้ลุ่มหลงมองอะไรด้านเดียว โดยไม่พิจารณาใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน เป็นเชิงสอนที่คมคายมากว่า
    "อ้อ!...อุ่นท่านจะเอาอย่างนี้หรือ? คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกิน เพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องขั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
    พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไร ๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว
    ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลย เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน
    ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก
    วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้า เต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา

    ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
    ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา

    ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรอง ๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก"
    เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบ ๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่า เหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผล ที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความาจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป


    ที่มา:
     
  6. PhraEkk

    PhraEkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +233
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ขออนุโมทนาสาธุ...ครับ ทำให้พุทธศาสนิกชนหายจากข้อสงสัยและได้รับความรู้ดีมากครับ ขอให้ทุกท่านคิดดี ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส(บริสุทธิ์) ดังคำเทศนาของหลวงปู่ที่ว่า "คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน"
     
  7. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    _ ๑.ทานมัย...โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ชอบที่จะกินเนื้อสัตว์มากกว่าพืช
    ที่นี้ลองมาดูว่าถ้าเรามีเงิน เราย่อมใช้เงินนั้นตามใจของเจ้าของเงิน ฉะนั้น
    เราย่อมต้องใช้เงินจำนวนนั้น ซื้อเนื้อสัตว์มาทานแน่นอน แต่ถ้าเราบังคับใจตัว
    เองไม่ให้ซื้อเนื้อสัตว์ ซึ่งเนื้อสัตว์ที่ว่าเราย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ผ่านการฆ่า
    มาเพื่อ สนองความต้องการของลูกค้า เรากลับใช้เงินจำนวนนั้นไปซื้อพืช
    ผักแทน การทำเช่นนี้ก็เปรียบเสมือน การให้ทานแล้วละครับ
    _ ๒.สีลมัย...การรักษาศีลข้อนี้คือการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ คนที่ทานเนื้อ
    ส่วนใหญ่จะใช้ข้ออ้างว่า เป็นแค่คนซื้อไม่ใช้คนฆ่า แต่ถ้ามาคิดมุมกลับ
    กัน เราไม่คิดจะกินหรือซื้อ พ่อค้าจะเอาสัตว์ที่ผ่านการฆ่ามาขายไหม
    สมมุติว่า มีลูกค้าอยู่สามคนที่ซื้อปลาพ่อค้ากินประจำคนละตัว เท่ากับว่า
    พ่อค้าจะต้องฆ่าปลาวันละสามตัว แต่มาวันหนึ่งมีลูกค้าคนหนึ่งมาบอกว่า ไม่มี
    ความต้องการปลาแล้ว ลองคิดดูว่าพ่อค้ายังจะฆ่าปลาสามตัวหรือไม่
    พ่อค้าคงต้องลดจำนวนลงเหลือสองตัว แบบนี้เท่ากับเราไม่ได้มีส่วนฆ่าปลา
    ตัวที่สามแล้ว นี้แหละครับสีลมัยการรักษาศีลข้อ๑(ปาณาฯ)
    ......เรื่องการปฏิบัติ เรื่องศีลธรรม อย่าเอาคนกับสัตว์ไปเปรียบกันมันคนละ
    เรื่อง จิตของคนกับสัตว์แตกต่างกัน ธรรมะจัดสรรไว้ แล้วยังมีกฎแห่งกรรม ภพ
    ชาติคอยกำกับอีกด้วย








    รบกวนจขกทจะโพสท์อะไร กรุณาดูว่าข้อความขัดแย้งกันเองหรือเปล่า อย่าง
    เช่นข้ออ้างอิงสองข้อด้านข้างบน


    ขอเสนอแนะจขกทด้วยความเคารพ การตั้งกระทู้หรือแสดงความเห็น ถ้า
    เราใช้วิจารณญาณแล้วเห็นว่า เป็นกระทู้ที่เชื่อได้ว่า จะต้องมีความเห็นแย้ง
    หลากหลาย ไม่สมควรนำคำสอนของพระสงฆ์มาลงในความเห็นตนเอง
    เพราะอาจทำให้กระทบถึงท่าน และจะทำให้ผู้อื่นมีบาปโดยไม่ตั้งใจ
     
  8. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    การโพสต์อะไรนั้นก็ต้องดูตามความเหมาะสมค่ะ คำสอนของพระอรหันต์และพระพุทธเจ้านั้นเชื่อถือได้มากกว่าความคิดเห็นของปุถุชนอยู่แล้วค่ะ คงไม่มีใครเก่งเกินพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ การจะเชื่ออะไรก็ต้องใช้โยนิโสมนสิการ ใช้ปัญญาพิจารณา..สิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์สอนไว้มีหมดแล้วค่ะ...ลองไปศึกษาดู ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อค่ะ
     
  9. ^บัวหลวง^

    ^บัวหลวง^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +661
    ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์(โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม :


    <TD>" เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว


    คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า



    <CENTER>"เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    </CENTER>เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อ
    สัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...


    ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ</B> เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า
    ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน
    ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต
    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล
    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้
    เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้

    เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ
    ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า
    ๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ
    ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    "ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส"

    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ
    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ
    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ
    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ
    ๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ
    เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อานิสงส์ปัจจุบัน คือ

    ๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว
    ๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย
    ... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
    "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์"
    หลวงปู่แหวนท่านบอก
    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ

    ๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง
    ๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง
    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน "

    <TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>ผู้ถาม : <TD>" ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "

    </TD><TR vAlign=top><TD align=right width=68>หลวงพ่อ : <TD>" อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน


    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน
    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น "



    ที่มา
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,649
    ความจริง....ย่อมเป็นความจริง......ความจริงย่อมไม่กลัวการพิสูจน์....

    เหมือนทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟฉะนั้น.....
     
  11. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,132
    พระพุทธองค์ พระอริยสงฆ์ ท่านตรัสท่านกล่าวเอาไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว

    ขอบคุณคุณ บัวหลวง ครับ

    กินเนื้อสัตว์ไม่บาป ตามที่ต้นกระทู้กล่าวไว้ แต่กินผักเยอะ ๆ ดีต่อสุขภาพร่างกาย

    .
     
  12. lekjung13

    lekjung13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2009
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +376
    กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่ ???
    ...ไม่บาปค่ะ ไม่มีใครบังคับว่าห้ามกิน...
    ...แต่บุญกุศลจากการละเว้นเนื้อสัตว์นี้
    ...คุณไม่ได้...

    .........................

    เปรียบเสมือนการทำบุญตักบาตร
    ...ถามว่าไม่ทำ บาปไหม???...
    ก็ตอบว่าไม่บาป...เพราะไม่มีใครบังคับ
    ว่าคุณต้องตักบาตร...
    และก็เช่นกัน...บุญกุศลตรงนี้คุณก็ไม่ได้

    .......................

    ไม่บาป แต่ไม่ได้ไงค่ะ....

    .......................

    ทำเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น

    .......................
    มีจิตใจเหมือนกัน แต่ต่างกันแค่กาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2009
  13. sassyblue

    sassyblue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +52
    สาเหตที่พระพุทธเจ้าไม่ห้ามเพราะเกรงว่าอนาคตจะไม่มีผู้สนใจฝักใฝ่พุทธศาสนาเนื้องจาก
    ยากเกินที่จะละเนื้อ มองว่ากินเนื้อไม่บาปไม่ผิด แต่มองว่าควรกินต่อไปไม่ถูกนัก อย่าพยายามหาข้อดีของการกินเนื้อเลยเราก็เห็นๆกันอยู่ว่า มันเบียดเบียน ฝึกกินมังกันเถอะฝึกไปเรื่อยๆ
     
  14. sassyblue

    sassyblue Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +52
    จิตใจสำคัญที่สุด เรากินเนื้อไม่บาปเพราะว่าจิตใจเราไม่มีส่วนในการเค่นฆ่า
    ไม่ได้ยิน ไม่เห็น นั้นก็คือเราไม่ได้สัมผัสถึงอารมเค่นฆ่า จิตวิญญานเราจึงไม่หนักไปกว่าเดิม
    แต่ทุกวันนี้เราก็รับรู้เห็นและสัมผัสมันอยู่ดี
    เรารู้ที่มา นั้น ยังกินคือจิตเรามีเมตตาไม่พอที่จะหยุดการกิน เราต้องฝึกจิตให้มีเมตตา มากๆๆ
     
  15. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช้นักมังสวิรัติหรือพวกกินเจ การกิน
    ของผมกินด้วยเหตุและผล เมื่อเด็กพ่อแม่เคยสอนไว้ว่า วัวควายสัตว์ใหญ่
    มีบุญคุณทำงานให้เราอย่าไปกินมัน ส่วนหมูผู้ใหญ่เคยพาไปโรงฆ่า เคย
    ได้ยินเสียงหมูร้องด้วยสัญชาติญาณว่าจะต้องตาย มันเป็นเสียงที่โหยหวน
    มาก นับแต่นั้นก็เลิกกินหมู ส่วนสัตว์อื่นก็กินบ้าง แต่กินโดยยึดหลักการ
    ปฏิบัติ คือกินโดยปราศจากความโลภ(ความอยาก) กินเนื้อน้อยกินผักมาก
    ........ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจขกทถึงตั้งกระทู้นี้ขึ้น ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วง
    เทศกาลกินเจ ไม่ทราบว่าจขกทมีจุดมุ่งหมายอะไร มีวัตถุประสงค์ดีหรือ
    ไม่ดีต่อเทศกาลนี้หรือไม่ เทศกาลนี้แสดงให้เห็นถึงศรัทธาของคนกลุ่มหนึ่ง
    ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็บอกว่า ศรัทธาของเขาเหล่านั้นคือ ศรัทธาในความดี
    ความมีเมตตา ส่วนเรื่องว่าจะถูกจะผิดจากหลักคำสอนอะไรนั้น มันไม่ใช้
    ประเด็นสำคัญ เพราะพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
    เราอย่าชี้นำเลยครับว่า สิ่งที่เราทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำ แล้วไปเหมาเอาว่า
    สิ่งนั้นผิดเพราะผิดจากหลักคำสอนที่ท่านนำมากล่าวอ้าง
    .......อีกเรื่องครับที่จขกทนำเอาคำว่า โยนิโสมนัสสิการ มาสอนผม ผม
    เลยอยากทราบไว้ เพื่อเป็นกรณีศึกษาว่า ในกระทู้นี้จขกทใช้โยนิโสมนัสสิ
    การ ในช่วงไหนตอนไหนของกระทู้ครับ รบกวนช่วยอธิบายด้วย
    .......ในส่วนของผม ผมมั่นใจว่าผมได้ใช้โยนิโสมนัสสิการแล้ว ใช้ตอน
    ไหนอย่างไรขออธิบายดังนี้ครับ ก่อนอื่นเราต้องมาดูความหมายของคำว่า
    โยนิโสมนัสสิการว่ามีความหมายอะไร
    โยนิโสมนัสสิการ การทำในใจโดยแยบคาย , กระทำไว้ในใจโดยอุบายอัน
    แยบคาย , การพิจารณาโดยแยบคาย คือ พิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงโดยสืบ
    ค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัว
    สภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศล
    ธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่ง จะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา , ความรู้จัก
    คิด , คิดถูกวิธี
    </B>จะเห็นได้ว่าถ้าผมอ่านในกระทู้ของท่าน(ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลของท่าน) แล้วเชื่อ
    เลยมันก็จบ แต่นี้ผมใช้โยนิโสฯมาอธิบายแก้ต่างให้ผู้ที่กินเจ ซึ่งมีข้อมูล
    บางช่วง กล่าวถึงเรื่องทาน เรื่องศีลว่า ผู้ที่กินเจไม่ได้ธรรมสองข้อนี้
    ผมก็พยาชี้ให้เห็นถึงเหตุและผล แยกแยะที่มาที่ไปให้เข้าใจ กรุณาดูความ
    หมายของโยนิโสฯประกอบไปด้วย ถ้าจะให้ดีช่วยย้อนไปดูความเห็นเก่าผมด้วย
    ......แล้วการที่ท่านกล่าวว่า"คำสอนของพระอรหันต์และพระพุทธเจ้านั้น
    เชื่อถือได้มากกว่าความคิดเห็นของปุถุชนอยู่แล้วค่ะ คงไม่มีใครเก่งเกิน
    พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ "
    ประโยคข้างบนนี้ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า สถานะของท่านกับของปุถุชน แตก
    ต่างกัน สถานะของพระอรหันต์หรือพระสงฆ์ ไม่มีสิทธิเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ
    เพราะมีพระวินัยคอยกำกับอยู่ มีบางครั้งสงสัยว่า บางอย่าห้ามแต่ทำไม
    ทำได้ เราก็ต้องไปดูในข้อธรรมอื่นที่อยู่สูงขึ้นไป อย่างเช่นทำไมพระสงฆ์
    ฉันเนื้อสัตว์ได้ ก็เพราะมีวินัยที่สูงกว่ากำหนดไว้ว่า พระสงฆ์ต้องบิณฑบาตทแต่
    อย่างเดียว และจะต้องฉันของทุกอย่างที่ได้มา ฉะนั้นพระสงฆ์จึงไม่มีสิทธิเลือก
    ครับ ยิ่งเป็นพระอรหันต์ท่านจะไม่เลือกเลย เพราะใจท่านปราศจากจิตที่เป็น
    อกุศลแล้ว
    .......อย่าลืมนะครับพระธรรมของพระพุทธเจ้ามีถึง๘๔๐๐๐ เราต้องคำนึงถึง
    ด้วยว่า ธรรมใดควรใช้กับ สถานะ กาละเทศะใด
    ปูถุชนเป็นสถานะของการปฏิบัติ มีสิทธิที่จะเลือกทำอะไรตามแต่ปัญญาของแต่
    ละคนไป ปัญญาที่ว่านี้คงไม่เกินไปจากความดี ความไม่ดีหรอกครับ
     
  16. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,132
    พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเป็นที่พึ่ง

    การที่ชาวพุทธกล่าวคำขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งนี้ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐด้วยพระคุณ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เมื่อชาวพุทธกล่าวคำระลึกถึงพระพุทธเจ้าดังนี้แล้ว จะทำให้เกิดศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ

    **********************************************

    เมื่อข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเป็นที่พึ่งสูงสุด พระพุทธองค์ตรัสสิ่งใด

    ย่อมถูกต้อง ย่อมเป็นไปตามนั้น ข้าพเจ้าเชื่อมั่นผู้ที่รู้ที่สุดในโลก

     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ข้าพเจ้ายึดมั่นพระรัตนไตยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ธรรมใดที่เป็นพระธรรมของพระ
    พุทธเจ้าอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าเชื่อมั่นที่สุดในโลก แต่ถ้าธรรมใดที่ถ่ายทอด
    มาจากปุถุชนที่ไม่ใช่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และยิ่งถ้าเป็นการถ่าย
    ทอดเพื่อมาสนับสนุน การกระทำของตนเองว่าเป็นสิ่งที่ถูก เราๆท่านๆ
    ควรใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าในหลัก กาลามสูตร มาพิจารณาในสิ่งที่นำ
    มาถ่ายทอดนั้นๆ
    .......บางท่านกล่าวว่า เชื่อในพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่เหตุใดจึงไม่
    เอาพระธรรมมาพิจารณาในการกระทำนั้นๆ ธรรมที่สามารถอธิบายได้ทุกเมื่อก็
    คือ อริยสัจสี่ หรือกล่าวง่ายๆก็คือ เมื่อมีเหตุก็ย่อมมีผล
    .......หลักของการพิจารณา บางครั้งต้องใช้ โยนิโสฯเพื่อหาให้ถึงเหตุที่
    แท้จริง แต่เท่าที่สังเกตุดู บางท่านยกเอาพระธรรมมาเป็นบางส่วน ซึ่งเป็นการ
    ผิดในตัวบุคคล ธรรมท่อนนี้เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้า ขณะที่
    พระองค์ทรงสอน เป็นการสอนของเหล่าสาวกที่เป็นพระภิกษุล้วนๆ
    มิได้เป็นการสอนฆราวาสอย่างเราๆ ซึ่งสาเหตุที่มาที่ไปก็เคยกล่าวแล้ว
    ว่า ภิกษุต้องบิณฑบารตหรือเป็นผู้ขอ ดังนั้นพระองค์จึงทรงตั้ง
    วินัยดังกล่าวขึ้น เพื่อให้เป็นแก้วินัยเบื้องต้นให้เป็นเหตุและผลต่อกัน
     
  18. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    หลวงปู่ท่านบอกว่า

    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"
    "คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน"

    คำทุกคำที่ออกมาจากปากของ พระสงฆ์หรือพระอรหันต์ คำนั้นล้วนเป็นการสั่ง
    สอน ให้นำคำสอนนั้นไปปฏิบัติ โดยใช้แนวทางนั้นๆ ส่วนในรายละเอียดบุคคล
    ย่อมต้องใช้ปัญญาของตนเอง
    ......อนึ่งถ้าคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ถ้าถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการ
    กระทำของตนเอง คำนั้นๆจะกลายเป็นคำ ส่อเสียดว่ากล่าวในทันที่ ซึ่งการ
    กระทำนั้นมันผิดจากจุดประสงค์ ของครูบาอาจารย์
    .....เพื่อเป็นการบูชาครูบาอาจารย์หลวงปู่ จึงขออธิบายคำสอนของหลวงปู่
    เพื่อมิให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจในคำสอนของหลวงปู่ นำไปใช้อย่างผิดๆ
    ......"ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"
    ความหมายของคำๆนี้หมายถึง วัวควายมันเป็นสัตว์ที่กินหญ้า แต่มันไม่รู้
    จักการปฏิบัติ ไม่รู้จักแยกแยะกุศล อกุศลว่าเป็นอย่างไร
    ฉะนั้นประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า การกินต้องกินอย่างมีสติ ต้องปฏิบัติควบคู่
    ไปด้วย
    ....."คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน"
    เห็นท่าจขคหนี้ จะมีความเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก ท่านคงเข้าใจว่าการกินก็การ
    กินไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ
    ......การจะปฏิบัติตามคำสอนใดนั้น เราต้องพินิจวิเคราะค์ด้วยว่า ครูบา
    อาจารย์ ท่านต้องการสื่อถึงอะไร ส่วนใหญ่นั้นพระอรหันต์หรือครูอาจารย์ จะ
    สอนสิ่งใดท่านมักจะกล่าวเป็นประโยคสั้นๆ เพื่อที่จะได้ให้ผู้ที่ได้รับการสั่งสอน
    ใช้ปัญญาของตนเองในการปฏิบัติ เพราะการจะไปนิพพานได้นั้น ต้องเกิดจาก
    ปัญญาและจิตของตนเอง ไม่ใช้จากการอ่านหรือฟังแต่อย่างเดียว
    ......ผมขออธิบายสั้นๆให้เจ้าของความเห็นเข้าใจว่า การกินเกี่ยวข้อง
    กับการประพฤติ ซึ่งในทางธรรมเรียกว่าการปฏิบัติอย่างไร
    การกินนั้นเกี่ยวข้องไปหรือขึ้นอยู่กับจิตโดยตรง คืออกุศลและกุศล
    ....อกุศลที่ว่านี้ก็คือ ความโลภ(ความอยาก)ที่ต้องการกินอาหารที่มีรสชาติ
    อร่อย กลิ่นหอมชวนกิน ทำให้เกิดโมหะ(หลง)ปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ ตรง
    ข้ามถ้าเราไม่พอใจในรส กลิ่น รูปของอาหารเขาเรียกโทสะ(โกรธ) สิ่งที่กล่าว
    มานี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ
    .....ฉะนั้นเราจึงต้องมีสติในการกินให้มาก สิ่งที่ว่านี้เป็นกุศล กินเพื่อให้สังขาร
    สามารถปฏิบัติธรรมได้เท่านั้นพอ
     
  19. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306

    ตอบได้เข้าท่าดีนี่ ทั่น บุญพิชิต
    อืม...เพื่อเห็นแก่ คนบางคนไปพลัดหลงไปโพสเพิ่มเรทติ้ง
    ที่กาทู้
    "เมื่อ-พุทธ-ตามทะเบียนบ้าน-ริอ่าน-มาเล่า-เรื่องรากเหง้าของศาสนา"
    ของอิฉัน เมื่อ หลายเดือนก่อน
    อิช้านจะ ช่วยเลคเชอร์ยาว ๆๆๆๆๆ
    ให้ ชาวบ้านฟัวเป้น วิทยาทาน ช่วยคุณล่ะกัน หุหุ


    --------------------------------------

    อืม... ฟัง คุณบัวหลวง ปาฐกถา แล้ว
    มานั่งฟัง คุณ บัวน้อย เอ๊ย บัวเหล่าที่ 5 เทศนา มั่ง ก็แล้วกันเนอะ
    ช่วงนี้กะลัง คันเขี้ยว อยากกัดชาวบ้าน อยู่พอดี หุหุ

    อันเรื่อง กินเนื้อสัตว์ บาป ไหม นั้น
    มันก็มองได้หลายมุมนิ บาปก็ได้ ไม่บาปก็ได้
    แล้วแต่จริตและวิธีคิด มั้ง อิอิ

    ถ้าไปถามพ่อค้าเนื้อก็จะได้คำตอบอย่างนึง
    ถ้าไปถาม แม่ค้าผัก ก็จะได้คำตอบอย่างนึง
    ตานี้ มันก็ขึ้น อยู่กับ ผู้บริโภค อย่างคุณกระมัง
    ว่า จริตคุณมันเอนเอียงไปทางไหน ?
    ปุจฉาถามไปเพื่ออะไร

    ถามเพื่อให้สบายอกสบายใจ
    และดูชอบธรรมขึ้นมามั่ง
    กับการกินเลือดกินเนื้อของชีวิตอื่นงั้นหรือ
    ไม่งั้นก็ ถามเพื่อให้ตัวเองดูเป็นเทวดาขึ้นมาจากการกินผักกินหญ้า ?
    ระวังเด้ออออ เจ้าตัวมานะ น่ะ มันไม่ได้เกิดเพราะ ปริยัติ อย่างเดียวเน้อ
    จะ กิน เนื้อหนังมังสา หรือ กินผักกินหญ้า
    ถ้าไม่ระวัง เจ้ามานะมันก็ กระโดดเกาะหัวได้เสมอแหละ อิอิ

    อิฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไม สมณะโคดม
    ถึง ปฏิเสธ คารม เทวทัต บอกปัด การกิน มังสวิรัติ
    แต่ถ้า เทวทัต ทะลึ่งมาถาม อิฉัน เรื่องนี้
    อิฉันจะตอบไป อีตาเทวทัต ไปว่า

    " ดูกร เทวทัตเอ๋ย ภิกษุ แปลว่า อันใด ฤา
    ขนาดข้าว ภิกษุนั้นยังต้องไปเดินขอชาวบ้านเขากิน
    ควรหรือ ที่จะต้องมา เลือกสุกเลือกดิบ สารพัด
    ให้ชาวบ้านผู้เอื้อเฟื้อเขาอึดอัดลำบากใจ
    กับการขอโดยสงบของผู้เป็นสมณะ

    ดูกร เทวทัตเอ๋ย อาหาเรปฏิกูลสัญญา นั้นเป็นไฉน
    หากท่าน เห็นจริง ในเรื่องนี้อย่างแจ้งใจ
    ท่านคงไม่มาทูลขอเรื่อง การกินมังสวิรัติ หรอกกระมัง "

    และ หาก อีตาเถรเทวทัต ฟังแล้วยังไม่ get กับคำบาลี ในตะกร้า สามใบ
    อิฉันก็จะยก ตัวหนังสืออินเตอร์ของกวีชาวอาหรับ
    มาเลคเชอร์ให้ฟัง เถรฯทั่นเห็นดวงตาธรรม ดังนี้

    http://olddreamz.com/bookshelf/prophet/ppcontent1.html#6

     
  20. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ส่วนอันนี้ เล่าให้ฟังเกี่ยวกับ
    การกินผักกินหญ้า และ การกินเลือดกินเนื้อ
    ของนู๋บัว( เหล่าที่ 5 ) ลองอ่านดู แล้วใช้ วิปัสนาญาณ
    ตอบเอาเองละกัน ว่า อันไหนมัน บุญ อันไหน มันบาป

    กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา
    , กะตะเม ธัมมา กุสะลาฯ ...ชะเอิงเอย อิอิ

    การทานเจทำให้สำเร็จธรรมได้หรือไม่ ?

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8441205/Y8441205.html#15
     

แชร์หน้านี้

Loading...