บิ๊กฟรีซจุดจบแห่งทุกสรรพสิ่งและจักรวาลนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 13 พฤศจิกายน 2009.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ใน ตำนานเทพเจ้าแถบสแกนดิเนเวีย แร็กนาร็อก ก็คือชื่อสงครามอวสานโลกอันเนื่องจากการสู้รบระหว่างฝ่ายเทพเจ้า เรียกว่า แอซิร์ (Æsir) ซึ่งนำโดย โอดิน(Odin) กับฝ่ายอสูร เรียกว่า โยตุนส์ (Jotuns) ซึ่งนำโดย โลกิ (Loki)
    สงครามครั้งนี้ ไม่เพียงนำมาซึ่งการสิ้นชีพทั้งฝ่ายเทพเจ้าและฝ่ายปีศาจ แต่ยังเป็น สงครามครั้งสุดท้ายที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจนสูญสิ้น หลงเหลือเพียง เทพเจ้า บางองค์ และมนุษย์ ที่จะร่วมกันสร้างโลกใหม่
    ถึงแม้ว่า เหล่าเทพเจ้าได้ล่วงรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากสงครามก่อนแล้วผ่านคำทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ อะไรขึ้นเมื่อไร ใครจะต่อสู้กับใคร และใครจะถูกใครสังหาร แม้กระนั้นฝ่ายเทพก็ไม่มีอำนาจเพียงพอจะป้องกันไม่ให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้นได้ อย่างไรก็ตามฝ่ายเทพก็ได้ต่อสู้ เผชิญหน้าต่อชะตากรรมของตนอย่างกล้าหาญ

    [​IMG]

    ในสังคมของนักรบชาวไวกิ้งการตายในสงครามเป็นวีรกรรมอันน่ายกย่องประการหนึ่ง โดยวิญญาณของนักรบผู้พลีชีพในการศึกจะถูกอัญเชิญไปยังหอแห่งความปีติหรือวัลฮัลลา (Valhalla) เพื่อพบกับโอดิน เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
    คำทำนายของคนทรง วอลวา (Völva) เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และชะตากรรมของทวยเทพนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลาจนถึงยุคของแร็กนาร็อก ได้ถูกเล่าขานสืบทอดเป็นบทกวีตำนานมาตั้งแต่ช่วง 1000 ปี ก่อนคริสตกาลนั้นเอง

    แม้ว่านี่ดูจะเป็นตำนานปรัมปราที่มนุษย์เราเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเพื่อกระซิบบอกกันรอบกองไฟ ก็เป็นตำนานที่ใช้ได้ที่เดียว
    มาบัดนี้วิทยาศาสตร์เองก็ได้เผชิญหน้ากับคำถามนี้เช่นกัน คำถามเกี่ยวกับจุดจบแห่งทุกสรรพสิ่ง
    [​IMG]
    :ภาพดาวเทียม Wilkinson Microwave Anisotropy Probe satellite

    เมื่อนักวิทยาศาสตร์ต้องการที่จะตอบคำถามนี้พวกเขาจะต้องรู้เสียก่อนว่าสถานะของจักรวาลของเรา ณ ตอนนี้เป็นเช่นไร ภายใต้เงื่อนไขเริ่มต้นอะไร?
    โครงการอวกาศสุดท้าทายอย่าง ดาวเทียม Wilkinson Microwave Anisotropy Probe satellite (WMAP)นั้นเป็นความก้าวหน้าล่าสุดของเรา ที่จะตอบคำถามนี้ มันทำให้เราสามารถที่จะเปิดเผยแผนที่ของคลื่นไมโครเวฟจากอวกาศพื้นหลัง(cosmic microwave background radiation, CMB) ซึ่งเปรียบเสมือนเสียงสะท้องจากการเกิดบิ๊กแบงได้
    [​IMG]

    :ภาพแผนที่ของคลื่นไมโครเวฟจากอวกาศพื้นหลัง
    แต่ผลอีกอย่างที่น่าตกใจไม่แพ้กันก็คือ มี แรงต้านทานแรงโน้มถ่วงอันลึกลับมาเร่งให้การขยายตัวของจักรวาลเกิดขึ้นแบบเลขชี้กำลัง ดั้งนั้น จุดจบของเราก็จะหนีไม่พ้นบิ๊กฟรีซแทนที่จะเป็นบิ๊กครันซ์ นี่หมายความว่า ณ จุดจบจักรวาลจะถูกแช่งแข็งหรือใกล้เคียงศูนย์สัมบรูณ์เพราะการเจือจางลงของพลังงานในจักรวาล อันเนื่องมาจากการก้าวเข้าสู่ภาวะการขยายตัวแบบยกกำลังไร้การควบคุม

    ซึ่งแม้ว่านี่จะดูแปลกประหลาดก็จริงอยู่แต่ถ้าลิองนึกดีๆเราจะพบว่ามันเป็นไปตาม กฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ กล่าวว่า "สำหรับกระบวนการที่เกิดได้เองและย้อนกลับไม่ได้ เอนโทรปีของจักรวาล (DS<SUB>univ</SUB>) จะมากกว่าศูนย์ และสำหรับกระบวนการที่ย้อนกลับได้ (reversible process) และอยู่ในสมดุล เอนโทรปีของจักรวาลจะไม่เปลี่ยนแปลง"

    เราจะเห็นความลึกซึ้งทีเดียวของกฏลึกลับนี้ นั้นก็คือโดลรวมแล้วกฏข้อนี้บอกเราว่าทุกสรรพสิ่งย่อมจะเสื่อมสลายไป เมื่อมองมาที่ตำนานเราจะพบว่าแม้โอดิน จะเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ แต่ตัวพระองค์เองก็มิได้เป็นนิจนิรันดร์ จักต้องพ่ายแพ้ต่อสุนัขป่าเฟนรีร์ และม้วยมอดไปในการศึกแห่งแร็กนาร็อกในที่สุด

    ผมจะสรุปจุดจบของจักรวาลในแนวทางนี้ให้ฟังดังนี้

    วินาทีที่เกิดบิ๊กแบ็งขึ้นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงพลังงานในจักรวาลที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นจุดเล็กมาก ๆ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเป็นพันล้านองศา! แต่หลังจากการเกิดบิ๊กแบ็ง จักรวาลขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว และเย็นตัวลงด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ราวหนึ่งในล้านของวินาทีแรกที่เกิดการระเบิดขึ้น อุณหภูมิที่คำนวณได้อยู่ที่ราว 18 ล้านล้านองศาฟาเรนไฮต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที อุณหภูมิที่อ่านได้นั้นอยู่ที่ 1.8 พันล้านองศาฟาเรนไฮต์ ‘เท่านั้น’ และขณะที่จักรวาลเย็นตัวลง อนุภาคย่อยที่ประกอบกันขึ้นเป็นอนุภาคอะตอมก็สร้างโปรตอนและนิวตรอนขึ้นมา ซึ่งต่อมาก็รวมตัวกันเป็นนิวเคลียสของอะตอม และเพียงหนึ่งวินาทีหลังจากบิ๊กแบ็งสิ่งที่อยู่ในอวกาศก็ถือกำเนิดขึ้นในรูปของโปรตอน นิวตรอนและอิเลคตรอน
    เมื่อจักรวาลมีอายุไม่ถึง 5% ของอายุในเวลานี้
    มันก็มีดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเรารู้ได้จากการปะทุของรังสีแกมมาซึ่งเป็นการระเบิดที่เจิดจ้าที่สุดในจักรวาลที่ถูกตรวจพบด้วยดาวเทียมสวิฟต์ของนาซา การปะทุของรังสีแกมมาจะเกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ขนาดยักษ์เผาผลาญเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จนหมด แกนในของมันได้ยุบถล่มเกิดเป็นหลุมดำ หรือกลายเป็นดาวนิวตรอน แล้วเกิดพวยก๊าซพุ่งระเบิดออกสู่ห้วงจักรวาล ซึ่งเป็นกระบวนการที่นักฟิสิกส์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นัก

    การมีดาวฤกษ์ก็หมายความว่าเรามีแหล่งพลังงาน พอที่จะก่อให้เกิดธาตุหนัก ดาวฤกษ์รุ่นใหม่ๆและก่อตัวโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตขึ้นมาบนดาวเคราะห์สักดวงที่เกิดจากแผ่นจานของฝุ่นละออง(แพลนเน็ตซิมัล)และเทหวัตถุในอวกาศที่หมุนวนรอบๆดาวดวงนั้น
    [​IMG]
    :ภาพกลุ่มเนบิวาล่านกอินทรี
    อย่างไรก็ตามเมื่อดาวฤกษ์เกิดปฏิกิริยาฟิวชันในฮีเลียมและไฮโดรเจนในแกนกลางไปอีกหลายสิบล้านปี จนกระทั่งฮีเลียมในแกนกลางหมด แกนกลางมีแต่คาร์บอน และชั้นเปลือกไฮโดรเจนที่เกิดฟิวชันอยู่จะบางลง ทำให้ฟิวชันเปลือกไฮโดรเจนเกิดน้อยลง ดาวจึงเย็นลงอีกครั้ง เหตุการณ์ซ้ำรอยจึงเกิดอีกครั้ง นั่นคือ ดาวยุบตัว อัดฮีเลียมที่อยู่รอบๆนอกแกนกลาง ให้มาเป็นเปลือกนอกแกนกลาง แต่ด้วยความที่ฮีเลียมหนักกว่าไฮโดรเจน ฮีเลียมที่ถูกอัดลงมาจึงจมผ่านชั้นเปลือกไฮโดรเจนลงไปเป็นเปลือกชั้นใน ส่วนชั้นเปลือกไฮโดรเจนเดิมก็เป็นเปลือกชั้นนอก
    แล้วฟิวชันเปลือกไฮโดรเจนที่ยังเหลืออยู่ ก็จะเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม
    จนหมดสิ้นก่อนที่จะเกิดการ จมลงมาในชั้นเปลือกฮีเลียม แล้วฟิวชันเปลือกฮีเลียม เป็นคาร์บอน ดาวจะมีขนาดใหญ่มากจนทำลายล้างทุกชีวิตบนดาวเคราะห์ ถ้ามีดังนั้นจุดจบจริงๆของโลกจึงอยู่ที่ไฟ
    [​IMG]

    ภาพ:ดาวฤกษ์ในวัยชรา

    การที่ดาวฤกษ์เกิดปฏิกิริยาฟิวชันจนเชื้อเพลิงหมด ทำให้แหล่งพลังงานส่วนใหญ่ของจักรวาลเริ่มหมดลงดังนั้น แหล่งพลังงานที่เหลืออยู่จึ่งต้องมาจากกระบวณการแผ่รังสีของหลุมดำ และระเบิดลงอย่างเฉียบพลัน

    เมื่อพลังงานชนิดนี้หมดลงอีกจักรวาลจะพบกับจุดดับสูญของพลังงานความร้อนขั้นสุดท้าย อุณหภูมิจะใกล้เคียงศูนย์สัมบรูณ์ เพราะการเจือจางลงของพลังงานในจักรวาล อนุภาคต่างๆแม้แต่โปรตอนก็จะเริ่มสลายตัวลงเหลือไว้แต่โฟตอน อิเล็กตรอน นิวตริโนและคู่ปฏิอนุภาคของพวกมัน การหมุนวนระหว่างอิเล็กตรอน และคู่ปฏิอนุภาคของมันจะทำให้เกิดอะตอมของโพสิตรอนเนียม

    ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ขึ้นมาได้จากอะตอมของโพสิตรอนเนียม สภาวะบิ๊กฟรีซนี้ช่างสุดขั่วเอามากๆ เพราะถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นจักรวาลก็จะไม่โยนข้อมูลทิ้งไปนั้นก็หมายความว่า สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่จะพบว่าตัวเองต้องวนเวียนอยุ่กับความทรงจำเก่าๆและสามารถคิดไปเรื่อยๆอย่างไร้ขีดจำกัด

    เพราะการเย็นลงของจักรวาลทำให้ทุกสรรพสิ่งเข้าสู่สภาวะจำศีล บางทีความที่ดูเหมือนเป็นนิรันดร์เช่นนี้อาจจะ เปรียบเสมือนคุกกักขัง จนนักฟิสฺกส์ชั้นนำทั้งที่เป็นชาวพุทธและศาสนาอื่นพากันเปรียบเทียบไปว่านี่คือนิพพานของจักรวาลแบบที่ชาวพุทธเฝ้าค้นหา


    คำถามจึ่งอยู่ที่ว่า ในนิพพานแบบนี้ยังจะเรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ของชีวิตหรือไม่? และมีอรรยธรรมใดๆหรือไม่ที่จะหนีห่างออกไปสู่พหุจักรวาลอื่น เนื่องจากสภาวะที่จักวาลแทบจะไม่หลงเหลืออะไรเลย

    นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่มักที่จะใช้ชีวิตบนอยู่บนสภาวะของความสับสน เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักจริงๆถึง หนทางที่จะตอบคำถามทั้งหมดให้แก่จักรวาลโดยที่เราจะไม่หลงทางไป จักรวาลวิทยาดูจะเป็นวิชาที่มีข้อมูลที่น้อยที่สุด และเกลื่อนไปด้วยซากของทฤษฏีมากมาก

    ไม่ว่าจะเป็นแรงต้านทานแรงดน้มถ่วงเหล่านี้คืออะไร?กันแน่ ค่าแลมด้าและโอเมก้า ตกลงมีค่าเท่าไร?กันแน่

    บางทีมันอาจจะเป็นสนามฮิกส์ที่เย็นตัวลงอย่างยิ่งยวด หรือที่เราเรียกว่าสนามอินเฟลตรอนจะสามารถเปลี่ยนแปลงมายังจุดที่พลังงานมีค่าต่ำที่สุดและสม่ำเสมอทั่วจักรวาลได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากผลทางควอนตัม แต่ทว่ามันไม่ได้กระโดดพร้อมๆกันในทุกๆจุดของจักรวาล

    หรือบางทีมันอาจจะเป็น
    สสารมืด ที่มีมวลมากกว่าที่มองเห็น ที่มาจากการประมาณค่าทางทฤษฏีเกี่ยวกับการแผ่รังสีทั้งหมดในจักรวาล
    ที่พบว่า 4% เป็นของวัตถุที่สามารถมองเห็นได้ 22% มาจากสสารมืด 74% มาจากพลังงานมืด แต่เป็นการยากมากที่จะทดสอบได้ว่าสสารมืดเกิดจากอะไร แต่เชื่อว่าน่าจะมาจากการประกอบกันของส่วนเล็ก ๆ ของ baryons จนเกิดเป็นสสารมืดขึ้น

    หลักฐานที่ยืนยันเกี่ยวกับการ คำรงอยุ่ของสสารมืดมาจาก
    การใช้เลนส์โน้มถ่วงตั้งแต่ปี 2006 และอีกหลาย ๆ แง่มุมทางทฤษฎี การทดลองที่อ้างถึงการเดินทางของสสารมืดผ่านโลก ยังเป็นข้อสงสัยของนักวิทยาศาสตร์อยู่ เนื่องจากผลจากการทดลองไม่ยืนยันได้แน่ชัด จากผลของ DAMA สสารมืด ประกอบด้วย neutralinos และเมื่อใช้เลนส์โน้มถ่วงและการใช้วิธีต่าง ๆ พบว่ามวลในจักรวาล 85-90% ไม่ทำปฏิกิริยากับแรงทางแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนั้นมันจึ่งไม่รวมตัวกันเกิดเป็นโมเลกุลต่างๆ

    จึ่งสามารถแบ่งสสารมืด สามารถแบ่งได้ 3 แบบคือ
    1.สสารมืดแบบร้อน
    2.สสารมืดแบบอุ่น
    3.สสารมืดแบบเย็น
    การแบ่งแต่ละแบบเป็นไปตามความผันผวนของเส้นสเปกตรัม ถ้าสสารมืดประกอบด้วยอนุภาคของแสงมากมายซึ่งเชื่อว่าต้องมีความสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของสสารมืด ในพจน์ ‘HOT’ สสารมืดแบบร้อน ประกอบขึ้นมาจาก neutrino ที่มีพลังงานสูงความเร็วสูง ทำให้มีอุณภูมิสูง สสารมืดแบบอุ่นประกอบด้วยอนุภาค neutrino เช่นกันแต่มีความเร็วน้อยกว่า ทำให้มีอุณภูมิที่เย็นลงมา ส่วนในพจน์ สสารมืดแบบเย็น(Cold Dark Matter: CDM) เป็นอนุภาคที่พบมากที่สุด
    สสารมืดแบบร้อน ประกอบด้วยอนุภาคที่มีความเร็วสูง เป็น neutrino ซึ่ง neutrino เป็นอนุภาคที่มีมวลน้อยและไม่ทำปฏิกิริยากับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า หรือแรงนิวเคลียร์อย่างแรง ดังนั้นการที่จะตรวจจับอนุภาคดังกล่าวเป็นไปได้ยากมาก และยังมีข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งคือมีความหนาแน่นน้อย จึงเป็นข้อจำกัดว่าอนุภาคดังกล่าวไม่สามารถรวมตัวกันได้เนื่องจากมีพลังงานสูง และสสารมืดแบบร้อน ไม่สามารถอธิบายทฤษฎีบิ๊กแบงด้วยตัวมันเองได้ จากการวัดคลื่นไมโครเวฟจาก COBE, WMAPได้ผลการสำรวจที่เหลือเชื่อคืออนุภาคดังกล่าวสามารถจับกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ได้ แต่ เนื่องจากเป็นอนุภาคที่เล็กและมีความเร็วสูงจึงไม่สามาถจับกันเป็นก้อนใหญ่ได้ แต่ก็ยัง ยืนยันว่ามี สสารมืด ในรูปแบบของ neutrino อยู่จริง
    [​IMG]
    ประมาณการสัดส่วนของสสารมืดและพลังงานมืดในเอกภพ


    ส่วน สสารมืด ที่มีความสอดคล้องกับการค้นพบต่าง ๆ คือ สสารมืดแบบเย็น เป็นวัตถุที่มีมวลมาก ใกล้เคียงกับมวลของจักรวาล โอกาสที่จะเกิดคือการที่ baryonic matter ประกอบด้วยมวลที่อัดแน่นสีน้ำตาลเป็นของแข็ง หนา และประกอบด้วยธาตุหนัก แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า MACHOs เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของ สสารมืด เท่านั้น ขณะนี้เชื่อว่าแรกเริ่ม สสารมืด ประกอบด้วย non-baryonic ซึ่งประกอบมาจากอนุภาคที่แตกต่างจากอนุภาคปกติคือ อิเล็กตรอน นิวตรอน และโปรตอน หรือที่รู้จักในชื่อ นิวตริโน จึงมีการเสนอการวัดอนุภาคอีกแบบหนึ่งเรียกว่า WIMPs(Weakly Interact Massive Particles ,including neutralinos) ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้หา สสารมืด ในปัจจุบัน

    เพื่อกันความผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องการขยายด้วยความเร่งที่เราสังเกตุพบ เราจะบอกกับท่านว่ามันยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ที่ต้องอาศัยการวัดที่รัดกุมอีกต่อไป เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ที่บรรพบุรุษของเราเฝ้าหลงใหลมาตั่งแต่ครั้งอดีตการณ์ ว่าจุดจบของทุกสรรพสิ่งเป็นเช่นไร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2009
  2. sramin

    sramin สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    นิพพานไม่สูญ
     
  3. lek_077

    lek_077 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +133
    ภาวะจําศีลไม่ใช่นิพพาน คุกกักขังไม่ใช่อารมณ์นิพาน ก่อนเปรียบเทียบควรศึกษาก่อน
     
  4. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    แหมๆ.......นี่เป็นกระทู้ฟิสิกส์นะครับอย่าเข้าใจผิดชอบจับผิดกันจริงๆนะครับ

    ผมว่าผมพุดภาษาคนรู้เรื่องนะครับ

    ผมพุดถึงบิ๊กฟรีดครับไม่ได้พูดถึงหนทางไปสู่นิพาน อืมส์อ่านดีนะครับก็เหมือนกับเวลามีคนพูดถึงมรรคแปดในควาร์กก็ไม่ได้พูดถึงมรรคในอริยสัจสี่นะครับ

    ถ้าจะพูดถึงนิพพานก็ไปหานิพพานในที่ที่มันร้อนๆหน่อยแล้วกันนะครับ ดูจะเหมาะสมดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2009
  5. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ทำไมผมจึ่งเปรียบเทียบจักรวาลแบบที่การขยายตัวเกิดขึ้นไปเรื่อยว่าจักรวาลนิพพาน
    เหตุผลข้อแรกคือตามความเชื่อของชาวพุทธ

    จักรวาลเป็นนิรันดร์ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด มีสภาวะการดำรงอยู่หลายๆระดับ โดยมีระดับสูงสุดคือนิพพานที่ไม่มีเกิดและดับและสามารถเข้าถึงได้ด้วยการเจริญสติอย่างบริสุทธ์เท่านั้น

    ซึ่งแนวคิดนี้มีความใกล้เคียงกับฮินดูบางลัทธิอย่างที่ในคัมภีร์มหาปุราณะ กล่าวถึงความเป็นนิรันดร์ของจักรวาลและกาลเวลา

    สำหรับบิกฟรีช(Big feeze) นั้นเป็นอนาคตของจักรวาลแบบที่มีค่าโอเมก้าน้อยกว่า1ดังนั้นจึ่งไม่มีสสารมากพอที่จะหยุดการขยายตัวหรือย้อนกลับทิศทาง ดังนั้นจักรวาลจึ่งไม่ยุบตัวลงและเป็นนิรันดร์(ขยายตัวไปเรื่อยๆ)

    นี่เองคือจุดที่ผมเรียกว่า จักรวาลนิพาน

    ทำไมจักรวาลนิพพานจึ่งเปรียบเสมือนคุกกักขัง ในสภาวะสุดขั้นนี้อุณหภูมิจะใกล้เคียงศูนย์สัมบรูณ์ เพราะการเจือจางลงของพลังงานในจักรวาล

    ดังนั้นถ้าอรรยธรรมใดๆก็ตามที่สามารถอยู่รอดจนถึงจุดนี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือมนุษย์ต่างดาว(ถ้ามี) ก็จำเป็นที่จะต้องหนีออกจากคุกกักขังของจักรวาลนี้ไปสู่พหุจักรวาลอื่น(ถ้ามี)จึ่งจะเป็นหนทางที่รอดชีวิตได้(เพราะจักรวาลไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตแล้วนั้นเอง)

    นี่เองคือความหมายที่ผมจะสื่อ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจใดๆเลยเพราะถึงแม้ผมจะเชื่อว่าคนเรามีสติปัญญาที่เท่าเทียมกัน แต่วิจารณญาณที่มีอยุ่ตลอดจนการฝึกฝนที่จะคิดนั้นต่างกัน

    ดังนั้นจึ่งดุเหมือนว่าจะมีคนที่มีความคิดอยู่น้อยกว่าพวกที่ดีแต่เห่าหอนไปวันๆ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย
    นั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2009
  6. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    เลี่ยงไปใช้ ภาษาอื่นที่ไม่ใช้ศาสนศาสตร์อธิบายก็ได้นิคะ ให้ใช้ภาษาทางฟิสิกส์อธิบายก็ได้
    เช่นอนันตจักรวาลอะไรเทือกนั้น จริงอยู่คนเราสติปัญญาย่อมไม่เท่ากัน เพราะเหตุการเกิด
    ไม่เหมือนกัน และการใช้ชีวิตย่อมไม่เหมือนกัน ความเชื่อและการเรียนรู้ย่อมไม่เหมือนกัน
    ถ้าบางอย่างมีผลกระทบต่อส่วนรวม ก็สมควรที่จะปรับให้เข้ากับสังคมนั้นๆ ก็เหมือนกับ
    ห้องมืดห้องหนึ่งเราสามารถฟันธงได้เลยหรือเปล่าว่าห้องที่มืดนั้นมีอะไรอยู่หรือเป็นห้องโล่งไม่มีอะไรอยู่....แต่สำหรับเราความเป็นจริงมันจะเขียนด้วยภาษาอะไรก็ช่าง สุดท้าย
    เราก็ต้องพบกับมันอยู่ดี จริงไหม
     
  7. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ก็แค่การตั้งชื่อให้ฮิตครับอันนี้ฝรั่งเขาคิดมานะครับ
     
  8. Jaturongktpm

    Jaturongktpm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +181
    การยึดถือตำราฟิสิกส์มากเกินไป มีแต่จะติดหล่มภวังค์ความคิด ไม่ช่วยให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ฟิสิกส์จะทรงอิทธิพลต่อโลกแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นและจะถึงทางตันในไม่ช้าเพราะมันได้ก้าวมาสุดขอบเขตของมันแล้ว สิ่งที่จะค้นพบใหม่จะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยฟิสิกส์ เพราะความเป็นจริงของชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้น สิ่งที่ผิดหลักการณ์ของฟิสิกส์แต่มันยังทรงพลังต่อชีวิตของเราอยู่ขณะนี้ ไม่สามารถใช้ตรรกศาสตร์หรือคำอธิบายใดๆทางฟิสิกส์มาอวดอ้างได้ ต่อให้เป็นนักฟิสิกส์เก่งแค่ไหน ก็คงไม่ได้มานั่งคำนวณว่า กระสุนปืนขนาดนี้ ความเร็วขนาดนี้ ความแรงกี่นิวตัน มุมยิงกี่องศา วิ่งมาเจาะกระโหลกกูตรงนี้....โอย...กูตายละ...... ความดียังไม่ได้ทำ...แล้วกูจะไปไหน.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A5993975-63.jpg
      A5993975-63.jpg
      ขนาดไฟล์:
      692 bytes
      เปิดดู:
      91
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2009
  9. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ถ้ากวีสามารถพรรณาดวงดาราได้ราวกับคนๆ หนึ่ง แล้วดวงดาราที่เป็นกลุ่มอะตอมแก็สร้อนๆหมุนวนเล่าควรนิ่งเฉยเช่นนั้นหรือ
    แน่นอนว่า การรู้เกี่ยวกับมันบ้างเล็กน้อยถึงความงามที่เกินกว่ากวีท่านใดในอดีตจะเคยจินตนาการไว้ นั้นคือความจริง
    ไม่ได้ทำให้ความลับดังเดิม และความงามของธรรมชาติสุญเสียไปเลย หน่ำซ้ำจะยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วคุณจะสงสัยว่าทำไมกวีในยุคปัจจุบันถึงไม่พูดถึงมัน

    ในทางวิทยาศาสตร์เรามักพูดว่าทุกสรรพสิ่งประกอบมาจากอิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน
    ในขณะที่ในชีวิตคนเราเรามักพูดถึงศาสนา ความสวยงาม รัฐ และอื่นๆ
    แล้วอย่างไหนทำให้เราสามารถเข้าใกล้ความลับดังเดิมของธรรมชาติได้มากกว่ากัน กฏพื้นฐานของธรรมชาติ หรือ ศาสนา ความสวยงาม หรือรัฐ

    เมื่อยืนอยู่ปลายท่าเรือแล้วก้าวเท้าด้วยความมั้นใจเต็มเปลี่ยมว่านั่นจะนำพาเราไปสู่จุดสุดยอดของความลับนี้ นั้นคือความผิดพลาดและผมคิดว่าคนที่คิดแบบคุณนั้นกำลังยืนอยู่บนปลายท่าเรือ

    เป็นการง่ายที่เราจะล้อเล่นกับอะไรที่เราไม่รู้จริง และพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่รู้ๆกันอยู่ โดยปกปิดความจริงที่ว่าเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับที่ที่เรายืนอยู่นี้
    ซึ่งในชีวิตของเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ สมมุติว่าผู้ชายคนหนึ่งเดินออกไปกับหญิงคนรักและมองดูดาว ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า ผมรู้แล้วว่าทำไมดวงดาราจึ่งส่องแสง ผมคือมนุษย์คนแรกที่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าหญิงสาวไม่ได้รู้สึกปราบปลื้มเท่าใดนักหรอก กับการออกมาเดินเล่นกันชายเพียงคนเดียวในโลกที่รู้ความลับนั้น เธอแค่ยิ้มและบอกกับเขาว่าฉันรักคุณมาพูดถึงเรื่องของเราดีกว่า
    ชีวิตจึ่งหลงทางอยู่แต่วังวนเก่าๆ

    นั้นตั้งหากคือคนโง่บัดซบอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2009
  10. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ถึงเเม้เราเราจะค้นพบอะไรหลายๆอย่างทางฟิสิกส์ในทุกวัน เราก็ไม่สามารถจะขับจับความรู้ได้หมด เเต่ในขณะเดียวกันเราก็เริ่มเอามาเปรียบเทียบโต้เเย้งกับทางธรรม ดูเเล้วๆเหมือนเราจะรู้มากเเต่จริงๆเเล้วมันก็ยังมีรูรั่วอยู่ดี เเล้วในอีกเเง่หนึ่งเราไปศึกษาทางธรรมหรือยังก่อนที่เราจะนำบทความทางฟิสิกส์มาเปรียบเทียบ
    เราเข้าใจนะว่าคุณต้องการคำตอบในทางโลกทีเคลียร์หรือเเม้คำตอบทางธรรมก็ตาม เเต่ว่าคุณลองปฎิบัติทางพุทธดูดิ เเล้วคุณนำไปผสมกับฟิสิกส์คุณอาจจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกในบรรดานักฟิสิกส์ก็ได้นะ คุณอาจจะได้คำตอบอะไรหลายๆอย่างทั้งทางโลกเเละธรรมะ datedoctor
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2009
  11. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ขอบคุณที่แนะนำครับไว้ผมจะลองไปปฏิบัติธรรมดูนะครับ(แต่ปกติผมไปโบสถ์ทุกๆวันอาทิตย์นะ ช่วงโปรดของผมก็คือช่วงตำนานในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม

    เพราะผมคิดว่าตำนานต่างในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
    ถ้ากรองส่วนของเทววิทยาออกไป ก็เป็นเรื่องเล่าที่สอนศีลธรรมได้เข้าใจง่ายดี เช่นเรื่องน้ำถ่วมโลก โนอาร์ ปลาวาฬ แอปเปิ้ลและอีฟ ผมคิดว่าเข้าใจง่ายกว่าการนั่งสมาธิที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างมากในการพิจารณาความเป็นไป แต่ทั้ง2วิธีก็สอนเรื่องเดียวกันคือศีลธรรม การใช้ชีวิต และความดีซึ่งจะวิธีไหนก็ได้ประโยชน์เท่าๆกัน)
    เออคือผมไม่ได้เอาศาสนามารวมกับวิทยาศาสตร์นะครับเพราะ ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และผมไม่เคยพูดถึงศาสนาธรรมใดๆเลยพึ่งสังเกตุ
    เพราะผมรู้แค่พื้นๆ
    แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นศาสนาและวิทยาศาสตร์ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันก็เหมือนกับ แมวสามขา และครับ
    สมการทางวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายธรรมชาติได้แต่อะไรล่ะ ที่เป่าลมหายใจให้กับสมการทำให้มันมีชีวิตที่สามารถควบคุมปรากฏกราณ์ต่างๆของธรรมชาติได้

    วิทยาศาสตร์และศาสนาทำให้เรารู้เหมือนกันเรื่องนึ่งคือมนุษย์นั้นก็แค่ธุลีกระจ๋อยร๋อยในจักรวาลขนาดมหึมาที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆเลย

    ถือเป็นการดับความอหังการ์ของเราอีกทางหนึ่งได้ด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2009
  12. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    คำตอบถึงนิพพานที่ตอบยาก เพราะเวลาในชาติเดียวไม่สามารถจะตอบให้เราได้ พระพุทธเจ้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบชาติ เพื่อปฎิบัติบารมีสิบอย่าง เพราะจะได้นิพพานได้ต้องมีบารมี บารมีได้มาจากอะไร? บารมีได้มาจากบุญ ที่คุณไปโบสถ์ไปวัดบ่อยๆยังงี้ก็บุญ เเต่เมื่อเรามีเเค่บุญ ก็เป็นเรื่องปกติว่าเราจะมองนิพพานว่า โหวสูงจัง ไกลจัง เพราะมันต้องสะสม

    เมื่อก่อนเราก็ชอบ ฟิสิกส์มากเลยเเต่วันหนึ่ง ความคิดเราก็เปลี่ยนไป เรามองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างตั้งเเต่ความลำบาก ไล่ไปจนถึงความสบาย จนบางทีไกลไปเป็นความโลภ ขณะนี้โลกเรากำลังถอยหลังทุกสิ่งกลับคืนสู่เบสิค เมื่อก่อนเราเคยคิดอยากประดิษฐ์เเต่เราก็คิด..ว่ายิ่งประดิษฐ์ยิ่งเหมือนตอบ สนองทางกิเลสให้คน เราเคยดูหนังบางทีบ้านพระเอกรวยมากเเต่บ้านไม่มีความสุข เเละเขารักกับนางเอกเเต่เขาออกจากบ้านไมไ่ด้ ตอนนี้สิ่งที่เขาปราถนาคือไปใช้ชีวิตอยู่เงียบๆกับนางเอกที่ไหนสักเเห่งใน โลกนี้ไปมี(ชีวิตที่พอเพียง)ต่อให้อยู่กลางป่าเขาก็ไม่สน เราคิดว่ามนุษย์เราเกิดมาก็เพื่อสั่งสมบารมีเพื่อเอาไว้เป็นบรรได เอาไว้ให้สูงถึงจุดจุดหนึ่งที่จะสามารถส่งให้เราไปนิพพานได้ พวกเราเปรียบเสมือนหนูอยู่ที่มันปั่นๆในวงล้ออ่ะ ที่มันต้องวิ่งไปตลอด(เราก็ไม่รุ้ว่าเรียกว่าอะไร) พวกเราก็เหมือนกัน สังคม วัฒนธรรมเขาสั่งสอนให้เราทำอะไร เราก็วิ่งไปทุกวันวิ่งไปทุกชาติโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เมื่อไรละเราจะหยุดวิ่ง เราทำโดยที่ไม่เคยถอนจิตขึ้นมามองจากข้างบนเลยว่านี่เรากำลังกลายเป็นหุ่น ให้สังคมเชิดละ ทางที่ดีเราควรจะเลิกเป็นตัวละครในนี้ดีกว่า ทางออกเป็นยังไงพระพุทธเจ้าบอกวิธีการปฎิบัติไว้ให้เเล้ว เราอาจจะต้องใช้เวลาหลายชาติเพื่อสะสมบารมีตัวคุณเองก็เช่นกันตอนนั้นคุณอาจ จะสมสมบารมีอยู่ อย่าลืมว่าจุดประสงค์ที่เเท้จริงของคนเราคืออะไร
     
  13. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    ขอโทษที่ตอบออกนอกเรื่องไปเเต่เราอ่านเเล้ว คิดว่านี่ล่ะคือสิ่งที่คุณตามหา เเล้วคุณอย่าลืมตามหามันนะคะ (ยิ้ม)
     
  14. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    (ยิ้ม)ขอบคุณที่แนะนำครับ

    คืออันที่จริงแล้วผมคิดว่าคนเราเกิดมาเพราะมี หน้าที่บางอย่างที่เราจะต้องมาทำนะครับก่อนที่จะตายจากไป(ผมไม่เชื่อเรื่องชาติภพแต่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม)

    ผมคิดว่าคนเรามีชีวิตเดียวหน้าที่ของเราคือทำให้มันดีที่สุด

    ถ้ามีกฏเกณฑ์บางอย่างอยู่จริงที่ควบคุมแม้แต่กระทั้งพฤติกรรมของทุกสรรพสิ่ง ทั้งจักรวาลมนุษย์(ในกรณีที่คุณไม่เชื่อเรื่องเจตจำนงอิสระนะครับ) ชาวพุทธอาจจะเรียก
    ว่ากฏแห่งกรรมก็ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็อยู่ใต้กฏแห่งกรรมนะครับ อันนี้พระท่านบอกมาไม่ได้นั่งเทียนเขียนมาเองนะครับ

    ดังนั้นกฏเหล่านี้ก็จะเป็นตัวกำหนดความหมายของการมีชีวิตอยู่ของแต่ล่ะคนว่า เขาเหล่านั้นเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ใช้ชีวิตแบบไหน และจะจากไปเช่นไร?มันไม่เกี่ยวกับว่าการพัฒนาความรู้หรือนวัตกรรมใดๆก็ตามจะไปส่งเสริมกิเลสให้มากขึ้น ให้เป็นพวกวัตถุนิยม ตามกระแสทุนนิยม
    ถึงแม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่ามันเองก็เป็นผลพวงมาจากกิเลสที่ต้องการการเติมเต็มอยู่เสมอๆ
    จนหลงลืมตัวตนและคนรอบข้าง

    กิเลสเป็นสิ่งที่อยู่กับตัวบุคคลอยู่แล้วได้มาเท่าๆกันครับตามความคิดของผม(เพราะคนเรามีความต้องการเท่าๆกัน) แต่การเรียนรู้และฝึกฝนในการที่จะลดมันลงด้วยวิธีต่างๆบนโลกใบนี้ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาของแต่ละคนทำได้ไม่เท่ากัน ทำให้แต่ละคนลดกิเลสได้ไม่เท่าๆกัน
     
  15. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ขอบคุณครับ
     
  16. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    " เราคืออัลฟา และโอเมก้า "
    อธิบายคำนี้ให้ฟังหน่อยครับคุณหมอ ทำในแง่วิทยาศาสตร์ และปรัชญาศาสนา จะรออ่านนะครับ...........
    --------------------------------------------------------------------
    ขอนอกเรื่องอีกหน่อย

    - ทำไมการเคลื่อนที่ของดาวบริวารต้องเป็นวงรีด้วยครับ ในความรู้สึกผมว่าวงกลมมันน่าจะเสถียรกว่า

    - โลกเราโคจร (หมุน )อยู่ในระบบสริยะ ระบบสุริยะโคจร (หมุน )อยู่ในกาแล็คซี่ แกแล็คซี่โคจร ( หมุน)อยู่ใน จักรราศี...ไม่รู้ว่าเรียกชื่อถูกหรือเปล่า เอาเป็นว่าโคจรในโคจร ทับซ้อนกันเรื่อย อินฟินิตี้ มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันณิษฐาน

    - การขยายตัวของจักรวาล มีค่าเท่ากับความเร็วแสง ทีนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐาน นั้นหมายถึง การขยายตัวของวัตถุ และพลังงาน แต่ช่องว่างที่รองรับวัตถุและพลังงานนั้น ๆ มีอยู่ก่อนแล้ว อันนี้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ

    - " ดาวบางดวงที่เราเห็นนั้น บางดวงก็ระเบิดทำลายตัวเองไปแล้ว แต่ที่เราเห็นคือแสงที่ทยอยเดินทางเข้าสู่ม่านตา " คำกล่าวนี้หมอว่าสมเหตุสมผลหรือเปล่าครับ

    - การตรวจอายุของวัตถุ อย่างเช่น พวกฟอสซิล นี้เค้ามีหลักอะไรครับคุณหมอ มีค่าความผิดพลาดมากน้อยขนาดไหน บางทีเห็นว่ากันเป็นล้าน ๆ ปีนู่น

    ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยนะครับมีเหตุให้ฟุ้งเมื่อไหร่คันทุกที.. ถือว่าทำทานกันเนาะหมอเนาะ
     
  17. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    แหมๆๆๆๆๆ

    ครับ
    คำถามข้อแรกนี่พออ่านดูแล้วผมนึกถึง โคเปอร์นิคัส(คนที่คิดว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ไงเป็นการพื้นแนวคิดของพวกเฮเลเนติกในกรีก)ขึ้นมาทันที่เลยนะครับ
    เนี่ย แล้วมันโคจรแบบไหนล่ะเนี่ย นันดิโคเปอร์นิคัสคิดว่ามันต้องเป็นวงกลมแน่ๆเพราะเขาเชื่อเหมือนคนโบราณว่าวงกลมดิ๊กๆเนี่ยดีสุด งดงามสุด สเถียรสุด
    แต่แล้วพอเคปเลอร์นำข้อมูลของไทโคร์ บาฮี มาวิเคราะห์ร่วมกับแนวคิดนี้ตั้งเป็นกฏ3ข้อก็พบว่า ไม่นะดาวเคารห์ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์แบบกลมดิ๊กนี่มันต้องเป็นวงรี

    วงกลมถือว่าเป็นวงรีรูปแบบหนึ่งในเขิงเรขาคณิตนะครับอย่าลืม

    คำถามคือทำไมต้องเป็นวงรี ไม่มีใครตอบได้โทมัส แฮ็กลี่ย์เองก็รำคราญเลยไปถามนิวตันว่าทำไมมันเพราะอะไร?ผเขาถามเกี่ยวกับวงโคจรของดาวหางนะครับว่าเป็นแบบไหน แต่นิวตันตอบหมดทุกดาวเคราะห์ หรือเทหวัตถุใดๆที่โคจรรอบๆเลย)

    นิวตันตอบว่าง่ายมากเพราะแรงโน้มถ่วงตามกฏผกผันกำลัง2นะสิ แฮ็กลี่ย์ถอนหายใจคุณรู้ได้ไงเพราะ ผมคำนวญไว้แล้วนะสิ
    ทำไมมันจึ่งไม่กลมดิ๊ก(อย่าลืมสิครับว่า มันได้รับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆรอบๆนะครับดังนั้นจึ่งไม่กลมดิ๊ก)

    แต่เราสามารถใช้ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปก็อธิบายได้นะครับจะเกี่ยวกับเรื่องของเจโอเดซิกในกาลอวกาศโค้งเนื่องจากสสารและพลังงานผเทนเซอร์พลังงาน-โมเมตัมของไอสน์ไตน์)

    ข้อ2.อันนี้เป็นหลักสัมพัทธภาพเลยนะครับเนี่ย ตอบง่ายๆครับว่ากาแล็กซี่ไม่ได้โคจรรอบอะไรครับ(ไม่มีจักรราศีนะครับ จักรราศีเป็นแค่กลุ่มดาวฤกษ์เท่านั้น(เล็กกว่ากาแล็กซี่นั้นแหละ)) แต่มันจะหนีห่างจากกาแล็กซี่อื่นเป็นส่วนใหญ่(เช่นทางช้างเผือกของเรา) เนื่องจากการขยายตัวของเอกภพ

    ข้อ3.การขยายตัวของเอกภาพ มีค่าเท่ากับความเร็วแสงโดยไม่ละเมิดหลักของสัมพัทธภาพ อันนี้แค่ช่วงแรกที่เกิดการพองตัวหลังเวลาพลังค์ ตามทฤษฏีอินเฟกชันเท่านั้นครับ คือที่ว่างนี่มีอยู่แล้วครับจะเรียกว่าอวกาศก็ได้ แต่เดี่ยวนี้คนมักจะเรียกมันว่าไฮเปอร์สเปซเพราะเขาเชื่อว่าอวกาศมี10มิติไม่นับเวลานะครับ
    คือเขาจะถือว่าเรียกรวมอวกาศทั้งหมดว่าจักรวาลนะครับคือนับจากช่วงเวลาพลังค์ อวกาศ(ไฮเปอร์สเปซ)เต็มไปด้วยสุญญากาศเท็จที่ไม่เสถียร นึกถึงภาพน้ำเดือดนะครับ
    ดังนั้นมันจึ่งเกิดการประทุเป็นพรายฟองขึ้นมา(แต่ละฟองเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน) แต่ละฟองนั้นคือจักรวาลจะเรียกว่าจักรวาลลูกก็ได้ นี่เองที่เราเรียกว่าบิ๊กแบ็ง และเอกภพของเราก็เป็น1ในจักรวาลลูกที่วิวัฒนาการมาจากตอนนั้น และในปัจจุบันนี้แม้แต่ตอนที่ผมกำลังตอบคำถามคุณก็มีจักรวาลลูกเกิดขึ้นซึ่งจะพัฒนาไปเป็น พหุจักรวาลต่อไปครับ
    นี่เองที่เป็นการประสานรวมแนวคิดแบบนิพพานและการสร้างของทั้ง2ศาสนาเข้าด้วยกันซึ่งต้องรอดูต่อไปว่ามันจะเป็นจริงหรือเปล่า(1ในผู้พัฒนาทฤษฏีนี้คืออาจราย์ของผมเอง ท่านชื่อศ. อลัน กูธ ท่านอยู่ที่MIT)

    ข้อ4.อันนี้คือหัวใจของหลักสัมพัทธภาพเลยนะครับ นั้นคือเมื่อเรามองดูดาวนั้นก็แปลว่าเรากำลังมองย้อนอดีตเพราะแสงมีความเร็วจำกัด เช่นคุณมองดวงอาทิตย์คุณก็กำลังมองเห็นมันในอดีตเพราะ แสงจากดวงอาทิตย์ต้องใช้เวลา8นาทีกว่าจะมาถึงเซลล์เรติน่าในดวงตาของเรา(8นาทีมาถึงโลกนั้นเองเนื่องจากระยะทางที่ไกลมาก)และเกิดปฏิกริยาทางเคมีขึ้น

    ข้อ5.คืออาศัยการวัดการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี คือในฟอสซิลต่างๆ หรือแม้แต่กระทั้งทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราจะมีความเป็นกัมมันตรังสีอยู่ แม้แต่ตัวเราเองก็เถอะ
    หลักการก็มีอีกมากแต่ขอตรงประเด็นเลยคือในการหาอายุพวกฟอสซิวนี่เขาจะยึดหลักว่าสิ่งมีชีวิตจะต้องหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป ซึ่งมันจะประกอบไปด้วยไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสี อย่างคาร์บอน14 และอีกเหตุผลคื่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานมากที่สุด ดังนั้นค่าครึ่งวิตของมันจะประมาณ5730ปี(เลขนี้ผมจำแม่นเชียว) เมื่อคนและสัตว์หรือพืชตายก็จะไม่มีคาร์บอน14เพิ่มเข้ามา และคาร์บอนก็จะเริ่มสลายตัว การวัดปริมาณคาวร์บอน14ที่เหลืออยู่ก็จะทำให้เราสามารถประมาณอายุของฟอสซิลได้ ในขอบเขตเวลาหลายหมื่นปีทีเดียว แต่ไม่เกิน35000
    ส่วนพวกที่มีอายุเป็นแสนปีหรือล้านปีก็จะใช้การวัดกัมมันตรังสีของการสลายตัวของไอโซโทปโพแทสเซียมไปเป็นอาร์กอนครับ

    ส่วนอันฟ่าหรือโอเมก้าเนี่ยเป็นอักษรกรีกครับ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ถ้าไม่ใช้แทนชื่อของอนุภาคมูลฐานก็จะใช้ตั้งชื่อค่าคงที่ในจักวาลครับ
    เช่นค่าอัลฟ่าก็จะแทนค่าคงที่ไฟร์สตรัจเจอร์(เป็นค่าคงตัวที่รวมเอาค่า คงที่ของพลังค์ และค่าความเร็วแสงเข้าไว้ด้วยกัน ถูกเสนอครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่(เพื่อนซี้โบร์และไอสน์ไตน์เลยนะคนนี้)อาร์โน ซัมเมอร์เฟสครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2009
  18. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    (ยิ้ม)นี่คือคำตอบแบบสั้นๆนะครับ

    แต่เราสามารถตอบเรื่องวงโคจรได้อีกครับคือวงโคจรดาวเคราะห์หรือเทหวัตถุไม่ได้เป็นได้แค่วงรีนะครับ
    แต่เป็นไปได้3แบบ
    1.วงรี
    2.ไฮเปอร์โบล่า
    3.พาราบอล่า
    ทั้งนี้ขึ้นกับพลังงานรวมทั้งหมดของระบบนี้
    ดังนี้
    ถ้าพลังงารรวมเป็นลบก็จะหมายความว่าพลังงานจลน์ของดาวเคราะห์หรือเทหวัตถุมีไม่มากพอที่จะพามันหนีออกไปจากสนามโน้มถ่วงได้เพราะพลังงานจลน์ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานศักย์เอาชนะแรงดึงดูดได้

    แต่ถ้าพลังงานรวมเป็นบวกวิธีโคจรจะเป็นไฮเปอร์โบล่าเพราะมีทั้งการเพิ่มขึ้นและลดลงของพลังงานจลบน์เกิดขึ้นในขณะที่โคจรเข้ามาใกล้หรือออกห่าง(ขึ้นกับโมเมนตัมเชิงมุม)จากดาวฤกษ์ (วัดจากจุดศูนย์กลาง)

    แต่ถ้าพลังงานรวมเป็น0 วิธีวงโคจรจะเป็นพาราบอล่าเพราะพลังงานจลน์มีค่าเท่ากับพลังงานศักย์

    แล้วในเมื่อแรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดทำไม? มันจึ่งไม่ดึงดาวเคราะห์ให้เข้ามาติดดาวฤกษ์
    สามารถตอบได้ว่าเนื่องจากแรงโน้มถ่วงกระทำเป็นแรงสู่ศูนย์กลางของการโคจรซึ่งจะมีทิศทางตั้งฉากกับแนวทางการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ดังนั้น จึ่งไม่เกิดงานขึ้นมาทำให้พลังงานจลน์ของดาวเคาระห์เปลี่ยนไปดังนั้นจึ่งไม่เกิดการสูญเสียพลังงานจลน์ไปดาวเคราะห์จึ่งสามารถโคจรโดยไม่ถูกดึงดูดมาติดที่ศุนย์กลาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2009
  19. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    ขอบคุณมากครับ....สำหรับความรู้ที่คุณหมอได้แบ่งปันในครั้งนี้ครับ.....อยากมีโดเรมอนซักตัวเนาะ เอาให้มันจะจะด้วยตาเนื้อกันไปเลย...5 5
     
  20. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ไม่เป็นรัยครับมีข้อสงสัยรัยก็ถามได้นะครับวิทยาสาสตร์มีคำตอบ555
     

แชร์หน้านี้

Loading...