คลิปการเสวนาเรื่อง ..คาดการพิบัติภัยไทยกับการเตือนภัยและสร้างที่หลบภัยครั้งสุดท้าย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย apichayo, 18 กันยายน 2012.

  1. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ทุกเหตุการณ์ที่ว่ามานั้นจะเกิดเป็นระลอก ครับ

    เริ่มจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทั่วโลกซึ่งจะทำให้มีภัยพิบัติอื่นๆตามมา
    เช่น มหาสึนามิเข้าถล่มพื้นที่ต่างๆบนโลก

    ส่วนโลกหยุดหมุน 1 กึก ไม่น่าจะเป็นไปได้ไม่ว่าจะมองจากมุมใด มีคำอธิบายในเรื่องนี้มากมายลองไปค้นหากันเอง นะครับ

    วันฟ้าดับก็มีสาเหตุจากแผ่นดินไหวนั่นแหละ ครับ

    สงครามโลกถึงชั่วโมงนี้แล้ว ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะถ้าเกิดภัยพิบัติคงไม่มีใครมานั่งคิดเรื่องการสงครามเพราะมัวแต่เอาตัวรอดก่อนทั้งนั้น พอภัยพิบัติสงบลงก็พอดีกับตัวร้ายและประชากรของโลกวิบัติไปเหลือคณานับ แล้วอย่างนี้จะไปรบกับใครเพราะทั้งตัวเองกับฝ่ายตรงข้ามเหลืออยู่ไม่มาก

    วันนั้นผู้คนจะคำนึงถึงความดีงาม ความถูกต้อง มากกว่าจะมาแย่งชิงทรัพยากรกัน เพราะทุกฝ่ายเห็นความพินาศกันอย่างเต็มตาแล้ว ครับ

    แนะนำให้เอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ดีกว่า ครับ รู้อะไรแล้วไม่ลงทำก็เปล่าประโยชน์......:p
     
  2. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ท่านคิดตรงกับผมเลย ทุกอาชีพเลยครับพอเกิดเหตุแล้วทุกอย่างหยุดหมด เงินทองไม่มีค่า ข้าวปลาสิของจริง..
    ผมเลยต้องฝึกและเรียนรู้การทำนา กลางเดือนพฤศจิกา นี้ คงได้เกี่ยวแล้วครับ..อย่างน้อยก็ให้มีข้าวกินไว้ก่อน
    ครอบครัวและคนรอบข้างจะได้ไม่เดือดร้อนมาก กินไปด้วยแจกไปด้วยครับ ผู้คนแถวนี้ทำนากันเยอะ
    คิดว่าภาคอิสานตอนบน จะเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญแหล่งหนึ่ง และจะเป็นที่พึ่งให้กับผู้คนจากที่อื่นๆ ได้ด้วย ครับ..

    อนุโมทนาในธรรมกับท่าน nirvana ด้วยครับ..สาธุๆๆ
     
  3. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ถ้าเข้าไปดูแผนที่โลกใหม่ของ ไมเคิล สกัลเลี่ยน

    จะเห็นได้ว่าภาคอีสานประเทศไทยและลาวเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในทวีปเอเชีย ครับ

    ดังนั้นเราก็จะมีปัจจัยสี่ เพียงพอที่จะรองรับคนในชาติได้ทำให้เราเป็นประเทศที่ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนในประเทศอื่นๆ

    ประเทศใหญ่แต่ย่ำแย่ ผู้คนอดอยากจะเกิดสารพัดภัยพิบัติซึ่งที่แน่ๆคือ ภัยจากมนุษย์ด้วยกันเอง เพราะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันอุตลุด

    เราอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา สบายกว่าชาติอื่นอยู่แล้ว

    เพราะถ้าเรารักษาศีล ศีลก็ย่อมรักษาเรา งัยครับ :cool:
     
  4. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ
     
  5. DarkTanKun

    DarkTanKun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +392
    ถ้าหา อุปกรณ์ฉุกเฉิน วิทยุ ที่ชาร์จแบตเตอรี่ ไฟฉาย ใช้พลังงานไดนาโม และ โซลาร์เซล จาก Eton Scorpion

    ผ่านไปเห็นว่าตอนนี้ทาง

    http://overzeas.net/-eton-/592-eton-scorpion-shortwave-version.html

    ของเข้ามาเพิ่มแล้ว
    (ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ขายนะครับ)
     
  6. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ผมได้รวมเรื่องราวภัยพิบัติจากครูบาอาจารย์ และผู้รู้หลายท่าน ไว้ที่เดียวกัน
    เพื่อสะดวกในการค้นหา อ้างอิง เพราะข้อมูลคำทำนายต่างๆ กระจัดกระจาย
    อยู่หลายกระทู้ บางกระทู้ก็ตกเร็ว กว่าจะหาเจอก็นาน เอามารวมกันจะได้สะดวก
    แต่ก็เป็นเพียงบางส่วนไม่ครบทั้งหมด เพราะยังมีอีก ที่ยังค้นไม่เจอ..


    http://palungjit.org/threads/ศาสตร์...ทางโลกและทางธรรม-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ.362660/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ตุลาคม 2012
  7. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
  8. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ความสัมพันธ์ระหว่าง "วิปัสสนากรรมฐาน" กับ "ทางเลือกของสุขภาพ" ในช่วงกลียุค


    วิปัสสนากรรมฐาน หมายถึงแนวทางหรือวิธีการฝึกจิตให้เกิดปัญญา เพื่อถึงซึ่ง “ทาง” พ้นทุกข์ ด้วยอุบายใดอุบายหนึ่งตามความถนัดของครู อาจารย์ผู้สอน โดยยึดหลักตามกฎไตรลักษณ์ 3 อย่างให้ผู้ฝึกจิตได้มีโอกาสเห็นความเป็นอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง มีการเกิด-ดับ อยู่เป็นปัจจุบันขณะ หรือ ทุกขัง เห็นอาการของทุกข์ที่ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ได้เพียงชั่วคราวหรือ อนัตตา เห็นการสลายของทุกข์ เป็นความว่างเพราะไม่มีตัวตนที่ถาวร

    การฝึกปฏิบัติฯจะเป็นการเดินอ้อม เดินตรง หรือเดินทางลัดเป็นเรื่องของเทคนิคของแต่ละแนวทาง เป้าหมายสำคัญคือ พาลูกศิษย์ไปถึง “ทาง” ได้หรือไม่

    “ทาง” หรือ “สภาวะมรรค” เป็นสิ่งเดียวกัน มีอยู่แล้วในมนุษย์ปุถุชน และสรรพสัตว์ทั้งหลายหากแต่เพราะปุถุชนทั่วไปยังถูกขันธ์ 5 ครอบงำอยู่ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องสืบต่ออยู่ 6 ช่อง ทำให้ดับได้ไม่ทันตรงจุดเกิดเหตุ หรือตามไม่ทันการกระทบที่มีการเกิด-ดับ เร็วมาก กว่าจะรู้กลายเป็นว่าได้ไปหลงยึดติดในกิเลสเป็น โลภะ โทสะ โมหะไปเสียแล้ว

    ทั้งๆที่มนุษย์ควรจะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า “การเกิด-ดับ เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันขณะอยู่แล้ว เป็นแรงที่ส่งมาชนกระทบกับเครื่องสืบต่อทั้ง 6 ช่อง จึงมีพลังงานเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นแรงสืบต่อ (แรงสันตติ) ซึ่งมีลักษณะเป็นเพียงแรงรับ-แรงเหวี่ยง, แรงยืด-แรงหด เท่านั้น ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวของวงกลมเพราะไม่มีเจตนา”

    เมื่อมนุษย์พลาด ใส่เจตนาเข้าไปยึดแรงกระทบ มิหนำซ้ำยังนำไปปรุงแต่งเก็บไว้เป็นอารมณ์ คอยหลอกหลอนให้เวียนว่ายก่อภพก่อชาติไม่รู้จักจบสิ้น

    ถ้าครู อาจารย์ เคยรู้จัก “ทาง” ย่อมพาศิษย์ไปถึง “ทาง”ได้อย่างแน่นอน

    การฝึกปฏิบัติฯ จะสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าผู้ฝึกปฏิบัติฯไม่ได้ผ่านขั้นตอนโหดของสมถกรรมฐานก่อน สมถกรรมฐาน มีเป้าหมายเพื่อฝึกจิต ให้ “นิ่ง” อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เดียวได้นานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ(เปลี่ยนท่าฝึก) ทำให้จิตมีพลัง เป็นพื้นฐานของการฝึกปฏิบัติขั้นอื่นๆต่อไป หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น คือเป็นวิธีฝึกให้ “จิต” มีความอดทน เข้มแข็ง มีพลัง หากทำได้ รางวัลที่ได้คือความสะอาด สว่าง สงบและว่าง โดยที่มี “ใจ” เป็นผู้เสพตัวรู้ว่ามีความสะอาด สว่าง สงบและว่าง ซึ่งคุณธรรมในระดับนี้ยังเป็นระดับโลกียธรรม ย่อมมีของคู่ปรากฏให้เห็นเช่น ความสกปรก ความมืด ความวุ่นวายและความมีอยู่

    ผู้ฝึกปฏิบัติฯ ควรทิ้ง “แสงสว่างหรืออารมณ์ของใจ” ก้าวไปติดตามรู้เห็นการกระทบเป็นปัจจุบันขณะทิ้งแรงยึดเหนี่ยวของ “ใจ” ให้ได้

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ศึกษาพระพุทธศาสนาในเรื่องของ “จิตหลุดพ้น” ว่าย่อมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ “แรง” หรือ “พลังงาน” ในจักรวาลเสมอ เพราะแท้จริงแล้ว “กิเลส” เป็นพลังงานความเกิดที่ยังดับไม่หมด หากเมื่อผู้ฝึกปฏิบัติไปถึง “ทาง” แล้ว สสารจะไม่เคลื่อนที่ ร่างกาย (สสาร)จึงสัมผัสได้ถึงความเบาสบายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    มีเพียงพลังงานที่สั่นสะเทือน ตึ๊บๆๆ ตึ๊บๆๆ เท่ากับสันตติของจักรวาล (แรงของจักรวาล) ที่ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวของวงกลม (เป็นเพียงแรงสืบต่อที่เป็นแรงรับ-แรงเหวี่ยง, แรงยืด-แรงหด เท่านั้น เพราะผู้ฝึกปฏิบัติฯสามารถพ้นออกมาจากสันตติของใจที่มีแรงยึดเหนี่ยวของวงกลมได้แล้ว

    ดังนั้น “ทาง” เส้นนี้ จึงไม่มี “ใครเกิด ใครตาย” ทุกคนหมดเหตุ หมดปัจจัย มีแต่สภาวะ “ทาง” เท่านั้นเพราะพลังงานหมดสิ้นแล้ว พระพุทธองค์และเหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็อยู่ตาม “ทาง” นั้น เป็นสภาวะ“นิพพาน”

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ มีอุบายฝึกปฏิบัติฯเพื่อ “จิตหลุดพ้น” เข้าถึง”ทาง”ด้วยการใช้แรง 3 แรงคือแรงเฉื่อย, แรงเหวี่ยงและแรงดัน
    จิตหลุดพ้น มีความหมายว่า “จิต” พ้นไปจากแรงดึงของ “ใจ” เพราะ”ใจ มีแรงดึงดูดที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวของวงกลม แตกต่างจากแรงสืบต่อของจักรวาล หรือสันตติของจักรวาลอย่างสิ้นเชิง หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น คือแรงดึงของใจ มีเจตนาร่วม แต่แรงสืบต่อของจักรวาล สักแต่ว่าเป็น “แรง”

    1. แรงเฉื่อย เป็นอุบายของการสะสมแรงให้มีมากขึ้นๆ จนสามารถพลิกขันธ์ 5 ที่ครอบอยู่ให้หงายขึ้นหรือพลิกออกไป เป็นอุบายให้ “จิต” เคลื่อนที่ติดตาม รู้ เห็น การกระทบ (เจริญสติ) เห็นอาการเกิด-ดับ ที่เครื่องสืบต่อทั้ง 6 ช่องอย่างเป็นปัจจุบันขณะ เห็นว่าการเกิด-ดับ เกิดขึ้นสลับกันไป-มา เป็นสิ่งไม่เที่ยง ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เมื่อฝึกปฏิบัติฯจนชำนาญ เห็นการกระทบเกิดเร็วขึ้นๆๆ จนแทบจะต้านแรงไม่ไหว ให้ปล่อยวางทั้งการรู้ เห็นและการกระทบ จิตจะพลิกขึ้น

    การออกจากทุกข์ด้วยแรงเฉื่อยนี้ ถือเป็นอุบายหลักอุบายหนึ่งของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่สอนให้ผู้ฝึกปฏิบัติฯ รู้หลักของการเจริญสติ เพื่อให้เห็นอาการเกิด-ดับ เป็นปัจจุบันขณะ ตามกฎไตรลักษณ์ตัวแรก คืออนิจจัง ความไม่เที่ยง

    แต่เนื่องจากอิทธิพลความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกในกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่กำลังให้โทษแก่มนุษย์อย่างรุนแรงที่สุด จึงทำให้แรงยืด-แรงหด ผิดปกติไปด้วย การฝึกปฏิบัติฯเพื่อให้เห็นการกระทบที่เกิด-ดับๆๆ อยู่ตลอดเวลา ทำได้ยากยิ่งขึ้น อุบายของการเจริญสติ จึงต้องเปลี่ยนเป็นการดูกฎไตรลักษณ์ตัวที่ 2 คืออาการ “ตั้งอยู่” แทน

    2. แรงเหวี่ยง หรือการหมุนธรรมจักร เป็นอุบายเรืองปัญญาด้วยการวางจิตอยู่ระหว่างส่วนสุดโต่ง 2 ส่วนเมื่อจิตไม่ติดส่วนหนึ่งส่วนใด การเคลื่อนที่หมุนเหวี่ยงจะเกิดขึ้น เลียนแบบการหมุนของโลก ซึ่งจิตจะหลุดพ้นไปจากแรงดึงดูดของโลกได้ จำเป็นต้องมีการหมุนที่เร็วกว่า 1 วินาที เมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม สะสมความเร็วไว้เต็มที่แล้ว ให้ปล่อยวางการหมุน จิตจะเหวี่ยงพ้นออกมาจากการครอบงำของ “ใจ” เข้าถึง “ทาง”

    และด้วยเหตุผลเดียวกับข้อ 1 ที่ในขณะนี้เราแทบไม่สัมผัสกับแรงรับ-แรงเหวี่ยงเลย จึงทำให้การออกจากทุกข์ด้วย “แรงเหวี่ยง” ทำได้ยาก ได้แต่รอว่าเมื่อใดสภาพสมดุลของพลังงาน ที่มีทั้ง ยืด-หด รับ-เหวี่ยง จะกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง(ไหว นิ่ง ว่าง จึงคืนกลับมาแทน)

    3. แรงดัน เป็นอุบายให้วางจิตไว้ตรงกลางระหว่าง 2 ส่วน เช่น สมองกับใจ, ใจกับเวทนา, บาปกับบุญ, ขาวกับดำ ฯลฯ สะสมความเป็นกลางให้มากขึ้นๆๆ ความเป็นกลางอาจจะขยายใหญ่ขึ้นๆ จนระเบิด หรือขยายใหญ่ขึ้นจนสามารถทำลายได้ทั้งสองส่วน (พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสรู้ด้วยวิธีเดียวกันนี้ ท่านวางจิตไว้ระหว่างรูปกับอรูป) และด้วยเหตุผลเดียวกับข้อ 1 และ 2 อุบายวิธีนี้จึงฝึกปฏิบัติฯได้ยากเช่นกัน

    กลียุคหรือยุคเสื่อม ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ตามปกติของการวนรอบของสรรพสัตว์สิ่งที่ตกอยู่ภายใต้ความจริงแท้ของกฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เป็นธรรมดา การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกอย่างรวดเร็ว สลับที่กันระหว่างพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นแผ่นดิน 1ส่วน เคยเกิดขึ้นมานับจำนวนครั้งไม่ได้

    เนื่องจากอายุขัยของมนุษย์สั้นนัก ไม่เกิน 100 ปี แตกต่างจากพลังงานของชาวต่างดาวที่มีธาตุรู้อยู่นานเป็นหมื่นๆปี และเมื่อมนุษย์เวียนว่ายจากตายมาเกิดใหม่อีกครั้ง ระบบความทรงจำ (สัญญา)ได้ถูกทำลายไปตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของแม่ มนุษย์จึงจำอดีตที่เคยผ่านมาไม่ได้ นอกเสียจากบางคนที่ได้ฝึกจิตจนสามารถรู้อดีต รู้อนาคตและรู้การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต รู้เหตุและผล, เหตุและผลของแต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์ อย่างเป็นขั้นตอนโดยไม่ผ่านสัญญาของใจและสมองอย่างใดทั้งสิ้น

    ในเมื่อเรายังไม่สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ลองมาฟังเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ และโปรดใช้วิจารณญาณของแต่ละบุคคลไตร่ตรองกันอีกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตเมื่อประมาณ 2,500 ปีเศษ สมัยที่พระสมณโคดมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่มีพระประสงค์ต้องการเทศน์โปรดพระพุทธมารดา ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติเจ้าชายสิทธัตถะได้เพียง 7 วัน กำลังเสวยบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต (คาดว่าน่าจะรอเป็นพระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอีกครั้ง)

    ท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) อาสาเป็นแม่งานจัดเตรียมการต้อนรับ ใช้สถานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่า หากใช้สถานที่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เหล่าเทวดา นางฟ้า คนธรรพ์ จากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาคงไม่สามารถขึ้นไปฟังธรรมเทศนาได้ เพราะอยู่สูงเกินกว่าอำนาจบุญที่มีอยู่จะบันดาลให้ขึ้นไปได้

    ท้าวสักกะเทวราชมีลูกน้องเทวดา นางฟ้าทั้งหมด 33 กลุ่ม หัวหน้าของแต่ละกลุ่ม มีลูกน้องอีกกลุ่มละ 500 องค์การจัดสถานที่แสดงธรรมเทศนา โปรดพระพุทธมารดาในครั้งนี้เป็นการแสดงฤทธิ์ของคณะเทวดา นางฟ้า โดยใช้อำนาจบุญ (แสงสว่างสีเหลือง สีทอง สีขาว) เนรมิตสิ่งที่ต้องการใช้ในงานขึ้นมา

    เมื่อถึงวันนัดหมายพระพุทธองค์เสด็จไปถึงดาวดึงส์ในชั่วพริบตาด้วยกายทิพย์ (กายละเอียด กายพลังงาน) และท่านเทวดาเนรมิตถ้ำปิดบังซ่อนกายหยาบ พร้อมทั้งมีการป้องกันอย่างเข้มงวด (เพราะถ้ากายหยาบถูกจับต้องมีธาตุที่แตกต่างกันเข้าแทรกจะทำให้กายละเอียดกลับคืนสู่กายหยาบได้ยาก)

    พระพุทธองค์ใช้เวลาแสดงธรรมในครั้งนั้นนานประมาณ 45 นาที ตามเวลาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และนานถึง 3 เดือน ตามเวลาของโลกมนุษย์ (ช่วงเข้าพรรษา-ออกพรรษา พอดี) วันส่งเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ เหล่าเทวดาผู้มีฤทธิ์ต่างแข่งขันกันปล่อยแสงสว่างรัศมีจากกาย ความสว่างมีมากเหลือล้นจนสามารถเห็นได้ทั่วทั้ง 3 โลก (สรวงสวรรค์ มนุษย์โลกและบาดาลที่อยู่ของพญานาค)

    อานิสงส์ของการแสดงธรรมเทศนาในครั้งนั้น มีเหล่าเทวดา นางฟ้า บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันมากมายทีเดียว หากพวกเขาต้องการได้คุณธรรมที่สูงกว่าจนพ้นไปจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ พวกเขาต้องจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มีโครงสร้างที่ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จึงจะมีคุณสมบัติถึงพร้อมในการฝึกปฏิบัติธรรม
    ท้าวสักกะเทวราชและเหล่าเทวดาลูกน้องต่างปวารณาตนเองเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนายุคพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งมีอายุสืบทอดนานประมาณ 5,000 ปี ให้รอดพ้นจากยุคเสื่อม (กลียุค) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึง 5 ครั้งด้วยกัน

    เทวดาหลายองค์ได้รับอาสาขอลงมาจุติในโลกมนุษย์ตามวาระที่ต่างกัน เพื่อช่วยงานศาสนาในยุคเสื่อมคือจะทำหน้าที่สอน-บอก ธรรมะที่ถูกต้องแก่ชาวพุทธในยามที่คำสอนที่แท้จริงถูกบิดเบือน ผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้เรียกว่า องค์ธรรมิกราช (ผู้เป็นใหญ่ในธรรม) ยุคเสื่อมได้ผ่านไปแล้ว 2 ยุค องค์ธรรมิกราชองค์ที่ 3 คงจะได้ทำหน้าที่สมดังตั้งใจที่อาสา ในเวลาอีกไม่นานนัก

    กลียุคหรือยุคเสื่อม เกิดขึ้นเพราะ พลังงานเสื่อม จิตใจมนุษย์เสื่อมไปจากศาสนา เป็นช่วงทดเวลาพิสูจน์ความเข้มแข็ง อดทนของคนดี มีศีลธรรม เพราะรางวัลที่ได้คือโอกาสทองของการติวเข้ม การฝึกปฏิบัติธรรมหลังจากพ้นยุคเสื่อม (ความเป็นปกติคืนกลับสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง)


    ที่มา https://sites.google.com/site/ingdhamma/health14
     
  9. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ยามเกิดภัยพิบัติผู้มีเซลล์ดำรอดยาก
    ����

    บุคคลและกลุ่มคนที่จะมี%รอดสูง

    เสบียงบุญ (พระมหาชนกเตรียมเสบียงและกำหนดทิศก่อนเรือแตก)

    ๑) ทานมังสะวิรัติ (ข้อนี้ดูแนวโน้มแล้ว สันติอโศก นักเรียนโรงเรียนสัตยาไสของดร.อาจอง จะมี%รอดสูงเชียวละ)
    ๒) มีกิเลสเบาบาง (ถือศีลอุโบสถวันพระ เช่นพระมหาชนก)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>ทำไมถือศีลอุโบสถ จึงมี%รอดสูง?



    ข้อนี้จะสามารถอธิบายข้อแรกได้ด้วย
    เวลาที่สัตว์ใหญ่ๆ ใกล้ตาย แรงอาฆาตจะสูง เวลาจะตาย ก็จะเกิดอาการตกใจกลัวเมื่อคนจะเอาไปเข้าโรงฆ่า การกลัวตายนี้จะทำให้ร่างกายของสัตว์หลั่งสารเคมีชนิดหนึ่ง (แอ๊ดดีนาลีน หรือสารแห่งความทุกข์) ออกมากระจายไป ทั่วตามร่างกาย(ดีซ่าน) สารเคมีชนิดนี้ ความร้อนในการหุงต้มไม่สามารถทำให้สลายตัวได้ จึงส่งต่อไปที่คนกิน



    </TD><TD style="WIDTH: 300px" width=300>[​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อคนกินเนื้อสัตว์เข้าไป สารเคมีตัวนี้ก็จะเข้าไปสะสมในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ด้วย
    ทำให้เกิดความเศร้าหมองและเกิดโรคต่างๆตามมา (แรงกรรม)

    สารเคมีตัวนี้ จะทำให้เซลล์มีความทึบแสงเศร้าหมอง

    ซึ่งต่างกับคนที่ถือศีล กินเจ (มังสะวิรัติ) ซึ่งเซลล์ต่างๆในร่างกายจะสดใส ไม่เศร้าหมอง จนเราสามรถเห็นด้วยตา เช่นการเห็นว่า
    พระที่ท่านเมตตาสูงๆ ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ จะมีรัศมีของบุญและแสงออร่า

    ซึ่งตรงกันข้ามกับ คนที่กิเลสหนา โลภจัด โกรธจัด หลงจัด
    พวกนี้จะเศร้าหมองจากข้างใน เซลล์ถูกสารความเศร้าหมองครอบงำ(แรงกรรม)

    ขออธิบายเรื่องนี้ด้วย ผลการทดลองของ ดร.มาซารุ อิโมโต๊ะ เรื่องของผลึกน้ำที่เมื่อเราใส่พลังงานที่ไม่ดีลงในน้ำ เมื่อแช่เย็นตกผลึกแล้วภาพถายยังแสดงออกซึ่งความแตกต่างอย่างชัดเจน

    สรุปคือ เมื่อเซลล์ในร่างกาย มีความเศร้าหมองน้อย อาวุธเส้นแสงก็จะทำปฎิกิริยากับเซลล์ในร่างกายน้อยด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นที่มา เรื่องของความเชื่อเรื่องวันชำระโลก วันพิพากษา ของศาสนาต่างๆ ที่พระเจ้าจะเลือกให้คนดีอยู่ คนชั่วต้องตกนรก และมีศพลอยน้ำเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด

    สำหรับหลายๆท่านที่หมดข้อกังขาแล้ว เริ่มปฏิรูปการรับประทานอาหารเสียใหม่เสียตอนนี้ ยังพอมีเวลา

    สำหรับผู้ที่รับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ กรดอะมิโนจากโปรตีนของสัตว์ต่างๆ จะไวต่อรังสีแกมม่า ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยาพบว่า เซลล์ที่มีกรดอะมิโนจากเนื้อสัตว์ เมื่อสัมผัสกับรังสีแกมม่าที่มากับแสงอาทิตย์จะไหม้กลายเป็นสีม่วงคล้ำแล้วเซลล์จะเน่า

    วิธีแก้ไข ก่อนวิบัติกาลของโลกจะเกิดขึ้นเป็นเวลา 6 เดือนให้งดกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันรังสีต่างๆที่โลกเกิด Earth Wobble อยู่เป็นประจำ จึงเปิดโอกาสให้รังสีแกมม่าและอื่นๆลงมาบนผิวโลกบ่อยขึ้น และยิ่งเข้าใกล้วิบัติกาลของโลกมากเข้า โลกจะเกิด Severe Wobble โอกาสสัมผัสรังสีแกมม่ายิ่งจะมีมากขึ้น จึงเป็นอีกสาเหตุที่คนจะเสียชีวิต เนื่องเพราะเซลล์เน่านี่เอง
    back up data: จากคุณธัมมะอาสา

    ที่มา http://ainews1.com/article401.html



    http://palungjit.org/threads/ศาสตร์...ทางโลกและทางธรรม-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ.362660/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ตุลาคม 2012
  10. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการหลวงพ่อองค์หนึ่งที่จังหวัดสุรินทร์...ท่านเคยออกธุดงษ์ไปกับหลวงปู่สรวงนานถึง 6 ปี..ท่านได้กล่าวถึงภัยพิบัติใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้..ประมาณเดือนธันวาคมให้ฟังบ้างเหมือนกัน..ท่านได้กล่าวเตือนลูกศิษย์ทั้งหลายว่าไม่ให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท..ควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างก็จะดี..ท่านกล่าวถึง..ภาคใต้และกรุงเทพฯ...ให้ฟังเหมือนกันครับ
     
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ก็เมตตาเตือนไปในแนวทางเดียวกัน ให้ลด เลิก ละ ในสิ่งที่ข้องติดทั้งหลาย แล้วให้หันมา ถือศีล ปฏิบัติภาวนา เพราะอนาคตข้างหน้าหนักแน่ๆ เพียงแต่จะเกิดช่วงใหน เมื่อไหร่ เท่านั้น...ในความเห็นของผม ผมเชื่อว่าจะมาตอนเผลอ ช่วงใหนที่เฝ้าระวังจะไม่ค่อยเกิด ทำให้ต้องเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลาไม่ให้ประมาท ให้ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยธรรม..และเตรียมการด้านปัจจัยสี่ให้เหมาะสมพอควรตามอัตตภาพของตน ...

    ขอบคุณที่แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จะได้เตือนสติไม่ให้ประมาท..สาธุครับ
     
  12. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    คัมภีร์ใบลานอักขระธรรมซึ่งได้ทำนายภัยพิบัติโลก(ตัดตอนมาบางส่วน)


    พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดรู้แล้วจงรีบร้อนบอกเล่าสู่กันฟัง หรือพิมพ์แจกจ่ายตามกำลังศรัทธาจะเกิดมหาศาลกุศลช่วยท่านให้หลุดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง ถ้าบุคคลไม่เชื่อมั่นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเดือดร้อนในปีจอนี้ ขึ้น 4 ค่ำ ผู้มีบุญจะลงมาเกิดพร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าไม่มีอยู่ในบ้านเรือนบ้านช่องของผู้ใดจะมีพวกผีปีศาจร้ายเข้าทำลายอย่างแน่แท้ ในปีจอต่อปีกุนยามเดือนหงาย จะเกิดมีงูพิษอยู่บนหัวกัดฉกให้ตาย และฝูงชนทั้งหายจะเกิดเดือดร้อนหลายประการ เช่น
    • ทุกข์ยากร้อน เพราะศึกสงครามบ่แล้ว ทุกข์ยากร้อน เพราะมีคนตายตามทุ่งไร่ ทุ่งนา
    • ทุกข์ยากร้อนเพราะน้ำและไฟ ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีผู้เฒ่า
    • ทุกข์ยากร้อนเพราะไม่มีใครจะดูใคร ทุกข์ยากร้อนเพราะไปต่างประเทศไม่สะดวก
    • ทุกข์ยากร้อนเพราะนอนไม่หลับ
    • ทุกข์ยากร้อนเพราะผัวเมียไม่เห็นหน้ากัน
    ในปีจอนี้เมืองเวียงจันทร์ จะมีองค์ฤๅษีทองคำสกขาลาบวชออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามไม่ให้ใครตักน้ำ อาบน้ำ กินน้ำ ตามห้วยหนองคลองบึง หลังพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนมืดค่ำ)พญายามราชจะนำเอายาพิษพ่นมาใส่โลกมนุษย์ในปีจอเมืองกรุงเทพฯ จะแตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกตหัวเมืองเชียงใหม่เม็ดข้าวใหญ่จะได้กลับคืนสู่เมืองเวียงจันทร์นี่คือพระคาถาขององค์อินทร์ พรมหา ยมราช ได้เขียนลงในใบลาน จงเก็บรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ
    ในยามเกิดเหตุการณ์มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้ดังนี้ “ปะโต เมตัง ปะละชิมินัง สุขะโต จุติ เมตตะ นิพานัง สุขะโต จุติ”



    พระคาถาข้อนี้จะเขียนลงใส่ใบลานแผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดีให้ติดไว้บนประตูห้องเรียนหรือรถราพาหนะ หรือพันหัวไว้ในยามเกิดเกตุการณ์จะช่วยให้รอดพ้นภัยอันตรายในกาละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้ที่คุ้มครองรักษาเหล่านี้มนุษย์โลก ได้ไปกราบทูลต่อพระอินทร์ว่า มนุษย์โลกทำกุศลผลบุญ (ความดี) เพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรม (ความชั่วร้าย) ถึง 10 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้พระอินทร์จะได้ลงโทษกับมนุษย์โลกถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุน คือ
    • จะเกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหวหวั่น
    • จะให้เกิดสารพิษต่างๆ (อากาศ – อาหารเป็นพิษ)
    • จะให้เกิดไฟไหม้ (อัคคีภัย)
    • จะให้เกิดกาฬโรคต่างๆ (พยาธิร้าย)
    • จะให้เกิดน้ำท่วม (อุทกภัย)
    • จะให้เกิดอดข้าว ปลา อาหาร
    • จะให้เกิดฟ้าผ่า
    • จะให้เกิดอาฆาตฆ่าฟันกันเอง สำหรับคนใจบาป
    • จะให้เกิดร้อนมากหนาวมาก
    มหันตภัยทั้ง 9 อย่างนี้จะรอดพ้นเฉพาะคนใจบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำพร้อมสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รับเร่งทำแต่ความดีมากกว่าทำบาปกรรมชั่วร้าย ถ้าผ่านปีจอ ปีกุลไปแล้วทุกคนลูกหลาน เหลน จะได้รับความสุขสบายกันทั่วหน้า (เวลาเหลือน้อย) ให้ทุกคนเคร่งครัดถือศีล 5 ข้อ ให้ขยันไหว้พระ ภาวนา ให้ทาน เพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง ศีล 5 ข้อได้แก่
    • ห้ามเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต (ทุกชีวิตใครก็รัก)
    • ห้ามลักหรือขโมยเอาสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน
    • ห้ามล่วงเกินเป็นชู้อื่น เมีย ผัว คนที่มีเจ้าของ
    • ห้ามพูดปดหลอกลวงคนอื่นในทางที่ไม่ดีซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกสามัคคีหรือสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง
    • ห้ามดื่มหรือเสพของมึนเมาทั้งหลายทั้งปวง
    นอกจากหนังสืออินทร์ตกที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีพระผู้ทรงศีลองค์หนึ่งได้พบเนื้อในอักษรธรรมเขียนจารึกไว้บนก้อนหินศิลาที่พึ่งพ้นจากพื้นดิน ในภูผาดงแห่งหนึ่งที่พระรูปนี้ได้เดินธุดงด์ วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป ไม่ขอบอกนามพระและกำหนดสถานที่อย่างแจ้งได้ เพราะได้สอบหาข้อมูลละเอียดแล้ว พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า “โยมเอ๋ย....ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าโยมเชื่อก็เป็นกุศล ถ้าไม่เชื่อก็เป็นกุศล” รู้เพียงเท่านั้น จึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล่าวของ พระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่าในปีระกา – ปีจอและปีกุล เดือน 7-8 จะเกิดเหตุร้ายตามถนนหนทาง เดือน 9-10 คนใจบาปหยาบช้าจะถูกล้างผลาญให้หมด
    • มีบ้านก็ไม่มีคนอยู่
    • มีข้าวก็ไม่มีคนกิน
    • มีทางก็มีคนเดิน
    สุดท้ายพระผู้ทรงศีลยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ดังหนังสือ “อินทร์ตก” “อินทร์ตื่น” ถ้าท่านผู้ใดเชื่อ ศรัทธา บูชา เคารพกราบไหว้หรือบนบานว่าจะบอกเล่าถึงผู้อื่นหรือลงพิมพ์แจกให้สาธุชน คนทั้งหลายรับรู้ด้วยแล้ว ท่านจะปรารถนาสิ่งใดจะได้ดังใจนึก พยาธิที่เบียดเบียนก็จะหายขาด

    credit:พุทธพยากรณ์และภัยพิบัติโลก
     
  13. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พุทธทำนายจากศิลาจารึก ที่มีบางตอนได้กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ...ปัจจุบัน ปีเถาะ ตรงกับ พ.ศ.๒๕๕๔ ที่กำลังใช้อยู่ พุทธทำนายปีมะโรง ตรงกับ พ.ศ.๒๕๕๕ ที่โลกมีโอกาสพลิกขั้ว..ดังนั้น จากเดินลงมาเป็นคลาน ก็หนักหนาเอาการอยู่ ที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทั่วโลก....สนามแม่เหล็กจะกลับขั้ว โลกอาจจะไร้แรงดึงดูดชั่วคราว ดังที่พระอาจารย์รัตน์ ได้เห็นภาพอนาคต และได้เล่าให้ศิษย์ฟัง ที่วัดดอยเกิ้ง

    ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล...ซึ่งในเมขลาพยากรณ์ ตรงกับ ๙ พ.ค. ๒๕๕๖ ในหนังสือพระมหาชนก ที่ไขปริศนาออกมา

    ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ
    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ.๒๕๕๔ (ปีเถาะ) เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ.ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.๒๕๖๐ มาลดจำนวนปีลง ๔๘ ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน..

    ประเทศไทย นำ พ.ศ. มาจากศรีลังกา ที่ พ.ศ. คลาดเคลื่อนระหว่างเกิดสงครามในประเทศนี้ เป็นเหตุให้นับ พ.ศ.เร็วกว่าความเป็นจริงไป ๔๘ ปี...ในพุทธทำนายที่กล่าวว่าเมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน คาดว่าจะเป็นการเรียงตัวของดวงดาว เป็นแนวระนาบเดียวกัน ในรอบ ๒.๖ หมื่นปี ตามที่นักวิทยาศาสตร์บอก ทำให้เงาของดาวทุกดวงบดบังแสงอาทิตย์โลกจึงมืด / หรือ อาจจะมีดาวหางพุ่งชนโลกทำให้ ฝุ่นควัน ฟุ้งกระจายจนบดบังทำให้แสงจากดวงอาทิตย์ส่องมาไม่ถึงโลก หรืออาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ จนทำให้พื้นโลกสั่นสะเทือน เกิดภูเขาไฟระเบิดพร้อมๆกันหลายลูก จนเถ้าถ่านของภูเขาไฟ ฟุ้งกระจายขึ้นในในบรรยากาศของโลก

    ถอดรหัสจากพุทธทำนาย

    - ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ปลายเดือนสิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา มีคุณยายผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้นำหนังสือเรื่องพุทธทำนายฉบับถอดรหัสมา ให้อ่าน ในขณะที่ผู้เขียนได้จัดสรรเวลาของตนเอง ไปฝึกทำสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา และเมตตาภาวนา ที่วัดเพลง แขวงและเขต บางพลัด ซึ่งพระอาจารย์ พระมหาฉัตรชัย รักขิตจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสอนนำการทำสมาธิภาวนา วิปัสสนาภาวนา และเมตตาภาวนา ที่กระชับ และกระทัดรัดดี


    - เมื่อผู้เขียนได้อ่านแล้ว ก็เห็นว่ามีเนื้อหาแปลกดี แต่ไม่แน่ใจว่า ข้อความทั้งหมดที่คัดลอกต่อๆ กันมามีการตกหล่นจากความเดิมจนถ้อยคำเปลี่ยนไปหรือไม่เพียงไร

    - ในหนังสือเล่มนี้ อ้างว่า นำความมาจากหนังสือใบลานเก่า ที่พบในจังหวัดอัตตะบือ ประเทศลาว โดยมีพระธุดงค์นำมาถ่ายทอดโดยสรุป คือ

    1. ในปีจอ (2561) กรุงเทพฯ จะหมดสภาพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
    2. พระคาถาป้องกันภยันตรายในใบลาน จารึกให้นำไปท่องว่า “ปะโต เมตัง ปะระชีวินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นินะนัง สุคะติ จุติ” โดยท่านแนะให้นำไปเขียนลงแผ่นผ้าก็ได้ แล้วนำไปปิดที่ประตูบ้าน หรือปิดในรถยนต์ ยามเกิดเหตุการณ์คับขันจะช่วยให้รอดชีวิตพ้นจากภยันตรายได้ มหันตภัยร้ายแรง ท่านว่าจะมี 10 ประการ ได้แก่

    1. วาตภัย (ลมพายุ)
    2. ธรณีพิบัติภัย (แผ่นดินไหว) ภูเขาไฟระเบิด
    3. อัคคีภัย (ไฟไหม้)
    4. อุทกภัย (น้ำท่วม)
    5. ฟ้าผ่าดังลั่นสะเทือนแก้วหู
    6. อากาศร้อนมากเกินไป หนาวมากเกินไป
    7. สารพิษแพร่กระจายทุกแห่งหน
    8. เกิดโรคระบาดต่างๆ
    9. เกิดข้าวยาก – หมากแพง
    10. เกิดการอาฆาตพยาบาทจองเวร จองล้าง จองผลาญ

    3. ถ้าเข้าถึงปีกุน (2562) ไปแล้ว ทุกคนจะได้รับความสุขกาย - สุขใจ เคร่งครัดในการรักษาศีล 5 มาก โดยช่วงนั้นจะมีประชากรลดลงมาก แต่ประเทศไทย จะมีประชากรเหลือมากหน่อย คือ มีเหลือรอดถึง 30 % หรือประมาณ 18 ล้านคน ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะมีชีวิตรอดอยู่เพียง 10 % เท่านั้น

    4. เหตุการณ์ร้ายตามท้องถนน จะรุนแรงมาก ตั้งแต่ เดือน 7 ของปีระกา(ปี 2560) และในเดือน 9 – 10 ของปีจอ (ปี 2561) คนใจบาปจะถูกล้างผลาญหมดสภาพสังคมโดยทั่วไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน

    6. ผู้ที่ต้องการได้พบผู้มีบุญระดับพระโพธิสัตว์ ซึ่งจะเป็นพระศรีอารย์ในอนาคตคัมภีร์ในใบลานแนะนำให้หมั่นภาวนา หมั่นรักษาศีล 5 ให้ครบถ้วนเป็นประจำ ก็จะสมปรารถนาได้

    7. สัญญาณเตือนภยันตราย จะเกิดชัดเจนครั้งแรกในปีมะเส็ง (2556) ตลิ่งริมฝั่งน้ำจะพัง ทะเลและมหาสมุทรจะบ้าคลั่ง ให้ติดตามเหตุการณ์ดูในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า หากเข้าสู่สถานการณ์นั้นๆ คัมภีร์ใบลานแนะให้ท่องว่า “สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ” จะลดภยันตรายลงได้กึ่งหนึ่ง

    8. โลกของเรากำลังเข้าสู่กลียุค จะมีปัญหาทั้งภัยธรรมชาติ จากดิน น้ำ ลม ไฟและเกิดจากน้ำมือมนุษย์ในการแย่งชิงผลประโยชน์ แย่งชิงความเป็นใหญ่ แย่งชิงอำนาจและทำสงคราม รวมทั้งใช้อาวุธทุกรูปแบบทำลายล้างซึ่งกันและกัน

    9. ประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเช่นเดียวกัน โดยในปี 2556 จังหวัดชายทะเล และกทม. จะมีแผ่นดินยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าชายฝั่ง คลื่นน้ำอาจมีความสูงถึง 20 เมตร (สูงเกือบเท่าตึก 7 ชั้น) ผู้ที่อยู่ริมน้ำทั้งหมดจะล้มตายเกือบครึ่ง โดยจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปถึงปี 2560 ในที่สุดประชากรไทย จาก 65 ล้านคน จะเหลือเพียง 18 ล้านคนในปี 2561

    (ข้อนี้ฟังดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา กับพยากรณ์ของนางมณีเมขลา 9 พ.ค. 2556 มากทีเดียว ผู้ที่ติดตามข้อมูลที่ในหลวงทรงแจ้งเตือนพสกนิกรชาวไทยล่วงหน้า เป็นปริศนา เช่นเดียวกับนอสตราดามูส ผู้ยังความไม่ประมาทพึงพิจารณาด้วยตนของตนเอาเถิด)

    ซึ่ง ทั้งหลายทั้งปวงนี้ อาจเกิดขึ้นจริง หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่พวกเราก็ไม่ควรดำเนินชีวิตด้วยความประมาท อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ท่านจัดสรรเวลาวันละเล็กวันละน้อย ฝึกความมีสติ และความมีสัมปชัญญะ เพิ่มการรักษาศีล และรู้จักให้ทานมากขึ้นด้วยครับ เพราะสิ่งที่ท่านให้แก่ผู้อื่น สงเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่น มีความเมตตาผู้อื่นสัตว์อื่น หรือ ปรารถนาให้ผู้อื่นสัตว์อื่นมีความสุขในปัจจุบัน มีความกรุณาต่อผู้อื่น สัตว์อื่นหรือ มีจิตปรารถนาให้ผู้อื่น สัตว์อื่นที่มีความทุกข์ ได้พ้นจากทุกข์ในปัจจุบัน

    สิ่ง เหล่านี้จะเป็นพลังกุศลผลบุญสนองตอบแก่ท่านในช่วงที่โลกเข้าสู่วิกฤติ อันจะมีผลให้ท่านมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ และพ้นทุกข์ได้โดยเร็วพลัน เป็นการลงทุนสร้างความงามความดีในปัจจุบัน ขณะที่เราสามารถกระทำได้โดยไม่เดือดร้อน ก็ขอให้ท่านรู้จักใช้โอกาสอันดีดังกล่าวด้วย หากประมาท ท่านอาจสูญเสียโอกาสที่ดีดังกล่าวตลอดไปก็ได้

    (ในประเด็นนี้ ท่านผู้เป็นใหญ่สูงสุด ที่ได้แจ้งคณะเตือนภัยเขากะลา เอาไว้ว่าการช่วยเหลือพลโลกได้เฉพาะบางส่วนที่มีบารมี...บารมีของท่านผู้ใหญ่แห่งดาวพลูโต นั้นอาจหมายถึง ผู้ที่ได้ฝึกจิตเข้าถึงสภาวะจิตเดิม หรือ 'ทาง' ของทุกๆคนก็ได้ ...จึงจะนับว่าเป็นผู้มีบารมี ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากชาวต่างดาวหลายๆดวง ที่ได้มาเตรียมงานบนดาวดวงนี้ล่วงหน้า 10 กว่าปีทีเดียว)

    มงคล กริชติทายาวุธ

    หมายเหตุ

    ปี นักษัตร ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน เริ่มนับจากเดือนเมษายน เป็นเดือนที่ 1 ของปี เดือนสุดท้ายของปีจึงเป็นเดือนมีนาคมของปีถัดไป ดังนั้นปีระกาในพุทธทำนาย จึงหมายถึงตั้งแต่เดือนเมษายนของปี พ.ศ.2560 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2561

    credit: พระธุดงค์เตือนภัยพิบัติ | kongboon
     
  14. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    บทสัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสายฯ เรื่องอนาคตเมืองไทยอีก 10 ปีข้างหน้า
    (สัมภาษณ์ ปี 2548)
    <!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]
    ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา - คือ นักคิด-นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นระบบการลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคาร ร่วมกับองค์การนาซา เพื่อทำการสำรวจโลกใหม่ของมนุษยชาติ.....และอีกด้านหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก ดร.อาจองฯเท่าที่ควร ก็คือ การเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนามาเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานประมาณ 30 ปี จนอาจกล่าวประเมินได้ว่า ท่านเข้าถึงธรรมขั้นสูงระดับหนึ่งไปแล้ว ท่านปฏิเสธองค์การนาซาที่เพิ่มเงินเดือนให้อีก 20 เท่า แล้วกลับเมืองไทย เพื่อมาสอนหนังสือเด็กๆในชนบท สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาจากอายุ 6 ขวบ เพื่อให้เป็นอนาคตของประเทศไทยต่อไป


    ปัจจุบันท่านเป็นผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส ที่อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี พร้อมกับได้รับเชิญไปบรรยายสอนเรื่องการอบรมพัฒนาจิตของเยาวชนไปทั่วโลกขณะนี้ ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความเสียสละ สมถะ และบำเพ็ยตนเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน ประเทศชาติที่น่าสรรเสริญมาก ซึ่งเราขอปรบมือและร่วมอนุโมทนากับท่านด้วยความจริงใจ........

    บทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯเมื่อ 16 ตุลาคม 2548 เกี่ยวกับอนาคตของเมืองไทยและโลกในอีก 12 ปีข้างหน้า จะพบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ มีการสูญเสียไปบ้างพอสมควร แต่ก็ได้ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมกลับคืนมา ดังนี้.-

    เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้ามนุษย์เริ่มวางแผนที่จะไปสำรวจดาวอังคาร แล้วก็เริ่มส่งยานอวกาศ ออกไปสำรวจจนได้ข้อมูลเพียงพอ เพราะที่นั่น มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกันกับโลก คือ มีอากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางร้ายกับร่างกายของมนุษย์ แล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำ มีแสงแดด ต้นไม้ก็จะโต เพราะต้นไม้จะเป็นตัวดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อคายออกซิเจนออกมา ทำให้มีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลก

    ดูจากหลักฐานที่เราได้มา จากก้อนหิน หรือจากการสำรวจ ทำให้เราพบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ดาวอังคารเคยถูกน้ำท่วม ถูกน้ำซัดผ่านบริเวณผิวขอบของดาว ก็แสดงว่า ที่นั่นต้องมีน้ำเยอะ แม้ว่าแสงแดดจะน้อยกว่าโลก จนทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -35 องศาเซลเซียส แต่ก็ถือว่า มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด.......แต่การที่มนุษย์ จะขึ้นไปอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ ก่อนอื่น คือ เราจะต้องสร้างเรือนกระจกครอบขึ้นมา เพื่อเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดออกซิเจนหนาแน่นขึ้น มนุษย์ถึงจะอยู่ได้ เดินไปเดินมาได้ โดยไม่ต้องแบกถังออกซิเจน หรือสวมชุดมนุษย์อวกาศ ซึ่งต่างจากดาวดวงอื่น อย่างดวงจันทร์ ดาวเสาร์ หรือดาวพฤหัส เพราะบนนั้น ถึงจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำ จนอากาศหนาวมาก จนกลายเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนนั้นได้......


    .....แล้วความจริง แผนการสำรวจดาวอังคารของนาซาก็เริ่มต้นโครงการนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เพราะเขาคิดว่า ต่อไปประชากรบนโลกเราก็คงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับโลกของเรา เพราะเมื่อจำนวนมนุษย์มากเกินไป อาหารการกินก็อาจจะไม่พอ น้ำก็ไม่พอ พลังงานก็ไม่พอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ก็จะไม่พอต่อความต้องการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น การอพยพเอาพลเมืองโลกออกไปบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ และสามารถทำได้ ซึ่งการอพยพออกไปในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ? หรือคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ ?

    .....แต่แน่นอนว่า นอกจากการแสดงตัวในฐานะที่เป็นผู้นำแล้ว การขึ้นไปบนดาวอังคาร ยังหมายถึง การขยับขยายในเรื่องอุตสาหกรรมบนดาวอังคาร ซึ่งในหลายประเทศ ต่างก็มีความคิดวางแผนเกี่ยวกับตรงนี้เอาไว้แล้ว และก็อาจจะมีการตกลงแบ่งอาณาเขตกันเอาไว้ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักยภาพเพียงพอ อย่าง อเมริกา หรือญี่ปุ่น เพราะว่าต่างฝ่ายก็คิดกันไว้ว่า ถ้าตัวเองไปถึงตรงนั้นได้ก่อน ก็จะมีสิทธิในการครอบครองได้ก่อน.......

    ....แต่การที่เขาไปสำรวจดาวอังคาร หรือการที่เตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลก- นั่นก็ไม่ใช่หมายความว่า โลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่เขาทำนายกัน เพียงแต่ว่า ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม.....

    .....ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้างที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง....

    .......และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย......


    .......ผมคาดว่า อีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือ ธรรมชาติ เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....ซึ่งแต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นสึนามิขึ้น คนทั่วโลก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง.......


    .....สัมภาษณ์เมื่อ 16 ตุลาคม 2548 จากวันโลกแตก วินาศภัยที่หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น........

    ที่มา
    http://palungjit.org/threads/บทสัมภาษณ์-ดร-อาจอง-ชุมสายฯ-เรื่องอนาคตเมืองไทยอีก-10-ปีข้างหน้า.36335/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ตุลาคม 2012
  15. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    บทความโลกจะล่มสลายในปี 2012 นี่คือเรื่องจริง จากนาซ่า

    เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA
    ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์
    แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

    คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

    การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

    โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

    คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ

    'ฮารัลด์ เลสช์' (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย 'มิวนิค' ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ 'ฮารัลด์ เลสช์' สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศแต่ทะว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

    คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

    สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

    คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

    เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................


    ในแง่ความคิดของผู้มีญาณในไทย
    ผู้มีฌาณทั้งหลายได้บรรยายภาพที่ได้เห็นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตบ้าง เช่นประเทศไทยในอนาคตจะเหลือแค่ภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น ที่เป็นพื้นที่แผ่นดินผืนใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นภัย อย่างเช่นที่เชียงใหม่ จะเกิดการยุบตัวและการเลื่อนของผิวดิน ภูเขาจะถล่มลงมา... ประมาณนี้ครับ
    แต่จะเริ่มเห็นลางภัยพิบัติในครั้งนี้ชัดเจนขึ้นในอีกประมาณ 5 ปีนับจากนี้ และจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่นมีภัยพิบัติมากกว่าเดิมในหลายๆที่ ไปจนถึงเวลาที่แกนโลกพลิกตัวจริงๆ ในอีก 10-15ปี

    ที่มา บทความ โลกจะล่มสลายในปี 2012 นี่คือเรื่องจริง จาก นาซ่า

    (โปรดใช้วิจารณานในการอ่าน)
     
  16. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    แกนโลกสลับขั้ว ไขความจริง สมมติฐานนาซ่า เกิดน้ำท่วมโลก จริงหรือ ???


    เขียนโดย nattawat_86</SPAN> โพสต์เมื่อ <ABBR class=published title="2011-10-10 07:11:31">วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2554</ABBR> เนื้อหานี้อยู่ในหมวด ข่าวเด่นประจำวัน, สกู๊ปข่าว


    [​IMG]

    แกนโลกสลับขั้ว ไขความจริง สมมติฐานนาซ่า เกิด น้ำท่วมโลก จริงหรือ ???
    Mthainews: น้ำท่วมโลก” ภัยพิบัติที่นำไปสู่ วันสิ้นโลก ปี2012 ยังคงเป็นประเด็นร้อน สำหรับชาวโลกที่เริ่มตื่นตัว หลังจากหลายพื้นที่ประสบกับเหตุอุทกภัย ที่บางพื้นที่ไม่เคยเกิดขึ้น หนึ่งในสมมติฐานของเหตุนี้ ก็คือ เรื่องแกนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง จนเกิดความแปรปรวน
    สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แกนโลกที่เคลื่อนตัวพลิกกลับขั้วจากเหนือไปใต้ ทำให้พลังสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง แกนโลกเอียงจาก 23.5 องศาเป็น 24.5 องศา นั่นเองเป็นที่มาของภาวะโลกร้อน เนื่องจากน้ำแข็งทั่วโลกละลายด้วยอัตราที่รวดเร็ว และมีการแจ้งเตือนมานานกว่า 10 ปี แล้ว ในปี 2012นี้ จึงอาจเกิดภาวะที่ แกนโลกพลิกขั้ว ขึ้น


    [​IMG]
    ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงไว้ว่า พื้นที่กว่า 2.2 ล้านตารางกิโลเมตร มีน้ำแข็งกว่า 19 ร้อยล้านตัน น้ำแข็งกำลังละลายเป็นน้ำวันละ 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012
    หากเชื่อมโยงกับเหตุภัยพิบัติสึนามิครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ความรุนแรง 8.9 ริคเตอร์ ทำให้เกาะฮอนชูของญี่ปุ่น ขยับไปทางตะวันออก 8 ฟุต และมีรายงานว่าแกนโลกมีการเปลี่ยนแปลง โดยสถาบันธรณีฟิสิคส์และภูเขาไฟในอิตาลี ประเมินว่า แผ่นดินไหวที่มีแรงสั่นสะเทือนถึง 8.9 ริคเตอร์ ได้ทำให้เแกนโลกขยับไปเกือบ 10 เซ็นติเมตร

    [​IMG]


    ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังเกิดสึนามิ ส่งผลให้เกาะฮอนชูเคลื่อนไปทางตะวันออก 8 ฟุต
    แต่ปัจจุบัน มีการโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์บางส่วนที่มองว่า เหตุการ์แผ่นดินไหว จนเกิดสึนามินั้น เมื่อนำอัตราการเคลื่อนของพื้นผิวโลก มาเทียบกับความใหญ่โตมโหฬารของโลกถือว่าน้อยมาก ฉะนั้นแกนโลกที่เคลื่อนเอียงเพียงแค่ไม่กี่เมตร แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ไม่ส่งผลให้โลกเอียงถึง 1 องศา จึงยังไม่ใช่ 24.5 องศา ตามที่เข้าใจ
    อย่างไรก็ดีกระทบด้านอื่นๆ ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
    นายริชาร์ด กรอสส์ จากศูนย์ปฏิบัติการวิจัยแรงขับเคลื่อนพลังงานแห่งองค์การนาซา ที่เมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการส่งผ่านมวลของโลก ซึ่งนั่นทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น และทำให้เวลาในหนึ่งวันลดลง 1.8 ไมโครวินาที
    มีการตั้งข้อโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม ที่ไม่ฟันธงเสียที่เดียวว่า ภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน จะเป็นเค้าลางของน้ำท่วมโลกในปี 2012 เพราะยังคงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ประเทศไทยเกิดน้ำท่วม เช่น
    -ไม่มีการจัดการรองรับปริมาณน้ำที่ดีพอ
    -ปริมาณฝนที่มาผิดปกติในแต่ละปี ซึ่งเกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ
    -อีกทั้งกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่รองรับน้ำได้จำกัด หากปริมาณน้ำฝน ไหลผ่าน เกิน2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก็เกิดภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก


    [​IMG]

    ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วม ก็คือ พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย ซึ่งเป็นพื้นดินอ่อนมีการทรุดตัวลง และหายไปปีละประมาณ 10 เมตร คาดว่าอีก 40 ปีข้างหน้า แผ่นดินก็จะทรุดลงอีกประมาณ 30 ซม.เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้น้ำท่วมได้ง่าย
    จังหวัดที่มีพื้นที่ใกล้กับทะเลจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นเมืองบาดาลในอนาคต ด้วยสมมติฐานที่ว่า ชายฝั่งทะเลทรุดตัว มีการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ขวางทางน้ำไหล ไม่ใช่แกนโลกเอียง ภัยพิบัติน้ำท่วมโลกของนาซ่า ยังคงเป็นเพียงสมมติฐาน ที่ต้องค้นหาความจริง และพิสูจน์กันต่อไป
    แต่สิ่งที่เราต้องรับมือในขณะนี้ คือ เร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม บรรเทาภัยแก่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือกร้อน และเตรียมพร้อมหาวิธีป้องกันหากเกิดน้ำท่วมในครั้งต่อไป…ไม่ว่าสมมติฐานนาซ่าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยก็เป็นการเตือนสติ ให้ชาวโลกตระหนักถึงผลกระทบ หากยังคงทำลายทรัพยากรธรรมชาติไปมากกว่านี้

    Mthainews
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.1.jpg
      2.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.1 KB
      เปิดดู:
      621
    • 2.2.png
      2.2.png
      ขนาดไฟล์:
      51.6 KB
      เปิดดู:
      566
    • 2.3.jpg
      2.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.3 KB
      เปิดดู:
      558
    • 2.4.jpg
      2.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.9 KB
      เปิดดู:
      603
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ตุลาคม 2012
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ประกาศจากนาซ่า แกนโลกจะพลิกขั้ว 22 ธ.ค. 2012 นี้..


    [​IMG]

    22 ธ.ค. 2012 (พ.ศ. 2555) จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันความล่มสลายแห่งมนุษยชาติ


    ประกาศจากNASA แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" Pole Shift "

    แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012
    จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

    ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

    การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

    ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์


    ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้


    [​IMG]
    - ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)


    [​IMG]
    - การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ


    [​IMG]
    - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก


    [​IMG]
    - ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม


    [​IMG]

    - สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้


    [​IMG]
    - กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น


    [​IMG]
    - แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


    ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

    กลุ่มนักค้นคว้าเรื่อง UFO จำนวนมาก (ในต่างประเทศ) ที่ได้ทำการติดต่อกับพวกเขาอย่างลับๆ รายงานว่ามนุษย์ต่างดาวได้ตระหนักถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับโลกในช่วงระยะอันใกล้นี้ ได้เข้ามาบันทึกและศึกษาเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของรูปแบบอารยธรรมเกี่ยวกับมนุษย์ อันเนี่องมาจากการขาดของความรู้ของเราเอง ขณะนี้เขากำลังจัดเตรียมเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดและคัดเลือกมนุษย์ที่เขาจะช่วยชิวิตเอาไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้ว...

    พวกเขาได้รับสัญญาณและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลก ว่ามีบางสิ่งที่รุนแรงจะเกิดขึ้น ซึ่งเขากำลังเตรียมช่วยเหลือเราอย่างเงียบๆ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเราไปสู่ปลายทางที่ปลอดภัยที่เราไม่อาจรู้ (ซึ่งฃ่าวนี้ตรงกับข้อมูลทางกลุ่มเขากะลาของไทยที่บอกไว้คล้ายกัน เกี่ยวกับการเตรียมการช่วยเหลือตามจุดต่างๆ 8จุด ทั้งในไทยและต่างประเทศ)

    หลายๆเหตุการณ์ เช่น Tsunami, มันเป็นไปได้ที่เราจะงงงวยและจ้องมองมัน กับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ถ้าเรื่องราวนี้ถูกต้อง, มันอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่เราจะอยู่รอดจะเพื่ออารยธรรมของเรา บางทีเราอาจต้องเคลื่อนย้ายสู่ดาวเคราะห์อื่นๆ เช่นที่มันอาจจะเคยเกิดขึ้นบนดาวอังคารเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว...

    Magnetic Pole Reversal ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกด้าน ค.ศ.2012 อีก5ปี


    Magnetic Pole Reversal ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกด้าน

    เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA
    ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

    แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

    คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

    การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ์ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

    โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ (บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก (และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

    คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ

    "ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศ

    แต่ทะว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก

    เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

    คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

    สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

    คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

    เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง

    หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้นจะใช้เวลานานขนาดใหน ขอให้ทุกคนโชคดี

    บทความ : BeverNetwork

    อันนี้เป็นบทความหนึ่ง ที่พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเพิ่งจะเชื่อว่า สักวันดวงอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันตก ในขณะที่เรา..มุสลิมรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดตามที่อัลลอฮ์บอกไว้
    ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดเร็วหรือช้า สิ่งที่สำคัญที่สุดเราเตรียมเสบียงแห่งความดีไว้พร้อมหรือยัง
    ขอให้เราทุกคนไปรับทางนำเถิดขอให้ได้รับชัยชนะ ได้เป็นชาวสวรรค์กันถ้วนหน้า
    ไม่ทราบแหล่งที่มาแต่มา จากFWเมล์ แต่ขออภัยมาลงในกระทู้ตักเตือน เพื่อทุกคนจะได้หยุดเป็นลูกตุ้มถ่วงสังคมสักที่

    แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กในโลกและดวงอาทิตย์ จะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของอารยธรรมมนุษยชาติในปี คศ. 2012

    1 มีนาคม 2548

    จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่ม นักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่าทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี คศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012

    การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

    ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้ เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

    แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ตามมาอีก เช่น
    - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง
    - โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ
    - สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
    - กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย
    - แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

    ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมาผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก

    สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง

    เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่นสึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล

    ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษาอารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลายล้านปีที่ผ่านมา

    ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้.

    เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

    วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 เขียนโดย ไตรภูมิ
    ( http://2012doomsday2555.blogspot.com/2012/03/nasa-22-2012.html )

    ขอขอบคุณ...ที่มา
    http://www.indiadaily.com/editorial/1753.asp
    http://www.bibliotecapleyades.net/esp_2012.htm
    http://www.chiron-communications.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 ตุลาคม 2012
  18. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    คำพยากรณ์ล่วงหน้าของครูบาอาจารย์

    ขออนุญาตคัดลอกมาจากเวบพุทธวงศ์ ของคุณเนาว์ นรญาณ คำกล่าวของครูบาชัยวงศาทายไว้เหมือนตาเห็นลองอ่านดูครับ

    ในฐานะที่"พุทธวงศ์"ได้เคยกราบไหว้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ทรงศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ และญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ล่วงส่วนสามัญวิสัยเป็นอันเอนกปริยาย จึงเป็นเหตุให้ได้พานพบกับเรื่องราวที่"เหนือธรรมชาติ" อันเกิดแต่จิตที่ฝึกมาดีแล้วทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาเป็นอันมากกว่ามาก

    หนึ่งในนั้นก็คือ "คำพยากรณ์"ที่ท่านได้กล่าวทำนายล่วงหน้าอันเกี่ยวเนื่องด้วยวาระและชะตากรรมของบุคคล,ประเทศชาติหรือโลกเอาไว้ตามกาละและเทศะต่างๆ ก็มีให้ได้ยินได้ทราบมิใช่น้อย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องน่า"ประหวั่นพรั่นพรึง"ไปเสียโดยมาก อันเป็นเรื่องปกติแห่งยุคที่เป็น"กลียุค"ที่โลกสงสารกำลังหมุนไปสู่ความแตกดับดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแทบทั้งสิ้น

    ในชั้นแรก "พุทธวงศ์"ยังอดที่จะนึกสงสัยไปเสียมิได้ว่า การณ์อันร้อนร้ายจะเป็นจริงไปได้ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์กล่าวไว้ล่วงหน้าทีเดียวละหรือ..?

    เพราะในเวลานั้น ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นความจริงไปได้เลยแม้แต่น้อย

    แต่..เมื่อมาถึงเวลานี้ ความแจ่มแจ้งในญาณทัศนะ เริ่มได้พิสูจน์ออกมาสมจริงทุกทีๆแล้ว

    จึงเห็นสมควรนำมาเผยแพร่ มิใช่เพื่อให้เกิดความประหวั่นพรั่นกลัว แต่มุ่งหมายที่จะให้เป็นดวงประทีปท่ามกลางสังสารวัฏอันมืดมิด ชี้ช่องบอกทางให้พอรู้แนวทางที่อาจจะเป็นจะไป จะได้ระแวดระวังหรือหาทางเอาตัวและผู้มีวาสนาเกี่ยวเนื่องได้รอดพ้นจากเภทภัย(ถ้าเกิดขึ้นจริง)ตามสมควรแก่บุญแก่กรรมของใครก็ของใครเป็นสำคัญ

    "ต่อไป สิ่งที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิด คนจะตายหมู่กันมากขึ้น ที่ไหนมีคนรวมกลุ่มกันมากๆอย่าได้เข้าไป จะมีอันตรายมาก..!!!??!"

    .....หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่


    "ยุคอันตระวิวัฏฏะหรือยุคมืดยุคเสื่อมนั้น จะเกิดความวิปริตผิดเพี้ยนไปหมด สิ่งที่ถูกจะกลายเป็นสิ่งที่ผิด สิ่งที่ผิดจะกลายเป็นสิ่งที่ถูก"

    .....หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี


    "หลวงพ่ออยากให้สร้างพระเจดีย์สันติภาพโลก เพื่อบรรเทากรรมของประเทศชาติและของโลกที่กำลังใกล้จะตามมาทันในไม่ช้านานนี้แล้ว โดยพระเจดีย์สันติภาพโลกนี้ กำหนดให้มีรูปลักษณะความสูงใหญ่เท่ากับพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐมทุกประการ โดยสร้างครอบดอยที่อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เรื่องนี้ หลวงพ่อเคยทำเรื่องขออุปถัมภ์การก่อสร้างไปยังลูกศิษย์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่เรื่องก็หายเงียบไปทุกที จนท้ายที่สุด หลวงพ่อจึงคิดว่า พระเจดีย์สันติภาพโลกนี้ หากทำได้ก็ทำ หากทำไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้เป็นกรรมของสัตว์โลกก็แล้วกันน๊ะ..!!!!?"

    .....พระครูขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์แม่วาง จ.เชียงใหม่


    "หากเหตุภัยพิบัติร้ายแรงไม่เกิดในปีค.ศ. 2000 ก็จะไปเกิดในปีค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)แทน โดยเหตุร้ายจะเริ่มต้นจากทางภาคใต้ก่อน จากนั้นก็จะลามขึ้นมาถึงภาคกลางและภาคเหนือในที่สุด ในเขตเมืองใหญ่จะอันตรายมาก จะเดือดร้อนวุ่นวายอย่างหนักไปทั่ว ไม่ต่างอะไรกับกลียุคน้อยเลยทีเดียว..!!!!!!"

    .....หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้น ลำพูน


    "น่าเสียดาย สร้างกันมาเป็นร้อยๆปี แต่จะต้องมาจบสิ้นกันในวันเดียว..??!!??"

    .....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ เลย


    "นับแต่นี้ไป คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลกแล้ว"

    .....หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี(จากพระธรรมเทศนาหลายๆกัณฑ์)


    "ต่อไป ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากเมืองไทย จะไปเหลือทางภาคเหนืออยู่หน่อยเดียว.!!!"

    .....หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่


    "ต่อไป ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากเมืองไทย(แม้รูปแบบวัดวาพระบทพระบาทพระธาตุเจดีย์จะยังคงมีอยู่ แต่มรรคผลนิพพานอันเป็นเนื้อแท้แห่งศาสนาแทบไม่เหลือ เพราะสัทธรรมปฏิรูปเข้ามาปลอมปนจนวิปริตผิดเพี้ยนจากพุทธพจน์เดิมไปจนหมดสิ้น) แต่จะไปเจริญทางยุโรป,จีน,รัสเซีย,ออสเตรเลียแทน..!!?!"

    .....ประมวลคำพยากรณ์ของครูบาอาจารย์หลายองค์ มีหลวงพ่ออุตตมะ,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อบุญฤทธิ์และ ฯลฯเป็นต้น


    "หากคนตะวันตก(ยุโรป)นับถือพระพุทธศาสนา จะดีกว่าคนไทยเรา เพราะคนตะวันตกนั้นเขาตั้งใจจริง,ศึกษาจริง,ค้นคว้าเจาะลึกจริงและปฏิบัติจริงยิ่งกว่าเราเยอะ..!!!!"

    .....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา


    "พวกฝรั่งน่ะ เขาศึกษาพระไตรปิฏกได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่าไทยมากน๊ะ..!!!!"

    .....หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ออสเตรเลีย


    "ให้คอยพระยาธรรมิกราชที่จะมาโปรดโลกน๊ะ..!!!!"

    .....หลวงปู่ครูบาเจ้าดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่


    ตำนานพระญาธัมมิกราช

    ตำนานพระญาธัมมิกราช หรือ ตำนานพระญาธัมม์ เป็นเรื่องที่กล่าวถึงพญาจักรพรรดิราช คือ ผู้ที่จะมาสั่งสอนคนแทนพระพุทธเจ้าในกัลป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้ แต่ในตำนานสุวรรณคำแดงนั้นกล่าวว่า "ในครั้งนั้นพระญาธรรมปรากฏในเมืองฮ่อ" ทำให้เห็นว่า"พระญาธัมม์"หมายถึง กษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพมากกว่าที่จะเป็น"พญาจักรพรรดิราช"ดังเช่นที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ทั้งนี้ ตำนานพระญาธัมมิกราช ซึ่งอ้างว่า"ได้จากเมืองพุก่ำมาแล" ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและศึกษาวัฒนธรรมลานนาไทย วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้ปริวรรตไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีใจความกล่าวไว้ ดังนี้

    ในตอนต้นเรื่อง กล่าวถึงความเดือดร้อนประการต่างๆ ที่เกิดมีในบริเวณเมืองเชียงใหม่กับลำพูน แล้วจึงกล่าวถึงพญาตนหนึ่งอยู่ทางฟากตะวันออกของน้ำแม่ระมิงคือน้ำแม่ปิง พญาดังกล่าวมีบุตร ๒ คน แล้วทั้ง ๓ ได้รบกันที่เชิงดอยอุจฉุคือดอยสุเทพ บุตรที่เกิดในปีฉลูได้เป็นพญาแทนพ่อ ต่อมาก็ถูกพญากัปปราชแห่งเมืองใต้ยกขึ้นมารบกวน ถัดจากนั้นพญาซึ่งอยู่ด้านตะวันออกและตะวันตกของน้ำแม่ปิงจะรบกัน หลังจากนั้นท้าวพญาทั้งหลายที่อยู่บริเวณขุนน้ำแม่ปิงจะหาศีลธรรมมิได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พญาทาง"ฝ่ายสมุทร" หรือทางใต้ ยกรี้พลขึ้นมาตามลำน้ำแม่ระมิงแล้วรบกันที่เชิงดอยคำ เลือดจะตกในที่นั้นมากจนหนูข้ามไม่ได้

    พญาธัมมิกราชจะปรากฏที่ "นาไร่หลวงแห่งเมืองหริภุญชัย" แล้วพญาธัมมมิกราชหรือพญาธัมม์จะเป็นผู้ห้ามการรบต่างๆ ครั้งนั้นจะเกิดมีปราสาทเกิดที่ผาก้อนใหญ่นอกเมือง พระอินทร์จะมาสรงน้ำและเป่าหอยสังข์ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา ผีเสื้อ(อารักษ์) จะเอาของดีวิเศษต่าง ๆ ไปมอบให้เนื่องในการอภิเษกให้เป็นพญาธัมม์ พระวิษนุกัมม์จะมาเป็นสารถี พระอินทร์จะนำนางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปมาให้ รวมทั้งธิดากษัตริย์ต่างๆ ในชมพูทวีปอีก ๑๘,๐๐๐ นาง แล้วพญาธัมมิกราชและพระอินทร์จะช่วยกันสร้างเมืองลำพูนให้เป็นมหานคร ให้ชื่อว่า"อินทาปราการ"และสร้างเครื่องประดับถวายพระธาตุหริภุญชัย แล้วขุมทรัพย์ทั้งหลายจะปรากฏขึ้น ซึ่งพญาธัมมิกราชจะได้แจกจ่ายแก่คนทั้งปวง

    พญาธัมมิกราชไปเมือง "นครหลวง" ซึ่งมีรูปหมูทองคำอยู่ที่สี่มุมเมือง นำเอาคัมภีร์ทั้งหลายมาตรวจสอบ คัมภีร์ที่ผิดก็จะเผาเป็นมุกรักทำเป็นพระพุทธรูป ภิกษุที่ไม่ถูกตามวินัยก็จะทรงให้สึกเสีย ถัดนั้น พญาธัมมิกราชจะสอนคนทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรม แล้วไปบูรณะเมืองราชคฤห์ สาวัตถี และมัชฌิมปเทสแล้วจึงกลับสู่เมือง"อินทาปราการ" ใน พ.ศ.๑๙๒๐ ระฆังของพญาธัมมิกราชองค์ก่อน ที่จมอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีก็จะผุดขึ้น หากธัมมิกราชไปในที่ใดก็สั่นระฆังนั้น พระองค์จะมีบุตรที่ดีเหมือนชาลีและกัณหา พระองค์จะสร้างเจดีย์และพระพุทธรูป เมื่อมีการเฉลิมฉลองนั้น จะมี "ฝนห่าแก้ว" คือฝนตกลงเป็นแก้วมณีลงมาในชมพูทวีป ซึ่งพระองค์จะป่าวให้คนทั้งหลายเก็บเอาแก้วมณีมีค่านั้นไปตามความปรารถนา

    คนทั้งปวงจะอยู่เป็นสุข ไม่มีการทะเลาะกัน ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญภาวนาเคารพผู้เฒ่าผู้แก่

    ดังที่อาจารย์กล่าวไว้เป็นอุบายว่า กาถามนกนางว่าทำไมมึงไม่กรอก นกยางว่าเพราะปลาไม่ออก ปลาเอ๋ยทำไมไม่ออก เพราะหญ้ารก หญ้าเอ๋ยทำไมจึงรกนัก เพราะวัวไม่กิน ทำไมวัวไม่กินหญ้า วัวว่าเจ้าเจ้าของไม่ปล่อยตน ทำไมเจ้าของวัวไม่ปล่อยวัว เจ้าของวัวว่าปวดท้อง ทำไมจึงปวดท้อง เพราะข้าวไม่สุก ทำไมข้าวไม่สุก เพราะไฟไม่ลุก ทำไมไฟไม่ลุก เพราะฟืนเปียก ทำไมฟืนเปียก เพราะฝนตกมาก ทำไมฝนตกมาก เพราะกบเขียดร้องเรียก ทำไมกบเขียดจึงร้อง เพราะงูจะกิน ทำไมงูจะกินกบเขียด เพราะกบเขียดเป็นอาหารของงู

    งูนั้นได้ทิ้งอีกาที่ฟักไข่ออกมาเป็นงูในเมืองนาค แม่กาป่วยตายและได้ให้เมืองนาคไว้แก่งู งูนั้นไม่รู้จักศีล งูนั้นไม่มีบุญ เมื่องูนั้นเกิดมาได้ ๕๕ ปี จะเกิดอุบาทว์ในเมืองนาคนั้น อาจารย์เจ้ากล่าวว่า อุปมาเหมือนปัญญาของงูก็เปรียบเหมือนอีกาและนกยางที่ไม่กรอก คือได้พญาที่ไม่สามัคคีกัน ปลาไม่ออกได้แก่พญาธัมมิกราชยังไม่บังเกิด หญ้ารกได้แก่มิจฉาทิฏฐิ วัวได้แก่พ่อเรือนที่ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน เจ้าของวัวได้แก่พญาใจบาปที่ไม่ทำบุญให้ทาน ข้าวไม่สุกได้แก่กลียุคที่จะเกิดศึกแก่คนทั่วไป

    เมฆเป็นสีเหลืองสีแดง เมฆเป็นเหมือนธงเป็นรูปเหยี่ยวอยู่ทางทิศตะวันออก ถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ แร้งกาบินโฉบไปมา เหยี่ยวเกาะที่เรือน ก็เป็นอัศจรรย์ รูปเทวดาและพุทธรูปมีเหงื่อไหลก็เป็นอัศจรรย์ ดาวหางเกิดขึ้นก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่ควรมีดอกผลกลับมีดอกผลก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่หอมเกิดหอมก็เป็นอัศจรรย์ ไม้ตายแล้วมีแก่นหอมเหมือนไม้จันทน์ก็เป็นอัศจรรย์ แผ่นดินแข็งแต่เมื่อลมพัดกลับมีกลิ่นหอม คนใจบาปกลับใจบุญ คนใจบุญกลับใจบาป เมืองเดียวเกิดมีพญาชิงอำนาจกัน แต่นั้นคนก็เลยวิวาทฆ่าฟันกัน พระอินทร์จะมาเป่าสังข์ในอากาศทำให้คนตกใจกลัว คนจะโกหกกัน ภูติผีเข้าสิงคนให้ฆ่าฟันชิงทรัพย์แย่งลูกเมียกัน ถัดนั้น เทวดาจะพุ่งไต้ไปในอากาศ ๓ ครั้ง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวสองครั้งในวันเดียว เมื่อมีเหตุดั่งนี้ส่อแสดงแล้ว ก็หมายความว่าองค์ธัมมิกราชจะมาบังเกิด

    ลักษณะของธัมมิกราชเมื่อจะเป็นพญานั้น มีกายสีขาวเหลืองเหมือนทองหยด ลักษณะดี ฟันงามมีเสียงนุ่มนวล มีขนขาวเส้นหนึ่งเป็นอยู่ที่ใบหน้าด้านซ้าย แต่ก่อนเป็นคนยากไร้แต่มีเพียร อยู่ที่ไหนมักถูกคนไล่ให้หนีจาก บวชสองครั้ง และเมื่อบวชนั้นเหล่าสงฆ์ก็ไม่ชอบ พอลาสิกขาบทแล้วอยู่ที่ไหนคนก็ไม่ชอบ ท่านให้ความเมตตาต่อคนยากไร้ รักคนใจบุญ ท่านมีบุตรหญิงชายอย่างละสอง ได้เรียนวิชาการมามาก มีใจกล้าหาญ เมื่อบวชนั้นอยู่ทางปลายน้ำแต่เมื่อลาสิกขาบทกลับอยู่ด้านเหนือน้ำ สง่างามเหมือนช้างเอราวัณ ตอนที่บวชนั้นนอนเหมือนลิงลม แต่เมื่อลาสิกขาบทแล้วนอนเหมือนนกพิราบ เมื่อจะได้เป็นพญาก็นอนเหมือนราชสีห์

    ท่านจะมาสืบหาคนที่เกิดในปีงูเล็กตั้งแต่ "ปีเต่าเส็ดถึงปีกัดเป้า" เมื่อธัมมิกราชจะปรากฏเป็นพญานั้น จะมีม้าแก้วอยู่ที่ดอยอ่างสรงเชียงดาว พระแสงขรรค์ชัยศรีและแก้ววิเศษนั้น เทวดาจะนำมาให้ มีผีเสื้อพันหนึ่งเป็นบริวาร ผีเสื้อและฤาษีจะรื้อเอารางทองมาอภิเษก พระอินทร์จะให้น้ำอมฤต ทำให้ท่านมีรูปงามและรู้ปิฏกะทั้งปวง ท่านจะมาทำให้ศาสนารุ่งเรืองในหริภุญชัย เมืองฝาง เมืองละโว้และชำระคัมภีร์ทั้งปวง ทำให้คนทั้งหลายเป็นสุขด้วยข้าวของต่างๆ ถัดนั้น "หมู่หน้าแข็งตนขาว" จะเอา เมืองวิเทหะและจุฬนีมาถวาย จะมาสร้างปราสาทถวาย ธิดากษัตริย์ทั้งปวงจะมาถวายตัว ธัมมิกราชจะครองเมืองได้ร้อยปีและโอรสของท่านจะครองต่ออีกร้อยปี คนทั้งหลายจะมีความสุขทุกเมื่อ

    "ตำนานธัมมิกราชอันนี้ ได้แต่เมืองพุกำ(พุกาม)มาแล" ผู้ใดที่ได้เขียน ได้รักษาและได้บูชาเหมือนกับบูชาธัมมิกราชแล้ว ก็จะได้เงินทองมากนัก "ตำนานธัมมิกราชจบเท่านี้ก่อนแล สกราชได้ ๑๓๑๗ ปีก่าไส้ พ.ศ.๒๔๙๗" เรียบเรียงจาก อุดม รุ่งเรืองศรี )

    หมายเหตุ,
    ไม่ว่า"พระยาธัมมิกราช"ตามคำทำนายดังกล่าวจะเสด็จมาโปรดโลกเมื่อใด ด้วยรูปลักษณะเช่นไหน และด้วยอาการเช่นใดก็ตาม แต่ที่แน่ๆก็คือ เมื่อปีพ.ศ. 2546 "พระพุทธมหาธรรมิกราช"ได้อุบัติบังเกิดขึ้นในรูปลักษณะแห่งพระพุทธปฏิมากร อันมีอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ยิ่งตั้งแต่ก่อนสร้างจนกระทั่งสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080523084126683

    โดยก่อนสร้าง ตอนยังมีเพียงแผ่นกระดาษร่างต้นแบบ เคยไปขอพรขอบารมีจากหลวงปู่ครูบาเจ้าดวงดีให้งานสำเร็จ แต่ครูบาท่านได้แต่หัวเราะและไม่พูดไม่ให้พรอะไรให้ใจชื้นแม้สักคำ จนกระทั่งงานได้ล่วงเลยจนเสร็จ และมีบางท่านที่คิดอ่านจะเปลี่ยนพระนามธรรมิกราชไปเป็นอื่น นัยว่าเพื่อ"แย่งซีน"ขโมยผลงานกันซึ่งหน้า มีอันถึงกับดับดิ้นสิ้นชีวาด้วยอาการที่น่ากลัวอย่างกระทันหัน(หัวใจวายตาถลนลิ้นจุกปาก) ทำให้โครงการเปลี่ยนพระนามต้องยกเลิกไปโดยปริยาย.!!!!

    ปัจจุบัน "พระเจ้ามหาธัมมิกราช"อันทรงอานุภาพยิ่ง ด้วยตั้งใจอุทิศถวายเป็นองค์แทนแห่งพระพุทธเจ้าในบรมพุทธวงศ์ทั้ง 3 กาล(เยจ๊ะ พุทธาอตีตา,ปัจจุ๊ปันนา,อนาคตา)โดยมีพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เป็นที่สุดได้ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่อย่างงดงามมาจนเท่าถึงปรัตยุบันวารนี้นั่นแลฯ

    "เมื่อถึงสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย ดินแดนพุทธภูมิที่พระศรีอาริย์จะลงมาตรัสรู้จะเปลี่ยนจากอินเดียมาอยู่ในเขตประเทศพม่าต่อภาคเหนือตอนบนของไทยน๊ะ. !!!??!!!"


    คำพยากรณ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆองค์

    ครั้งหนึ่ง "พุทธวงศ์"ได้ยินข่าววงในแจ้งมาให้ทราบเป็นการลับที่สุดว่า เมื่อหลายปีก่อน มีพระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาชั้นสูงได้ประชุมปรึกษาหารือกับพระมหาเถระผู้เป็นประธานใหญ่แห่งยุคสมัย(ขอสงวนนาม)ว่า"บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ วุ่นวายนัก พวกกระผมดำริว่า จักใช้อำนาจฤทธิ์ที่มีอยู่จัดการปัญหาทั้งหลายให้สิ้นไป ไม่ทราบว่าพ่อแม่ครูอาจารย์จะเห็นสมควรหรือไม่.."

    เมื่อได้ฟัง "พระมหาเถระ"ก็ได้กล่าวปฏิเสธห้ามเอาไว้ทีเดียวว่า

    "อย่าเลย แม้ท่านอาจจักใช้ฤทธิ์สงบปัญหาได้ ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ตลอด ในกาลอนาคต ปัญหาย่อมอาจเกิดขึ้นมาได้ใหม่ โดยบุคคลใหม่ เหตุปัจจัยใหม่ได้ทุกเมื่อ ในกาลนั้น พระอริยะอรหันต์ผู้มีฤทธิ์เช่นเราท่านจักไม่มีแล้ว แล้วจะทำการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเช่นใด ด้วยเหตุนี้ จึงให้ปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามกฏแห่งกรรมและกลไกกฏหมายของบ้านเมืองที่จะพึงแก้ไขกันเอาเถิด..!!!!!"



    "พวกโยมทั้งหลาย หากตายจากชาตินี้ไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อย่าเพิ่งด่วนลงมาเกิดในโลกมนุษย์เลย ให้พักอยู่บนสวรรค์ชั่วคราวก่อนเถิด เพราะบ้านเมืองและโลกต่อไปจะวิกฤติเดือดร้อนสับสนวุ่นวายมาก..!!!!??!!!!"

    .....คำปรารภของพระอริยะเจ้าสายกรรมฐานยุคปัจจุบันองค์หนึ่ง(ขอสงวนนาม)

    (อ่านฉบับจริงได้ที่ http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-100422223548992&PageNo=1&Other=#LoopStart)

    Credit: http://forums.ittiyano.com/index.php?topic=4508.0


    http://palungjit.org/threads/ศาสตร์...ทางโลกและทางธรรม-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ.362660/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ตุลาคม 2012
  19. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    เออมนุษย์นี่ก็แปลกเน่อะ ช่วยกันปล่อยก๊าซคาร์บอน บนโลก แต่จะไปปลูกต้นไม้เพิ่มอ๊อกซิเจนบนดาวอังคาร ทำไมไม่ช่วยกันลดการตัดไม้บนโลกไม่ดีกว่าหรือครับ :mad:
     
  20. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ผมเห็นด้วยครับ ..คนเรานี้แปลกจริงๆ ของที่อยู่ใกล้ตัว กลับไม่เห็นคุณค่า โลกของเราสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหมาะสมดีอยู่แล้ว
    กลับไม่ช่วยกันดูแลรักษาให้เต็มที่ ..จะไปทำในสิ่งที่ยาก ของใกล้ตัวง่ายๆแท้ๆ เป็นหญ้าปากคอก แต่กลับไม่สนใจ..แปลกดีนะ. ครับ....:'(


    http://palungjit.org/threads/ศาสตร์...ทางโลกและทางธรรม-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ.362660/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...