มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔

ในห้อง 'พระไตรปิฎก เสียงอ่าน' ตั้งกระทู้โดย Kob, 31 ธันวาคม 2009.

  1. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    ปัญหาที่ ๑ ถามลักษณะมนสิการ
    ปัญหาที่ ๒ ถามลักษณะ สิ่งที่มีภาวะอย่างเดียวกัน / สรุปความ
    ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕
    ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม
    ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทําเสียก่อน / อุปมาการขุดน้ำ / อุปมาการไถนา / อุปมาการทําสงคราม /
    ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก / อุปมาด้วยราชสีห์ / อุปมาด้วยนกหัวขวาน /อุปมาด้วยสตรี
    ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน
    ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน
    ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน
    ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน



    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=44251[/MUSIC]
     
  2. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,161
    ค่าพลัง:
    +19,894
    วรรคที่ ๔

    ปัญหาที่ ๑ ถามลักษณะมนสิการ

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะ อย่างไร ? ”
    พระเถระตอบว่า “ ขอถวายพระพร มนสิการ มีการ นึก เป็นลักษณะ ”
    “ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”


    ปัญหาที่ ๒ ถามลักษณะ สิ่งที่มีภาวะอย่างเดียวกัน

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจ แยกธรรมที่รวมเป็นอันเดียวกันเหล่านี้ ให้รู้ว่าต่างกันว่า อันนี้เป็น ผัสสะ อันนี้เป็น เวทนา อันนี้เป็น สัญญา อันนี้เป็น เจตนา อันนี้เป็น วิญญาณ อันนี้เป็น วิตก อันนี้เป็น วิจาร ได้ หรือไม่ ? ”
    “ ไม่อาจ ขอถวายพระพร ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
    ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนพ่อครัวของพระราชา เมื่อจะตกแต่งเครื่องเสวย ก็ใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ คือ นมส้ม เกลือ ขิง ผักชี พริก และสิ่งอื่น ๆ ลงไป ถ้าพระราชา ตรัสสั่งว่า “เจ้าจงแยกเอารสนมส้มมาให้เรา จงแยกเอารสเกลือ รสขิง รสผักชี รสหวาน รสเปรี้ยว มาให้เราทีละอย่าง ๆ พ่อครัวนั้นอาจแยกเอารสที่รวมกันอยู่ เหล่านั้นมาถวายพระราชาว่า นี้เป็นรสเปรี้ยว นี้เป็นรสเค็ม นี้เป็นรสขม นี้เป็นรสเผ็ด นี้ เป็นรสฝาด ได้หรือไม่ ? ”
    “ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ก็แต่ว่าเขาอาจรู้ได้ ตามลักษณะของรสแต่ละรส ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ วิตก วิจาร รวมกันเข้าแล้ว อาตมภาพก็ไม่อาจแยกออกให้รู้ได้แต่ละอย่าง ก็แต่ว่าอาจให้เข้าใจได้ ตามลักษณะแห่งธรรมเป็นอย่าง ๆ ”
    “ขอถวายพระพร เกลือ เป็นของจะต้องรู้ด้วย ตา ใช่ไหม ?”
    “ ใช่ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอมหาบพิตรจงจําคํานี้ไว้ให้ดีนะ ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น เกลือ เป็นของรู้ด้วย ลิ้น อย่างนั้นหรือ ? ”
    “ อย่างนั้น มหาบพิตร ”

    “ ถ้าบุคคลรู้จักเกลือทั้งหมดด้วยลิ้น เหตุไฉนจึงบรรทุกเกลือมาด้วยเกวียน ควรบรรทุกมาเฉพาะความเค็มเท่านั้นไม่ใช่หรือ ? ”
    “ ไม่อาจบรรทุกมาแต่ความเค็มเท่านั้นได้ เพราะว่าของเหล่านี้เป็นของรวมกัน ส่วนความเค็มบุคคลอาจชั่งได้ด้วยตาชั่งหรือไม่ มหาบพิตร ? ”
    “ อาจชั่งได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ มหาบพิตร จงจําคํานี้ไว้ให้ดีว่า บุคคลอาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่ง ”
    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าว่า บุคคลไม่อาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่งอย่างนั้นหรือ ? ”
    “ อย่างนั้น มหาบพิตร ”
    “ ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน ”

    สรุปความ

    วิญญาณทั้ง ๕ ได้แก่ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ คือความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะต้องมี มโนวิญญาณ คือความ รู้สึกทางใจเข้าร่วมด้วย จึงจะสําเร็จประโยชน์ ในการเห็น การฟัง การดม การลิ้มรส และ การสัมผัส เป็นต้น

    เมื่อวิญญาณทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นก่อน เช่น จักขุวิญญาณ เกิดขึ้นในที่ใด มโนวิญญาณ ก็เกิดในที่นั้น เพราะอาศัย จักขุ กับ รูป ธรรมทั้งหลายมี ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ วิตก วิจาร มนสิการ ได้เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกัน แต่มีลักษณะต่างกัน ดังนี้
    ผัสสะ มีลักษณะ กระทบกัน เช่น จักขุ กับ รูป เรียกว่า จักขุวิญญาณ เป็นต้น
    เวทนา มีลักษณะ เสวยอารมณ์ คือ ทําให้รู้สึกมีความสุข มีความทุกข์ หรือ รู้สึก เฉย ๆ เป็นต้น
    สัญญา มีลักษณะ จํา เช่นเมื่อตาเห็น รูปก็จําได้ว่า มีสีสันวรรณะเป็นประการใด
    เจตนา มีลักษณะ จงใจ หรือ ประชุมแห่งการตกแต่ง หมายถึงมุ่งกระทํา ความดีหรือความชั่วด้วยความจงใจ
    วิญญาณ อันนี้ไม่ใช่วิญญาณที่มาถือ กําเนิดในครรภ์ แต่ในที่นี้ท่านหมายถึง รู้ ในฎีกามิลินท์ท่านหมายถึง ประสาท เหมือนกัน
    วิตก มีลักษณะ ประกบแน่น หมายถึงการที่จิตตรึกอารมณ์
    วิจาร มีลักษณะ ลูบคลําไปตามวิตก คือจิตเคล้าอารมณ์ หรือจิตตรอง หรือ พิจารณาอารมณ์ที่ตรึกนั้น
    วิตก กับ วิจาร ท่านอธิบายมีความหมายคล้ายกัน คือ วิตก เหมือนกับคนเคาะ ระฆัง เมื่อมีเสียงดังกังวานครวญครางขึ้น ท่านเรียกว่า วิจาร ได้แก่อารมณ์คิดพิจารณา นั่นเอง
    มนสิการ มีลักษณะ นึก ในข้อนี้ท่านไม่ได้ยกอุปมา เพราะได้เคยอุปมาให้พระเจ้า มิลินท์ได้ทราบไว้แล้ว
    รวมความว่า การที่จะเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสสัมผัสได้นั้น ไม่ใช่ อัพ ภันตรชีพ ( สิ่งที่เป็นอยู่ในภายในกายนี้ ) เป็น “ เวทคู ” คือเป็นผู้รับรู้ แต่การที่จะมีความรู้สึกได้เพราะอาศัย วิญญาณ ต่างหาก และวิญญาณทั้ง ๕ นี้ย่อม ไหลไปสู่ มโนวิญญาณ เหมือนกับน้ำไหลไปสู่ที่ลุ่มฉะนั้น

    แต่ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นด้วยกัน อันมี ผัสสะ เป็นต้นนั้น ท่านไม่สามารถจะแยก ออกมาได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา หรืออันนี้เป็นสัญญา เปรียบเหมือนเครื่อง แกงที่ผสมกันหมดแล้ว รสชาติของมันปรากฏอยู่ตามลักษณะของมัน แต่จะแยกออกมาไม่ได้

    คําเปรียบเทียบของพระนาคเสนเรื่องนี้เหมาะสมมาก คือเมื่อเครื่องแกงผสมเป็นน้ำแกงแล้ว เมื่อเราตักออกมาช้อนหนึ่งชิมดู ย่อมมีรสเครื่องแกงทุกอย่างผสมอยู่ แต่จะแยกออกมาหาได้ไม่ แต่เราพอบอกได้ว่า ความเผ็ดเป็นรสของพริก ความเค็มเป็นรสของเกลือ ความเปรี้ยวเป็นรสของน้ำส้มหรือมะนาว และความหวานเป็นรสของน้ำตาล เป็นต้น
    อนึ่ง เหมือนกับการบรรทุกเกลือ แต่ จะไม่บรรทุกความเค็มมาด้วย หรือจะชั่ง เฉพาะเกลือ แต่ไม่ชั่งความเค็มด้วยนั้น ไม่สามารถจะกระทําได้ เพราะของเหล่านี้ เป็นของรวมกันฉันใด ธรรมทั้งหลายอันมี ผัสสะ เป็นต้น ได้ปรากฏชัดตามลักษณะของตน แต่จะแยกออกมาแต่ละอย่าง ๆ มิได้เช่นกัน

    ตอนที่ ๙
    ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕


    “ ข้าแต่พระนาคเสน อายตนะ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) เกิดด้วยกรรมต่างๆ กัน หรือเกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกัน ”
    “ขอถวายพระพร อายตนะ ๕ นั้น เกิด ด้วยกรรมต่าง ๆ กัน ที่เกิดด้วยกรรมอันเดียว กันไม่มี ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
    “ ขอถวายพระพร พืชต่าง ๆ ๕ ชนิด ที่บุคคลหว่านลงไปในนาแห่งเดียวกัน ผล แห่งพืช ๕ ชนิดนั้น ก็เกิดต่าง ๆ กันฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้ ก็เกิดด้วยกรรมต่างกัน ฉันนั้น ที่เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกันไม่มี ”
    “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว”

    ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด มนุษย์ ทั้งหลายจึงไม่เสมอกัน คือมนุษย์ทั้งหลายมี อายุน้อยก็มี มีอายุยืนยาวก็มี อาพาธมากก็มี อาพาธน้อยก็มี ผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีศักดิ์น้อยก็มี มีศักดิ์ใหญ่ก็มี มีโภคทรัพย์น้อยก็มี มีโภคทรัพย์มากก็มี มีตระกูลต่ำก็มี มีตระกูลสูงก็มี ไม่มีปัญญาก็มี มีปัญญาก็มี ? ”

    พระเถระจึงย้อนถามว่า “ ขอถวายพระพร เหตุใดต้นไม้ทั้งหลาย จึงไม่เสมอกันสิ้น ต้นที่มีรสเปรี้ยวก็มี มีรส ขมก็มี มีรสเผ็ดก็มี มีรสฝาดก็มี มีรสหวานก็มี ? ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะความต่างกันแห่งพืช ”
    “ ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือมนุษย์ทั้งหลายไม่เสมอกันหมด เพราะกรรมต่างกัน ข้อนี้สมด้วยพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสไว้ว่า “ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมต่างกัน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมทําให้เกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่อาศัยกรรม ย่อมจําแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวดีต่างกัน ”
    “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
    “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


    ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทําเสียก่อน

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้แก่โยมว่า ทําอย่างไรทุกข์นี้จึงจะดับไป และทุกข์อื่นจึงจะไม่เกิดขึ้น ก็ควรรีบทําอย่างนั้น แต่โยมเห็นว่า ประโยชน์อะไรกับการรีบ พยายามทําอย่างนั้น ต่อเมื่อถึงเวลา จึงควร ทําไม่ใช่หรือ ? ”
    พระเถระตอบว่า “ ขอถวายพระพร เมื่อถึงเวลาแล้ว ความพยายามก็จะไม่ทําสิ่งนั้นให้สําเร็จไป ความรีบพยายามนั้นแหละ จะทําสิ่งนั้นให้ สําเร็จไป ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”

    อุปมาการขุดน้ำ

    “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าใจความข้อนี้อย่างไร.. คือเมื่อใดมหาบพิตรอยากเสวยน้ำ เมื่อนั้นมหาบพิตรจึงจะให้ขุดที่มีน้ำให้ขุดสระโบกขรณี ให้ขุดเหมืองน้ำว่า เราจักดื่มน้ำอย่างนั้นหรือ ? ”
    “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สําเร็จประโยชน์ ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสําเร็จประโยชน์ ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”

    อุปมาการไถนา

    “ ขอถวายพระพร เมื่อใดมหาบพิตรหิว เมื่อนั้นหรือ...มหาบพิตรจึงจักให้ไถนา ปลูกข้าวสาลี หว่านพืช ขนข้าวมา หรือปลูกข้าวเหนียว ด้วยรับสั่งว่า เราจักกินข้าว ? ”
    “ ทําอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สําเร็จประโยชน์ ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะ สําเร็จประโยชน์”
    “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”


    อุปมาการทําสงคราม

    “ ขอถวายพระพร เมื่อใดสงครามมาติดบ้านเมือง เมื่อนั้นหรือ...มหาบพิตรจึงจะให้ขุดคู สร้างกําแพง สร้างเขื่อน สร้างป้อม ขนเสบียงอาหารมาไว้ ให้ฝึกหัดช้าง ม้า รถ ธนู ดาบ ? ”
    “ ทําอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สําเร็จประโยชน์ ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสําเร็จประโยชน์ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระบรมโลก นาถศาสดาจารย์ ตรัสประทานไว้ว่า
    “ บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตน ควรรีบทําสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้ มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างพ่อค้าเกวียน คือพ่อค้าเกวียนทิ้งทางเก่า อันเป็นทางเสมอ กว้างใหญ่ดี แล้วขับเกวียนไปในทางใหม่ ที่เป็นทางไม่เสมอดี เวลาเพลาเกวียนหักแล้วก็ซบเซาฉันใด บุคคลผู้โง่เขลาหลีกออกจากธรรมะ ไม่ประพฤติตามธรรม จวนจะใกล้ตายก็จะ ต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียนที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น ”
    “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
    “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสมควรแล้ว”


    ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ไฟนรกร้อนมากกว่าไฟปกติ ก้อนหินน้อย ๆ ทิ้งลงไปในไฟปกติ ไฟเผาอยู่ตลอด วันก็ไม่ย่อยยับ ส่วนก้อนหินโตเท่าปราสาท ทิ้งลงไปในไฟนรก ก็ย่อยยับไปในขณะเดียว ดังนี้ คํานี้โยมไม่เชื่อ ถึงคําที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกสัตว์นรกอยู่ในนรกได้ตั้งพัน ๆ ปีก็ไม่ย่อยยับ ป ดังนี้ คํานี้โยมก็ไม่เชื่อ ”
    พระเถระตอบว่า “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้า พระทัยอย่างไร...คือพวกนกยูง ไก่ป่า มังกร จระเข้ เต่า ย่อมกินก้อนหินแข็ง ๆ ก้อน กรวดแข็ง ๆ จริงหรือ ? ”
    “ เออ..โยมได้ยินว่าจริงนะ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร ก้อนหินก้อนกรวดเหล่านั้น เข้าไปอยู่ภายในท้องของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แหลกย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
    “ แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร ก็สัตว์ที่อยู่ในท้อง ของสัตว์เหล่านั้น แหลกย่อยยับไปไหม ? ”
    “ ไม่แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ โยมเข้าใจว่า เพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้อยู่ในนรก ตั้งหลายพันปีก็ไม่ย่อยยับไป เพราะกรรมคุ้มครองไว้ พวกสัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า
    “บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นตราบใด สัตว์ นรกก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
    “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”


    อุปมาด้วยราชสีห์

    “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้า พระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลืองตัวเมีย ย่อมเคี้ยวกินของแข็ง ๆ เคี้ยวกินกระดูก เคี้ยวกินเนื้อมีอยู่ หรือ ? ”
    “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร กระดูกที่เข้าไปอยู่ใน ท้องของสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยไปไหม ? ”
    “ แหลกย่อยไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร ลูกในท้องของสัตว์ เหล่านั้นแหลกย่อยยับไปไหม ? ”
    “ ไม่แหลก พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมรักษาไว้ แต่ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป

    อุปมาด้วยนกหัวขวาน

    “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้า พระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือ นกหัวขวาน นกยูง ย่อมเคี้ยวกินไม้อันแข็งมีอยู่หรือ ? ”
    “ มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ไม้อันแข็งเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในท้องของ นกหัวขวาน นกยูงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไป หรือไม่ ? ”
    “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ขอถวายพระพร ลูกนกหัวขวานที่อยู่ในท้อง ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
    “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ โยมเข้าใจว่า เพราะกรรมรักษาไว้ ขอ นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

    อุปมาด้วยสตรี

    “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้า พระทัยความข้อนี้อย่างไร..คือ นางโยนก นาง กษัตริย์ นางพราหมณ์ นางคฤหบดี ที่มีความสุขมาแต่กําเนิด ได้เคี้ยวกินของแข็ง ขนม ผลไม้ เนื้อ ปลาต่าง ๆ หรือไม่ ? ”
    “ เคี้ยวกิน พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ของเหล่านั้นตกเข้าไปอยู่ในท้องของ หญิงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? ”
    “ ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ ก็ลูกในท้องของหญิงเหล่านั้น ย่อยยับ ไปหรือไม่ ? ”
    “ ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เพราะอะไร มหาบพิตร ? ”
    “ โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมคุ้มครองไว้ ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้ในนรกตั้งหลายพันปี ก็ไม่ย่อยยับไป สัตว์นรกเหล่านั้น เกิด อยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า “ บาปกรรมที่เขาทําไว้ยังไม่สิ้นตราบใด เขาก็ยังไม่ตายตราบนั้น ”
    “ สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

    ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน

    “ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่ บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ ดังนี้ คํานี้โยม ไม่เชื่อ ”
    พระเถระเมื่อจะวิสัชนาแก้ไข จึงได้เอาธัมกรก คือกระบอกกรองน้ำตักน้ำขึ้นมาแล้ว ก็เอามือปิดปากธัมกรกไว้ เพื่อมิให้น้ำไหลลงไปได้ ถือไว้ให้พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรแล้ว พร้อมกับถวายพระพรว่า
    “ มหาบพิตรจงทรงสังเกตดูธัมกรกนี้เถิด ลมทรงไว้ซึ่งน้ำในกระบอกนี้ฉันใด ถึงน้ำที่ รองแผ่นดิน ลมก็รับไว้ฉันนั้น ”
    “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

    ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน

    “ ข้าแต่พระนาคเสน นิโรธ คือ นิพพาน หรือ ? ”
    “ ถูกแล้ว มหาบพิตร ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรจึงว่า นิโรธคือนิพพาน ? ”
    “ ขอถวายพระพร อันว่าพาลปุถุชน ทั้งหลาย ย่อมเพลิดเพลินยินดีใน อายตนะ ภายในภายนอก ( ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) จึงถูกกระแสตัณหาพัดไป จึงไม่พ้น จากการเกิด แก่ตาย โศกร่ำไร ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และคับแค้นใจ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับคําสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินยินดีใน อายตนะภายในภายนอก

    เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดี ตัณหาก็ดับไป เมื่อตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ เมื่ออุปาทานดับ ภพก็ดับ เมื่อภพดับ ชาติก็ดับ เมื่อชาติ คือ การเกิดดับ ความโศก ความร่ำไร ความไม่ สบายกาย ไม่สบายใจ และความคับแค้นใจก็ดับ เป็นอันว่า ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร จึงว่า นิโรธ คือ นิพพาน”
    “ ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

    ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน

    “ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลทั้งหลายได้ นิพพานเหมือนกันหมดหรือ ? ”
    “ ขอถวายพระพร ไม่ได้นิพพานเหมือนกันหมด ”
    “ เหตุไฉนจึงไม่ได้ ? ”
    “ ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติดี รู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรู้ รอบรู้ธรรมที่ควรรอบรู้ ละธรรมที่ควรละ อบรมธรรมที่ควรอบรม กระทําให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทําให้แจ้ง ผู้นั้น ก็ได้นิพพาน ”
    “ ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”


    ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน

    “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพาน รู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
    “ ขอถวายพระพร..รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข ”
    “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพาน ทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข ? ”
    “ ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้า เป็นทุกข์ ? ”
    “อ๋อ...รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
    “ เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ ? ”
    “ รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้า ร้องไห้ครวญคราง ”
    “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน ”
    “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

    จบวรรคที่ ๔

    ที่มา : http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=127#sixth
     

แชร์หน้านี้

Loading...