พรหมวิหารสี่ ความประมาท และโพธิสัตว์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 29 มกราคม 2008.

  1. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    [​IMG]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2010
  2. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ผมไม่มีความรู้ลึกๆ เรื่องการสะกดจิตเลย
    แต่รู้แบบงูๆปลาๆ ตามแบบที่ชาวบ้านรู้กัน คงไม่อาจอธิบายกลไกทางจิตได้

    ลองพิจารณาดูแบบผ่านๆเผินๆ ดูเหมือนจะมีความละม้ายคล้ายคลึงกันนะ
    การฝึกสมาธิเข้า ฌาณ เป็นการสะกดจิตตัวเอง แบบมีสติสัมปชัญญะพร้อม
    แต่การถูกสะกดจิต เป็นการถูกผู้อื่นสะกด จิตไร้สติและสัมปชัญญะ

    แต่ดูลึกๆแล้ว การสะกดจิตนี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของการเดินฌาณนะ
    ยังอธิบายไม่ถูก
     
  3. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ตอนที่พบทาง(มรรค)นี้ใหม่ๆ
    ให้กระดี้กระด้ามาก รู้สึกตนว่ากู่แน่ ได้พบทางสุดวิเศษ ที่ผู้อื่นพบได้ยาก และกูเป็นเลิศกว่าใคร

    แต่เมื่อขึ้นไปเดินบนทางสายที่พบที่เห็นนั้นแล้ว
    แรกๆ โอ้ย....สนุกสนาน
    เรา กำหนดเป้าแห่งสังขารที่ต้องการ แล้วเลือกสัญญา(เร่งความเร็วจิต) ขึ้นมาปรุงแต่งกับ รูป ที่เข้ามาสัมผัสและ เวทนาที่ได้รับ
    สังขารธรรมที่ได้รับก็เป็นได้ดังใจปรรถนา
    ผู้อื่นดู / แม้แต่เราดูนเอง อาการ(สังขารธรรม)ที่เราแสดงออก มันผิดชาวบ้าน เช่น
    รูปและเวทนาที่เกิดขึ้น ชาวบ้านทั่วไปจะขำ หัวเราะ
    แต่เราดึงสัญญาแห่งคามเศร้าอาดูรขึ้นมาแทน
    อาการที่เราแสดง กลับร้องไห้น้ำตาไหล
    หรือในทางกลับกัน เรื่องที่คนทั่วไปโศกเศร้า ร้องไห้น้ำตาไหล
    เรากลับหัวร่อจนงอหาย
    ดูไป ดุจคนบ้า

    เราเล่นสนุกอยู่กับสิ่งนี้ หลายหลากรูปแบบ
    เล่นกับตนเอง
    และเล่นกับผู้อื่น
    ดุจดังเป็นผู้กำกับ เข้าไปจัดแจงสังขารธรรมของเขาเหล่านั้น ให้เป็นไปในทางที่เราปรารถนา

    เราสนุก เล่นเช่นนี้อยู่พักใหญ่(โดยสร้างเหตุสร้างปัจจัยเพื่อให้ได้สังขารธรรมที่ต้องการ)
    เราเริ่มพบ ช่องว่างรูโหว่มากมาย ที่สังขารแห่งจิต(สังขารธรรม)จะเล็ดลอดออกไป
    หลุดออกไปจากการควบคุมของเรา
    มีสะภาพเหมือนจับฝูงปูใส่กระด้ง
    เราไม่อาจควบคุมให้อยู่ในโอวาดได้เลย

    ใจเราเริ่มเป็นทุกข์
    เราดูเหมือนจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังใจปรารถนา
    แต่เอาเข้าจริงๆ เรากลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย

    โอ้ สังขารธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนเปลี่ยนแปลงไปสุดคนานับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
    เป็นดังที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้

    สัพเพสังขาราอนิจจา
    สัพเพสังขาราทุกขา
    สัพเพธรรมาอนัตตาติ

    และด้วยทางที่เราพบและขึ้นไปเดินนี้
    ทำให้เราเข้าใจในสภาพธรรมทั้งสามนี้อย่างแท้จริง
     
  4. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ข้าคือ “สุวินันท์” (ตอนที่ 1)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ข้า “สุวินันท์” ได้เฝ้าดูการทำงานของ “ใจใน กิจ ทั้งปวง
    ไม่นาน ก็ให้ ระอา ในวิธี และครรลองการทำงาน ของใจ
    ที่ยังให้เกิด รูป และ นามทั้งหลาย(สังขารขันธ์) อันสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้งหก
    อันมี กาย และใจ เป็นใหญ่ มีแต่ก่อให้เกิดแต่ความทุกข์ติดตามมาไม่รู้สิ้น<O:p</O:p

    ข้า ผู้เป็นวิศวกรและนักบริหารอันยิ่งใหญ่ จึงตกลงใจ ลงไปบริหารจัดการ การทำงานของ ใจ ด้วยสติและสัมปชัญญะอันเสมอกัน
    เพื่อยังให้ขันธ์ห้า อันเกิดแล้วจาก อินทรีย์สิบสอง (ภายนอกหก-ภายในหก) ให้เป็นไปตามครรลองที่ต้องการ
    ด้วยหลักการที่มั่นคงบน มรรคแปด อันสมบูรณ์พร้อมด้วยพรหมวิหารสี่และความไม่ประมาท
    ซึ่งยังความอยู่เย็นเป็นสุข ในการดำรงอยู่ตามที่ข้าปรารถนา

    <O:p</O:pข้าได้กระทำการดังกล่าวอยู่ได้ไม่นาน ข้าได้ความรู้ใหม่ว่า สังขารขันธ์ทั้งปวง (รูป และนาม) อันเกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์ห้านั้น
    สามารถเปลี่ยนแปลงได้สุดคะนานับ ตามเหตุและปัจจัยแห่งการปรุงแต่ง
    ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ป้อนเข้าทาง อินทรีย์สิบสอง(อายตนะภายนอกหก ภายในหก) หรือวิธีประกอบข้อมูลในขบวนการของขันธ์ห้า
    ล้วนทำให้สังขารขันธ์(รูปธรรม นามธรรม) ที่เกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้สิ้นสุด นับเป็นอนันต์
    และเพียงข้าประมาทแม้แต่น้อยหนึ่ง หรือเพียงยังสติและสัมปชัญญะย่อหย่อนต่อกัน กิจทั้งปวงที่ ใจ ข้ากระทำ ผลที่ได้ ก็ผิดเพี้ยน ออกจากครรลอง
    <O:p</O:p
    โอ้… นี่ข้าจักต้องใช้เวลาทั้งมวล ลงไปบริหาร จัดการในกิจทั้งปวง
    เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขตามปรารถนา ในทุกทิวาทุกราตรี ทุกอริยาบท ทุกลมหายใจเข้าออก หรือ !…
    และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงมิต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เฝ้าบริหารการทำงานของ ใจ ตลอด โดยไม่อาจประกอบกิจอื่นๆหรือ!…
    <O:p</O:p
    อื้อ…นี่หรือคือ คำกล่าวที่ว่า “สัพเพ สังขารา อนิจจา” สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ.…. ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง

    แล้วคำกล่าวที่ว่า “สัพเพ ธรรมา อนัตตา” เล่า… เป็นไฉน!!!…<O:p</O:p
     
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    พลัน ข้าลำลึกได้ว่า เคยมีเหตุการณ์ เกิดขึ้นแล้ว ต่อตัวข้า สองกรณีด้วยกัน<O:p</O:p

    1. ประเทศที่ข้าอาศัยอยู่ได้เกิดปัญหาวิกฤติทางการเงิน เมื่อกลางปี 2540 และส่งผลกระทบต่อข้าถึงล้มทั้งยืน
    และเมื่อข้าประเมินความเสียหาย มีมูลค่ามากกว่า 40 ล้าน ความหวัง อนาคต ฯลฯ ล้วนหยุดชะงัก
    สิ่งที่ข้าได้สร้างไว้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาล้วนอันตรธานสิ้นในพริบตา
    ในขณะนั้น สมอง และความคิดคำนึงล้วนว่างเปล่า <O:p</O:p

    2. เมื่อต้นปี 2543 หลังจากที่ข้าได้เริ่มเข้าบริหาร ใจ ในกิจทั้งปวงได้ระยะหนึ่งแล้ว
    ข้าได้สูญเสียบุตรชายคนที่สองไปอันเนื่องจากอุบัติเหตุ บุตรผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถสูง
    เป็นผู้ที่ข้าฝากความหวังทั้งมวล ในการกอบกู้ฐานะ รวมทั้งทุกสิ่งที่จะสร้างให้เกิดขึ้นใหม่
    ณ เวลาที่ข้ารับรู้ ถึงความสูญเสีย ความรู้สึกของข้า ล้วนว่างเปล่า
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำหนดไว้ ล้วนว่างเปล่า
    สังขารธรรมทั้งปวงที่กำหนดให้บังเกิดขึ้นแล้ว อันอาศัยความสามารถของบุตรข้า ล้วนว่างเปล่า
    ประดุจมายา ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็หายวับไปต่อหน้า
    ความว่างเปล่า ในความรู้สึกขณะนั้น คมชัด และเข้มข้น ชัดเจน ชัดเจนมากกว่าความสูญเสียฐานะในปี 2540<O:p
    <O:p</O:p
    ข้าฯได้ตั้งเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นแล้ว เป็นบทศึกษา กำหนดรู้ ลงในบทศึกษานั้น
    ดูขบวนการแห่งขันธ์ห้าที่บังเกิดแล้ว ดับไป แล้วตั้งต้นดูใหม่ ดูย้อนกลับไป กลับมา(อณุโลม ปฏิโลม)
    ในเรื่องที่ผ่านไปทั้งปวง พิจารณาลงในความว่าง ที่เกิดขึ้นแล้ว
    ข้าฯ พบว่าในใจลึกๆของข้า มีความเสียใจ น้อยใจ และหดหู่ (ตรงข้ามกับ ปิติ)<O:p</O:p

    ข้าผู้เป็นยอดวิศวกรและนักบริหารอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้ลงไปจัดการ การทำงานของ ใจ ได้ตาม ปารถนา
    เหตุใดเล่า ความรู้สึกเสียใจ หดหู่ จึงปรากฏแทนที่ ความปิติ ในความว่างนั้น
    ความว่างนั้น คืออะไรหนอ!!.. และด้วยการวางบทศึกษาที่เหมาะ กอบด้วยธรรมอันกระทำแล้วไม่ย่อหย่อน 7 ประการ
    ข้าได้เห็น (สัมผัสถึง) สายไยอัน นุ่มนวลละเอียดอ่อน ใสและเบาบาง ยากสังเกต
    แต่แข็งแกร่งและเหนียวแน่นกว่าเหล็กกล้า เกาะเกี่ยวใจข้าเข้ากับสังขารธรรมทั้งปวงที่สร้างขึ้น
    และเริ่มเข้าเกาะเกี่ยวในทุกขบวนการ ในทุกขั้นตอนการทำงานของอินทรีย์สิบสองและขันธ์ห้าในการสร้างสังขารธรรมทั้งปวง
    เส้นไยอันบางเบาละเอียดอ่อน แต่เหนียวแน่นนี้คืออะไรหนอ<O:p</O:p
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ข้าได้วางบทศึกษาใหม่ และกระทำด้วยความสมบูรณ์พร้อมในธรรม 7 ประการ คือ

    1. ทรงไว้ซึ่งสติและสัมปชัญญะอันเสมอกัน
    2. ตั้งบทศึกษาในธรรมนั้นให้ถูกส่วน
    3. กระทำแล้วด้วยความเพียร
    4. ทรงไว้ซึ่ง ปิติ
    5. ทรงไว้ซึ่งความสงบ
    6. ตั้งมั่น เฝ้ารู้ ในวงกว้างและหยั่งลึกในธรรมนั้น
    7. รับรู้ และวางเฉย(อุเบกขา)ในสังขารธาตุ สังขารธรรมทั้งปวงที่บังเกิด ให้รู้ ให้เห็น ในขบวนการเฝ้าพิจารณานั้นๆ<O:p</O:p

    ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้รับรู้ถึงความว่าง 2 ประการ อันเป็น “ธรรม” ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในโลกนี้

    1. ความว่าง ตัวแรก ข้ารับรู้ได้จากความว่างเปล่าในทรงกลมแห่งการกำหนดรู้รอบตัว
    ลักษณะประดุจความเวิ้งว้างในห้วงอวกาศ และเมื่อสำรวจในเชิงกว้าง และหยั่งลึกแล้ว(กำหนดรู้ลงในวิญญาณธาตุของความว่างนี้)
    ปรากฏว่า ความว่างนี้ ว่างไม่จริง
    เป็นสิ่งที่เรียกว่า “อากาศธาตุ” เป็นสถานที่รองรับ การเกิดขึ้น และการสลายไปของทุกสรรพสิ่ง
    เป็นที่รองรับการรวมตัวกันของธาตุสี่(ดิน น้ำ ลม ไฟ)
    อันเกิดขึ้นแล้วตามความปรารถนาของ ใจ (ตันหา) โดยการกระทำของปราณ เป็นตัวช่วยในการประกอบธาตุธรรม
    เป็นความว่างที่แทรกตัวอยู่ในรูปธรรมทั้งปวง
    ความว่างตัวนี้มีอยู่เองแล้วโดยธรรมชาติ ไม่อาจต่อเติม หรือปรุงแต่งให้มากขึ้นหรือน้อยลง
    ไม่อาจปรุงแต่งให้ผิดรูปเป็นอย่างอื่นได้ ฯลฯ<O:p</O:p

    2. ความว่างประการที่สอง ข้ารับรู้ได้จากเหตุการณ์ความสูญเสีย 2 ครั้งนั้น
    โดยข้าผู้เป็นวิศวกรผู้ยิ่งใหญ่ ได้ตัดต่อ เปลี่ยน ความปิติ เข้าไปแทนที่ ความหดหู่ ที่อยู่ลึกๆนั้น
    พิจารณาธรรมคือความว่างตัวนี้ ด้วยธรรม 7 ประการ กระทำโดยอนุโลมและปฏิโลม
    ข้าจึงรู้ว่าธรรมนี้คือ สิ่งที่เรียกว่า “สุญตา”
    เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการ ขาดสะบั้นและสลายไปของเส้นไยอันเบาบางที่เกาะเกี่ยวระหว่าง รูปธรรม นามธรรม ทั้งปวง กับ ใจ
    และสายไยอันอ่อนนุ่มเบาบางนั้นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “อุปทาน”
    ซึ่งก่อเกิดในทุกขบวนการของอินทรีย์สิบสอง และขันธ์ห้า(อุปทานในขันธ์ห้า)
    และวิญญาณธาตุ ของสุญตาเล่าเป็นไฉน!! … <O:p</O:p

    ข้า ผู้ทะนงตนว่ายิ่งใหญ่ เป็นสุดยอดในยอด จึงวางใจลงบนวิญญาณธาตุ แห่งสุญตานั้น
    ดังที่ข้าเคยวางใจลงบนทุกสรรพสิ่งแม้แต่ อากาศธาตุ ข้าก็เคยกระทำ
    แต่ครั้งนี้ ข้าพบแต่ ความว่างเปล่า ไม่มีกะไรทั้งสิ้น.!!…..
    แล้ว..นี่..ข้าจักวางใจลงบนอะไรเล่า
    ก็ในเมื่อสิ่งนี้ ไม่มีอยู่ในอะไรเลย หรือไม่ได้ประกอบจากอะไรสักอย่าง
    สิ่งนี้ไม่มีอยู่ใน, และไม่ได้ประกอบขึ้นเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โลกนี้ โลกอื่น มหาจักรวาล หรือ ฯลฯ
    แล้วสิ่งนี้คืออะไร และอยู่ที่ไหนเล่า ?<O:p</O:p

    หรือว่า วิญญาณธาตุ ของสุญตา ก็คือดินแดนแห่งนั้น…………….<O:p</O:p

    แล้วข้าจะเข้าสู่ดินแดนนี้ได้อย่างไรหนอ ?!!…………<O:p</O:p

    บันทึก ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
    <O:p</O:pข้า สุวินันท์ ผู้บันทึก<O:p</O:p
     
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ข้าเฝ้าเพียรพยายาม ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อวางใจลงบนความว่าง เพื่อหยั่งลึก ลงในวิญญาณธาตุแห่ง สุญตา
    แต่สิ่งที่ข้าได้สัมผัส ก็เพียงความว่างของ อากาศธาตุเท่านั้น เหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนี้
    <O:p</O:p

    ข้ายังขาดความรู้ในธรรมใดอยู่หรือ?!!.. ธรรมอันใดหรือ ที่จะเกื้อกูลต่อข้า ให้แจ้งใน สุญตา !…
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ข้าได้ตั้งบทศึกษาใหม่ ประกอบพร้อมด้วยธรรม 7 ประการ กระทำโดยอนุโลมและปฏิโลม
    พิจารณาอย่างสุขุมและรอบคอบกว่าเดิม ปล่อย ใจ ให้เป็นอิสระ เริ่มต้นเฝ้าดูการทำงานของ ใจ ใหม่
    พิจารณารายละเอียด การทำงานทุกขั้นตอน
    ตั้งแต่ อินทรีย์สิบสอง ขบวนการเกิดของขันธ์ห้า โดยใช้หลักการของ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เข้าสรุปผล
    รับรู้ถึงขบวนการเกิดขึ้นและดับไปของกิเลสและตันหา
    รับรู้ถึงขบวนการของ สิ่งที่เรียกว่า “มรรคแปด และนิโรจ” แต่ ไม่ชัดเจนในสิ่งที่เรียกว่า “ทุกข์ และสมุทัย”
    รวมถึงขบวนการที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาทธรรม” ด้วย
    <O:p</O:p

    และในบทศึกษานี้ ทำให้ข้าได้รู้ว่า การเกิดขึ้นหรือสลายไป ของทุกสรรพสิ่งในความว่าง (อากาศธาตุ)นั้น
    ไม่ว่าจะเกิดจากส่วนใด ในขบวนการของความปรารถนา (หรือเป็นไปตามขบวนการของขันธ์ห้า) ก็ตาม
    การเกิดขึ้นหรืออุบัติขึ้น, การสลายไปหรือจุติ ของสิ่งนั้น
    จะเกิดสิ่งคู่ ที่ตรงกันข้าม เกิดขึ้นเสมอ

    ประดุจดังเงาสะท้อนในกระจกหรือผืนน้ำ
    เช่น ความสว่าง-ความมืด สุข-ทุกข์ มี-ไม่มี เป็น-ไม่เป็น บุญ-บาป ภาวะตันหา-วิภาวะตันหา วิชชา-อวิชชา ฯลฯ

    รวมถึงสภาพธรรมทุกขั้นตอนที่ข้าได้กระทำให้แจ้งแล้ว ก็เกิดสภาพ สิ่งตรงข้ามเป็นเงาสะท้อนอยู่เสมอ
    และสังขารธรรมที่ข้าได้รู้ได้เข้าใจนั้น (ซึ่งมีสภาวะคู่) ล้วนเกิดจาก ขบวนการของขันธ์ห้าใน ใจ ของข้าเองทั้งสิ้น

    และมีอยู่ สองสิ่งเท่านั้นเองที่เป็นไปโดยธรรมชาติของมันเอง คือความว่างของ อากาศธาตุ และความว่างของสุญตา(ที่ข้ายังเข้าไม่ถึง)

    นอกนั้นเป็นสังขารธรรมที่สร้างขึ้นจากความปรารถนาของข้าเองทั้งสิ้น
    ทุกสิ่ง เป็นสิ่งทีข้ากระทำแล้วให้เกิดขึ้น ด้วย ใจ ข้าเอง
    ซึ่งเป็นไปตามภูมิรู้(วิญญาณธาตุ)ของตัวข้าเอง ที่สะสมมาเนิ่นนาน นับแต่ดวงจิตข้าได้อุบัติขึ้นในมหาจักรวาลนี้ จวบจนปัจจุบัน

    และทุกสิ่งทุกเรื่องราว ล้วนเกิดขึ้นจาก ใจ ข้า
    ประหนึ่งดังว่า ข้าเป็นนักประพันธ์ เขียนบทละครเอง เล่นเอง ดูเอง ชื่นชมและติเตียนบทละครและตัวแสดงเอง
    และใส่ภูมิรู้ของตนเองลงในเรื่องราวนั้น

    และเมื่อข้ามองออกไปภายนอก (สัมผัสกับภูมิรู้อื่นๆ)
    และมองย้อนกลับมาที่ตนเอง เปรียบเทียบ พร้อมศึกษาขบวนการ ที่เกิดวิญญาณธาตุ(ภูมิรู้)ของตนเองและของทุกสรรพสิ่ง
    <O:p</O:p

    ข้า ผู้เป็นยอดของวิศวกรและนักบริหารอันยิ่งใหญ่
    เริ่มไม่แน่ใจ ในความเป็น ยอดในยอด
    เริ่มไม่แน่ใจถึงความยิ่งใหญ่ที่ตนเองมีอยู่
    หลังจากรับรู้ขบวนการสะสมภูมิรู้ในจิตวิญญาณ ภูมิรู้ที่มีสภาพเป็นทวิลักษณ์
    แต่มองและกำหนดรู้และนำมาใช้เพียงด้านเดียว

    ด้านที่นำมาใช้ เป็นด้านใดเล่า วิชชา หรือ อวิชชา
    สภาพธรรมที่ข้ารู้ ที่ข้าเห็น ที่ข้าว่าถูกต้อง มองจากด้านใด ….
    ถูกต้องจริงหรือ… สภาพธรรมเหล่านั้นเป็นที่พึ่งแก่ตัวข้าได้หรือ …
    หรือว่า ฯลฯ
    <O:p</O:p

    ใจ ข้าเริ่มว่างเปล่า
    ธรรมทั้งปวงที่ข้ารู้ ที่ข้าเห็น ไม่อาจยึดมั่น ไม่มีสาระที่แน่นอนให้ถือดี รู้ก็สักแต่ว่ารู้ (สังขารธรรมของวิญญาณธาตุ)
    ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน ฯลฯ

    นี่หรือ คือสิ่งที่เรียกว่า “สรรพเพ ธรรมา อนัตตา” ธรรมทั้งหลายไม่อาจยึดถือเป็นตัวตน และถือดี มีสภาพดังมายา ดุจพยับแดด

    บันทึก ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
    ข้า สุวินันท์ผู้บันทึก<O:p</O:p
     
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ข้าคือ “สุวินันท์” (ตอนที่ 2)<O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    วันนี้ ข้าน้อย เฝ้าเพียรศึกษาพิจารณา การเกิดขึ้นและการสลายไป ของทุกสรรพสิ่ง ในสภาพคู่ (ทวิลักษณ์) บนความว่าง(อากาศธาตุ)
    วางใจ ลงบนจุดต่อ(หว่างกลาง) ของสภาพทวิลักษณ์นี้
    ส่งใจออกสัมผัสที่ปลายสุดโต่งทั้งสองด้าน และเฝ้ารู้อยู่ ด้วยทางสายกลาง
    และตั้งบทศึกษาลงในขบวนการ ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นจุดเริ่มของ ทุกข์และสมุทัย
    ย้อนอดีตเพื่อปรับ ภูมิรู้ทั้งมวลในสภาพทวิลักษณ์ ใหม่ทั้งหมด …อีกนานเท่าไรหนอ… จึงจะทำสำเร็จ ?…<O:p</O:p

    วันนี้ ทัศนคติที่ข้าน้อย มองทุกสิ่งรอบข้าง เปลี่ยนไปอีกครั้ง
    เปลี่ยนครั้งแรก เมื่อพบวิธีการบริหาร ใจ ให้ได้สังขารธาตุและสังขารธรรมที่ต้องการ และรับรู้ในความยิ่งใหญ่ของตนเอง

    เปลี่ยนเป็น ทุกสิ่งล้วนธรรมดา
    ข้าน้อย เป็นเพียงจิตวิญญาณหนึ่ง ที่มีธรรมดาเวียนว่ายตายเกิดอยู่
    ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เป็นสุดยอดในอะไรทั้งสิ้น
    ทุกอย่างเป็นเพียงบทละครน้ำเน่าธรรมดาๆ
    ที่ข้า นักเขียนบทประพันธ์ผู้โง่เขลา เขียนบทเอง เล่นเอง ดูเอง วิจารณ์เอง สะใจเอง ฯลฯ
    และเก็บภูมิรู้ (ทั้งถูกและผิด) ทั้งหมด ไปเป็นข้อมูลเขียนบทละครตอนใหม่ เท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จิตรู้ อยู่ในความว่าง ย่อมเป็นอิสระ จิตที่เป็นอิสระย่อมเป็นสุข อย่างยิ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว รอบตัวข้า ทั้งที่สร้างขึ้นเอง และผู้อื่นสร้าง
    ข้าเป็นเพียงผู้อาศัยยังประโยชน์อยู่เท่านั้น
    เมื่อใช้แล้ว ก็(ปล่อย)วางไว้ในที่อันควร
    ไม่ได้โยนทิ้งดุจขยะที่ไร้ค่า
    และก็ไม่ได้เทิดไว้ดุจของล้ำค่าสุดวิเศษ
    และขบวนการของอินทรีย์สิบสอง ขันธ์ห้า ในกายข้า ก็ยังเกิดดับอยู่เช่นเดิม

    เพียงแต่ข้า เป็นผู้ใช้ประโยชน์อยู่ ด้วยทางสายกลาง บนมรรคแปด อันสมบูรณ์พร้อมด้วยพรหมวิหารสี่และความไม่ประมาท<O:p</O:p

    บันทึก ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544
    ข้า สุวินันท์ ผู้บันทึก<O:p</O:p
     
  9. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,641
    นิทานทุกเรื่องล้วนลึกซึ้งมากๆ ต้องพิจารณาหลายต่อหลายครั้ง ก่อนอ่านก็ต้องปล่อยจิตให้ว่าง คือ สงบ อ่านไปพิจารณาไป ถึงจะเข้าใจ
    อนุโมทนาครับพี่สุวินันท์
     
  10. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ในเรื่องสุดท้ายที่เล่า

    หากผู้ใด จิตวิญญานใด ไม่ว่าจะเป็นภูต เป็นเทพ หรือใดๆก็ตาม
    เมื่อฝึกถึงจุดนี้แล้ว ส่วนมากจะหลงผิดคิดว่า ตนสำเร็จแล้ว
    อย่างน้อย ก็สำเร็จในขั้นแรกแล้ว

    แม้แต่สุวิเอง เมื่อรู้เรื่องนี้ก็มีจิตโน้มเอียงว่าเป็นเช่นนั้น

    ในวันแรกๆที่รับรู้เรื่องเหล่านี้ และวางใจลงบนมรรคที่เห็นนั้นแล้ว
    และทดลองเดินดู
    ไม่นานก็รู้ว่า สิ่งที่เข้าใจว่าสำเร็จในขั้นแรกแล้ว ผิดทั้งสิ้น

    นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เท่านั้น
    ดุจเด็กน้อยจบอนุบาล และกำลังจะเข้าเรียนชั้น ป.๑
    ถ้าผ่านจุดนี้ได้ จึงจะมีสิทธิ์สอบเข้าชั้นเรียน ป.๑
    หากสอบตก ก็ไปฝึกในชั้นอนุบาลใหม่ เพื่อรอสอบในครั้งหน้า
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=vJWxQz7GG0w&feature=player_embedded"]YouTube- ???? "??????"[/ame]</EMBED>

    [​IMG]

    [MUSIC]http://charyen.com/jukebox/asx_file/MusicUpdate-15048.wma[/MUSIC]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2010
  12. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ผมเองเข้าใจว่าการปฎิบัติของเราคือการอยู่ในวิถีมรรคมีองค์8ให้บริบูรณ์
    กุศลและอุกศล แท้จริงในระดับเบื้องต้นมิใช่สมมติ
    แต่เป็นความจริงว่าต้องเดินทางกุศล
    เว้นทางอกุศล เพื่อให้จิตเดิม เราบริสุทธิ์จนถึงที่สุดเสียก่อน

    เมื่อจิตหลุดพ้นได้จริงก่อน กุศลและอกุศลจึงเป็นเพียงสิ่งสมมติ
    ดังคำว่าธรรมะเป็นอนัตตา ธรรมะ และกรรมดีชั่ว ไม่ควรยึดมั่นในที่สุด
     
  13. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471


    [​IMG]






    [​IMG]
    ขนาด " นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น "
    ข้าน้อยฯ ขอต่อปลายสุดแถว ล่ะกัน นะ ท่านพี่นิวรณ์
    หากด้วยแรงใจดัง "ศรัทธา " ตามนั่น - - ล่ะค่ะ


    ไม่มีก็คงต้องมีสักวัน
    ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
    ไม่นานเราคงจะได้สมใจ
    มุ่งมั่นทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา

    เส้นชัยไม่มาต้องไปหามัน
    รางวัลมีไว้ให้คนตั้งใจ
    ขวากหนามทิ่มแทงก็ผ่านพ้นไป
    โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย

    ใจสู้หรือเปล่าไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้าศรัทธาไม่มีท้อ

    ที่มารู้ดีไม่รู้ที่ไปคนเรามันเลือกเกิดเองไม่ได้
    แต่เราเลือกได้จะเป็นเช่นไร
    เลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเรา
    หลายคนเชื่อในเรื่องโชคชะตา
    บางคนเชื่อมั่นในตัวเอง
    ชีวิตเรากำหนดของเราเอง
    จะแพ้ชนะไม่เกรงจะสักเท่าไร

    ใจสู้หรือเปล่าไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้าศรัทธาไม่มีท้อ

    เรื่องราวมากมายที่ทำได้ใจโอบก็หวั่นไหว
    แต่ก็มีเหตุผลสำคัญให้บางคนยอมถอดใจ เย.......

    ใจสู้หรือเปล่าไหวไหมบอกมา
    โอกาสของผู้กล้าศรัทธาไม่มีท้อ

    <O:p</O:p
    ********************<O:p</O:p
    เนื้อเพลง: ศรัทธา
    อัลบั้ม: Never Say Die
    เพลงของหินเหล็กไฟ<O:p</O:p


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2010
  14. โทสะ

    โทสะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +466
    ข้าพเจ้า สรรเสรญยิ่ง กับท่านที่เจริญ ใน พรหมวิหารธรรม นี้
     
  15. วรรณนันท์

    วรรณนันท์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +2,602
    ขอสรรเสริญทางที่ท่านเลือกเดิน
    ไม่ใช่่เหตุบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ
    เดิน เดิน เดิน และเดินต่อไป
    หนทางอันยาวไกลจักอยู่ใกล้เข้ามาเอง

    ชีวิต .... เป็นประสบการณ์
    บางครั้งหวาน บางคราวขม และไม่สมใจ
    ตัดสิน แล้วเก็บ ถามว่าเราเก็บอะไร
    บางคราวผิดไป... แต่ก็มีค่าเกิน

    ขอบคุณสำหรับสิ่งดีดีที่นำมาแบ่งปัน มันอาจจุดประกายสำหรับใครบางคน หรืออาจไขข้อข้องใจของอีกบางคน หรืออาจยืนยันความเข้าใจของใครอีกหลายๆคน

    อนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ

    เราจักเรียน เรียน เรียน และเรียนต่อไป
    จัก ฝึก หัด ขัด เกลา อบ รม บ่ม นิสัย ตนเอง
     
  16. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    รู้ เห็น เป็น อยู่

    [​IMG]
    v
    v

    ช่วงนี้มีประเด็น ถูกทดสอบอารมณ์ใจ จนสะเทือนใจ ได้พิจารณาทบทวนประด็นที่เกิด ...

    [​IMG]
    v
    v
    มาถึงบางอ้อ คำว่า รู้ - เห็น -เป็น ของคุณอาฯ บ้างแล้วค่ะ
    แต่มีคำต่อมานะคะว่า ต้องนิ่งด้วยนะ ถึงจะถึงบางอ้อนั้น และนอกจากต้องนิ่งๆ แล้ว จะต้องอยู่ในภาวะลำพังด้วยซิ ซึ่งตรงกับคำธรรมว่า วิเวก ใช่มั้ยค่ะ

    ครานี้มีสงสัย ขอความกระจ่างค่ะว่า คำว่าวิเวกนี้ มันยากนะคะ ในเมื่อเรายังอยู่กับสังคมชุมชน ปุจฉาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2011
  17. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ให้ลองภาวนา คำว่า วิเวก ดู
    และขอรู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ จนรู้และเห็น และกำหนดเป็นทางเดิน(มรรค)
    ในขณะที่รู้และเห็น และกำหนดทางเดินแล้ว ให้ขึ้นไปเดินบนทางที่รู้ที่เห็นนั้น
    (บางคนใช้คำว่า-ให้สวมความรู้สึกเข้าไปเป็น ในสิ่งที่รู้และเห็นนั้น)
    เราจะเข้าใจในสิ่งนั้น ทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเป็น อย่งแท้จริง
    และทรงความรู้สึก ในคำว่าเป็นนั้น (ทรงวิหารธรรมในวิเวก)

    เราจะรู้ว่า วิเวกที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ผู้เดียว
    เราอยู่กลางหมู่ผู้คน เราก็อยู่ในวิเวกได้
     
  18. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    วิเวกที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ผู้เดียว

    [​IMG]
    v

    v
    กราบขอบพระคุณค่ะ
    กลับไปที่ พินิจพิจารณา - ใคร่ครวญ กว่าจะ "แท้จริง"



    เจอพอดี สงสัยมานาน วิหารธรรม-วิหารธรรม นี้
    หมายถึง กายในกาย จิตในจิต หรือเปล่าค่ะ

    v

    v



    [​IMG]







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2010
  19. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>และทรงความรู้สึก ในคำว่าเป็นนั้น (ทรงวิหารธรรมในวิเวก) </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอ..จะว่าใช่ก็ใช่นะ
    จะว่าไม่ใช่ก็ถูก

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ บัญญัติ นะ (ตรงนี้อธิบายกันยืดยาวทีเดียว-และยากอธิบายด้วย)
     
  20. วรรณนันท์

    วรรณนันท์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +2,602
    บุญ - บารมี

    เคยอ่านพบแล้วประทับใจ แต่ขอไม่ใส่รายละเอียดเรื่องชื่อเพราะจำได้ไม่แม่น

    เรื่องมีอยู่ว่าท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินทางกับคณะไปถ่ายทำสารคดีที่ต่างประเทศ เกิดมีปัญหาขลุกขลักทำให้ไม่สามารถกลับได้ตามกำหนด เลยต้องเลื่อนเที่ยวบินไป ปรากฏว่าเครื่องบินลำที่จองไว้เดิมบินออกจากสนามบินไปได้ไม่นานเครื่องบินก็ตกผู้โดยสารตายยกลำ ท่านผู้นี้เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยท่านได้ไปกราบพระผู้ใหญ่และเล่าให้พระฟังว่าเป็นบุญเหลือเกินที่ท่านไม่ได้โดยสารเครื่องบินลำที่ตกทำให้ท่านรอดชีวิตกลับมา พระผู้ใหญ่ท่านกล่าวว่าการที่โยมมีบุญรอดชีวิตกลับมานั้นดีแล้ว แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้นคือต้องมีทั้งบุญและบารมีโดยสารเครื่องบินลำนั้นกลับมาแล้วทำให้ผู้โดยสารอื่นรอดไปด้วย

    เป็นหนึ่งในแนวคิดที่วรรณนันท์รับเอาไว้ใส่จิตใส่ใจเลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...